คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Match 10 ประชันทัพบนผืนดิน ค่ายกล 8 ทิศ
Match 10
ประชันทัพบนผืนดิน
ค่ายกล 8 ทิศ
ค่ายทหารกังตั๋ง
“ตอนนี้ทางเราตั้งที่มั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” จิวยี่ว่าระหว่างการประชุมทัพในเต็นท์บัญชาการ “ที่เหลือก็รอแค่ทัพหลักของท่านซุนกวนเดินทางมาสมทบ ข้าขอแรงคนของท่านชงเบ้งไปส่งสาสน์ให้แล้ว คาดว่าไม่นานนัก ท่านคงเดินทางมาถึง”
“ทางท่านเล่าปี่ก็ส่งข่าวมาแล้วว่า กำลังออกเดินทางนำทัพที่มีอยู่มาช่วยสมทบอีกแรง คงจะมาถึงที่นี่ในช่วงเวลาใกล้ๆ กับท่านซุนกวน” ขงเบ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ กันกล่าว
“เรายังคงเปิดการประชุมหลักไม่ได้หากนายท่านทั้ง 2 ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาดูรายละเอียดเล็กๆ กันก่อน... ทาเคชิ คาโอรุ ตั้งกระดาน... เชิญท่านจิวยี่”
“เสร็จแล้วครับ” ทั้งคู่เอ่ยบอกทันทีทำงานเสร็จ
“ขอบคุณ หัวหน้าทัพโมโมชิโระ หัวหน้าทัพไคโด มาเริ่มกันเลยแล้วกัน” จิวยี่เอ่ยขอบคุณโมโมะ กับ ไคโดที่เอากระดานแผนที่มาตั้งให้ ขณะตนเดินถือไม้ชี้กระดานมายืนประจำที่ “อย่างที่รู้กัน โจโฉมีกำลังมากกว่าพวกเรา 2 ทัพรวมรวมกันหลายเท่าตัว ดังนั่นการเข้าโจมตีทัพฮูโต๋ก่อนเป็นเรื่องโง่เขล่า” จิวยี่เริ่มสารทยาย “ยิ่งในช่วงที่ทัพของพวกเรายังไม่พร้อมเต็มร้อยอย่างนี้ ตอนนี้เราควรตั้งมั่นรอตั้งรับไว้เป็นดีที่สุด ไม่ต้องห่วงว่าทางโจโฉจะเข้ามาโจมตีเราก่อนแน่ ข้าว่าทัพของมันก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน แต่เพื่อความไม่ประมาท เราได้ส่งสายสืบไปคอยสังเกตการณ์ท่าทีของทัพโจโฉไว้แล้ว ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ทางสายสืบของเราจะส่งสาสน์มาแจ้งเราทันที... เอาล่ะ... มาดูสมรภูมิรบกัน ทัพของเราอยู่ตรง...”
“ขงเบ้ง ฉันส่ง 2 คนนั่นติดตามสายสืบคุณจิวยี่ไปด้วยแล้ว” เทะสึกะเดินมากระซิบขงเบ้งที่ยืนมองจิวยี่ชี้แจงภูมิประเทศของสังเวียนในศึกครั้งนี้อยู่
“เยี่ยม...” ขงเบ้งพยักหน้าอย่างพอใจ
ณ สวนตำหนักกังตั๋ง
ซุนกวนที่ยืนอยู่ ณ กลางลานพยัคฆ์ที่ เอจิเซน กับ ซีซิงเคยลองดาบกัน กำลังรำกระบี่ด้วยท่วงท่าที่ดุดันสมชื่อทายาทตระกูลพยัคฆ์ ขณะในหัวกำลังจินตนาการภาพตนยืนอยู่ในสนามรบท่ามกลางเหล่าศัตรูที่พุ่งเข้ามาหมายจะเอาชีวิตตน
“ย่าห์!” ซุนกวนส่งเสียงร้อง ขณะฟาดกระบี่แหวกอากาศอย่างรุนแรงรวดเร็วจนได้ยินเสียงคมดาบตัดกับสายลม การซ้อมสู้กับจินตนาการของซุนกวนดำเนินต่อไปภายใต้การมองของแขกผู้มาเยือนที่ยืนมองเขาอยู่เงียบโดยไม่ให้รู้ตัว
“ฟู่ว์...” หลังกระโดดหมุนตัวฟาดกระบี่แหวกอากาศก่อนลงมายืนตั้งการ์ดเป็นท่าจบ ซุนกวนก็เก็บกระบี่ของตนเข้าฝักพลางหายใจออกยาวๆ เป็นการผ่อนกำลัง
แปะ! แปะ! แปะ! แปะ! แปะ!
“หื~ม?” ซุนกวนหันไปมองตามเสียงปรบมือของแขกผู้มาเยือนตนซึ่งกำลังเดินออกมาจากมุมลับตาที่ตนมองไม่เห็น
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นคนเฉื่อยชาอย่างพี่ มารำกระบี่ซ้อมรบอย่างงี้ สงครามเนี่ยทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ” หญิงสาวแสนสวย ผมสีน้ำตาลเพลิงซอยสั้น ดวงตาค่อนข้างคม นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผม ผิวขาวเนียนสวย ใบหน้างดงามไม่แพ้ซีซิง ผู้อยู่ในชุดลำลองแบบผู้ชายสีแดงเพลิงแต่งแต้มด้วยลายพยัคฆ์ สัตว์ประจำตระกูลซุน รวมๆ แล้วเหมือนจะคล้ายซีซิงไปซะทุกอย่างเว้นแต่ส่วนสูงที่มากกว่า และ บุคคลิกที่ดูเหมือนทอมบอย “
“ซั่งเซียง” ซุนกวนเอ่ยชื่อหญิงสาวผู้มาเยือน หรือ ซุนซั่งเซียงน้องคนเล็กของตนนั่นเอง “มาหาพี่มีธุระอะไรเหรอ?”
“น้องมาเยี่ยมพี่ ต้องงมีธุระอะไรด้วยเหรอ” ซุนซั่งเซียงว่าขณะหน้ากวนๆ
“คำตอบคือ ไม่...” ซุนกวนเอ่ยแทรกทันที
“อ้า~ว? ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” ซุนซั่งเสียงเอ่ย
“ถึงจะไม่สนิทกันกับเจ้าแบบท่านพี่ แต่ข้ารู้จักนิสัยเจ้าดี ซั่งเซียง” ซุนกวนว่ายิ้มๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเดินมาหาน้องสาวพร้อมทำหน้าจริงจัง “เจ้าจะขอไปรบกับข้าด้วยใช่ไหม?”
“แห~ม รู้ดีจริงนะ...” ซุนซั่งเสียงมองซุนกวนแบบงอนๆ
“ข้ายืนยันคำเดิม ไม่...” ซุนกวนย้ำคำ
“ทำไมล่ะ!?” ซุนซั่งเซียงร้องถาม
“พี่ไม่คิดจะให้เจ้าไปเสี่ยงตายในสนามรบหรอก มันอันตรายเกินไป” ซุนกวนว่า
“แต่!”
“ไม่มีแต่ซั่งเซียง! ตอนเสียท่านพี่ไป ท่านแม่เสียใจมาพอแล้ว! หากต้องเสียเจ้าไปอีกคน ท่านจะตรอมใจแค่ไหน!?” ซุนกวนเอ่ยสวนด้วยน้ำเสียงดุๆ
“แล้วตัวท่านล่ะ!? ท่านก็ไปออกรบ! หากท่านตายตามพี่ใหญ่ไปอีกคน ท่านแม่จะไม่เสียใจรึไง!? อย่าเอาเหตุผลไม่เข้าท่ามาอ้างสิ!” ซุนซั่งเซียงเถียง
“พี่เป็นเจ้าเมือง! พี่รับภาระหน้าอันทรงเกียรติที่นี้มาจากท่านพี่ซึ่งได้รับมาจากท่านพ่ออีกต่อหนึ่ง! มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องปกป้องเมืองของตระกูลเรา!” ซุนกวนว่า
“ข้าก็เป็นลูกเป็นน้องของพ่อกับพี่ใหญ่ และ ก็เป็นคนของตระกูลซุนเหมือนกัน! แล้วทำไมข้าถึงไม่มีสิทธิ์ออกรบเหมือนท่าน! ทำไมข้าไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมปกป้องเมืองของเรา ปกป้องกียรติยศชื่อเสียงของเรา ปกป้องตระกูลเราเหมือนพี่ล่ะ!” ซุนซั่งเซียงโวย
“เพราะเจ้า... เป็นน้องสาวข้าน่ะสิ...” ซุนกวนพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง
“ไม่ยุติธรรม...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเช่นกัน “เพียงเพราะข้าเป็นหญิง และ เป็นน้องสาวของท่าน แค่นั้นก็ทำให้ข้าไม่มีสิทธิ์ทำเพื่อบ้านเมืองงั้นเหรอ?”
“...” ซุนกวนได้แต่เงียบไม่พูดอะไร
“นั่นสิซุนกวน...” เสียงหวานๆ ดังมาจากหญิงสาวอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
“พี่สะใภ้/พี่ไต้เกี้ยว” ซุนกวน และซุยซั่งเซียง เอ่ยชื่อผู้มาเยือนอีกคนพร้อมกัน
“เพราะเธอเป็นหญิง และ เป็นน้องของเจ้า ทำให้เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเพื่อตระกูล หรือ เป็นเพราะเจ้าไม่ให้อยากเธอทำกันแน่...?” ไต้เกี้ยวเอ่ยถามน้องเขยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เสียดแทงเข้าไปในใจซุนกวน
“...” ซุนกวนได้แต่มองพี่สะใภ้คนสวย พี่สาวของเสี่ยวเกี้ยวภรรยาของจิวยี่ ซึ่งหากมองไกลๆ แล้วอาจแยกไม่ออกว่าใครคือใคร ซึ่งกำลังพูดกดดันตนอยู่ ภายใต้ความสับสนในใจ
“ท่านซุนเซ็กพูดบ่อยๆ ว่า ซั่งเซี่ยงจะเป็นนักรบที่เก่งกาจ อาจจะเหนือกว่าตัวเขาด้วยซ้ำหากได้รับการฝึกฝนดีๆ ข้าว่าเจ้าอย่าดูถูกเธอดีกว่านะ” คำพูดของไต้เกี้ยวทำให้ซุนกวนหันไปมองซุนซั่งเซียงที่ยืนหน้าบูดมองเขาอยู่
“เฮ้~อ... แต่ถึงอย่างงั้น”
“ถึงอย่างงั้นตอนนี้เธอก็ยังมีฝีมือด้อยกว่าเจ้า ข้าเข้าใจ...” ไต้เกี้ยวเอ่ยสวน ทำเอาซุนกวนที่โดนรู้ทันบ้างเงียบลงไปอีกครั้ง “แต่ถึงอย่างนั่น ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอไม่มีฝีมือพอออกรบไม่ใช่เหรอ?”
“ข้า... ข้า... ข้าไม่...” ซุนกวนเริ่มโลเล
“ฟังนะซุนกวน ถ้าเจ้าอยากให้น้องเข้าใจ เจ้าต้องเปิดใจกับน้อง” ไต้เกี้ยวจูงมือซุนกวนไปยืนประจันหน้ากับซุนซั่งเซียง “จงพูดสิ่งที่เจ้าเก็บอยู่ในใจออกมาเถิด”
“ท่านพี่...?” ซุนซั่งเสียงมองมายังซุนกวน
“ซั่งเซียง... ข้าเป็นหนึ่งคนที่ยืนมองท่านพี่ค่อยๆ สิ้นลมไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกในตอนนั่นยังไม่หายไปจากใจข้า...” ซุนกวนเงยหน้าสบตาน้องสาว “ข้าไม่ต้องการจะรู้สึกแบบนั่นอีก... ข้าไม่อยากเสียเจ้าไปอีกคน...”
“ท่านพี่ทำไมท่านพี่เห็นแก่ตัวอย่างงี้...” ซุนซั่งเซียงว่า “แล้วท่านไม่คิดหน่อยเหรอว่าข้าก็ไม่อยากเห็นท่านพี่ตายไปอย่างพี่ซุนเซ็กอีกคน...”
“ซั่งเซียง... พี่ไม่กลัวความตาย... พี่เป็นทายาทตระกูลซุน การตายในสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมืองถือเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่”
“ข้าก็เช่นกันท่านพี่ ข้าเป็นทายาทตระกูลซุนเหมือนกัน...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยสวน “สิ่งที่ข้ากลัวยิ่งกว่าอะไรคือการเสียครอบครัวให้แก่การต่อสู้โดยไม่ได้ทำอะไร แค่คิดอย่างนั้นทำให้ข้าเจ็บปวดจนไม่สามารถหลับนอนได้... แต่หากข้าได้ตายในสนามรบเคียงข้ากันในฐานะนักรบคนหนึ่งที่ปกป้องบ้านเมือง ข้าคงตายตาหลับ...”
“ซั่งเซียง...” ซุนกวนตกตะลึงในคำพูดของน้องสาว
“ข้าเช่นเดียวกับท่าน เป็นลูกของพยัคฆ์ และ น้องของอ๋องน้อยผู้ยิ่งใหญ่ แห่งกังตั๋ง ได้โปรดท่านพี่ ข้าขอไปร่วมศึกครั้งนี้ด้วยเถิด...” ซุนซั่งเซียงกล่าวอย่างองอาจ
“ดูเหมือนเจ้าจะแพ้แล้วนะ ซุนกวน...” ไต้เกี้ยวว่ายิ้มๆ
“เจ้าคิดดีแล้วนะ ซั่งเซียง... เจ้าอาจตายได้นะ” ซุนกวนถามเพื่อความแน่ใจอีกที
“หากข้าจะต้องตาย ข้าก็ได้ตายเพื่อบ้านเมือง นั่นคือเกียรติยศ และ ศักดิ์ศรีของตระกูลเรา... ใช่ไหมท่านพี่” ซั่งเซียงยกกำปั้นขึ้นระดับศีรษะ ก่อนยืนตรงไปให้ซุนกวน
“หึ... ได้... เราจะมาพลีชีพเพื่อบ้านเมืองกันเถอะ” ซุนกวนยกกำปั้นตนเข้าชนกันกับกำปั้นของซุนซั่งเซียง
“แล้วทำไมพวกเราต้องตายด้วยล่ะครับ?”
“หื~อ?” 2 พี่น้องรวมทั้ง ไต้เกี้ยวหันไปยังต้นเสียงก่อนซุนกวนจะเออชื่อผู้มาเยือนอีก 2 คนที่กำลังเดินตรงมาหาตน “ฟูจิ ลกซุน”
“รายงาน ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วครับท่านซุนกวน” ลกซุนกล่าวขณะก้มหัวลงคำนับซุนกวน “จะว่าไป... ท่านทั้ง 2 ไย คิดว่าเราจะพ่ายเช่นละขอรับ?”
“เอ๋~?” 2 พี่น้องซุนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“พวกคุณคิดแต่ว่า จะตายในสนามรบให้สมเกียรติ ไม่คิดหน่อยเหรอครับว่าเราจะชนะ” ฟูจิว่า “ทางเรามีทั้งคุณจิวยี่จอมทัพเรือแห่งกังตั๋ง และ ขงเบ้งปราชญ์มังกรหลับแห่งเขาโงลังกั๋งรวมมือผนึกกำลังกันจนเป็นที่น่าหวั่นเกรง แต่พวกคุณกลับพูดเหมือนต้องการให้ทางเราแพ้อย่างงั้นแหละครับ”
“ใช่แล้วขอรับ อย่าคิดประหนึ่งแช่งเช่นนั้นสิขอรับ เชื่อมั่นในท่านแม่ทัพจิวยี่ และ ท่านอาจารย์ขงเบ้งเถิดครับ” ลกซุนสมทบทำให้พี่น้องตระกูลซุนถึงกับใจชื้นขึ้นมาทันที
“หึๆๆ...” ไต้เกี้ยวหัวเราะด้วยความพอใจ “พี่ว่าเจ้าทั้ง 2 มั่นใจในตัวเอง และ พวกพ้องตามที่เด็กหนุ่มทั้ง 2 นี้ว่าเถิด... เอาล่ะไปได้แล้ว”
“ครับพี่สะใภ้” ซุนกวนว่าก่อนทั้งตัวเขา และ ซุนซั่งเสียง จะคำนับลาไต้เกี้ยว
“ว่าแต่ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เธอเป็นใครงั้นเหรอ?” ซุนซั่งเซียงหันมาถามฟูจิ
“อ๋อใช่ขอแนะนำนะ นี่ฟูจิ เป็นหนึ่งในทหารของน้องขงเบ้ง” ซุนกวนเอ่ยแนะนำ
“น้องเหรอ?” ซุนซั่งเซียงเอ่ยทวนคำ
“ชะอุ๋~ย” ซุนกวนเอามือปิดปากตัวเอง
“ได้ข่าวว่า ท่านซุนกวนของเรียกอาจารย์ขงเบ้งเป็นน้องสาวน่ะขอรับ” ลกซุนว่า
“พี่กวน... นี่หมายความว่าไง...” ซุนซั่งเซียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“กะ ก็... จะ เจ้าทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายตลอดเลย ไอ้ข้าก็อยากมีน้องสาวแบบผู้หญิงน่ารักๆ บ้างนี่นา…” ซุนกวนพูดอย่างอายๆ (หั่นแน่~...)
“เออ! ข้ามันไม่เป็นกุลสตรีเหมือนคนอื่นเขานี่!” ซุนซั่งเซียงโวยให้ที่หนึ่งก่อนเอ่ยกับลกซุน และ ฟูจิ “ทุกอย่างพร้อมแล้วสินะ ไปกันเถอะ”
“ขอรับ” ลกซุนกับฟูจิ ขานรับแบบยิ้มๆ ก่อนนำ 2 พี่น้องซุนไปยังท่าเรือ
“เฮ้~อ... ไม่ไหวเลย พี่น้องคู่นี้...” ไต้เกี้ยวส่ายหน้า (แหะๆๆ...)
ค่ายทหาร เมืองเกงจิ๋ว
“ท่านโจโฉ ท่านชัวมอ และ ท่านเตียวอุ๋นมาแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งรายงานขณะที่ขุนพล 2 คนเดินเข้ามาในเต็นท์บัญชาการ
“คำนับท่านมหาอุปราช” ชัวมอ และ เตียวอุ๋นกล่าวขณะคุกเข่าลงคำนับโจโฉ
“ลุกขึ้นเถิด...” โจโฉบอก “ท่านได้เตรียมสิ่งที่ข้าขอไปหรือไม่…?”
“ขอรับ” ชัวมัวเอ่ยตอบ “ข้าได้เตรียมเรือรบ และ กำลังพลเกงจิ๋วทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ไว้พร้อมแล้วขอรับ”
“ดี...” โจโฉพยักหน้าด้วยความพอใจ แม้ใบหน้ายังนิ่งสนิทไม่มีการขยับเขยื้อน
“ท่านโจโฉ ตอนนี้กองทัพของเราพร้อมแล้ว ข้าว่าเราเริ่มเคลื่อนพลกันเถอะ” หนึ่งในขุนพลของโจโฉเอ่ยบอก
“อืม... ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็สั่งทหารลาดตระเวนกลับมารวมทัพ แล้วออกเดินทัพกันเลย” โจโฉสั่ง
“เดี๋ยวขอรับท่านโจโฉ” เตียวอุ๋นว่า “ชัวมอ เอาให้ท่านสิ”
“มีอะไรงั้นหรือ” โจโฉเอ่ยถาม ในขณะแอบส่งสัญญาณให้ซูเฉาเตรียมพร้อมไว้ หาก 2 คนนี้คิดเล่นไม่ซื่อให้จัดการทันที
“นี่ขอท่านโจโฉ... เอาเข้ามา!” ชัวมอกล่าวก่อนหันไปสั่งทหารของตน ให้เอาม้วนสาสน์ขนาดใหญ่เข้ามา “อันเนื่องมาจากพวกข้าที่ยอมจำนนได้รับเมตตาท่าน และ ได้เข้าร่วมกับท่าน แต่ชั่วเวลาเพียงแค่นี้อาจทำให้พวกท่านยังคงไม่เชื่อใจข้า ข้าจึงอยากมอมสิ่งนี้เป้นของกำนัลแสดงความจริงใจของข้าขอรับ”
“มันคืออะไรงั้นหรือ” โจโฉเอ่ยถาม
“นี่คือแผนที่แดนใต้ที่ข้าใช้ความสามารถที่มีอยู่วาดขึ้นมาขอรับ” ชัวมอตอบ
“อืม... อืม... เยี่ยมยอด...” โจโฉกวาดตามองภาพแผนที่แดนใต้ซึ่งชัวมอนำมามอบให้เขาอย่างชื่นชมก่อน เอ่ยถามผู้วาด “ชัวมอ ไหนบอกข้าซิ ข้าศึกตั้งทัพอยู่ที่ใด?”
“ตรงนี้ขอรับ” ชัวมอชี้ไปที่หรูผาแห่งหนึ่งที่อยู่ติดผืนน้ำ ซึ่งตนลงพู่กันแต้มด้วยสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของศัตรู
“หื~ม...? แล้วที่แห่งนี้มีนามว่าอะไร?” โจโฉยังคงถามลองภูมิชัวมอต่อไป
“ที่นี่รู้จักกันในชื่อ ผาแดง ขอรับ” ชัวมอตอบ
“ผาแดงงั้นเหรอ? หึๆ...” โจโฉหัวเราะน้อยๆ “ชื่อน่าสนใจดี ชักอยากเห็นแล้วสิ”
ณ เนิน ใกล้ๆ ค่ายแถวเกงจิ๋ว
“เฮ้~อ! จะออกเดินทัพอยู่แล้ว ทำไมต้องให้เรามาเฝ้ายามจนนาทีสุดท้ายด้วย” นายทหารทัพโจโฉคนหนึ่งบ่น
“เอาเถอะน่า ทำๆ ไปเหอะ อย่างที่เจ้าบอกเดี๋ยวก็เดินทัพแล้ว อีกไม่นานเราก็ได้พักแล้วล่ะ” นายทหารอีกคนข้างๆ บอก
ครื่ด...
“ใครน่ะ!” ทหารทั้งตะโกนเมื่อเศษหินที่อยู่บนเนินตกลงมาใส่หัวตน
“แง่~ว!”
“อ๋~อ แค่แมวเอง” นายทหารคนแรกว่า
“แมวบ้าอะไรจะมาแถวนี้ อย่างนี้มันแปลกเกินไปแล้ว!” นายทหารอีกคนว่า
“โฮ่งๆๆ!”
“แง่~ว! ฟ่~อ! แหม๋~ว...!”
“เฮ้~... แค่แมวกับหมาไล่กัดกันเฉยๆ น่าคิดมากไปได้” นายทหารคนแรกว่า
“งั้นเหรอ?” นายทหารคนที่สองยังคงสงสัยอยู่
“เฮ้! พวกเจ้าตรงนั่นน่ะ! พอแล้ว! กลับเข้ากองของตัวเองได้” เสียงจากนายกองดังมาเอ่ยเรียกทหารทั้ง 2
“เฮ้! ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ!”
“อื้ม!” แล้วทหารทั้ง 2 ก็รีบวิ่งกลับเข้าค่ายไป โดยหารู้ไม่ว่าที่มาของเสียงหมา และ แมวที่กัดกันอยู่บนเนินเหนือพวกตนนั่น จริงๆ แล้วคือ
“เฮ้~อ... เกือบไปแล้วแง่~ว...” คิคุมารุถอนหายใจยาว ก่อนมองไปยังอินูอิที่ถูกจิวท่ายยืนนิ่งดึงแขนค้างไว้ไม่ให้ร่วงลงเนินไป ด้วยความเลินเล่อที่มัวแต่จดบันทึกข้อมูล จนก้าวผิดไปตรงขอบเนิน ดีที่ได้จิวท่ายช่วยฉุดไว้ และ ไหวพริบแบบแปลกๆ ของพวกเขาทั้ง 2 คน “เออ... คุณ
“อืม...” จิวท่ายที่ยืนนิ่งไว้ไม่ให้เกิดเสียน่าสงสัย ตอบรับสั้นๆ ก่อนดึงอินูอิกลับขึ้นมายืนบนเนินอีกครั้ง
“วู้~…” ลิบองเอามือปาดเหงื่อออกอย่างโล่งใจ “ไม่อย่างเชื่อเลยพวกเธอจะทำเสียงหมากับแมวมาแก้ไขสถานการณ์ได้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างงี้” (หะ ห~า?)
“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนครับ” อินูอิเจ้าของเสียงหมากล่าวขอโทษ
“ไม่เป็นไร คนเราก็มีผิดพลาดกันได้ แต่คราวหน้าระวังหน่อยแล้วกัน” ลิบองว่า
“ครับ” อินูอิรับคำ
“อย่างน้อยพวกเราได้ข้อมูลมาแล้ว” คิคุมารุเจ้าของเสียงแมวเอ่ยขึ้น
“อืม… แยกทัพใหญ่เป็นทัพย่อยงั้นเหรอ... ดูท่าเราะลำบากซะแล้ว” ลิบองพยักหน้ารับก่อนหันมาบอกอินูอิ “ส่งสาสน์กลับไปบอกท่านจิวยี่ว่าโจโฉเคลื่อนพลแล้ว...”
“ครับ” อินูอิรับคำก่อนดึงเอากระดาษส่งสาสน์อันน้อยขึ้นมาเขียนรายงานก่อนเสียบใส่ที่เหน็บสาสน์ใต้ขาของนกพิราบที่เกาะอยู่ที่มืออีกข้างของจิวท่าย
“ไป...” จิวท่ายสั่งเบาๆ ก่อนปล่อยให้นกพิราบในมือบินให้ไปยังที่หมาย
ทั้ง 4 เงยหน้ามองพิราบส่งสาสน์ค่อยๆ บินไปตามแนวขอบฟ้าไปจนร่างของมันหายไปพร้อมเสียงกระพือปีก แล้วจึงหันมาปรึกษากัน
“เอาไงต่อครับคุณลิบอง” อินูอิถาม “เราจะสะกดรอยทัพโจโฉเดินทางมั้ยครับ?”
“ไม่ต้อง...” ลิบองตอบ “ทางทัพใหญ่ของท่านซุนกวนคงใกล้เดินทางมารวมพลกับทัพหน้าที่ค่ายของเราแล้ว ข้าว่าเรากลับกันดีกว่า...”
“ไม่ไปงั้นต่อเหรอ...?” จิวท่ายถามสั้นๆ
“อืม... ตอนนี้ได้ขอมูลแค่นี้คงพอแล้วล่ะ” ลิบองว่าเรียบๆ “อีกอย่าง ถ้าเราไปต่อมากกว่านี้ เดี๋ยวโจโฉจะเริ่มเอะใจว่ามีทหารของเขาหายไปเอา”
สิ้นคำของลิบอง ทั้ง 4 ก็หันไปดู ร่างของกองทหารลาดตระเวนย่อยที่มีกำลังพลอยู่ประมาณ 50 นาย ซึ่งนอนไร้วิญญาณอยู่บนเนินนั่น โดยไม่บอกก็รู้ว่าด้วยฝีมือของพวกเขาทั้ง 4 คน (ฝีมือจิวท่ายเป็นส่วนใหญ่)
“ผมก็ว่างั้น” คิคุมารุเห็นด้วย “เรารีบกลับไปกินข้าวที่ค่ายดีกว่า ผมหิวแล้ว”
“นายกินอาหารส่วนที่เอามาเผื่อวันพรุ่งนี้หมดแล้ว แต่ยังหิวอยู่เหรอ?” อินูอิถาม
“แหะๆๆ... ก็สอดแนมมันใช้พลังงานเยอะนี่นา” คิคุมารุตอบ
“เอาล่ะๆ พวกเรารีบเดินทางกลับค่ายกันเถอะคิคุมารุ อินูอิ จิวท่าย อ้า~ว...!?” ลิบองเอ่ยบอกคิคุมารุ และ อินูอิ แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อหันมาหาจิวท่ายที่หายไป
“มาเร็วสิ…” จิวท่ายที่เดินลงเนินมาขึ้นม้าตั้งแต่ลิบองตอบคำถามตน เอ่ยบอกทั้ง 3 คนที่ยังคงยืนคุยกันบนเนินอยู่
“ซะงั้น...” ทั้ง 3 เหงื่อตก
ท่าเรือค่ายกังตั๋ง
“โห~... ตั้งค่ายดูมั่นคงสมฉายาจอมทัพเรือแห่งกังตั๋งจริงๆ” เล่าปี่ที่มาถึงท่าเรือค่ายกังตั๋ง เอ่ยชมขณะมองดูค่ายที่จิวยี่สร้างขึ้น ระหว่างที่ทหารของตนกำลังเคลื่อนพลลงจากเรือ
ซ่~า...!
“หื~อ?” เสียงเรืออีกกลุ่มใหญ่แล่นมาจากทางเส้นขอบฟ้าเบื้องหลังเรือของตน ทำให้เล่าปี่หันกับไปมองยังทัพใหญ่อีกทัพที่ชักธงประจำตราตระกูลซุนอยู่บนยอดเสา
“อ้~า... นั่นคงเป็นทัพหลักของท่านซุนกวนสินะ”
ซ่~า…!
“โอ้~…! ธงนั่น ท่านเล่าปี่พันธมิตรของคงมาถึงแล้วสินะ” ซุนกวนว่าขณะมองมาทางกลุ่มเรือของเล่าปี่ที่อยู่หน้าค่ายของตน
“เล่าปี่? คนที่เป็นพระเจ้าอาขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งถูกโจโฉตีแตกมานั่นน่ะเหรอ?” ซุนซั่งเซียงเอ่ยถาม
“ครับคนนั่นแหละครับ” ฟูจิที่ยืนอยู่ด้วยกันตอบ
“จะว่าไปข้าเพิ่งนึกได้” ซุนกวนว่าขณะเอามือลูบเคราทำท่าครุนคิด “ตอนข้ากับพี่เซ็กยังเด็ก มีครั้งหนึ่งที่พ่อเล่าวีรกรรมตอนไปปราบพวกโจรโผกผ้าเหลือง เขาบอกไว้ว่าได้เจอกับชายคนหนึ่ง เป็นคนสุภาพ และ อ่อนโยน ดูคล้ายๆ ชนชั้นสูง แต่มีบุคลิกนอบน้อมเหมือนคนธรรมดา มีผู้ติดตามเป็นน้อง 2 คน แม้จะดูเหมือนนักรบสไตล์ไฮโซติดดิน ซึ่งไม่มีอะไรเด่นนัก แต่มีสิ่งหนึ่งในตัวเขาที่ท่านพ่อไม่เคยลืม”
“อะไรเหรอท่านพี่?” ซุนซั่งเซียงถาม
“แววตาของเขาไงล่ะ...” ซุนกวนว่า “ท่านพ่อบอกเอาไว้ว่า จากดวงตาสีน้ำเงินสวยของเขา ท่านเห็นแววตาแห่งความมุ่งมันที่เอ่อล้นออกมา และเมื่อมองลึกเข้าไปอีก ท่านเห็นราวกับประกายแสงทอลงมาจากสวรรค์เป็นรูปมังกรทะยานขึ้นไปบนฟ้า ท่านพ่อพูดออกมาด้วยตัวเองเลยว่า เขาคนนี้ต้องได้ไปใหญ่เป็นโตแน่ๆ”
“เห~...” ซุนซั่งเซียงร้องออกมาด้วยความสนใจ ก่อนมองตรงไปยังกลุ่มเรือของเล่าปี่ “ข้าชักอยากจะเห็นคนที่ชื่อเล่าปี่คนนี้แล้วสิ”
“งั้นเรารีบเอาเรือเข้าเทียบท่ากันดีกว่า” ซุนกวนว่าก่อนหันไปประกาศกับทหารของตน “เตรียมตัวเทียบท่า...! ทุกคนพร้อมลงเรือ…!”
“ฮ้~า...! ถึงซะที” ซุนซั่งเซียงว่าขณะยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ
“อืม... ข้าจะจัดกำลังพลลงจากเรือ ข้าว่าเจ้าไปเดินเล่นรอก่อนไป” ซุนกวนว่า
“ทำไมล่ะ ข้าก็อยากช่วยนี่” ซุนซั่งเซียงว่า
“ข้าถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้เจ้าได้เห็นค่ายที่จิวยี่ตั้งขึ้น ไปเดินดูรอบๆ สิ พอเสร็จแล้วข้าจะเรียกไปประชุมแม่ทัพด้วยกัน” ซุนกวนบอก
“จริงสิ! ขอบคุณท่านพี่” ว่าจบซุนซั่งเซียงก็ปลีกตัวออกไปเดินเล่นอย่างดีใจ
“เอ... ทำไมวันนี้ท่านซุนกวนดูใจดีจังเลยขอรับ” ลกซุนเอ่ยถาม
“เห~อๆ... ขืนให้ยัยนั่นช่วยจัดทัพมีแต่สร้างปัญหาน่ะสิ เห็นอย่างงี้ แต่ยัยนั่นน่ะความอดทนต่ำกว่าซีซิงลูกสาวข้าอีกนะเนี่ย...” ซุนกวนตอบขณะยิ่มแหย่ๆ
“แหะๆ...” ฟูจิ และ ลกซุนหัวเราะตาม
หน้าค่ายกังตั๋ง
‘โห~… สมเป็นท่านจิวยี่ ค่ายนี่สุดยอดไปเลย’ ซุนซั่งเซียงที่เงยหน้ามองค่ายทหารที่จิวยี่สร้างขึ้นมาอย่างมั่นคง ขณะเดินเอามือลูบไปตามกำแพงค่ายจากท่าเรือมาจนเกือบถึงประตูค่าย ‘อะนั่น! ประตูค่ายนี่นา ดีเลย ข้าเข้าไปดูข้างในดีกว่า อะ เอ๋~?”
ทันใดนั้นเองสายตาของซุนซั่งเซียงก็ไปสะดุดเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนมองค่ายทหารของจิวยี่อยู่หน้าประตู ผมสีน้ำตาลยาวประบ่าเสริมให้หน้าหวานของเขาเห็นเด่นชัดขึ้น ดวงตากลมโตราวหญิงสาวกำลังฉายแววตาชื่นชมจากนัยน์ตาสีน้ำเงินสวยเป็นประกายราวยาดน้ำค้าง ครู่หนึ่งที่ลมจากฝั่งน้ำพัดเข้ามา หอบเอาผ้าคลุมสีเขียวลายมังกรกับเส้นผมของเขา พลิ้วไปตามสายลม ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาจนไม่อาจละสายตาได้ และแน่นอนบุรุษผู้นั่นไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก เล่าปี่นั่นเอง [ทำไมเวลาฉากปรากฏตัวแปลกๆ ทีไร ต้องมีลมพัดทุกทีเลย?] (จุ๊ๆๆ... นี่เป็นคอนเซพท์ของการปรากฏตัวของการ์ตูนแนวญี่ปุ่น อีกอย่าง ฉากปรากฏตัวส่วนใหญ่มันอยู่ใกล้ผืนน้ำ ก็ต้องมีลมพัดไปมาสิ) [คนเขียนมั่วนิ่ม...]
“ท่านพี่ทำอะไรอยู่น่ะ...! มัวแต่โอ้เอ้อยู่ได้...!” เสียงดังแปดหลอดของเตียวหุยดังขึ้นจากในค่าย
“อื้ม... ไปเดี๋ยวนี้แหละ... หื~ม?” เล่าปี่เอ่ยตอบเตียวหุยก่อนทำท่าจะเดินเข้าไป แต่แล้วสายตาก็ไป สะดุดเข้ากับซุนซั่งเซียงเข้า
“ท่านพี่…!” เตียวหุยตะโกนเรียกเล่าปี่อีกครั้ง “รีบเข้ามาซะทีเดะ...!”
โป๊~ก!
ทวน และ ง้าวมังกร ของจูล่ง และ กวนอูฟาดลงไปเต็มกลางกบาลของเตียวหุยที่ร้องโหกเหวกโวยวายจนเป็นที่น่ารำคาญ
“ท่านเล่าปี่ได้ยินแล้วน่า!” จูล่งว่า
“ทำเสียงดังเป็นเด็กๆ ไปได้ อายเขาหน่อยสิ” กวนอูสมทบ
“ท่านพี่~...! ท่านรีบมาเหอ~ะ...! ดูถ้าข้าจะโดนบ่นขี้หูเต้นระบำอีกแล้~ว...!” เตียวหุยว่า
“มาแล้วๆ...” เล่าปี่ว่าก่อนก้าวเท้าเช้าไปในค่ายโดยทิ้งให้ซุนซั่งเซียงยืนนิ่งหน้าแดงอยู่คนเดียว
‘อะ อะไรกัน...’ ซุนซั่งเซียงนั่งลงที่มุมกำแพงอย่างอายๆ ก่อนเอามือทั้ง 2 ข้างจับหน้าตัวเองที่กำลังร้อนผ่าวราวอยู่หน้ากองไฟ ‘ระ เรา ปะ เป็น อะไรไปเนี่ย!? คะ แค่... แค่ผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้ทำไม...!? ว่าแต่ คนเมื่อกี้เป็นใครกัน...?’
ซุนซั่งเซียงพยายามส่ายหัวไปมาไล่ความรู้ประหลาดที่พลันบังเกิดขึ้นกันตน หลังได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
‘ฮึ้~ย...! ไอ้หน้าแดงๆ ตัวร้อนๆ กับไอ้ใจเต้นรั่วๆ นี่มันอะไรเนี่ย…!?’ ซุ่นซั่งเซียงขยี้หัวตัวเองอย่างแรงขณะสับสนกับอาการประหลาดที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน
“เป็นเหาเหรอครับ?”
“อื้อ ขึ้นเต็มหัวเลย เฮ้ย! จะบ้าเหรอ!?” ซุนซั่งเซียงโวยวายก่อนหันกลับมาหาฟูจิที่เดินมาทักจากด้านหลัง “อ้า~ว ฟูจิเองเหรอ จัดทัพเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณจิวยี่ส่งคนมาจัดการให้แล้ว คุณซุนกวนเลยบอกให้มาตามคุณ
“อ้า~ว? ซั่งเซียง ฟูจิ มากันเร็วจัง เอาล่ะเข้าไปในค่ายกันเถอะ” พูดไม่ทันขาดคำซุนกวน และ ลกซุน ก็เดินเข้ามาทักทั้ง 2 ก่อนพาเข้าไปในค่าย
“ครับผม” ฟูจิว่าก่อนเดินตามไปอย่างว่าง่าย
“...” ตามด้วยซุนซั่งเซียงที่ยังคงสับสนอยู่กับความรู้สึกนั่น แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
ภายในค่าย
“โอ้~! ท่านซุนกวนมาพอดีเลย” จิวยี่ที่ยืนอยู่หน้าผู้มาเยือนกลุ่มแรกเอ่ยทักทายซุนกวนที่นำซุนซั่งเซียง และ ฟูจิเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเต็นท์บัญชาการ “ขอบคุณหัวหน้าทัพฟูจิ ที่ช่วยไปส่งสาสน์ให้ ทางหัวหน้าทัพคิคุมารุ และ หัวหน้าทัพอินูอิที่ส่งไปสืบข่าวก็เพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เอง เจ้ากลับไปประจำที่เถิด”
“ครับผมท่านแม่ทัพ” ฟูจิยกมือคำนับรับคำขอบตุณของจิวยี่ก่อนเดินกลับไปอยู่ในกลุ่มของเซงาคุที่ยืนเรียงแถวอยู่ใกล้ๆ เล่าปี่ 3 ขุนพล กวนเป๋ง ขงเบ้ง และ เด็กรับใช้อีก 5 คน [5 ตัวแถม : พวกเราเป็นได้แค่นี้เองอะ?] (เออน่า... เดี๋ยวมีบทให้ ใจเย็นๆ)
“หา~?” ซุนซั่งเซียงอุทานด้วยความตกใจก่อนกระซิบถามซุนกวน “ก็พอจะรู้อยู่นะว่าฟูจิไม่ใช่ทหารธรรมดา แต่ถึงขนาดเป็นหัวหน้าทัพเลยเหรอ?”
“หึๆ บอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยนะ เด็กหนุ่มที่ยืนเรียงอยู่ตรงนั่นน่ะ เป็นทหารตำแหน่งหัวหน้าทัพกันเกือบหมด” ซุนกวนกระซิบบอกน้องสาว
“จริงเหรอ?” ซุนซั่งเซียงร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“ท่านคงเป็นซุนกวนสินะ ยินดีที่ได้พบ ข้าเล่าปี่ เป็นเกียรติที่ได้พบ” เล่าปี่ที่ยืนอยู่กับน้องๆ และ ลูกน้องหน้าจิวยี่ อยู่ก่อนแล้ว หันมาคำนับขณะเอ่ยทักทายซุนกวน
“ห~า!? คนนี้เหรอเล่าปี่!?” ซุนซั่งเซียงถึงกับช็อคร้องเสียงดังเมื่อชายที่ทำให้เธอมีอาการประหลาด นั่นคือ นายเหนือหัวแห่งทัพพันธมิตรของเธอ พระเจ้าอาเล่าปี่ ขณะยกมือชี้หน้าเล่าปี่อย่างลืมตัว
“อะ เอ๋~?” เล่าปี่เงยหน้าขึ้นมองซุนซั่งเซียงงงๆ
“ไหงว่างั้นล่ะ ซั่งเซียง?” ซุนกวนมองน้องตัวเองด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน
“อะ เออ... กะ ก็…” ซุนซั่งเซียงที่เผลอตัวทำกิริยาแปลกๆ ออกไป ได้สติกลับมาขณะพยายามหาข้องอ้างแก้ต่างให้ตัวเอง “ก็เขาหน้าอ่อนอย่างกับผู้หญิง ดูสิขนาดพี่ยังหนุ่มๆ อยู่ หน้ายังเข้มกว่าเขาเลย!”
“...” ทุกคนรอบถึงกับสะอึกให้กับคำพูดของซุนซั่งเซียง ก่อนตามมาด้วยเสียงกลั้นหัวเราะที่ดังขึ้นมาจากทั่วบริเวณ
“เฮ้! ซั่งเซียง” ซุนกวนเอ่ยถามน้องสาวโดยลืมสนใจคนรอบข้าง “นี่เจ้าตั้งใจจะบอกว่าท่านเล่าปี่หน้าอ่อน หรือ ด่าว่าพี่หน้าแก่กันแน่?”
“อู~ย…” ซุนซั่งเซียงชะงักไปครูหนึ่งก่อนเอามือเกาหัวแก้อาย
“คึกๆ...” เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์เริ่มกลั้นหัวเราะกันไม่อยู่
“อีกอย่าง ท่านเล่าปี่น่ะรุ่นพ่อเราเลยน่ะเว้ยเฮ้ย! นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าหน้าพี่หน้าแก่กว่าหน้าพ่องั้นเหรอ!?” ซุนกวนเอ่ยถามประโยคสุดท้าย เล่นเอารอบๆ กลั้นความขำต่อไปไม่ไหว หัวเราะออกมาทันที
“กะ ก็จริงมั้ยล่ะ!? ไม่เชื่อพี่ก็ลองถามใครดูก็ได้ หน้าท่านเล่าปี่หยั่งกะวัยรุ่น ส่วนหน้าพี่น่ะรุ่นลุงเรียกพี่ด้วยซ้ำ!” ซุนซั่งเซียงตอบกลับ
“อะแฮ่ม...!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนในค่าย จิวยี่แสร้งไอเรียกความสนใจของ 2 พี่น้องตระกูลซุนให้กลับมาที่ตน “เออ... ท่านซุนกวน”
“นี่ท่านจิวยี่ หน้าข้าแก่ขนาดนั่นจริงเหรอ?” ซุนกวนยังไม่เลิก
“ขอรับ เอ๊ย! ไม่ใช่! นะ นี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนั่นนะขอรับ” จิวยี่เอ่ยบอกซุนกวนด้วยมาสุขุมสมเป็นผู้นำ (หลังวืดตอนแรกเล็กน้อย)
“อะ เออ... ทะ โทษที” ซุนกวนว่าก่อนกลับมาเข้าเรื่องดังเดิม
“ขอแนะนำอีกทีนะขอรับ นี่ท่านเล่าปี่ขอรับ” จิวยี่ผายมือไปหาเล่าปี่กำลังเหงื่อตกยิ้มแหย่ๆ ให้พวกเขาอยู่
“ยินดีได้ที่ได้พบอีกครั้งนะ แหะๆ...” เล่าปี่เอ่ย พลางหัวเราะแห้งๆ
“ยินดีได้พบเช่นกันท่านเล่าปี่ ขอโทษด้วยที่พวกข้าเสียมารยาท” ซุนกวนทักกลับ
“ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ถือ ว่าแต่ หญิงสาวท่านนี้คือใครงั้นหรือ?” เล่าปี่เอ่ยถามขณะหันไปมองซุนซั่งเซียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซุนกวน
“อ๋~อ! ขอแนะนำนะ นี่ซั่งเซียง น้องสาวข้าเอง” ซุนกวนผายมือไปหาซุนซั่งเซียง
“ยินดี่ที่ได้พบ ท่านหญิงซุนซั่งเซียง” เล่าปี่ว่าก่อนก้มหัวคำนับ
“ยะ ยะ ยินดีที่ได้พบเช่นกันท่านเล่าปี่” ซุนซั่งเซียงที่ก้มหัวลงคำนับตอบอย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดที่กลับมาหลอนตนอีกครั้ง เมื่อเล่าปี่เอ่ยทักตน
‘อืม... นอบน้อม สุภาพ และ อ่อนโยน สมที่ได้ล้ำลือมาจริงๆ’ ซุนกวนคิดในใขณะมองดูเล่าปี่ที่ก้มหัวคำนับทุกคนอย่างไม่ถือตน
“ขออภัยที่ขัดการสนทนานะคะ” ขงเบ้งเอ่ยขึ้นขณะนายเหนือหัวทั้ง 2 กำลังคุยกันอย่างออกรส “แต่คงต้องเชิญท่านทั้ง 2 เข้ามาในเต็นท์แล้วค่ะ ทุกคนรออยู่”
“เข้าใจแล้ว/ตกลง” ว่าจบทั้งคู่ก็นำทีมของพวกเข้าเดินเข้าไปในเต็นท์บัญชาการ
ในเต็นท์บัญชาการ
“ทาเคชิ คาโอรุ ตั้งกระดาน (อีกครั้ง)” ขงเบ้งเอ่ยสั่งอีกครั้ง
“แล้วจะให้เราเก็บทำไมเนี่ย?” โมโมะบ่นเบาๆ
“ทำไปเหอะน่า ชู่ว์...” ไคโดตอกกลับ
“ขอบคุณอีกครั้งหัวหน้าทัพทั้ง 2 อีกครั้ง เอาล่ะ ท่านซุนกวน และ ท่านเล่าปี่มาถึงแล้ว เรามาเริ่มเปิดประชุมใหญ่กันเลย” จิวยี่กล่าวเปิดการประชุม “ทางเราได้รับรายงานมาว่า โจโฉเคลื่อนทัพออกมาจากเกงจิ๋วแล้ว”
“ท่านรู้ได้ไงท่านจิวยี่?” ซุนซั่งเซียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อาจารย์ขงเบ้งรบกวนด้วย” จิวยี่หันไปเอ่ยบอกขงเบ้งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
“จิงเหวย...” ขงเบ้งพยักหน้ารับคำจิวยี่ก่อนเรียกนกพิราบที่เกาะอยู่ตรงราวประจำตัวตนให้บินมาเกาะแขนเธอ ”ทางท่านลิบอง ท่านจิวท่าย ซาดาฮารุ และ เอจิ ที่ได้รับมอบหมายให้ไปสอดแนมทัพโจโฉส่งข่าวมาบอก นี้คือสาสน์ของพวกเขา”
“หื~ม?” ซุนกวนดึงกระดาษสาสน์ที่อยู่ตรงขานกพิราบซึ่งขงเบ้งยื่นมาให้ตนเปิดออกอ่าน ก่อนพยักหน้าอย่าพอใจ “เจ้าเป็นคนเอาสาสน์มาส่งสินะ ดีมากไอ้หนู”
“จิงเหว๋ยเป็นตัวเมียค่ะ” ขงเบ้งว่าขณะซุนกวนกำลังลูบหัวเจ้านกพิราบตัวน้อยที่เอาหัวไซ้มือเขาตอบอย่างแสนรู้
“เหรอ? งั้นก็... เก่งมากคนสวย” ซุนกวนเอ่ยแก้คำชม
“ก~รู๋...” นกพิราบร้องตอบเหมือนเข้าใจ ก่อนขงเบ้งจะยื่นแขนของตนออกไปข้างตัว แล้วปล่อยให้มันบินกลับไปเกาะที่ราวของมันดังเดิม
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันต่อ” จิวยี่กลับเข้าเรื่อง “คงมีเวลาเหลือให้พวกเราเตรียมการพร้อมรบอีกไม่นานนัก เพราะงั้นช่วงเราต้องฝึกทหารของทั้ง 2 ทัพทำงานสอดประสานกันได้อย่างลงตัว”
“ท่านจิวยี่ ทางข้าขอเสนอให้จูล่งเข้าร่วมช่วยฝึกทหารเท้าของเรา” เล่าปี่ว่าขณะผายมือมาที่จูล่งที่ยืนอยู่ด้านหลังตน
“ดีเลย จบจากประชุมนี้ลงไปลานฝึกกันได้เลย ข้ากับท่านอุยกายข้าต้องขอรบกวนด้วยท่านขุนศึกจูล่ง” จิวยี่กล่าว
“ยินดีค่ะ” จูล่งยกมือคำนับรับคำจิวยี่ ก่อนหันไปหาอุยกายแล้วก้มลงคำนับอีกที “รบกวนด้วยนะคะท่านอุยกาย”
“ข้าก็เช่นกันสาวน้อย” อุยกายรับคำนับยิ้มๆ เมื่อเห็นขุนพลสาวรุ่นลูกก้มหัวคำนับตนอย่างสุภาพ
“นอกจากต้องฝึกทหารให้ทำงานร่วมกันได้แล้ว เรายังต้องฝึกทหารของเราให้สามารถทำศึกทางน้ำได้ด้วย การฝึกทหารบนเรือ เป็นหน้าที่ของเจ้ากำเหลง” จิวยี่ว่าก่อนเอ่ยชื่อกำเหลง “อืม... ไหนๆ ก็เป็นทัพประจัญบานเหมือนกันแล้ว เล่งทอง เจ้าก็ไปช่วยด้วย รวมทั้งหัวหน้าทัพโมโมชิโระ และ หัวหน้าทัพไคโดด้วย”
“ครับ” ทั้ง 4 ขานรับ ก่อนคู่เล่งทอง ไคโดกับคู่กำเหลง โมโมะ จะหันมาสบตากันพร้อมระเบิดพลังสายฟ้าใส่กัน
“ในศึกครั้งนี้ขอให้ทิ้งเรื่องบาดหมางของเจ้าทั้ง 2 ไว้ข้างก่อน แล้วหันสนใจในหน้าที่การงานให้ดี” จิวยี่เอ่ยเรียกความสนใจของทั้ง 4 “โดยเฉพาะเจ้า เล่งทอง...”
“พวกนายก็ด้วย ไคโด โมโมชิโระ ห้ามประมาทเป็นอันขาด” เทะสึกะสมทบ
“ขอรับท่านแม่ทัพ /ครับกัปตัน” ทั้ง 4 ตอบรับผู้นำของตน
“อีกย่าง... เราต้องมีการฝึกการยิงธนูให้ทหารทุกคนเป็นพิเศษด้วย เพราะการรบบนเรือ ธนูจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด” จิวยี่ยังคงว่าต่อไป
“หน้าที่นี้คงต้องมอบให้ ซาดาฮารุ เอจิ และ ชูสึเกะ ข้าขอรับประกันว่าท่านต้องไม่ผิดหวัง” ขงเบ้งกล่าว “จะว่าไป... เรายังคงต้องจับตาดูโจโฉต่อ... ทางที่ดีเราควรสร้างค่ายสำหรับดูลาดราวข้าศึก และ ค่ายป้องกันเล็กๆ สัก 3-4 จุด ให้หนึ่งในนั่นเป็นที่ฝึกธนูของเรา ส่วนจุดอื่นก็ไว้สอดส่องสังเกตการณ์ข้าศึก และ เป็นที่วางกำลังพลไปในตัว ท่านจิวยี่ว่าอย่างไร?”
“ข้าเห็นด้วย... งานนี้ขอมอบหมายให้ลิบอง จิวท่าย และ ลกซุนจัดการแล้วกัน” จิวยี่ตอบ “และ ก็ขอรบกวนหัวหน้าทัพคิคุมารุ ฟูจิ และ อินูอิด้วย”
“งั้นทาคาชิเธอก็ไปด้วย แรงมหาศาลของเธอจำในการนี้” ขงเบ้งกล่าว “ส่วนเรื่องการสงเสบียง และ ยุทโธปกรณ์ต่าง ขอมอบหมายให้เธอ ชูอิจิโร่”
“ขอรับ!/ครับ!” ทั้ง 8 คนยกมือขึ้นคำนับ และ ขานรับพร้อมกัน
“นอกจากที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ ก็ขอให้ฝึกทหารกองของตนต่อไป คราวนี้เราจะรวม 2 ทัพเข้าด้วยกัน” จิวยี่เอ่ยคำสั่งสุดท้าย “ทุกคนรับทราบ?”
“ทราบขอรับ/ครับ” ทุกคนตอบรับ
นอกเต็นท์บัญชาการ ค่ายกังตั๋ง
“รุ่นพี่รุ่นพี่ทากะ ฟูจิ รุ่นพี่คิคุมารุ กับ รุ่นพี่อินูอิไปดูแลการสร้างค่ายกับพวกคุณลิบอง รุ่นพี่โออิชิก็ต้องเดินทางไปค่อยดูแลกองสนับสนุน ฉันกับเจ้าอสรพิษต้องไปฝึกทหารบนเรือกับพวกคุณกำเหลง กัปตันต้องคอยติดตามขงเบ้งที่ประชุมทัพอยู่กับพวกคุณจิวยี่ เหลือแต่นายฝึกทหารอยู่ในค่ายคนเดียว” โมโมะพูดกับเจ้าเปี๊ยกแห่งเซงาคุที่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับมอบหมายอะไรเป็นพิเศษ “จะไหวเหรอ เอจิเซน...”
“แค่นี้ยังอ่อนหัดอยู่นะฮะ” เอจิเซนตอบ “รุ่นพี่ไปเหอะ ไม่ต้องห่วง...”
“โมโมะ ไปกันได้แล้ว...!” กำเหลงที่ยืนรออยู่กับเล่งทอง และ ไคโด ตะโกนเรียก
“โอเค งั้นฉันไปนะ” โมโมะว่าก่อนออกตัววิ่งไปหาพวกไคโด “มาแล้วคร๊า~บ!”
“พี่ชายนายเหรอ?”
“เปล่า... แค่รุ่นพี่ที่สนิทกัน หื~อ?” เอจิเซนเอ่ยตอบคำถามอย่างลืมตัว ก่อนรู้สึกตัวแล้วหันไปหาเจ้าของเสียงหวานๆ ที่เอ่ยถามตนจากทางด้านหลัง
“ไง” บุคคลปริศนาในชุดทหารทัพซุนกวนที่ตัวขนาดพอๆ กับเอจิเซนเอ่ยทัก
“นาย...” เอจิเซนหยุดลงครู่หนึ่ง “เป็นใคร?”
“ปัดโถ่...” คนปริศนาเสียเซลฟ์เล็กน้อยก่อนถอดหมวกเกราะของตนออกเผยให้เห็นใบหน้าแสนสวยที่หากใครได้เห็นครั้งหนึ่งไม่มีทางลืมได้ลง “ฉันเอง...”
“ลูกสาวคุณซุนกวนเองเหรอ...” เอจิเซนเอ่ยเรียบๆ
“ฉันชื่อซีซิง เรียกให้ถูกด้วย...” ซีซิงว่าอย่างไม่พอใจ ก่อนเอ่ยถามเอจิเซน “ดูนายไม่ค่อยแปลกใจที่เห็นฉันเลยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ฉันต้องสนนี่” เอจิเซนเอ่ยกวนๆ “ตกลงเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
“ก็ตามสัญญาไง” ซีซิงว่า “ที่บอกว่านายจะให้ฉันร่วมรบในศึกด้วยไง”
“งั้นเหรอ?” เอจิเซนว่าสั้นขณะคิดในใจ ‘พูดเองเออเองไม่ใช่เหรอนั่น”
“ห้ามปฏิเสธเด็จขาด” ซีซิงว่า “ไม่ว่ายังไงฉันก็จะอยู่รบในศึกนี้ให้ได้”
“ก็แล้วแต่เธอ” เอจิเซนเออออด้วยอย่างง่ายดาย “มา...”
“เอ๋~? ไปไหน?” ซีซิงถามงงๆ
“ก็ไปซ้อมรบยังไงล่ะ” เอจิเซนตอบขณะเดินไปที่กองทหารใต้บัญชาตน “หรือว่าไม่อยากรบด้วยแล้ว?”
“เฮ้! รอด้วย!” ซีซิงไม่รอช้าวิ่งตามไปทันที
ลานฝึกทหาร ค่ายกังตั๋ง
“หาแถวเข้าเอาเองนะ...” เอจิเซนเอ่ยบอกซีซิงที่มาด้วยกัน
“อื้ม ขอบใจนะ” ว่าจบซีซิงก็วิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับทหารที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาทั้ง 2 คนนัก ปล่อยให้เอจิเซน ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ อยุ่คนเดียว ก่อนเดินไปที่หน้าแถว
“ไงฮะ...” เอจิเซนเดินมาหาทหารทัพของตนขณะเอ่ยทักทายง่ายๆ
“คำนับท่านหัวหน้าทัพเอจิเซน…!!” ทหารจากทัพเล่าปี่เอ่ยทำความเคารพ
“หะ! ห~า!?” ทัพซุนกวนอุทานอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “หัวหน้าทัพเหรอ!?”
“หื~อ?” เอจิเซนตีคิ้วงง
“เออ... ท่านหัวหน้าทัพขอรับ ทางนี้เป็นทัพของกังตั๋งที่มาร่วมฝึกกับเรา พวกเขายังไม่ทันได้รู้จักท่านขอรับ” หนึ่งในทหารของเอจิเซนว่า
“อ๋~อ...” เอจิเซนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยแนะนำตัว “ผมเอจิเซน เรียวมะ หัวหน้าทัพหลักของคุณเล่าปี่ จากนี้ไปจะเป็นคนคุมทหารทัพนี้ ฝากตัวด้วยฮะ”
“ละ... ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย!?” หนึ่งในทหารฝ่ายซุนกวนเอ่ยขึ้น “ทางทัพเล่าปี่ ให้เด็กอย่างงี้มาคุมกองทัพเนี่ยนะ!? ท่าจะบ้า!”
“เฮ้ยเจ้า! ว่าไงนะ!?” ทหารฝั่งเราปี่ว่า
“ก็จริงไหมล่ะ คนสติดีๆ ที่ไหนจะให้เด็กอมมืออย่างงี้มาคุมกองทหารไปรบ!” นายทหารปากเสียคนนั่นยังคงว่าต่อไป “แล้วจะให้พวกเรา ฟังคำสั่งจากเด็กเนี่ยนะ!? พวกเจ้าคิดอะไรอยู่!?”
“ใช่ๆๆ...!” ทหารฝ่ายกังตั๋งส่วนหนึ่งเห็นด้วย
‘ปัญหาเกิดแล้วไง นายจะทำไงเอจิเซน’ ซีซิงที่อยู่ในแถวทหารฝ่ายกังตั๋งคิดในใจ ขณะมองดูสถานการณ์อย่างกังวล
“แล้วใครจะคุมทัพล่ะ...? นายงั้นเหรอ...?” เอจิเซนเอ่ยถามเรียบๆ
“เข้าท่า... ก็ยังดีกว่าให้เด็กอย่างเจ้าคุม” นายทหารคนเดิมว่า
“นายเอาชนะฉันได้งั้นเหรอ?” เอจิเซนเอ่ยท้าทาย
“เหอะ! เด็กอย่างเจ้าน่ะเหรอ!? ง่ายซะยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก” นายทหารปากเสียเอ่ยสบประมาทเอจิเซน
“มาลองกันหน่อยมั้ย…?” เอจิเซนเสนอ
“เอาเลยพวก เอาเลย…!!” ทหารฝ่ายกังตั๋งสนับสนุน
“ก็ได้ เจ้าวอนเองนะเจ้าหนู” นายทหารคนนั้นก้าวออกมาข้างหน้า พลางชักดาบของตนออกมาก “บอกไว้ก่อนนะ ข้าเป็นคนทหารที่เก่งที่สุดในกองนี้นะเฟ้ย!”
“ใช่ๆ…!! เด็กอย่างเจ้าสู้ไม่ได้หรอก…!!” ทหารฝ่ายกังตั๋งว่าตามๆ กัน
“...” เอจิเซนไม่พูดอะไร ทำแค่ชักดาบออกมาถือไว้หลวมๆ ก่อนเอ่ยคำสั้นๆ แล้วเงียบลงราวกับเข้าโหมดจิวท่าย “ตั้งรับ...”
“เอาเลยพวก...!! สั่งสอนเจ้าเด็กนั่นเลย…!!” ทหารฝ่ายกังตั๋งร้องเชียร์
“อย่าว่าข้ารังแกเด็กแล้วกัน! ย่าห์...!” นายทหารคนเดิมว่า ยกดาบขึ้นตั้งการ์ด ก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาเอจิเซน เงื้อดาบขึ้นสุดแขน แล้วฟาดลงมาหวังปิดฉากเอจิเซนในดาบเดียว แต่แล้ว
เคล้~ง…!
“...” ทัพกังตั๋งเบิกตากว้างมองตาค้าง ขณะทัพเล่าปี่ยิ้มเย้ยอย่างพอใจ เมื่อทหารผู้อ้างว่าตนเป็นที่เก่งที่สุด ถูกหัวหน้าทัพวัยเยาว์ ตวัดดาบในมือปัดดาบของตน กระเด็นไปปักลงพื้นได้อย่างง่ายดายซะยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก
‘เนี่ยนะเก่งที่สุด กระจอกซะไม่มี เพลงดาบของเรายังเหนือกว่าเลย’ ซีซิงแอบด่าทหารเมืองตนในใจ ‘ทำเสียชื่อทหารกังตั๋งหมด’
“แค่นี้ยังอ่อนหัดนะ...” คำพูดประจำตัวถูกว่าออกมาจากปากของเอจิเซนที่กำลังชี้ดาบไปที่คอหอยของทหารปากเสียคนนั้น “นี้เก่งที่สุดแล้วเหรอ? น่าสมเพชจริงๆ...”
“เออ... หัวหน้าทัพขอรับ” ซีซิงดัดเสียงเอ่ยแก้สถานการณ์ “ต้องขออภัยด้วยขอรับที่พวกเราสงสัยในตัวท่าน ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อกังขาแล้วขอรับ ใช่มั้ยพวกเรา?”
“ชะ ใช่ๆ...” ทหารกังตั๋งต่างเออออเป็นเสียงเดียวกันหลังได้เห็นฝีมือขอเอจิเซน
“งั้นเริ่มฝึกดีกว่า...” เอจิเซนไม่ถือสาอะไร “นาย... เก็บอาวุธแล้วไปเข้าแถว...”
“ขะ ขอรับ!” นายทหารปากเสียก้มหัวคำนับเอจิเซนอย่างเกรงกลัวก่อนรับปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“ดูจากฝีมือ คนที่เก่งที่สุดในทัพ แล้ว” เอจิเซนเอ่ยเน้นคำ ทำเอาเหล่าทหารเล่าปี่แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “สงสัยคงต้องเริ่มฝึกตั้งแต่พื้นฐานซะแล้ว... พร้อมรึยัง?”
“พร้อมขอรับ...!!!” ทหารทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ในเต็นท์บัญชาการณ์
“ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วสินะ...” ขงเบ้งที่ยืนอยู่กับเทะสึกะว่า ขณะทั้ง 2 คอยมองดูเอจิเซนอยู่ห่างๆ
“อืม...” เทะสึกะตอบรับ ก่อนทั้งคู่จะหันไปมองเล่าปี่ ซุนกวน และ ซุนซั่งเซียง ที่กำลังปรึกษากันกับจิวยี่อยู่
“ข้านำพลทหารหญิงขอข้ามาด้วย ท่านอย่าลืมใส่พวกเขาลงไปในกำลังพลของพวกเราล่ะ” ซุนซั่งเซียงว่า “ถึงแม้พวกนางจะเป็นหญิง แต่พวกนาง
“ขอรับนายหญิง เดี๋ยวข้าจะจัดการให้” จิวยี่ว่า”อืม... ข้าว่า กำลังทัพสนับสนุนน้อยเกินไปหน่อย เราคงต้องตัดกำลังทัพอื่นมาเสริแล้วล่ะ”
“ข้าว่าเอาทัพส่วนคุ้มกันพวกข้าเอาไปเสริมดีกว่า ลำพังทหารทัพเราก็น้อยกว่าทางโจโฉอยู่แล้วจะเอาพลมาเสียให้สิ้นเปลืองทำไม” ซุนกวนเอ่ยขึ้นบ้าง “ข้าว่าพวกข้าดูแลตัวเองได้น่า ว่างั้นมั้ยท่านเล่าปี่?”
“ข้าเห็นด้วย ดากกำลังทัพที่ต้องคอยดูแลข้ากับท่านซุนกวน นอกากเอาไปเสริมทัพสนับสนุนได้แล้ว ยังพอเหลือเอาไปเสริมแนวป้องกันของเราได้อีก” เล่าปี่สนับสนุน
“ถ้าท่านทั้ง 2 ว่าอย่างนั้น ข้าก็ไม่ขัดข้อง... เอาล่ะ ทัพเราลงตัวแล้ว” จิวยี่ว่า “ตอนนี้เราทำได้ก็มีแค่รอดูความคืบหน้าของการฝึกทหาร และ คอยสังเกตการณ์ท่าทีของโฉเท่านั่น… อาจารย์ขงเบ้งมีอะไรจะเสนอแนะไหม?”
“ท่านทำการทุกอย่างได้เยี่ยมยอดแล้วท่านจิวยี่” ขงเบ้งตอบ “อย่างที่ท่านว่ามา ตอนนี้เราก็ได้แต่รอคอยพลของเราให้พร้อม และ รอดูท่าทีการบุกมาของโจโฉเท่านั้น… ไหนก็ต้องรอแล้ว ข้าไปนั่นดีดพิณรอที่เรือข้าดีกว่า คุนิมิทสึไปกันเถอะ”
“หะ ห~า…” ซุนกวน ซุนซั่งเซียง และ จิวยี่เกือบหงายหลังเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของขงเบ้งที่ดูเหมือนะสบายเหลือเกิน
“ท่านขงบ้งเป็นอย่างงี้เสมอแหละ ท่านมักจะเตือนข้าเสมอว่าเวลามีปัญหา ให้ปล่อยวาง อย่าจมอยู่กับความเครียด ค่อยๆ คิดหาทางแก้ แล้วทางออกของปัญหาจะปรากฏตรงหน้าพวกเราเอง” เล่าปี่ว่า
“งั้นเหรอ...? ช่างเป็นคนที่หน้าทึ่งจริงๆ” ซุนกวนว่า
‘ใช่... หน้าทึ่ง... หน้าทึ่งจนเกินไป...’ จิวยี่คิดในใจ
หน้าเต็นท์บัญชาการ ค่ายโจโฉ
“ฝากด้วยนะ ตุ้น หยิน” โจโฉกล่าวกับแฮหัวตุ้น และ โจหยินที่นั่งอยู่บนม้าของแต่ละคนด้านหน้าตน
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงทางเมืองหลวงนะคะ เราจะคุ้มกันให้เอง” นักรบสาวผมดำญาติสนิทของโจโฉว่า
“วางใจเถิดขอรับท่านโจโฉ” โจหยิน นักรบในชุดเกราะขนาดใหญ่ว่าตาม
“อืม... ไปได้แล้ว” ว่าจบ แฮหัวตุ้น และ โจหยินก็ออกเดินทางโดยมีโจโฉยืนส่งอยู่หน้าเต็นท์ประชุมแม่ทัพ
“ท่านโจโฉขอรับ ทุกคนรออยู่ครับ” ซูเฉาเดินออกมารายงานโจโฉ ก่อนผามมือเชิญผู้เป็นนายเข้าไปเต็นท์
“อืม...” โจโฉไม่รอช้าเดินเข้าเต็นท์ตามคำขอของซูเฉา
“ท่านโจโฉ” ขุนพล และ ที่ปรึกษาทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพโจโฉที่เดินเข้ามาประจำที่หัวโต๊ะแม่ทัพใหญ่
“ตามสบายทุกคน... ขอโทษที่ทำให้คอย... เรามาเริ่มกันดีกว่า” โจโฉกล่าวเปิดการประชุม “อีกไม่นานทัพของเราก็จะเข้าสู่พรมแดนของศัตรูแล้ว ในไม่ช้าศึกครั้งนี้ก็จะเปิดฉากขึ้น ทุกคนคิดยังไงกับทัพข้าศึก”
“ข้าว่าพวกมันกำลังกลัวพวกเราอยู่แน่ๆ ด้วยกำลังพลที่เรามีมากกว่าถึงหลายเท่าตัว ทำให้พวกมันไม่กล้าบุกมาสุ่มสี่สุ่มห้า ทางที่ดีเรารีบยกพลของเราไปถล่มมันให้จบๆ ไปเลยดีกว่า” แฮหัวเอี่ยนว่า
“ข้าก็ว่าอย่างนั่น” ซิหลง “ดการพวกมันให้สมศักดิ์ศรีท่านโฉไปเลย”
“เดี๋ย~วก่อน! ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจกำลังวางแผนอะไรอยู่ก็ได้ อย่าลืมนะว่าทางนั้นมีขงเบ้งอยู่ด้วย เราโดนแผนการของมันเล่นงานไปหลายทีแล้ว ทุกคนคงจำกันได้ดี ข้าว่าพวกเราอย่าประมาทดีกว่า” หนึ่งในที่ปรึกษาค้าน
“อืม... ท่านพูดถูก...” เตียวเลี้ยวว่า
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะ?” เคาทูถาม
“ข้ามีแผนการมานำเสนอ” ที่ปรึกษาคนเดิมตอบ
“แผนงั้นหรือ...? ไหนท่านลองว่ามาซิ...?” โจโฉที่ยืนหน้าตายด้านอยู่เหมือนเคยเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเดียวกับสมุนคู่ใจข้างกาย (ซูเฉา)
“ขอรับ จริงอยู่ว่า หากเรายกทัพทั้งหมดเข้าบุกถล่มกังตั๋ง ทางเราก็จะได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดายด้วยความได้เปรียบของเรา แต่ลองคิดดูดีๆ สิ ฝ่ายศัตรูจะไม่นึกถึงจุดนี้งั้นเหรอ? ไม่... ข้าไม่คิดอย่างนั้น... ไม่แน่ว่าตอนนี้มันอาจเตรียมการไว้รับมือกับการบุกมาของพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้” ที่ปรึกษาของโจโฉสารทยาย
“สรุปว่าทางนั่นอาจเตรียมการรับมือเราไว้แล้วไม่สมควรเสี่ยง เข้าใจแล้ว เอาล่ะเข้าเรื่องซะที” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยตัดบท
“ขออภัยขอรับ” ที่ปรึกษากล่าวก่อนหันกลับมาว่าต่อ “งั้นสรุปง่ายๆ เลยนะขอรับ ด้วยกำลังที่เหนือกว่าของเรา ข้าว่าเราแบ่งทัพออกโจมตีจะเป็นผลดีที่สุด ทุกคนว่ายังไง”
“...” ทั้งห้องเงียบกริบ พร้อมใบหน้าเหลอหลาที่สื่อได้ชัดว่า ‘ไม่เข้าใจ’
“เออ... ข้าผิดไปแล้ว ช่วยอธิบายหน่อยละกัน” แฮหัวเอี่ยนว่า
“ยินดีขอรับ” ที่ปรึกษาแอบยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวขยายความ “อันเนื่องมาจากขงเบ้งที่พวกเรารู้กันดีว่าต้องวางแผนอะไรไว้ทำลายพวกเราแน่นอน แต่ด้วยกำลังที่มากกว่าของเราทำให้เราได้เปรียบเป็นอย่างมาก และ สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ง่าย โดยเราควรจะแบ่งทัพใหญ่ของเราออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้วให้แต่ละกลุ่มเข้าโจมตีเป็นจุดๆ ทั้งทางบก และ ทางน้ำ ซึ่งทางกังตั๋งก็จำเป็นต้องแยกกลุ่มย่อยออกมาป้องกันพวกเราเหมือนกัน ซึ่งพวกเราก็รู้กันดี จำนวนทหารที่มากกว่านั่นเป็นเครื่องยืนยันในชัยชนะของเราในครั้งนี้ เพราะไม่มีทางที่จะสามารถวางแผนป้องกันข้าศึกทั้งหมดได้ เท่านี้กังตั๋งก็จะตกเป็นของท่านอย่างง่ายดาย ไม่ทราบว่าทุกท่านมีว่าอย่างไรบ้างขอรับ?”
“...” ทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้ง พร้อมกับเสียงบ่นประสานเสียงกันในความคิด ‘พอให้สรุปมันก็เอามาซะสั้นจนไม่เข้าใจ พอให้อธิบายมาก็ร่ายมาซะเกือบหลับซะงั้น’
“ตกลงเอาตามที่นี่” โจโฉยื่นมือชี้ออกมาข้าหน้า แล้วออกคำสั่ง “รับคำสั่ง!”
“ขอรับ…!!” เหล่าขุนพลทุกยกมือขึ้นคำนับรอฟังคำสั่ง
“แฮหัวเอี่ยน เจ้าจงนำทัพหน้าแยกเป็นทัพย่อยตามแผน บุกไปทางบก” โจโฉออกคำสั่ง“ส่วนทางน้ำ ให้ชัวมอ เตียวอุ๋น นำทัพเรือเข้าตีผาแดง”
“ขอรับ…!” แฮหัวเอี่ยน ชัวมอ และ เตียวอุ๋น รับคำสั่ง
“ข้าจะนำทัพหลักตามไปทีหลัง ทุกคนรับทราบ!?” โจโฉทดสอบความพร้อมเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา
“ทราบขอรับ...!!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกันเสียงดังฟังชัด
“ว่าแต่ท่านโจโฉขอรับ” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยถาม “ท่านจะนำทำหลักมาทางไหนหรือขอรับ ทางบก หรือ ทางน้ำ?”
“เจ้ากังวลอะไรงั้นเหรอ?” โจโฉเอ่ยถาม
“อ้~อ! เปล่าขอรับ ข้าแค่อยากทราบเฉยๆ” แฮหัวเอี่ยนตอบ
“นั่นสินะ เจ้าว่าข้าควรจะนำทัพหลักไปทางไหนดี...” โจโฉเริ่มเอ่ยด้วยวาจาเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของตน ที่ถึงแม้น้ำเสียงจะชวนให้ขนลุกซักเพียงใด ก็ไม่สู้ใบหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยไร้การขยับเขยื้อนจะน่าขนลุกยิ่งกว่าอยู่ดี “หากข้านำไปทางบก ทัพทางบกก็จะสามารถพิชิตข้าศึกได้โดยเร็ว และ ง่ายดาย หากยกไปทางน้ำ ทัพเรือก็จะสามารถกำจัดศัตรูได้เร็ว และ ง่ายดายเช่นกัน ซึ่งก็หมายความว่ากำลังหลักอยู่ที่ข้าสินะ”
“ท่านโจโฉ โปรดใช้ทัพเรือเถิดขอรับ” ชัวมอเอ่ยเสนอความคิด
“ไยเจ้าจึงเสนอเยี่ยงนั่นล่ะชัวมอ” โจโฉเอ่ยถาม
“จิวยี่เป็นจอมทัพเรือ ถนัดการรบทางเรือเป็นอย่างมาก อีกทั้งมีประสบการณ์ไม่ด้อยไปกว่าข้า ศึกครั้งนี้อาจยืดยาวเกิดจำเป็น หากเราถล่มทัพเรือมันจนราบคราบแล้วละก็พวกมันก็จะเสียขวัญ และ หมดกำลังใจที่จะสู้ จนจำต้องก้มหัวยอมจำนนต่อท่านแน่นอน” ชัวมออธิบาย “นอกจากนี้ ข้าคิดว่าแม่ทัพอย่างท่านแม่ทัพแฮหัวเอี่ยนผู้เลื่องชื่อ สามารถจัดการกับทัพบกของศัตรูได้อย่างง่ายดาย คงไม่ต้องถึงมือท่าน”
“เดี๋ยวก่อนท่านโจโฉ” แฮหัวเอี่ยนค้าน “ข้าว่าท่านควรมาทางบกจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะ เอี่ยน” โจโฉเอ่ยถามอีกครั้ง
“แทนที่จะเสียเวลาตีทัพเรือของพวกมัน สู้เราบุกไปถล่มค่ายมันจากทางบกดีกว่า เพียงเท่านี้ ชัยชนะในศึกครั้งนี้ก็จะต้องเป็นของเรา” แฮหัวเอี่ยนกล่าว “อีกอย่าง ข้าคิดว่า แค่รับมือกับทัพเรือไม่กี่กอง คนอย่างท่านชัวมอฝีมือการรบทางน้ำไม่เป็นรองใครคงไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ หรือ ท่านว่ายังไงท่านชัวมอ”
ชั่วพริบตา เกิดกระปะทะกันของพลังสายฟ้าแห่งความเขม่นระหว่างชัวมอ และ แฮหัวเอี่ยน แต่การปะทะนั่นก็อยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น อันเนื่องมาจากโจโฉที่ยืนคุมเฉิงอยู่เบื้องหน้า ทำให้พวกเข้าทั้งคู่ต้องรักษามารยาท และ ตอบรับกันด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม
“ข้าจะไปทัพไหนน่ะหรือ... หึๆ” โจโฉว่า “ไม่บอก เดี๋ยว [คนอ่าน] จะไม่ตื่นเต้น”
เต็นท์บัญชาการ ค่ายกังตั๋ง
“ทัพของโจโฉใกล้เข้ามาแล้ว ได้เวลาสรุปผลการเตรียมการของแต่ละคนแล้ว” จิวยี่กล่าวเปิดประชุมทัพอีกครั้ง “รายงานมา ที่ละกลุ่ม”
“อุยกายรายงาน” ขุนพลผู้อาวุโสที่สุดเริ่มก่อน “ข้ากับหนูจูล่ง เอ๊ย! ท่านจูล่งได้ฝึกปรือทหารของทั้ง 2 ทัพเป็นอย่างดีแล้ว ขอให้ท่านวางใจเถิด”
“หนูเหรอ?” กวนอูเอียงคอกระซิบถามจูล่งข้างๆ ตน
“เห็นอย่างงี้ แต่ท่านอุยกายที่จริงเป็นคุณลุงใจดีนะคะ” จูล่งกระซิบตอบ
“เยี่ยม…” จิวยี่พยักหน้าลงรับคำด้วยความพอใจ “ต่อไป”
“ลิบองรายงาน” ทันทีที่อุยกายรายงานเสร็จ ลิบองรับงานต่อทันที “การสร้างค่ายย่อยของเราเป็นไปได้ด้วยดี เนื่องจากได้หัวหน้าทัพคาวามูระ ที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญในงานเถือกนี้มาช่วย ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังได้รับการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากหัวหน้าทัพโออิชิ เป็นผลให้ค่ายเสร็จเร็วกว่ากำหนดขอรับ”
“งั้นคงต้องยกความดีความชอบให้หัวหน้าทัพทั้ง 2 สินะ” จิวยี่เอ่ยชมโออิชิ และ คาวามูระ ที่ยืนยิ้มแก้เขินอยู่ในแถว “เอาล่ะคนต่อไป”
“อินูอิรายงาน” อินูอิไม่รอช้าเข้าต่อจากลิบอง “การฝึกพลธนูค่อนข้างง่าย เนื่องจากทหารแต่ละกองได้ฝึกพื้นฐานมาดีแล้ว จึงได้เปลี่นนรูปแบบเป็นการฝึกจำลองสถานการณ์ โดยให้ฝึกยิงธนูบนภูมิประเทศต่างๆ พื้นดินที่ต่างระดับ ไปจนถึงฐานที่ไม่มั่นคงเช่น กระดานเซิร์ฟที่โต้กับคลื่นแม่น้ำ (เซิร์ฟอะนะ!?) แม้จะค่อนข้างหนัก แต่ก็ประสบผลสำเร็จ ขอรับรองว่าพลธนูของเรามีประสิทธิภาพตามความต้องการแน่นอน”
“ดะ... ดี... ดี...” จิวยี่ที่อึ้งไปครู่ ก่อนเอ่ยปากรับคำ ขณะคิดประสานเสียงกันขุนพลในทัพที่ทำหน้าเหวอไม่แพ้กัน ว่า ‘ทำได้ไงหว่า...?’
“ฮะๆ รู้จักอินูอิน้อยไปแล้ว” ฟูจิเอ่ยขำๆ
“คนต่อไป”
“กำเหลงรายงาน” กำเหลงไม่รอช้ารับงานต่อทันที “การฝึกทัพเรือค่อนข้างลำบากแต่ก็เป็นที่น่าพอใจ หลังจากทหารฝ่ายพันธมิตรเราหลายคนให้อาหารปลากันจนหมดท้องไปหลายยก ในที่สุดพวกเขาสามารถรบบนเรือได้อย่างสมบูรณ์แล้วขอรับ”
“อะไรคือ... อาหารปลา?” โออิชิหันมาถามไคโด
“อ้วกครับ” ไคโดตอบขณะตีคิ้วเครียด เมื่อนึกถึงภาพน่าสะอิดสะเอียนนั่น
“พูดซะเห็นภาพเลย...” จิวยี่ตีคิ้วสะอิดสะเอียนไม่แพ้กัน ต่อก็ทำเป็นเก๊กขรึมแล้วว่าต่อไป “ครบทุกคนแล้วสินะ มีใครจะรายงานอะไรอีกไหม?”
“จิวท่ายรายงาน…” จิวท่ายรับไม่รอช้าเอ่ยขึ้นทันที “สร้างค่ายเสร็จ... เฝ้าสังเกตการณ์... ส่งคนไปสอดแนม... ได้ข้อมูลสำคัญ... โจโฉกำลังมา... ขอรับ”
“...” ทุกคนในเต็นท์เหงื่อตกไปตามๆ กันเมื่อจิวท่ายรายงานเสร็จ
“เออ... เดี๋ยวผมแปลให้ดีกว่า” คิคุมารุเสนอตัว
“รบกวนด้วย” จิวยี่ไม่ปฏิเสธ
“หลังจากสร้างค่ายเสร็จ ขณะที่คุณจิวท่ายกับคุณลิบอง คุมทหารเข้าประจำการ และ อินูอิกับฟูจิช่วยกันฝึกพลธนู ผมกับลกซุนอาสาออกไปสอดแนมข้าศึก” คิคุมารุขยายความของจิวท่าย “ทางบก เราพบทัพม้า และ ทัพพลเท้าของของโจโฉแยกกันมาเป็นทัพย่อยๆ หลายทัพ นำโดยแม่ทัพ เออ... หัวๆ อะไรซักอย่าง?”
“แฮหัวเอี่ยน” ลกซุนเอ่ยแก้บอก
“ใช่ๆ นั่นแหละๆ นำโดยแฮหัวเอี่ยน... ส่วนทางน้ำก็มีทัพเรือมหากาฬ ที่นำโดย” คิคุมารุหันไปหาลกซุนอีกครั้ง ขณะตีคิ้วส่งซิกถามอีกที
“ชัวมอ เตียวอุ๋น” ลกซุนตอบยิ้มๆ อำขำ
“ใช่ๆ เตียวมอ ชัวอุ๋น เอ๊ย ชัวมอเตียวอุ๋น ตามที่คำนวณดู ทัพเรือคงอีกนานกว่าจะเข้ามายังระยะโจมตีของเรา ส่วนทัพบกคงมาถึงในไม่ช้าครับ” คิคุมารุจบการรายงาน
“ทำได้ดีมาก หัวหน้าทัพคิคุมารุ ลกซุน” จิวยี่เอ่ยชมก่อนนำเอาประเด็นที่พวกเขายกขึ้นเสนอนำมาคบคิด “โจมตีจากทั้งทางบก และ ทางน้ำ แถมยังแบ่งทัพบกเป็นทัพย่อยด้วยงั้นเหรอ... ไอ้โจโฉมันกะเล่นพวกเราให้จบในทีเดียวเลยสินะ ดูเหมือนว่าเราจะเจอปัญหาใหญ่ซะแล้ว ท่านขงเบ้งคิดยังไง?”
“นั่นสินะ” ขงเบ้งเริ่มขยับพัดในมือไปมาขณะเริ่มประมวลความคิด “เอจิ ลกซุน พวกเธอแน่ใจนะว่า ทัพเรืออีกนานกว่าจะมาถึง?”
“แน่ใจแง่~ว” คิคุมารุยืนยัน
“จากที่คำนวณดูคราวๆ ถ้าคิดในทางที่แย่ที่สุด ก็คงมาถึงหลังทัพบกเข้าปะทะกับเราไปครึ่งต่อครึ่งแล้วล่ะขอรับ” ลกซุนสมทบ “ส่วนถ้าคิดเข้าข้างเราหน่อย พวกมันก็น่าจะมาถึงเรา หลังจากเสร็จสิ้นการปะทะกับทัพบกไปแล้วเกือบ 2 วันขอรับ”
“ลองเอาแง่ลบ กับ แง่บวกมาหักหารกันดู ทัพเรือก็น่าจะมาถึงหลังการปะทะกันกับทัพบกสินะ... ก็ยังดี” ขงเบ้งกล่าวก่อนหันไปพูดกับจิวยี่ต่อ “คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เกินแก้นักหรอก... เราแค่ต้องจัดการกับทัพบกของโจโฉ และ กลับมาตั้งหลักสู้กับทัพเรืออีกต่อหนึ่ง ทัพของเราจึงมีสภาพร่างกายที่ดีพร้อมมากกว่า มิหน่ำซ้ำที่แถบนี้ยังเป็นภูมิประเทศที่เราคุ้นเคย คงพอสู้กันได้อย่างสูสี”
“แต่กองกำลังของโจโฉบุกเป็นทัพย่อยๆ มาไม่ใช่เหรอ” โลซกเอ่ยขึ้นท้วง “แล้วทางเราจะเข้ารบกับมันยังไงล่ะ ถึงจะมีสภาพทหารที่พร้อมกว่าก็เถอะ แต่ถ้าต้องแบ่งเป็นทัพย่อยไปสกัดทางทัพพวกมันแต่ละทัพ กำลังพลของเรามีไม่พอสู้พวกมันนะ”
“ไม่เป็นปัญหาท่านโลซก” ขงเบ้งกล่าว “เราแค่ต้องใช้กลยุทธ์เข้าช่วยเล็กน้อย”
“ขงเบ้ง ท่านมีแผนอะไรงั้นเหรอ?” จิวยี่เอ่ยถาม
“ในเมื่อเราแยกเป็นทัพย่อยตามไปสกัดพวกมันที่แยกกันมาเป็นจุดๆ ไม่ได้ พวกเราก็กำหนดทิศทางให้มันมาหาพวกเราเองสิ” ขงเบ้งตอบเป็นนัยๆ
“เอ๋? หมายความว่าไง?” ซุนกวนเอ่ยถาม
“พวกท่านลองคิดดูดีๆ สิ” ขงเบ้งถามลองเชิงเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ซึ่งต่างเริ่มทำท่าทางครุ่นคิดคำของขงเบ้งมาตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่เหล่าเซงาคุ
“ทัพย่อยๆ ที่มาจากหลายๆ จุด โดยไม่รู้ว่ามาจะทางไหน...” โออิชิเอ่ยขึ้นลอยๆ
“กำหนดทิศทางให้พวกมันมาหาเราเอง...” คิคุมารุเอ่ยตาม
“ก็คงเหมือนลูกเทนนิสที่ถูกฝ่ายตรงข้ามโต้กลับมาล่ะมั้ง” ฟูจิว่า
“อื้ม! ทฤษฎีเข้าท่าฟูจิ ไหนลองคิดแบบเทนนิสดูสิ...” อินูอิเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล
“อย่างงี้นี่เอง...” เทะสึกะตรัสรู้เป็นคนแรก
“เห~...” เอจิเซนหันไปมองเทะสึกะที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง ก่อนภาพบางอย่างจะปรากฏขึ้นบนหัวทำให้ตนรู้แจ้งถึงธรรมตามมา “อ๋~อ! เข้าใจแล้ว...!”
“อะไรเหรอ? เอจิเซน?” โมโมะหันมาเอ่ยถามรุ่นน้อง
“ลองคิดภาพกัปตันเล่นเทนนิสดูสิฮะ” เอจิเซนใบ้ให้พวกรุ่นพี่ทั้งหลาย
“เออ...” แต่ทุกคนก็ยังไม่คิดไม่ออกอยู่ดี ”นี่ขงเบ้งบอกมาเลยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ เดี๋ยว ([คนอ่าน] จะไม่ตื่นเต้น (เอาอีกและ) หึๆ...” ขงเบ้งว่ายิ้มก่อนเอ่ยปิดการประชุมทัพ “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม... เราจะออกไปปั่นทัพโจโฉกัน”
สมรภูมิรบ
ตึก…! ตึก…! ตึก…! ตึก…!
เสียฝีเท้าของทหาร และ ม้าศึกของโจโฉดังสนั่นไปทั่งบริเวณ ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังพลมีมากขนาดไหนเมื่อได้ยินเสียงนี้ เหล่าจากทหารทัพใหญ่ที่ถูกแบ่งออกมาเป็นทัพย่อยอีกหนึ่งทัพ ซึ่งถึงแม้จะถูกแยกออกมา แต่ทัพย่อยๆ ก็ยังคงมีกำลังมากเหลือคณาจนน่าหวั่นใจอยู่ดี ทัพย่อยของโจโฉค่อยๆ ก้าวล้ำเข้ามายังเขตแดนของกังตั๋ง จนในที่สุดก็เข้ามายังสมรภูมิรบ นายกองทัพสั่งทหารหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนหันมาปรึกษากัน
“แยกกันตรงนี้สินะ” นายกองคนหนึ่งเอ่ยกับอีกหลายๆ คนที่มาด้วยกัน
“อืม จากที่รับคำสั่งมา ทางพวกเจ้าจะต้องลอบไปทางป่า ส่วนพวกเจ้าข้ามแม่น้ำไป พวกเจ้าอ้อมเนินเขาไป ที่เหลือไปกับข้าเข้าตีเอาค่ายย่อยที่อยู่ไม่ไกลจากนี่นัก หลังจากนั้นให้รีบกลับมาร่วมทัพกับทัพใหญ่ท่านแฮหัวเอี่ยนไปสกัดทัพหลักของศัตรู” นายกองอีกคนที่ดูเหมือนจะได้รับมอบหมายในการสั่งการสารทยายบอกคำสั่งที่ได้รับมากับนายกองเพื่อนร่วมทัพ “แล้วเจอกันที่ทัพใหญ่... ทหารเท้ากอง 3, 4, 5, 6 ตามมา!”
“ขอรับ...!!!” ทหารทั้ง 4 กองขานรับ
ว่าจบนายกองผู้สั่งการก็นำเอาทัพของตน พร้อมกับนายกองด้วยกันอีก 3 คน เดินม้าแยกตัวออกไป
“พวกเราต้องเข้าไปในป่างั้นเหรอ เฮ้~อ! พวกนั้นต้องวางกับดักไว้บานแน่...” นายกองคนหนึ่งบ่น “ข้าขอทัพม้าแล้วกัน หากเจออะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ถอยออกมาทัน ทหารม้ากอง 1 กอง 2 ไปกับพวกข้า!”
“ขอรับ...!!!” ทหารกองม้าตอบรับก่อน บังคับม้าเดินตามผู้นำของคนเข้าป่าไป
“ข้าก็ขอทหารม้าไปเหมือนกัน ขี่ม้าข้ามน้ำไป จะได้ไม่เสียเวลาสร้างสะพาน” นายกองอีกคนว่า “ทหารม้า กอง 3 กอง 4 พวกเราไปทางแม่น้ำ!”
“ขอรับ...!!!” ทหารม้าอีก 2 กองที่เหลือตอบรับ ก่อนตามนายกองของตนไป
“ถ้าจะขึ้นไปที่ๆ เป็นเนินเขาก็ต้องใช่ทหารเดินเท้าอยู่แล้วหนิ” นายกองคนสุดท้ายบ่นปิดท้าย ก่อนเอ่ยออกคำสั่ง “ทหารเท้ากอง 1 และ 2 ตามพวกข้ามา”
“ขอรับ...!!!” นายทหารที่เหลือขานรับ แล้วจึงเดินตามนายกองคนสุดท้ายไป
“ส่งสัญญาณ บอกพวกท่านหัวหน้าทัพ เหยื่อของเรามาถึงแล้ว” ทหารสอดแนมบนเนินสูงคนหนึ่ง พูดกับเพื่อนให้ชูธงส่งสัญญาณ ขณะแอบยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทางผ่านป่า
“นายท่าน” นายทหารคนหนึ่งซึ่งขี่ม้าอยู่ข้างๆ นายกองของตนเอ่ยขึ้น
“มีอะเหรอ?” นายกองเอ่ยถามทหารของตน
“ท่านได้ยินไหม?”
“ชู่ว์... เบาๆ หน่อยโมโมะ”
“อะไรน่ะ?” นายกองเริ่มหันมองรอบตัวและแล้ว
“ตอนนี้แหละเข้าโจมตีเลยมั้ย รุ่นพี่ฟูจิ?”
“เดี๋ยวรอก่อน พอพวกมันหันหลังให้แล้วเราค่อยตลบหลังพวกมัน”
“เฮ้ย! พวกมันจะลอบโจมตีเรานายท่าน!” นายทหารข้างๆ กันกล่าว ขณะชี้ไปที่แนวพุ่มไม้ และ ต้นไม้ทางยาวที่มีฟูจิ และ โมโมะซุ่มอยู่ พร้อมกับเหล่ากำลังพลทหารทัพพันธมิตร เล่า-ซุน (เล่าปี่ และ ซุนกวน) ทำเอาหัวหน้าทัพวัยเยาว์แห่งเซงาคุทั้ง 2 ถึงกับสะดุ้งก่อนหันมามองเจ้าของเสียง
“แย่แล้วรุ่นพี่! พวกมันรู้ตัวแล้ว!” โมโมะร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
“แผนล่ม! ทุกคนถอย...!” ฟูจิไม่รอช้าสั่งทหารของตนถอยทัพทันที
“ฮ่าๆ! ซุ่มโจมตีแต่ดันคุยกันซะเสียงดังเลย! ไอ้พวกงี่เง่าเอ๊ย!” นายกองคนนั่นหัวเราะอย่างสะใจ “พวกเราตามสงเคราะห์ความโง่ของพวกมันหน่อย! ฆ่ามัน...!!”
“เฮ้…!! ฆ่ามัน...!!!” ทันทีที่ได้ยินคำสั่งเหล่าทหารทัพโจโฉก็โฮร้องออกมาด้วยความฮึกเฮิม ก่อนกระฉากสายบังคับม้าสะบัดสั่งให้ม้าออกลุยทันที “พวกแกตาย...!!!”
“พวกเราหนีเร็ว…!!” โมโมะ ฟูจิ และ ทหารพันธมิตรเล่า-ซุน ตาลีตาลานออกตัววิ่งจากพุ่มไม้ และ แนวไม้กันสุดแรงเกิด ขณะที่ทหารม้าของโจโฉเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับอาวุธที่เงื้อขึ้นเตรียมปลิดชีพพวกเขา และแล้ว
“ว๊า~ก...!!!”
ครืด...!!!
“เอ๋~?” นายกองผู้ออกคำสั่งซึ่งยังคงมีทหารอยู่กับตัวอีกไม่กี่คน ยืนม้างงไปตามๆ กัน เมื่อทหารเกือบทั้งทัพของตนหายวับไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องเมื่อกระโดดข้ามพุ่มไม้ที่ใช้ซ่อนตัวซุ่มโจมตี ไปหมายจะจัดการศัตรู “เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?”
“...” ไร้เสียงตอบรับมายังนายกอง
“ชักทะแมงๆ แล้วขอรับ” นายทหารคนเดิมกล่าว
“พวกเราไปดูเร็ว…!” ว่าจบนายกองก็พาลูกน้องอีกไม่กี่คนของตนควบออกไปดูสถานการณ์ และแล้ว “เหวอ...!”
ครืด!
“ว๊า~ก...!!” ขณะที่ควบม้าวิ่งผ่านงพุ่มไม้มา ทั้งนายกองและทหารที่เหลือก็ต้องดึงบังเหียนม้าเบรกสุดชีวิต ขณะใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ม้านายกองหยุดได้ทันเวลาพอดี แต่เหล่าลูกน้องที่เหลือรอดอยู่ไม่สามารถหยุดม้าไว้ได้ ก็เสียท่าให้กับแผนการของฝ่ายศัตรู เพราะหลังพุ่มไม้เบื่องหน้าเขาก็คือ
“เป็นไปตามที่แผน...” ฟูจิว่า
“งา~ย! ไหนใครโง่กันแน่...!” โมโมะเย้ย
“ฮ่าๆๆ...!!!” เหล่าทหารเล่า-ซุนหัวเราะเยาะ
“พะ พะ พวกแก...!! ขี้โกง...!! เล่นสกปรก...!! พวกแกใช่มุมกล้องช่วย...!!” นายกองงี่เง่าฝ่ายโจโฉตะโกนใส่ทหารพันธมิตรเล่า-ซุนใต้การนำของฟูจิ และ โมโมะซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของ หน้าผา! ขนาดใหญ่ ซึ่งถูกพวกเขาทั้ง 2 ใช้มุมสายตาบวกกับฉากบังหน้าเล็กน้อยทำให้พวกทหารศัตรูมองไม่เห็นหายนะของตัวเอง
“เขาเรียกว่าเข้าใจวางแผนต่างหาก!” โมโมะว่า
“เหลือนายเป็นคนสุดท้าย” ฟูจิหยิบหน้าไม้พร้อมลูกธนูที่สะพายอยู่ด้านหลังยกขึ้นเล็งไปที่เป้าหมายพร้อมเหนี่ยวไก
“ฮะ ฮะ เฮ้ย!” นายกองเบิกตากว้างขณะพยายามชักม้าหนีอย่างทุลนทุลาย เมื่อเห็นหัวหน้าของศัตรูถืออาวุธพร้อมที่จะปลิดชีพเขา ทั้งสะบัดสายบังเหียนฟาดม้า เอาเท้ากระทุ้งท้อง เอาแส้ฟาด ร้องโหวกเหวกโวยวาย กับชั่ววินาทีสุดท้าย ทำทุกอย่างเพื่อให้ม้าของตนออกวิ่งให้พ้นรัศมีสังหารของฟูจิ แต่ก็สายเกินไปแล้ว...
ฟิ~ว! ฉึก!
“อั๊ก!” ชีวิตนายกอง ถูกสังเวยให้กับลูกธนูหน้าไม้ของฟูจิเป็นที่เรียบร้อย ร่างบนหลังม้าร่วงหลนลงหน้าผาไปรวมกันกับทหารของเขาที่รอเขาที่ก้นผาอยู่ก่อนแล้ว
“สู่สุขติเถิด...” ฟูจิเอ่ยสั้นๆ ขณะก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการไว้ทุกข์
“ทางนี้เสร็จแล้ว ไปรวมทัพกันเถอะครับ” โมโมะว่า
“อืม... ไปกัน” ฟูจิตอบ ก่อนคุมทหารเดินทัพออกจากป่าไป
ทางแม่น้ำ
“พักดื่มน้ำกันก่อน!” นายกองคนที่คุมทัพม้ามาทางแม่น้ำเอ่ยสั่งทหารของตน
“ขอรับ…!!!” เหล่าทหารจูงม้าลงยังแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ค่อนข้างกว้าง ถึงขนาดม้ายืนเรียงกัน 3 ตัว ซึ่งมีระดับน้ำสูงแค่ข้อเท้า
“แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคุมม้าให้ได้กินน้ำกันทุกตัว เราอาจจะต้องเจอศึกหนัก ดูให้แน่ใจว่าพวกมันพร้อมลุย อีกกลุ่มไปที่ต้นน้ำ นำถุงหนังทั้งหมดใส่น้ำให้เต็ม แล้วแจกจ่ายให้เก็บไว้คนละถุง รับทราบ!”
“ทราบครับ…!!!” เหล่าทหารตอบรับก่อนปฏิบัติตามคำสั่ง
“จะว่าไปเราก็โชคดีเหมือนกันนะขอรับ” นายทหารคนหนึ่งยื่นถึงน้ำให้นายกองดื่ม ขณะชวนนายกองคุย
“ดีตรงไหน?” นายกองเอ่ยถาม ก่อนกรอกน้ำเจ้าปาก
“ก็ที่ได้มาตรงที่มีน้ำไงครับ ไม่ร้อนมาก แถมยังมีน้ำเก็บไว้ตุนด้วย ไม่เรียกว่าโชคดี แล้ว จะเรียกว่าอะไรล่ะขอรับ” นายทหารว่า
“ก็จริงของเจ้า” นายกองตอบขณะยื่นถุงน้ำให้ทหารดื่มบ้าง
“นายกองขอรับ” นายทหารอีกคนข้างๆ เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“มีอะไร” นายกองเอ่ยถามอีกที
“ข้าว่าแม่น้ำนี่มันแปลกๆ” นายทหารคนนั้นว่า
“แปลกตรงไหน?” นายกองยังคงถามต่อ
“ไม่ใช่หน้าแล้งซะหน่อย แต่ทำไมน้ำในแม่น้ำถึงได้แห้งแบบนี้ล่ะ” นายทหารว่า
“นั่นสิ...” นายกองเพิ่งนึกได้ก่อนหันกลับไปมองที่แม่น้ำอีกที
ซ่า...!
“รึว่า!” นายกองร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงการไหลของน้ำดังขึ้นแต่ไกล ก่อนเอ่ยสั่งทหารของตน “ทุกคนขึ้นมาจากน้ำเดี๋ยวนี้...!!”
“หะ ห~า!?” เหล่าทหารพากันงงไปตามๆ กัน
“ถ้ายังไม่อยากตาย ขึ้นมาเดี๋ยวนี้...!!” นายกองสั่งคำขาด
“ขะ ขอรับ...!!!” นายทหารในแม่น้ำขานตอบ พลางวิ่งไปที่ม้าที่ใกล้ที่ตัวเอง ก่อนออกแรงจูงให้เดินขึ้นผา
“ท่านนายกอง...! ดูนั่น…!” นายทหารคนแรกชี้มือไปทางต้นน้ำ
“มาแล้ว!” นายกองเบิกตากว้าง เมื่อสายน้ำหลากที่มีความสูงเกือบ 3 เมตรกว่า ไหลตรงมายังทหารของเขา นายกองจึงไม่รอช้าออกคำสั่งแก้สถานการณ์ทันที “ใครที่ม้าไม่ยอมเดินขึ้นมาให้ทิ้งม้าซะ! รักษาชีวิตตัวเองไว้! ส่วนคนที่ขึ้นมาแล้วไปช่วยฉุดคนคนที่อยู่ในแม่น้ำขึ้นมา! เร็ว...!!”
“ขอรับ...!!!” นายทหารไม่รอช้าทำตามคำสั่งทันที ในไม่ช้า ทหารส่วนใหญ่ก็ขึ้นมาบนฝั่งได้อย่างปลอดภัย เหลือแต่เหล่าทหารที่ยังห่วงม้าขอตนอยู่ ทำให้เหล่าทหารที่อยู่บนฝั่งต่างก็พากันเรียกให้พวกเขาขึ้นมา
น้ำหลากค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อย เมื่อเห็นความแรงของกระแสน้ำทหารอีกไม่กี่คนที่เหลือก็พากันตาลีตาเหลือตะเกียดตะกายกันขึ้นฝั่ง พยายามคว้ามือทหารเพื่อนร่วมทัพที่ส่งมือมาฉุดพวกเขาขึ้น ในที่สุด ทุกคนก็ขึ้นมายังฝั่งได้ทันเวลา เหลือเพียงแค่ม้าที่ถูกน้ำซัดหายไปกับตา
“แฮ่กๆๆ...” เหล่าทหารมองดูสายน้ำมหากาฬที่ซัดผ่านไปด้วยความโล่งใจ
“หึๆๆ...” นายกองหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆๆ! ไอ้พวกกังตั๋ง! พวกแกคิดจะเล่นสกปรกงั้นเหรอ!? รู้ซะบ้างใครเป็นใคร! จะจัดการข้าต้องใช่มากกว่าน้ำโว้ย!”
“แหะๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ...!!!” เหล่าทหารร่วมกันหัวเราะกับนายกอง
“ไอ้พวกระจอก! ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก!” เหล่าทหารโจโฉเริ่มร้องว่าทหารตะโกนโหวกเหวกอย่างคะนองปาก
“พวกแกก็ทำได้แค่นี้ล่ะว้า! นอกจะอ่อนหัดแล้วยัง ขี้ขลาดอีก!”
“ใช่! ไอ้ขี้ขลาด!” นายกองว่าขึ้นอีกครั้ง “แน่จริงก็โผล่หัวมาเจอกันหน่อยเซ่!”
“มาเซ่! ฮ่าๆๆๆๆ…!!! เฮือ~ก…!!!”
“ยกแขนเหยียดตรง 90 องศา เตรียมพร้อม จะถึงเป้าหมายอีกในอีก 5. 4. 3.
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก!
“อ๊า~ก...!!!” เหล่าทหารโจโฉถูกลูกธนูของพลทัพอินูอิที่ยืนเรียงกันยิงจากบนเรือเล็กหลายสิบลำ ที่ลอยกันมาตามกระแสน้ำมา พุ่งเข้าสังหารล้มตายราวใบไม้ร่วง โดยที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว อันเนื่องมากระแสน้ำมหากาฬที่ทำให้พวกเขาต้องทิ้งอาวุธ และ เครื่องป้องกันหนีตายขึ้นฝั่งมาโดยไม่รู้ว่านี่คือแผนการของอีกฝ่าย
“พวกเราถอย…!!” นายกองที่ได้สติกลับมาเอ่ยสั่งทหารของตนถอยทัพทันที
“มีโอกาส 85% ที่ศัตรูจะถอยไปทางด้านหลัง...” อินูอิขยับแว่น ขณะบ่นพึมพำตามนิสัย ก่อนเอ่ยให้สัญญาณ ทหารอีกทัพที่ดักรออยู่แล้ว “ไคโด…!”
“เฮ้ย…!!!”
“ทุกคนโจมตี…!” ไคโด เอ่ยสั่งทหาร พร้อมกับนำทัพของตนโผล่พรวดออกมาจากพื้นดินซึ่งนายกอง และ ทหารม้าทัพโจโฉ เดินม้าผ่านไปยังแม่น้ำโดยไม่รู้สึกตัวว่า ใต้เท้าของตน จะมีโพรงเล็กๆ ที่พวกโออิชิฝังตัวเองไว้รอคำสั่งโจมตี
“อ๊า~ก...!!!” ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทหารโจโฉที่รอดมาจากห่าธนูของอินูอิ เมื่อเจอเข้ากับไคโดที่โผล่มาปิดทางหนีทีไล่ของตน ทั้งทัพจึงเสียขวัญ และทำให้ถูกไคโด และ ทหารของเขาสังหารลงได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้การโจมตีจากทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งระยะไกลจากธนูของอินูอิ และ ระยะประชิดจากทหารขอไคโด บวกกับสภาพขวัญของทหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้พวกเขาจัดการกับข้าศึกของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
“เป็นไปตามแผน...” อินูอิที่นำทหารของตนกระโดดออกจากเรือขึ้นมาบนฝั่งเอ่ยขึ้นด้วยความพอใจ ก่อนยกมือให้สัญญาณให้พลของเขาเล็งธนูไปที่ทหาร และ นายกองที่ยังคงเหลือรอดอยู่ กว่าห้าสิบคนขณะตนหยิบสมุดประจำตัวอออกมาบันทึกข้อมูล “อัตราผู้รอดชีวิตเยอะกว่าที่คำนวณไว้ 10% สงสัยต้องวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ซะแล้ว”
“พวกนายไม่มีทางสู้แล้ว ยอมแพ้ซะ ชู่ว์...” ไคโด และ ทหารของเขาที่ชี้อาวุธตรงมาที่ผู้เหลือรอดของทัพโจโฉ ควบคุมให้อยู่ในความสงบ
“ไม่มีทาง...! ชายชาติทหารอย่างพวกเราไม่มีคำว่ายอมแพ้...!” นายกองพูดอย่างองอาจ “พวกเรายอมตายดีกว่ายอมแพ้ให้ไอ้พวกกระจอกอย่างพวกแก…!”
ฟิ้ว...!
“โทษที... มันหลุดมือ...” อินูอิที่ปิดสมุดลงเมื่อครู่ แสร้งยิงธนูเฉียดหัวนายกองคนนั่นไป “จะว่าไป เมื่อกี้ว่าไงนะ ได้ยินไม่ชัด?”
“พะ พะ พวกเรา ยอมแพ้แล้วขอรับ” นายกองเอ่ยกลับคำหน้าตาเฉย
“ทางนี้เสร็จแล้ว ทหารส่วนหนึ่งพานักโทษกลับค่าย” ไคโดสั่ง
“ที่เหลือไปรวมทัพ” อินูอิสมทบ ก่อนทั้ง 2 จะพาทหารเดินทัพออกไปจากบริเวณ
ทางเนินเขา
“ทหารที่ส่งไปดูลาดลาวกลับมาแล้วขอรับ” นายทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ นายกองบนหลังม้าว่าขึ้นขณะชี้มือไปยังทหารเท้าที่กำลังวิ่งลงมาจากเนินเขา
“รายงาน ทางข้าหน้าปลอดภัยไร้วีแววศัตรูขอรับ” นายทหารก้มหน้ารายงาน
“ทำไมไปนานจังเลย” นายกองเอ่ยถาม “แล้วอีก 4 คนไปไหน?”
“อีก 4 คน ยืนดูต้นทางอยู่บนขอรับ” นายทหารคนแรกตอบ “เนื่องจากข้างบนดูปลอดโปร่งผิดปกติพวกเราเลยใช่เวลาตรวจอย่างละเอียดเผื่อมีกับดักอันตรายที่คาดไม่ถึง จึงใช่เวลานานไปหน่อย ขออภัยด้วยขอรับ”
“แล้วเป็นไง?” นายกองถาม
“ไม่พบอะไรเลยขอรับ” นายทหารตอบ “สงสัยพวกเราจะกังวลมากจนเกินเหตุ”
“ก็คงเป็นอย่างงั้นแหละ” นายกองกล่าว “หึ ใครจะไปคิดว่าในช่วงเวลาที่คนอื่นๆ เร่งเดินหน้าไปทางผาแดง เราจะอ้อมบุกพวกมันมาข้างหลังแทน หึๆๆ... ไปกันต่อดีกว่า พวกเจ้านำทางไปเลย”
“ขอรับ” ทหารคนนั้นไปตอบรับก่อนเดินนำหน้าไป
“พวกเรา ตามเจ้าคนนั่นไป” ว่าจบนายกองก็นำทัพเดินขึ้นไปตามเนินสูง ตามผู้นำทางของตนไปเรื่อยๆ
นายทหารคนนั้น เดินนำนายกองตรงขึ้นเนินไปเรื่อย โดยบอกว่าเมื่อถึงยอดเนินแล้วจะมีทางลงอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่ใช้อ้อมไปด้านหลังผาแดงได้ ทำให้นายกองนำทัพของตนเดินไปตามผู้นำทางเรื่อยๆ ด้วยความหวังที่จะสร้างผลงานตลบหลังฝ่ายศัตรู ครู่หนึ่งต่อมา ขณะที่อีกไม่นานก็ถึงยอดเนินแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนลงมา
“เฮ้…! ข้างล่างน่ะ...! หยุดก่อน...!”
“มีอะไรเหรอ...!?” คนนำทางตะโกนขึ้นไป
“ทางขึ้นมันชันเกินไป ขนาดพวกเราเองยังลำบากเลย แล้วทั้งทัพจะขึ้นมายังไงไหว...!? เกิดล้มตกลงไปน่ะตายอย่างเดียวเลยนะนั่น” ทหารบนยอดเนินตะโกนกลับมา
“แล้วพวกเราต้องทำไงล่ะ…!?” นายทหารผู้นำทางตะโกนถาม
“เอานี่ไป...!” นายทหารข้างบนตอบรับพร้อมโยนเชือกเส้นใหญ่ ที่มีความหนากว่า
“เอาไว้ทำอะไร...!?” นายทหารผู้นำถามตะโกนถามอีกครั้ง
“ให้ทุกคนมัดเอวไว้ เวลาล้มจะได้ช่วยกันดึงกันและกันไม่ให้ตกลงไปข้างล่าง...!” นายทหารข้างบนอธิบาย
“อย่างที่ว่าขอรับ ท่านแม่ทัพลงม้าแล้วเอาเชือกมัดเอวไว้เถิด เดี๋ยวม้าข้าจะจูงขึ้นไปให้เองขอรับ” นายทหารผู้นำทางว่า
“อืม ขอบใจ” นายกองกล่าวก่อนเอาเชือกเข้ามัดรอบเอวตน แล้วส่งต่อๆ ไปพร้อมออกคำสั่ง “มัดรอบเอวไว้! คนสุดท้ายมัดเสร็จเมื่อไหร่ให้ตะโกนบอก รับทราบ!?”
“ทราบขอรับ...!!!” ทุกคนตอบรับ ขณะรับเชือกมามัดต่อกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุด “เรียบร้อยแล้วขอรับ…!”
“ข้างบนเป็นไงบ้าง...!?” ทหารนำทางผู้ยืนจูงม้าอยู่ตะโกนถามครั้งสุดท้าย
“ผูกไว้เรียบร้อยแล้ว...! ขึ้นมาได้เลย...!” ข้างบนตอบรับ
“ทำได้ดีมาก ขอบใจ...!” นายกองกล่าว
“ยินดี แง่~ว…!” นายทหารบนเนินตอบกลับมาด้วยเสียงแปลกๆ แต่นายกองก็ไม่ได้ใส่ใจก่อนนำทัพเดินขึ้นเนินต่อไป จนในที่สุดทัพโจโฉก็เดินทางขึ้นมาเกือบถึงยอดอีกไม่กี่เมตร ด้วยความสงสัยที่ว่า ‘พื้นก็ไม่เห็นจะชันตรงไหนนี่นา’ ทำให้นายกองถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“พื้นก็ไม่ได้ชันอะไรอย่างที่ว่านี่นา ไม่เห็นต้องเสียเวลาทำอะไรแบบนี้เลย”
“เดี๋ยวถึงยอดท่านก็จะเข้าใจเองล่ะขอรับ” นายทหารนำทางกล่าวก่อนออกวิ่งล่วงหน้าขึ้นยอดไปสร้างความข้องใจให้นายกองหนักเข้าไปอีก และแล้วในที่สุดนายกอง และ ทัพของเขาก็ขึ้นมาถึงยอด
“เอาล่ะถึงซะ ที เฮือ~ก!” นายกองถึงกับเบิกตาค้างมองมายังทหารที่ถูกเปลื้องผ้าเหลือแต่ผ้าเตี่ยว 5 คนที่ถูกผูกปาก และ มัดรวมกันด้วยเชือกแบบที่มัดเอวตนอยู่ เมื่อดูดีๆ แล้ว ก็พบว่า ทั้ง 5 คนนี่คือทหารของตนที่ตนส่งขึ้นมาดูลาดลาว แต่ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ นายกองเริ่มใจไม่ดีกว่าตามองๆ รอบ ก่อนสายตาของเขาจะไปสะดุดเข้ากับ
“ว่าไงขอรับท่านนายกอง” นายทหารนำทางซึ่งทอดหมวกเกราะออกเผยให้เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์ และ ผมทรงหัวไข่ที่มีหางเต่า 2 เส้นย้อยลงมากลางหน้าผาก เด็กหนุ่มผู้มีชื่อว่าโออิชิ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ กับทหารบนเนินที่ตะโกนตอบรับกันอยู่เมื่อครู่ “ท่านนายกองมาถึงแล้ว นายว่าเราให้เขาพักหน่อยไหมเอจิ?”
“ไม่ๆๆ อย่าเสียเวลาดีกว่าแง่~ว ไหนๆ ก็มาถึงยอดแล้ว รีบลงเนินต่อดีกว่าเนอะ” คิคุมารุที่รับบททหารบนยอดเนินเอ่ยด้วยท่ากวนๆ “จะว่าไป โออิชิ ฉันเจอทางลัดด้วยล่ะ ถ้าใช้ทางนี้คงจะไปถึงด้านล่างได้ทันใจเลย”
“งั้นเราพานายกองไปเลยดีกว่า” โออิชิว่า
“โอเค” คิคุมารุ หันหลังหาทหารพันธมิตรเล่า-ซุน ที่ยืนเตรียมพร้อมกันอยู่ใกล้กับก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ใหญ่กว่าตัวพวกเขา2 คนเป็นเท่าตัววางอยู่ตรงของเนินผา ซึ่งมัดด้วยเชือกเส้นเดียวกันกับที่ผูกไว้กับนายกอง และ ทหารโจโฉทั้งทัพ “เอาล่ะ พวกเรา ส่งนายกองลงเนินกันแง่~ว!”
“ขอร๊า~บ…!!!” เหล่าทหารพันธมิตรเล่า-ซุน ขานรับด้วยเสียงกวนตามแบบฉบับหัวหน้าทัพของตน ก่อนจะนำไม้คานขนาดใหญ่เข้าไปช่วยกันงัดหินให้หล่นลงไป
“มะ! มะ! มะ! มะ! ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! ม่าย...!!” นายกองตะโกนลั่นพร้อมกับเหล่าทหารที่พากันแตกตื่นจนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ที่ถูกคู่หูแร็กเก็ตทองแห่งเซงาคุ ต้มซะเปื่อย
“เอา! การเดินทางลงเนินเที่ยวเดียว ไปแล้ว ไปลับ ไม่ได้กลับ ออกเดินทาง...!” สิ้นสุดคำพูดคิคุมารุ เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาก็งัดก้อนหินยักษ์นั่นลงไปพอดี
“ว๊า~ก...!!!”
“บ๊า~ยบาย...” คู่หูแร็กเก็ตทองโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปล่อยให้ทัพทั้งทัพร่วมไปถึงนายกองหน้าโง่ ลงไปดับอนาถอยู่ที่พื้นเบื้องล่าง ด้วยชั่วเวลาแค่พริบตา
โครม!
“อโหสิกรรมให้ด้วย” โออิชิก้มหัวลงเล็กน้อยขณะเอ่ยปิดฉาก
“แห~ม! เอาซะเท่เลยนะโออิชิ!” คิคุมารุเอาแขนกอดขอเพื่อนรักก่อนเอ่ยแซว อย่างเป็นกันเอง
“ฮี้...~!” ม้าที่โออิชิจิ๊กขึ้นมาเดินเอาหัวมาคลอเคลียโออิชิ
“โห~? ดูท่าเจ้าม้ามันจะชอบนายนะโออิชิ” คิคุมารุกล่าว “ไหนๆ เจ้านายมันก็... อย่างที่รู้กันอะนะ พวกเราก็ขี่เองเลยดีกว่า!”
“อื้ม! ก็ได้” ว่าจบทั้ง 2 ก็พากันขึ้นเจ้าม้าสมาชิกใหม่ของกองทัพ
“งานทางนี้เสร็จแล้ว เราไปหาทุกคนกันเหอะ!” คิคุมารุว่า
“อื้ม!” แล้วทั้ง 2 ก็ขี่ม้านำทัพของพวกเขาลงเนินไป
ค่ายย่อยทั้ง 4 ของทัพกังตั๋ง
“ตรงนั้นสินะ” นายกองทัพสุดท้ายที่ตรงเข้ามาหวังตีค่ายย่อยของกังตั๋งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เป็นค่ายสังเกตการณ์ และ แนวป้องกันขั้นต้น จากระยะไกลเอ่ยขึ้น
“ดูเงียบๆ ยังไงชอบกลนะ” นายกองอีกคนว่าขึ้น “เจ้าว่านี่มันเป็นกับดักไหม?”
“ข้าส่งคนไปดูแล้วอีกไม่นานพวกมันก็คงกลับมา” นายกองคนเดิมตอบ
“รายงาน...!” นายทหารคนหนึ่งขี่ม้ากลับมา “พร้อมธนูหนึ่งดอกปักที่หัวไหล่ และ อีกดอกปักที่ก้นม้า “ทางศัตรูซุ่มอยู่อย่างเงียบๆ ในป้อม ท่าทางจะเตรียมการมาดี จากที่ดูคงมีทหารอยู่กันเต็มป้อมแน่ ทางที่ดีเราอย่าเพิ่งบุกไปดีกว่า รอให้พวกมันชะล่าใจสักพักก่อน แล้วค่อยโจมตีมันอย่างไม่ให้ตั้งตัวขอรับ!”
“อืม... ขอบใจมากนะ” นายกองกล่าวขณะยิ้มให้นายทหารบนหลังม้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำในสิ่งที่ทำให้เพื่อนนายกองข้างๆ กัน และ ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเบิกตากว้างตกใจกันไปตามๆ กัน
ซวบ!
“จะ เจ้าทำอะไรน่ะ!?” นายกองข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“ทหารที่ข้าส่งไป... เป็นคนผิวดำ...” นายกองเจ้าของดาบอำมหิตดึงอาวุธของตนออกจากร่างไร้วิญญาณของทหารผิวขาวบนหลังมา ก่อนปล่อยร่างร่างนั่นหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น “นี่มันตัวปลอม…”
“ว่าไงนะ?” นายกองคนข้างๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
“พวกมันคงจับคนของเราได้ แล้วให้เจ้านี่สวมรอยมาแทน” นายกองคนว่าขณะมองไปยังค่ายทั้ง 4 “จากที่ไอ้หมอนี่มันโกหกมา มันบอกให้เราชะลอการบุกลงสักพัก... ดูเหมือนว่าพวกนั่นคงกำลังเตรียมการอะไรซักอย่างสินะ”
“งั้นเราจะยอมให้มันเตรียมเสร็จเหรอ ข้าว่าบุกมันเลยดีกว่า” นายกองข้างๆ ว่า
“ข้าเห็นด้วย...” ก่อนหันหน้ากลับมาหาทัพทั้ง 4 กองของตน แล้วจึงออกคำสั่ง “ทุกคนจงฟัง...! ทั้ง 4 กอง ให้แบ่งออกไปโจมตีค่ายกองละค่าย...! เราจะรีบโจมตีโดยฉับพลันไม่ให้ศัตรูได้ตั้วตัว...! ทุกคนพร้อม…!”
“พร้อมขอรับ...!!!” ทหารทั้ง 4 กองตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ทุกคนบุก...!!” นายกองชี้ดาบเบื้อนคราบเรือในมือไปข้างขณะตะโกนสั่งทัพ
“เฮ้...!!!”
ไม่นานนัก เหล่าทหารของทัพทั้ง 4 กอง ก็พังประตูค่าย ก่อนวิ่งกรูกันเข้ามาในค่าย ก่อนหยุดชะงักไปตามๆ กัน เมื่อพบว่า
“ทะ ท่านนายกองขอรับ...!” หนึ่งในทหารคนหนึ่งวิ่งออกมากล่าวรายงาน
“มีอะไร!?” นายกองถาม
“ข้างในค่าย... ไม่มีศัตรูอยู่เลยขอรับ!” นายทหารตอบ
“ห~า!? ว่าไงนะ!?” นายกองคนเดิมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนเอ่ยบอกเพื่อนอีก 3 คน “ไปดูกันเถอะ!”
แล้วทั้ง 4 ก็ควบม้าเข้าไปดูในค่ายเบื้องหน้าที่ใกล้ตนที่สุด พอก้าวเข้าไปในค่าย ก็ไปตามที่ทหารของตนบอก ในค่ายไม่มีวี่แววใครอยู่เลย
“อะไรเนี่ย? หรือว่าพวกมันหนีไปแล้ว?” นายกองคำหนึ่งว่าขึ้น
“ไม่หรอก ข้าว่าไม่ใช่อย่างนี่แน่” นายกองเจ้าของดาบอำมหิตค้าน
“ทำไมเจ้าถึงว่าอย่างงั้นล่ะ” นายกองอีกคนถาม
“ก็ดูรอบๆ สิ ข้าวของ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย...” ว่าจบสายตาของนายกองทั้ง 4 กองมองสำรวจดูรอบๆ ค่ายที่ยังคงเต็มไปด้วยหุ่นฝึกเตมลานซ้อมรบ แท่นแขวนอาวุธที่ยังคงเต็มไปด้วยอาวุธ มันธนูที่วางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ไปจนถึงภายชนะบรรจุเสบียงที่น่าจะอาหาร และ น้ำอยู่ข้างใน ทุกอย่างคงสภาพราวกับยังมีคนอยู่ พวกเขาหนีไปแล้วจริงๆ งั้นเหรอ หรือหายไปกับอากาศธาตุ ทิ้งให้ค่ายที่เต็มไปด้วยปริศนานี้ เป็นค่ายร้างคน
“มันชัก... จะแปลกเดินไปแล้วนะ...” เหล่าในกองเริ่มใจไม่ดีมาตงิดๆ ขณะพยายามมองหาจุดแก้ความข้องใจของตน ทันใดนั้นเอง
ตูม!
“ห๊ะ!? อะไรน่ะ!?” นายกองทั้งหมดหันไปมองที่เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ไกลจากพวกตนนัก คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นที่ค่ายใดค่ายหนึ่งของศัตรู
ตูม! ตูม!
“หรือว่า!?” นายกองทั้งหมดเริ่มเอะใจเมื่อเสียงระเบิดอีก 2 เสียงดังขึ้นใกล้ๆ กันซึ่งน่าจะเป็นอีก 2 ค่ายใกล้กัน ซึ่งกว่าจะรู้สึกก็สายเกินไปแล้ว
ตูม!
“จ๊า~ก...!!!” เหล่าทหารโจโฉร้องลั่นเมือดินระเบิดใต้เท้าตนระเบิดขึ้น
“ตอนนี้แหละ...!!” เสียงลิบองที่โผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัวในอีกค่ายหนึ่งให้สัญญาณ ก่อนพลธนูทั้งหลายจะออกมาจากที่ซ่อนบนกำแพงค่าย ถีบข้าศึกใกล้ตัวออกไปให้พ้นหน้าตน ลงไปยังลานค่าย แล้วจึงกระหนำยิงธนูลงไปอย่างไม่ยั้งมือ
“อ๊า~ก...!!!” เหล่าทหารที่โดนธนูพุ่งเข้าใส่ ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนสินใจลงไปเป็นศพนอนอยู่กับพื้นค่าย
“พวกเราหนีไปตั้งหลักก่อน…!!” ทหารโจโฉที่ยังอยู่ในค่ายต่างรีบกรูกันออกจากประตูของค่ายซึ่งมีอยู่ทางเดียว ซึ่งตรงหน้าประตูนั่น ก็ปรากฏนักรบ ทั้ง 4 คนที่ยืนรออยู่ที่หน้าค่ายพร้อมเก็บผู้ลี้ภัยจากห่าธนู
“อ๊า~ก...!!”
“...” จิวท่ายยังคงวางมาดนิ่งไร้ซึ่งเสียงใดๆ ขณะจัดการเหล่าทหารที่วิ่งออกมาจากค่ายมุมขวามือสุด
“เอานี้ไปกิน...!” ลิบองร้องออกมาด้วยความฮึกเฮิมพลางฟาดหอกสามง่ามของตนเข้าจัดการศัตรูทางค่ายถัดมา
“ย่าห์…!” ลกซุนที่แสดงลีลาอย่างไม่น้อยหน้าขุนพลทั้ง 2 กวัดแกว่งดาบเข้าฟาดฟันเหล่าข้าศึกที่ค่ายทางขวาสุด ที่เหลือก็มีแค่
“เอาไงดีอะ ศัตรูจะออกมาแล้วสิ…” คาวามูระเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ สร้างความกังวลใจให้กับทหารของเขาไม่น้อย
“เฮ้... ท่านหัวหน้าทัพเป็นแบบนี้จะไหวเหรอ?” นายทหารคนหนึ่งถาม
“ไม่รู้สิ ทำไงดี...” นายทหารอีกคนข้างๆ กันส่ายหน้าแต่ขณะที่กำลังสิ้นหวัง ภาพความทรงปรากฏจำชั่วพริบตาหนึ่งก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก “เดี๋ยวนะ! เท่าที่จำได้ ท่านกุนซือบอก เมื่อใดที่ท่านคาวามูระออกรบให้เอาอาวุธของท่านใส่มือท่านนี่นา”
“แล้วอาวุธท่านล่ะ... นั่นไง!” นายทหาร 2 คน มองไปยังกล่องใส่ลูกตุ้มที่ขงเบ้งมอบให้คาวามูระที่ว่างอยู่ใกล้ๆ เจ้าตัว ก่อนวิ่งไปเปิดกล่อง และ ใช่กำลังทั้งหมดที่มี ยกลูกตุ้มสุดหนักนี้ไปให้คาวามูระที่ยืนวิตกกังวลอยู่หน้าทัพ “ท่านคาวามูระขอรับ อาวุธประจำกายท่านขอรับ”
“อะ อ๋อ! ขอบคุณ” คาวามูระกล่าวขอบคุณท่ามกลางความลุ้นละทึกของทหารของเขา ขณะยื่นมือมาหยิบลูกตุ้มของตน และแล้ว “เบรินนิ่~ง...!! ฮ่าๆๆ...!!”
ทันทีที่เห็นหัวหน้าทัพของตนดับเครื่องชนเข้าโหมดบ้าคลั่ง ยกลูกตุ้มที่แรงคนธรรมดาไม่สามารถยกได้ ขึ้นเหวี่ยงเล่นอย่างคึกคะนอง ขณะร้องตะโกนแหกปากไปด้วยน้ำเสียงที่ดังไม่แพ้เตียวหุย ทหารทั้งหมดก็ใจชื้นขึ้นมาทันที
“เฮ้…!! ทัพข้าศึกอยู่ตรงนั่นงั้นเหรอ…!? อย่ารอช้า...!! ไปลุยกับพวกมันเลย...!! เบรินนิ่~ง...!! Let’s Rock and Roll Baby…!! ย๊าก...!!” หลังแหกปากเป็นที่พอใจแล้ว คาวามูระก็พุ่งตัวเข้าไปค่ายพร้อมกัดแกว่งลูกตุ้มมหาประลัยของตนเข้าฟาดเหล่าทหารโจโฉกระเด็นไปคนละทิศละทางอย่างดุเด็จเผ็ดมัน ทำเอาขุนพลกังตั๋งทั้ง 3 ถึงกับเบิกตากว้าง ทหารถึงกับมองตาค้าง เมื่อขุนผลมาดหงิมของตน เปลี๊ยนไป๋
“อ๊า~ก...!!” เหล่านายกองทั้ง 4 ที่อยู่ในค่ายใต้การโจมตีของคาวามูระ ถูกลูกตุ้มพิฆาตซัดเอาจนหมดสภาพไปตามๆ กัน
ไม่นาน ด้วยการประสานกันของระเบิด พลธนู และ นักรบทั้ง 4 ทัพของโจโฉทั้งหมดก็ถูกจัดการโดยใช้เวลาไม่นานนัก
“หมดแค่นี้เองเหรอ...!? ยังไม่สะใจเลย...!! เบรินนิ่~ง...!!” คาวามูระยังคงตะโกนโหวกเหวกโวยวายต่อทั้งๆ ที่ไม่มีใครเหลือให้สู้แล้ว
“เออ... มีใครจะอาสาไปเอาอาวุธออกจากมือท่านมั้ย?” นายทหารคนหนึ่งถาม พลางพาพรรคพวกทั้งหมดมองไปยังคาวามูระที่ยังคงเหวี่ยงลูกตุ้มของตนไปมาอย่างบ้าคลั่งจนคนใกล้ๆ ต้องถอยออกจากรัศมีการโจมตีมาตามๆ กัน ทำเอาหวาดผวาไปทั้งทัพ
“ไม่...!!” ทุกคนส่ายหน้า พลางตอบปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
“เอาล่ะ ทหารกองหนึ่งคอยจัดการทางนี้ให้เรียบร้อย...!” ขณะที่คาวามูระยังคงอาลาวาทอยู่ไม่หยุด ลิบองก็เริ่มบัญชาการกองทัพของพวกเขา “ที่เหลือตามมาเตรียมพร้อมไปรวมทัพใหญ่…!”
“คาวามูระเราจะไปรวมทัพกันแล้วนะ...!” ลกซุนตะโกนบอกคาวามูระ
“ไปรวมทัพเหรอ!? ได้! ไปเดี๋ยวนี้แหละ เบรินนิ่ง...!!” คาวามูระที่ได้ยินเพียงแค่ ‘ไปรวมทัพ’ ก้าวเท้าออกวิ่งไปยังจุดนัดรวมทัพอย่างรวดเร็วพร้อมลูกตุ้มที่ยังคงอยู่ในมือ โดยไม่ฟังคำใดๆ จากเพื่อนร่วมทัพอีก 3 คนเลยแม้แต่น้อย
“เป็นคนที่น่าสนใจดีนะขอรับ...” ลกซุนว่า ก่อนทั้ง 3 จะนำทัพตามคาวามูระไป
“ไม่น่าเชื่อว่าลูกตุ้มอันเดียวจะเปลี่ยนคนได้ขนาดนี้” บองกล่าวทิ้งท้าย
จุดรวมทัพ พันธมิตรเล่า-ซุน
“อ้า~ว คาวามูระ?” ลกซุนเอ่ยขึ้นงงๆ เมื่อเห็นคาวามูระยืนประจำที่รวมกันอยู่กับเหล่าเซงาคุทุกคนที่เพิ่งกลับมาจากการซุ่มโจมตีตามจุดต่างๆ ด้วยโหมดที่กลับสู่เด็กหนุ่มมาดหงิมดังเดิม หลังเขา ลิบอง และ จิวท่ายนำทัพเดินตามมาถึงจุดนัดรวมทัพ “กลับเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ห~า? อ๋~อ เมื่อกี้เหมือนสะดุดอะไรก็ไม่รู้ล้มน่ะ” คาวามูระว่า
“เหรอ?” ลิบอง กับ จิวท่ายพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไรมาก ‘โชคดีไป’
“หื~ม?” สายตาช่างสังเกตของลกซุนไปสะดุดเข้าทหาร 2 คนที่กำลังเก็บเชือกเส้นหนึ่งที่วางขั้นไว้อยู่ตรงหน้าทางเข้าจุดรวมทัพ ‘เหอๆ เล่นอย่างงี้เองเหรอ?’
“ทางนั้นเป็นไงบ้าง?” จิวยี่ที่นั่งอยู่บนแท่นสูงกลางกองทัพ ซึ่งมีขงเบ้ง เล่าปี่ และ ซุนกวนนั่งอยู่ด้วยกัน ที่มุมซ้ายขวาของแท่นมีกลอง และ ฆ้องวางไว้ข้างละชุด พร้อมกับเด็กรับใช้ที่ถือไม้ตีประจำการอยู่ 5 คน (ใครน้อ?) เอ่ยถามทั้ง 3 ที่ตามมาทีหลัง
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ข้าทิ้งทหารไว้เล็กน้อยให้คอยจัดการค่ายตรงนั่นให้เรียบร้อย ขอรับ” ลิบองรายงาน
“เยี่ยมมาก พวกเจ้าเข้าประจำที่ได้” จิวยี่กล่าว
“ขอรับ…!” ว่าจบทั้ง 3 ก็ไปประจำที่ที่ตนได้รับมอบหมายเอาไว้
“เอาล่ะ เราจัดการทัพที่กระจายตัวกันออกมาหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่ทัพหลักของแฮหัวเอี่ยนที่ตรงมาทางนี้...” จิวยี่ว่าด้วยความพอใจ ก่อนลุกขึ้นออกคำสั่ง “ทหารม้าออกวิ่งได้...!”
“ขอรับ…!!” ว่าจบทหารม้าที่ยืนอยู่รอบๆ ทัพใหญ่ ก็ออกวิ่งวนไปมา ทำให้กิ่งไม้ที่ผูกไว้กับเชือกที่ผูกไว้กับม้าลากไปตามพื้น จนฝุ่นดินผงคลีม้าลอยคลุ้งเต็มอากาศ
“ท่านขงเบ้ง ส่งสัญญาณไปบอกหัวหน้าทัพเอจิเซนได้แล้ว” จิวยี่เอ่ยขอขงเบ้ง
“จิงเหวย...” ขงเบ้งเรียกนกพิราบส่งสาสน์ประจำตัวที่เกาะอยู่บนกลองทางขวามือให้บนมาหาตน “ไปหาเรียวมะนะ...”
“ไปดีมาดีล่ะ สาวน้อย” จิวยี่กล่าว
“ไป!” ว่าจบขงเบ้งก็ปล่อยสาวน้อยจิงเหวยให้บินออกไปยังจุดหมาย “เราเตรียมพร้อมดีกว่า”
“อืม...” จิวยี่รับคำ “ทุกคน...! จัดกระบวนทัพ...!”
ทัพของเอจิเซน
“เอจิเซน ดูนั้น” ซีซิงในชุดทหารแบบหมวกเกราะปิดหน้าเอ่ยบอกเอจิเซน ขณะชี้มือไปยังจิงเหวยที่กำลังบินมาทางพวกเขา
“ขงเบ้งส่งสัญญาณมาแล้ว...” เอจิเซนว่า พลางมองพิราบขาวตัวสัญญาณบินวนกลับไปหาขงเบ้งดังเดิม “นี่... นาย
“โถ่~… ท่านเอจิเซน บอกแล้วไงขอรับ ข้าชื่อหวังกู” ทหารปากเสียที่เคยเอ่ยดูถูกเอจิเซนเมื่อครั้งฝึกทหาร พูดกับเอจิเซนด้วยท่าทีอ่อนน้อม “ท่านไม่จำเป็นต้องย้อนความก็ได้ ข้าผิดไปแล้ว ข้ามันมีตาไม่มีแววมองไม่เห็นฝีมือของท่าน ให้อภัยข้าเถิด”
“แห~ม ทีตอนแรกทำเป็นใหญ่เป็นโตวางกล้าว่าเขา มาตอนนี้เลียแข้งเลียขาเชียวนะ…” ซีซิงเอ่ยประชดประชันหวังกู
“ซิง นี่เห็นว่าเจ้าสนิทกับท่านเรียวมะเฉยๆ นะ ไม่งั้นข้าชกแล้วนะนี่” หวังกูว่า
“โห~ย หยั่งกะทำได้ ตอนซ้อมรบกัน มีสักครั้งไหมที่เจ้าเอาชนะข้าได้” ซีซิงหรือ ที่คนในทัพรู้จักกันในนาม ซิง ชื่อที่เจ้าตัวใช้ปลอมเป็นชาย เอ่ยเย้ย
“ชิ!” หวังกูเถียงไม่ออก
“จะทะเลาะกันอีกนานไหม?” เอจิเซนชักแอบนึกในใจว่าตนคิดผิด ที่ให้ 2 คนนี้ขึ้นมาช่วยตนคุมทัพ แต่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนได้ เนื่องมาจากในกองของเขา คนที่มีฝีมือรองจากเขาเป็นอันดับ 1 และ 2 ก็คือเจ้า 2 คนนี้นี่เอง “หวังกู ขยายเสียง... ทุกคนเตรียมพร้อม...”
“ขอรับ” หวังกูรับคำก่อนทำหน้าที่โทรโขงให้เอจิเซน “ทุกคนเตรียมพร้อม…!”
“ทางขงเบ้งส่งสัญญาณมาแล้ว” เอจิเซนว่าเบาๆ ปล่อยให้หวังกูขยายเสียงตน
“ทางท่านกุนซือส่งสัญญาณมาแล้ว...!”
“ทำตามแผนได้”
“ทำตามแผนได้...! รับทราบ...!?”
“รับทราบขอรับ…!” เหล่าทหารในทัพตอบรับ
“รับทราบ ยังฉันไม่ได้พูดนี่?” เอจิเซนท้วง
“แหะๆ ข้าพูดเองล่ะขอรับ อยากลองออกคำสั่งบ้าง” หวังกูว่า
“ทำไปได้...” ซีซิงส่ายหน้าหน่ายๆ
“ยังไงก็ช่าง... ไปกันเหอะ...” ว่าจบเอจิเซนก็เคลื่อนทัพไปปฏิบัติตามแผน
ทัพแฮหัวเอี่ยน
“ทางข้างหน้าเป็นไง?” แฮหัวเอี่ยน เอ่ยถามทหารดูลาดลาวที่เพิ่งขี่ม้ากลับมา
“ไม่มีใครอยู่เลยขอรับ สงสัยจะอพยพหนีไปหมดแล้ว” ทหารดูลาดลาวรายงาน
“หึๆๆ... พวกขี้ขลาด แค่ได้ว่าพวกเราจะมาก็คงวิ่งหนีกันจุกก้นแล้วสินะ ฮ่าๆๆ” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยอย่างลำพองตน
“ฮ่าๆๆ...!!!” เหล่าทหารรอบข้างหัวเราะ
“ฮ่าๆ ไม่แน่นะท่านแม่ทัพ ตอนมันได้ว่าพวกเราจะมา พวกมันคงรีบทุลนทุลายเผ่นกันจ้าละหวั่นจนเหยียบกันตายเอง ไม่ต้องเสียแรงพวกเราเลย ฮ่าๆๆ” นายกองที่ยืนม้าอยู่ข้างๆ กันตอกไข่ผสมโรง
“หรือไม่ก็ ช็อกตายคาทีทันที่ได้ยินว่าท่านแม่ทัพแฮหัวเอี่ยนนำทัพมา ใช่มั้ยขอรับ” นายกองอีกคนเอ่ยเยินยอแม่ทัพฝ่ายตนเอง
“ฮ่าๆ…! พูดได้ดี ดูได้ดี ฮ่าๆๆ...!!” แฮหัวเอี่ยนหัวเราะอย่างถูกใจ
“ฮ่าๆๆ...!!!” เหล่าทหารรอบข้างยังคงหัวเราะไม่หยุด แต่แล้ว “อ๊า~ก...!”
“ไม่ก็กระโดดลงมาฟันคอพวกนายทีละคน...” เอจิเซนที่ควบม้ากระโดดมายืนที่หน้าแฮหัวเอี่ยนพร้อมฟาดดาบตัดคอทหารปากดีข้างๆ ตายคาที่ เอ่ยด้วยแววตาเย้ยยั่น ก่อนตะโกนออกคำสั่งโจมตีในขณะที่แฮหัวเอี่ยน และ ทัพของเขายังคงตกตะลึงกับการมาของเอจิเซน “บุกได้...!”
“ทุกคนโจมตี...!/พวกเราลุย...!” ซีซิง และ หวังกูเอ่ยกระจายคำสั่งพร้อมกัน ก่อนกระทุ้งท้องม้าควบนำทหารเพื่อนร่วมทัพเข้าจู่โจมทัพโจโฉ
“บุก...!!!” ทหารพันธมิตรเล่า-ซุนตะบันม้าเข้าไปประจัญบานตามลูกพี่ใหญ่ทั้ง 2 อย่างไม่รอช้า ทหารทัพโจโฉที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเปลี่ยนอาการจากตกตะลึงเป็นแตกตื่นทันทีที่ทัพม้าของเอจิเซนเข้าปะทะกับพวกตน
“ตานาย...” เมื้อที่ทัพ2ปะทะกัน เอจิเซนก็หันดาบของตนเข้าฟันแฮหัวเอี่ยนทันที
“เฮ้ย!”
เคล้~ง!
"เห~...” เอจิเซนยิ้มกวนๆ ด้วยความทึ่งเล็กน้อยที่ดาบสไตล์ตะวันตกของตนถูกแฮหัวเอี่ยนยกดาบโค้งเล่มหนาขนาดใหญ่ขึ้นรับไว้ได้ พร้อมใช้ดาบนั่นผลักตัวเขาออกปากรัศมีการโจมตี “ไม่เบานี่”
“อย่ามาหยามกันนะเฟ้ย! ถึงฝีมือข้าจะสู้ท่านพี่แฮหัวตุ้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนพลคนใดในทัพของท่านโจโฉ!” แฮหัวเอี่ยนตะวาดเอจิเซน
“งั้นต้องลองกันหน่อย” เอจิเซนว่ายิ้มๆ ควบม้าเข้าสู้แฮหัวเอี่ยนอีกครั้ง
“มาเลยเจ้าหนู!” แฮหัวเอี่ยนก็ไม่น้อยหน้าเงื้อดาบตะบันม้าเข้าใส่เอจิเซนเช่นกัน
กรอบ! กรอบ! เคล้~ง! กรอบ! เคร้~ง! เคร้~ง! ควับ! เคล้~ง! กรอบ! ควิ้ง…!
ทั้งน้องชายขุนพลตาเดียวแห่งทัพวุย และ เจ้าเปี๊ยกว่าที่เสาหลักแห่เซงาคุ ฟาดดาบใส่กันอย่างดุเดือด แฮหัวเอี่ยนได้เปรียบจากประสมการณ์ขี่มากที่เหนือกว่าเอจิเซน ซึ่งสั่งสมมาจากการศึกหลายครั้ง ส่วนเอจิเซนก็ได้เปรียบจากร่างกายอันคลองแคล้ว และ ว่องไวขอเด็กหนุ่มวัยเยาว์ที่ทำให้เปี๊ยกเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าแฮหัวเอี่ยนเป็นเท่าตัว แม้จะมีข้อเสียเปรียบกันคนละจุด แต่นั่นก็ไม่เป็นหาแก่ทั้ง 2 ฝ่ายเลย
“ไม่เลวนี่เจ้าหนู!” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยชมยิ้มๆ ขณะทั้งหยุดอยู่ในท่าประดาบประลองกำลังกัน
“ลุงก็ไม่เบาเหมือนกัน” เอจิเซนตอบกลับ และ ไม่วายเอ่ยคำประตัวตนตามไป “แต่แค่นี้ยังอ่อนหัดอยู่นะ”
“เหอะ! น่าเสียดายที่เราตัดสินไม่ได้... มันคงจะดีกว่าถ้าข้ากับเจ้าไม่ได้สู้กันในที่แบบนี้!” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยด้วนน้ำเสียเสียดดาย ก่อนผละตัวควบม้าถอยออกมา “เพราะนี่คือสงคราม ผู้ชนะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีกองทัพแข็งแกร่งที่สุดต่างหาก...”
“เอ๋~?”
“เจ้าพวกบ้า...!! พวกเจ้าจะกลัวอะไรนักหนาวะกะอีกแค่ทหารม้ากองเดียว…!! กำลังพลของเรามากกว่าก็กรูเข้ารุ่มพวกมันเลยเซ่...!!” ในขณะที่เอจิเซนกำลังงงอยู่กับคำพูดของตน แฮหัวเอี่ยนก็ตะโกนด่าทหารในทัพตนที่ยังคงสู้กับทหารม้าของเอจิเซนด้วยความแตกตื่นให้หันกลับมาตั้งสติ “เอา…!! ลุย...!!”
“ฮะ เฮ้...!!!” ทหารทัพโจโฉที่ได้สติกลับมาตั้งกลับมาแนวรบต้านหยุดทัพม้าลง ก่อนตีโต้กลับไปอย่างไม่ลังเล เมื่อได้คำด่าจากแม่ทัพของตนปลุกความฮึกเฮิมให้กลับคืนมาดังเดิม “ดันพวกมันกลับไป...!!!”
“เฮ้ย...!” หวังกู และ พรรพวกที่ถูกดันกับมาร้องออกมาด้วยความตกใจ
“เอจิเซน...! พวกมันรุกคืนแล้ว...!” ซีซิงตะโกนบอกเอจิเซน
“บอกถอยทัพ...” เอจิเซนที่ควบม้าถอยจากแฮหัวเอี่ยนตรงมาหาพวกเขา เอ่ยบอกให้หวังกูให้ขยายคำสั่งตน
“ขอรับ” หวังกูสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนตะโกนสุดแรง “พวกเราถอยทัพ...!!”
“ไปเร็ว...!!!” ทันที่หวังกูกรายคำสั่ง ทัพของเอจิเซนก็ดังบังเหียนม้ากลับหลังหันแล้วควบถอยทัพหนีตามคำสั่ง
“ล้อมพวกมันไว้...!!!” ทหารโจโฉไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยตีวงล้อมกระหน่ำรุกต่ออย่างไม่ให้ทหารม้าของเอจิเซนได้พัก
“เฮ้…! ข้างหน้าน่ะ...! ไปเร็วกว่านี้หน่อย...!” หวังกูที่อยู่แถวหลังสุดของทัพข้างๆ กับซีซิง และ เอจิเซน ตะโกนบอกพวกข้างหน้าให้เร่งฝีเท้า (ม้า) ขึ้น ขณะเหวี่ยงดาบเข้าสู้เข้าหยุดยั้งทัพแถวหน้าของแฮหัวเอี่ยนไม่ให้ตีวงล้อมปิดทางหนีของพวกเขา ร่วมกับเอจิเซน ซีซิง และ เพื่อนทหารยืนม้าเรียงกันอยู่ที่แถวสุดท้าย
“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราต้องถูกมันจับไว้ได้แน่เลย!” ซีซิงว่าเอ่ยอย่างวิตกกังวล
“ลองใช้แผนนี้แล้วกัน...” เอจิเซนพึมพำกับตัวเอง
“หะ ห~า?” ซีซิง และ หวังกูอุทานประสานเสียงกันขณะมองหน้าเอจิเซนที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา 2 คน อย่างงงๆ
“หวังกูเอาหูมานี่” เอจิเซนออกคำสั่งซึ่งหวังกูทำตามโดยดี ก่อนกระซิบบอกแผนการของตน ขณะที่มือยังเหวี่ยงฟันทหารโจโฉที่พุ่งเข้ามาโจมตีตน
“อ่า... อะ เอางั้นเหรอขอรับ” หวังกูมองหน้าเอจิเซนอย่างอึ้งๆ
“เอางั้นแหละ” เอจิเซนตอบก่อนแทงดาบเสียบทหารโจโฉที่กระโดดมาจะฟันตน
“กะ ก็ได้ขอรับ” หวังกูรับคำสั่งอย่างหวาดๆ
“อะไรเหรอ?” ซีซิงถามอย่างใจไม่ดี
“ระ รอดูแล้วกัน... เออใช่... ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ...” หวังกูสูดหายเข้าลึก ลึก ลึกจนปอดไม่เหลือที่วางให้อากาศสอดแทรกเข้า ภายใต้สายตางงๆ ของซีซิงหลังได้ยินคำพูดราวกับกำลังลาตาย และแล้วคำตอบของเธอก็ปรากฏ “เฮ้ย...!!! อะไรวะนั่น...!!!”
“หื~อ…!!!?” เหล่าทหารโจโฉหันไปมองตามมือหวังกู ที่แหกปากตะโกนลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมด้วยอาการทึ้ง และ อึ้ง ของเหล่าทหารเล่า-ซุนที่ด่าประสานเสียงกันในใจว่า ‘มุขหลอกเด็กนี่มันอะไรวะเนี่ย...!!!?’
“ไป!” เอจิเซน และ หวังกูเก็บดาบเข้าฟักก่อนดึงบังเหียนม้าของตนกลับหลังหัน ก่อนกระทุ้งท้องม้าให้ออกวิ่งสุดแรงเกิด โดยในมืออีกข้าของเอจิเซนดึงเชือกบังคบม้าของซีซิงหันมา และ ออกวิ่งมาทางเดียวกัน
“อะไรเนี่ย!?” ซีซิงที่ก้มลงกอดคอม้าของตนที่ถูกเอจิเซนดึงให้ออกวิ่ง ด้วยความตกใจ ขณะเอ่ยถามด้วยความข้องใจ
“ไว้บอกทีหลัง ขี่ม้าตามาก่อนเร็ว...” เอจิเซนตอบปัดๆ ซีซิงจึงได้ตาดึงสายบังคับม้ากลับคืนมา แล้วสะบัดสายให้ม้าออกวิ่งภายใต้การความคุมของตน ขณะมองรอดูแผนการของเอจิเซนอย่างหวั่นใจ
“เอาล่ะ” หวังกูสูดหายเข้าเต็มปอด ก่อนแหกปากตะโกนอีกครั้ง “เฮ้ย...!!! ใครไม่รีบตามมา ท่านเอจิเซนทิ้งอย่าว่ากันนะเฟ้ย...!!!”
“ดะ เดี๋ยวสิ...!!!/มะ มาแล้ว...!!! /ระ รอด้วย...!!!” ทันทีที่ได้ยินคำสั่งตัดเยื่อใยของหัวหน้าทัพตน (ที่ขยายด้วยโทรโขงหวังกู) เหล่าทหารของเอจิเซนต่างก็ตาลีตาลานเอามือตบก้น สะบัดสายบังคับ กระทุ้งท้อง ทำทุกวิธีให้ม้าออกวิ่งตามหัวหน้าที่ล่วงหน้าออกไปแล้วให้ทัน อย่างสุดชีวิต และแล้ว สิ่งที่เอจิเซนหวังไว้ก็เป็นผล ทหารทุกคนที่เกือบตกเข้าไปอยู่ในวงล้อมของทัพแฮหัวเอี่ยนก็หลุดออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์
“สุดยอด!?” หวังกูมองอย่างอึ้งๆ ขณะที่มองดูเพื่อนร่วมทัพของตนควบม้าตามตามพวกตนมาติดๆ “ได้ผลจริงด้วย”
“นี่แผนนายงั้นเหรอ?” ซีซิงเอ่ยถามขณะที่ยังไม่อย่าเชื้อสายตากับสิ่งที่เห็น
“แค่เสี่ยงดวงดู” เอจิเซนตอบหน้าตาย “เอาล่ะ กลับมาดำเนินตามแผนต่อ”
“ขอรับ” หวังกูสูดหายจะตะโกนกระจายคำสั่ง
“ไม่ต้องขยายเสียง” เอจิเซนเอ่ยขัดคอ
“เจ้าบ้า! จะหลอกคนศัตรู จะตะโกนบอกให้ศัตรูได้ยินทำไม?” ซีซิงเอ่ยว่าหวังกู
“อะ เออ... โทษที” หวังกูกล่าวขอโทษ ก่อนทั้ง 3 จะนำทัพม้าของพวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังจุดนัดรวมทัพ
“...” เหล่าทหารทัพโจโฉยังคงยืนเหวออยู่กับที่
“เจ้าพวกงั่ง...!! จะรออะไรวะ...!! ตามพวกมันไปเซ่...!!” แฮหัวเอี่ยนตวาด
“ขะ ขอรับ...!!!”
จุดรวมทัพพันธมิตรเล่า-ซุน
“โห~...” คิคุมารุที่ยืนอยู่บนไหล่คาวามูระ ที่ยืนอยู่บนไคโด และ โมโมะที่ช่วยกันประคองขาทั้ง 2 ข้างของคาวามูระขึ้นระดับอกตน ซึ่งพวกตนก็ยืนอยู่บนแท่นบัญชาการกลางกองทัพอีกที (โอ้~!? กายกรรมคณะเซงาคุ) เอ่ยร้องเสียงประจำตัวของตน ขณะมองหาวีแววของเอจิเซนที่น่าจะเข้ามารวมทัพได้แล้ว
“เอจิเซนมารึยังเอจิ?” ขงเบ้งเอ่ยถาม
“มาแล้ว! พาทัพหลักของข้าศึกมาตามแผนเลย!” คิคุมารุตอบ
“งั้นทุกคนประจำที่ได้…!” จิวยี่สั่ง
“ครับ!” ทั้ง 4 คนขานรับ ก่อนที่คุคิมารุจะกระโดดตีลังกาลงมายืนลงมาอย่างสวยงาม พร้อม 5 ตัวประกอบที่ชูป้าย 10 แต้มเรียงกันเป็นแถว (ทำไปได้... เฮ้เดี๋ยวนะ!? แสดงว่ามโหรี 5 คนเนี่ยพวกซากุโนะสินะ) ส่วนผู้เป็นฐานทั้ง 3 คนวางกันลงกลับมายืนง่ายๆ แล้วจึงแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่ง
“ได้เวลาสำแดงอนุภาพทัพพันธมิตรเล่าซุนของเราแล้ว” จิวยี่ว่า
ทางทัพแฮหัวเอี่ยน
“พวกมันหลบเข้าไปในควันนั่นแล้วขอรับท่านแม่ทัพ!” นายกองหนึ่งในนายกองที่ควบม้าอยู่ข้างแฮหัวเอี่ยนว่าขึ้นขณะที่ชี้ไปทางทัพเอจิเซนที่หายไปกลุ่มควันที่เกิดจากฝนดิน และ ผงคลีม้า
“เร่งฝีเท้าขึ้น…! อย่าให้มันหนีไปได้...!” แฮหัวเอี่ยนกำฉับ ก่อนนำทั้งนายกอง ทหารม้า และ ทหารเดินเท้าวิ่งเข้าไปในกลุ่มควันนั่น โดยหารู้ไม่ว่าทัพพันธมิตรเล่า-ซุนได้เตรียมการต้อนรับแสนพิเศษให้พวกเขา
กรอบ! กรอบ! กรอบ! ตึก! ตึก! ตึก ครืน...!!
เสียงบางประหลาดบางอย่างดังขณะที่แฮหัวเอี่ยน และ ทัพของเขาเดินเข้าวิ่งกรูกันเขามาในกลุ่มควัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้พวกเขาเอะใจอะไร อันเนื่องจากสมาธิความตั้งใจทุกอย่างเพ่งเล็งไปที่การตามทัพเอจิเซนให้ทันอย่างเดียว
ครืน...!! ครืน...!! ครืน...!! ครืน...!! ครืน...! !ครืน...!! ครืน...!!
เสียงประหลาดนั่นยังคงดังต่อเนื่องเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็เงียบไป พอดีกับแฮหัวเอี่ยนที่ไล่ตามถึง พวกเอจิเซนหยุดม้าลงเผชิญหน้าเขาพอดี
“ถอดใจหนีแล้วเหรอหนู?” แฮหัวเอี่ยนถามเย้ยๆ
“เผอิญขี้เกียจหนีแล้ว หันมัดการลุงให้จบไปดีกว่า” เอจิเซนว่า
“เหอะ! ทัพกระจ้อยร่อยของเจ้าจะทำอะไรทัพมหากาฬของข้าได้” แฮหัวเอี่ยนว่าขณะยังไม่รู้สึกตัว
“เห~…? ทัพกระจ้อยร่อยกับทัพมหากาฬของใครนะ ไหนลุงลองมองดูรอบๆ ซิ” เอจิเซนว่ากวนๆ
“หา~?” แฮหัวเอี่ยนหันไปมองข้าหลังตนก่อนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อทหารทัพมหากาฬของตนเหลือเพียงแค่ทหารเดินเท้าแค่กองเดียว ที่กำลังแตกตื่นมองหน้าถามกันเองว่า พลที่เหลือไปไหนหมด “มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…!?”
ไม่นานฝุ่นควันผงคลีม้าที่กระจายฟุ้งอยู่เต็มอากาก็ค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นความจริงที่ซ้อนอยู่ใต้มัน ซึ่งทำให้แฮหัวเอี่ยนถึงกับอ้าปากค้าง
รอบๆ ตัว และ ทหารของเขา เต็มไปด้วยทหารที่ถือโล่ 4 เหลี่ยมขนาดเท่าตัวคนต่อแถวหน้ากระดานยืนเรียงกันเป็นกำแพงสี่เหลี่ยมคางหมูล้อมรอบพวกเขาไว้ และ เมื่อมองไปยังรอบๆ ก็จะเห็นกำแพงโล่ทหารเล่า-ซุนที่ยืนเรียงแบบเดียวกันรวมกับที่ตนถูกขังอยู่เป็น 8 กองที่เรียงต่อกันเป็นรูปแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่โดยฐานไม้ที่เต็มไปด้วยนักธนู ซึ่งถัดขึ้นไปก็คือแท่นบัญชาการที่มีจิวยี่ ขงเบ้ง เล่าปี่ ซุนกวน และ มโหรีปีหนึ่งทั้ง 5 ยืนประจำอยู่ เป็นจุดศูนย์กลาง หรือที่รู้จักกันในนาม
ค่ายกล 8 ทิศ
ในแต่ละช่องของกำแพงโล่ล้อมเอานายกอง และ ทัพทหารแต่ละกองแยกไว้เป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าประจัญบาน โดยแต่ละช่องจะมีคุณพลประจำอยู่เป็นผู้ร่วมการบรรเลงการตะลุมบอน ซึ่งแต่คะคำกำลังรอคำสั่งโหมโรง
“ท่านขงเบ้งให้เป็นวาทยากรดนตรีเปิดค่ายกล 8 ทิศของเราด้วย” จิวยี่เอ่ยยิ้มๆ
“ด้วยความยินดีท่านจิวยี่” ขงเบ้งตอบรับขณะยกพัดขึ้นสุดแขน แล้วชี้ลงมาข้างหน้าพร้อมออกคำสั่ง “ซาโตชิ โทโมกะ คาจิโร่ คัทสึโอะ บรรเลงได้”
“ครับ!/ค่ะ!” ว่าจบโฮริโอะ โทโมกะ คาจิโร่ และ คัทสึโอะ ก็กระหน่ำไม้กลองฟาดใส่กลองศึกเป็นสัญญาณเปิดศึก (ซากุโนะประจำอยู่ที่ฆ้อง ยังไม่ได้ตี)
“เชิญท่านจิวยี่” ขงเบ้งผายมือเชิญผู้เป็นแม่ทัพสั่งการ
“โจมตีได้....!” จิวยี่ตะโกนสั่งจู่โจม
“ลุยก่อนเลย...!” กำเหลงที่อดทนอดกลั้นมานานกระโดดเข้าเหวี่ยงดาบสองมือของตนเข้าประจัญบานทหารโจโฉในพื้นที่ของตนอย่างบ่าระห่ำ “เฮ้…! โมโมะ รออะไรอยู่อาลาวาทให้เต็มที่เลยเซ่...!”
“จัดให้ครับคุณกำเหลง...!” โมโมะตอบรับขณะออกแรงกระโดดขึ้นฟ้า พลางเงื้อค้อนศึกสุดแขน ก่อนฟาดลงมากลางกลุ่มทหารโจโฉทำเอาคนที่อยู่ในรัศมีกระเด็นไปออกไปตามแรงกระแทก ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางค้อนพอดี... เออ... ไม่ขอบรรยายละกัน และไม่ลืมตะโกนชื่อท่านี้ของตนออกมา “ดังค์สแมช...!”
ตูม!
“โห~…! มันต้องอย่างงี้เซ่...!” กำเหลงร้องออกมาด้วยความซะใจ ก่อนเอ่ยชวนโมโมะเข้าสู้พร้อมกัน “มาลุยพร้อมกันเลย...!”
“ครับผม...!” โมโมะตอบรับด้วยอารามณ์ไม่ต่างกัน
“ย๊าก...!!”
“ย่าห์! ฮึบ! ย่ะ! อ~ะจู้~!” เล่งทองที่ไล่กระโดดเตะก้านคอเหล่าทหารในพื้นที่ของตนข้างๆ ประสานกับการเหวี่ยงพลอง 2 ท่อนที่มีขนาดเท่าแขนคนที่ตรงปลายมีใบมีดคล้ายเคียวติดอยู่ เข้าปลิดชีพศัตรูโชว์ลีล่าขุนศึกกังฟูให้ทุนได้เห็น “ไคโดจัดการมุมนั่นให้ที...!”
“ครับ” ไคโดรับคำสั่งก่อนย่อตัวลงน้อยมองไปยังเป้าหมายที่เรียงรายอยู่ข้างหน้าเหมือนอสรพิษที่กำลังแผ่แม่เบี้ย ขวาศึกด้ามยาวในมือขวาถูกยืดออกไปสุดแขน เตรียมพร้อมโจมตี และในที่สุด อสรพิษหนุ่มก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างแรงหนึ่งก้าวพร้อมเหยี่ยงขวานในมือเป็นวงยาวไปข้างหน้าก่อนปล่อยให้มันลอยออกไปหมุนวนไปตามแนวขวางซึ่งพึ่งผ่านร่างของทหารโจโฉที่อยู่ในรัศมีสังหารของมัน ก่อนลอยกลับมาที่มือผู้ถือพร้อมกับชื่อท่า และ เสียงงูเอกลักษณ์ประจำตัว “บูมเมอแรงสเน็ค...! ชู่ว์...!”
“โว้~ว...!” เล่งทองมองไคโดอึ้งๆ ขณประทัพรอยเท้าใส่ทหารเบื้องหน้าตน ก่อนเอ่ยชมเพื่อนนักรบวัยเยาว์ “เจ๋งนี่นา! เอาเก็บพวกมันให้หมดเลย!”
“ครับ...! ชู่ว์...!” ไคโดตอบรับก่อนทั้ง 2 จะดำเนินลีลาการต่อสู้น่าพิศวงต่อไป
“ย่าห์...!!”
“ย๊ะ...!” ง้าวมังกรเขียวในมือขุนพลสาวหน้าแดง ตัดผ่านร่างของทหารฝ่ายศัตรูไปคนแล้วคนเล่า และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงนกว่าจะไม่มีร่างของใครเหลือเป็นเครื่องสังเวยง้าวพิฆาตของตน “โออิชิไหวมั้ยจ๊ะ? ถ้าไม่ไหวปล่อยให้ข้าจัดการเองก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ” โออิชิยิ้มตอบกวนอูที่ถึงจะเป็นที่น่าหวั่นเกรงในหมู่ทหาร แต่สำหรับเด็กอย่างพวกเขาเหล่าเซงาคุ เธอก็คือคุณแม่แสนดีผู้มีฝีมือไร้เทียมทานก็เท่าเอง “ผมสบายๆ ครับ ไม่ต้องห่วง”
“อย่าฝืนตัวเกินไปนะ” กวนอูยิ้มอย่างอ่อนโยนให้โออิชิ ก่อนกลับมาปล่อยรังสีสังหาร ไล่ฆ่าฟันทหารฝ่ายศัตรูต่อไป (เหอๆ... คุณแม่มฤตยู)
ครืด...!
“มูนวอลเล่ย์!” โออิชิที่ได้ยินเสียงศัตรูย่องมาข้างหลัง เหวี่ยงทวนตะขอของตนลากพื้นก่อนยกขึ้นฟาดเข้าใส่ผู้ปองร้ายลองไปท้ายคอร์ด เอ๊ย! ลอยไปหล่นทับเพื่อนร่วมทัพที่อยู่อีกทางหนึ่ง “เราก็เอาอย่างคุณกวนอูบ้างดีกว่า”
“ย๊า~ก...!!” เตียวหุยตะโกนด้วยเสียงแปดหลอดอันทรงอนุภาพก่อนฟาดทวนอสรพิษของตนทำโฮมรันหอบเอาทหารทุกคนที่อยู่ในรัศมีโจมตี กระเด็นไปติดกำแพงโล่ ก่อนถูกคนในกำแพงโล่ลากเข้าไปจัดการต่ออย่างเงียบๆ ราวกับหลุมแมงมุมที่ขุดโพรงไว้รอดักเหยื่อที่เข้ามาในรัศมีจู่โจม “เป็นไงล่ะ...!!”
“คุณเตียวหุย...! ฟาดกลับหลังที…! แง่~ว...!” คิคุมารุที่วิ่งหนีทหารนับร้อยที่ไม่รู้อะไรดลใจให้รวมใจกันวิ่งไล่กะรวมใจสามัคคีบาทา (รุ่มกระทืบ) ตน
“จัดให้...!!” เตียวหุยเหวี่ยงทวนอสรพิษกลับมาข้างหลังตามคำขออย่างไม่มีความลังเล หรือ ข้อโต้แย้งใดๆ “ย๊า~ก...!!”
“ฮึบ!”
ผัวะ...! โครม…!
ทหารคิคุมารุล่อมาถูกฟาดกระเด็นไปชนกำแพงโล่ให้ทหารแมงมุมโพรง (โห~... ชื่อเหรอน่ะ?) ลากเข้าไปปลิดฉาก ในขณะที่เจ้าตัวกระโดดหลบทวนที่มาขึ้นไปเหยียบบนไหล่เตียวหุย ก่อนตีลังกาออกไปสู้กับทหารใกล้ๆ กันต่อ
“แต๊งกิ้ว! คุณเตียวหุย” คิคุมารุกล่าว
“อื้ม...!! ลากมาได้เรื่อยๆ เลยนะ...!!” เตียวหุยว่า
“เบรินนิ่~ง...!!”
ปัง...! โคร~ม…!
“Come on Baby…! ใครแน่จริงก็เข้ามาเลย…! ย่าห์...!!” คาวามูระที่จับอาวุธเข้าสู่โหมดดับเครื่องชนอีกครั้งร้องตะโกนเสียงดังไม่แพ้เตียวหุย ขณะเหวี่ยงลูกตุ้มคู่ใจเป็นวง จนเกินเป็นสายลมคล้ายลมหมุนเบาๆ ขึ้นรอบตัว ทำให้ทหารโจโฉต่างพากันถอยหนีออกจากเขตอันตรายไปตามๆ กัน แต่ก็ต้องพบกับ
ผัวะ! ผัวะ! ตุบ! ผัวะ! ปัง...! โคร~ม…!
“หึๆ มีคาวามูระอยู่นี่ก็สบายเหมือนกันแฮะ” ลิบองเอ่ยยิ้มๆ ขณะเอาหอก 3 ง่ามฟาด จับคอเหวี่ยง ไปจนถึง กระโดดถีบทหารโจโฉทุกคนที่ถอยออกมาให้กลับไปเผชิญกับลูกตุ้มของคาวามูระ ก่อนกระเด็นไปชนกำแพงโล่ แล้วสิ้นสุดลงที่โดนทหารแมงมุมโพรง(เป็นชื่อทางการแล้วใช่มั้ยเนี่ย?) ลากเข้าไปเผด็จศึก “เอา! คนต่อไป!”
“Oh Yeah…! รอรับแล้ว...! Burning…!”
ผัว! ปัง...! โคร~ม…!
“อ๊า~ก...!”
“นางแอ่นหวนกลับ…”
“อ๊า~ก...!” เสียงทหารโจโฉที่ถูกดาบสไตล์ยี่ปุ่นฟาดทำให้ใส่ไถลไปกับพื้นเป็นทางยาวก่อนสินใจลงทันทีที่แรงไถลไหลหมดลง
“โห~? ไม่อยากเชื่อว่าฟูจิจามีแรงเยอะขนาดนี้นะเนี่ย” ลกซุนว่าขณะหมุ่นตัวฟันทหารที่ล้อมตนอยู่ให้แหวกวงล้อมออกไป
“เปล่าหรอก ฉันใช้แรงของคู่ต่อสู้โต้กลับคืนโดยเสริมพลังของฉันเข้าหน่อยก็เท่านั่นเอง” ฟูจิอธิบายขณะส่งทหารโจโฉไถลตามเพื่อนไปอีกคน “เรียกว่าท่าเคาเตอร์น่ะ”
“งั้นเหรอ!? น่าสนใจดี! เสร็จศึกนี้แล้วสอนข้าหน่อยนะ!” ลกซุนว่าขณะเหยี่ยบเข่าข้าศึกตรงหน้าตนกระโดดขึ้นฟาดดาบพิฆาตผ่านคอลงไป ก่อนเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอีกคน “ข้าแรงน้อยๆ สู้พวกท่านกำเหลง ท่านเล่าทองไม่ค่อยได้ ถ้าได้ท่านี่มาน่าจะพอเอาคืนได้บ้าง”
“เพิ่งรู้ว่านายเป็นเด็กเก็บกด” ฟูจิเอ่ยแซว “แถมแค้นฝั่งลึกด้วย ได้เดี๋ยวสอนให้”
“ไม่ใช่นะ แค่อยากเอาไว้ประลองกันเฉยๆ” ลกซุนเอ่ยเถียงแบบเด็กหนุ่มมาดใส
“...” ขุนพลผู้คุ้มกันประจำนายเหนือหัวของทั้ง 2 ทัพ จูล่ง และ จิวท่ายยืนม้ามองหน้ากันเงียบๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยทหารม้าของโจโฉที่ถูกจับมารวมกันไว้ที่ล็อคของตน บรรยากาศรอบๆ ช่างดูเงียบจนวังเวงเหมือนเทียบกับทางล็อคอื่น จนทหารม้าต่างพากันมองหน้าปรึกษากันว่า ‘ลุยดีกันมั้ย?’
“คนละครึ่งตกลงนะ” จูล่งว่าขึ้น
“อืม...” จิวท่ายตอบสั้นๆ
“ห้ามเกินเขตกันนะ” จูล่งเอ่ยต่อ ก่อนทั้งคู่จะมองลงไปยังเส้นแบ่งเขตเล็กๆ ที่ทั้ง 2 เอาด้ามทวน และ ปลอกดาบขี่ไว้
“อืม…” จิวท่ายตอบสั้นๆ ดังเดิม
“เอาล่ะนะ” จูล่งให้สัญญาณ
“อืม...” และ จิวท่ายยังคงตอบสั้นๆ เหมือนเดิม (ง่ายเนา~ะ...)
“ย่าห์…!” ขณะเหล่าทหารทัพแฮหัวเอี่ยนกำลังมองการเจรจาของทั้ง 2 คนงงๆ จู่ทั้งขุนพลเกราะขาว และ พยัคฆ์ไร้เสียง ก็กระทุ้งท้องม้าพุ่งตัวเข้าห่ำหั่นข้าศึกอย่างรวดเร็วจนทางฝ่ายตนตั้งตัวไม่ทัน ตกเป็นเหยื่อของทวน และ ดาบของ 2 ขุนพลที่ฟาดฟันพวกตนตกม้าตายไปเป็นแถบ
“มือกลองหยุด! ซากุโนะ ให้สัญญาณ!” ขงเบ้งเอ่ยบอกซากุโนะลงมือบรรเลง
“ค่ะ” ซากุโนะไม่รอช้าเหวี่ยงไม้ตีฆ้องเข้าใส่หน้าฆ้องทันที
โม่~ง...!!
“หยุดก่อน...!/ถอยมา...!/หลบเข้าข้างใน...!” เหล่าเซงาคุ และ ขุนพลทัพเล่า-ซุน หยุดการประจัญบานลงแล้วถอยไปให้ใกล้กับกำแพงโล่ตรงแท่นบัญชาการ
“ยิง...!/ยิงได้...!” อินูอิ และ ซุนซั่งเซียง เอ่ยสั่งพลธนูที่ขึ้นศรเตรียมไว้รอยู่ก่อนแล้วให้กระหน่ำยิง ทันทีที่เห็นนักรบฝ่ายตนถอยมาพ้นรัศมีการตี
“อ๊า~ก...!!!” ทหารที่ถูกธนูพุ่งเข้าดับลมหายใจ ร้องลั่นก่อนทรุดลงไปที่พื้น
“รีโหลด!/เติมลูกธนู!” อินูอิ และ ซุนซั่งเซียงเอ่ยสั่งพลธนูให้เปลี่ยนเอาถึงใส่ลูกศรที่ยิงหมดแล้วกับถุงใหม่ที่บรรจุลูกธนูไว้เต็ทซึ่งวางอยู่ข้างๆ เท้าของแต่ละคน “ขึ้นลูกธนูรอคำสั่งรอบ 2!”
“ลั่นกลองรบต่อไป...!” ขงเบ้งเอ่ยสั่งมือกลองบรรเลงอีกครั้ง
“ท่านเล่าปี่ ไปลุยกันหน่อยใหม่?” ซุนกวนเอ่ยชวนเล่าปี่
“ดีเหมือนกัน” เล่าปี่ตอบรับ
“อืม!” ทั้ง 2 พยักหน้าให้กันก่อนกระโดดลงแท่นบัญชาการไปคนคนล่ะทาง
“ลิบอง คาวามูระ/ฟูจิ ลกซุน ขอข้าแสดงฝีมือหน่อย” ซุนกวน และ เล่าปี่เอ่ยพร้อมกัน ก่อนชักกระบี่ และ ดาบคู่เข้าร่วมศึกด้วย
“เฮ้...! ขี้โกงนี่นา! ข้าไปด้วย! อินูอิคุมที่เหลือด้วยนะ…!” ซุนซั่งเซียงว่าก่อนกระโดดไปทางเดียวกับเล่าปี่
‘ตกลงนี่มันสงคราม หรือ อะไรกันแน่เนี่ย’ อินูอิคิดในใจ
“บอกแล้วไงให้เรียกข้า ซั่งเซียงเฉยๆ ท่านเล่าปี่” ซุนซั่งเซียงเอ่ยยิ้มๆ ก่อนชักดาบวิ่งเข้าใส่ข้าศึกข้างหน้าอย่างคะนองโดยไม่ได้ระวังตัว
“ซ่านักเหรอ!” ทหารคนหนึ่งที่ย่องมาด้านหลังซุนซั่งเซียง เงื้อง้าวขึ้นทำท่าจะฟาดลงปลิดชีพเธอ “ตายซะเถอะ! อ๊า~ก...!!”
“ระวังหลังด้วยท่านหญิง” เล่าปี่เอ่ยขึ้น หลังวาดดาบคู่ฟันเป็นกากบากตัวใหญ่ข้างล่างทหารคนนั่น
“โถ่ บอกแล้วไงให้เรียกซั่งเซียง” ซุนซั่งเซียงว่า “ลุยต่อกันดีกว่า”
“เชิญเลยท่านจิวยี่เดี๋ยวข้าจัดการที่เหลือให้เอง” ขงเบ้งเอ่ยอนุญาตจิวยี่ที่ทำท่าเหมือนจะเอ่ยขออะไรซักอย่าง
“ขอบคุณ” ว่าจบจิวยี่ก็กระโดดไปฝั่งเดียวกับซุนกวน
“อ้า~ว! ท่านจิวยี่!” ซุนกวนเอ่ยทัก
“รังเกียจไหม? ถ้าข้าจะขอลุยด้วยคนท่านซุนกวน?” จิวยี่กล่าวพลางชักกระบี่อาญาสิทธิ์ที่ซุนกวนให้มาขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม
“ไม่เลย เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ซุนกวนว่าก่อนทั้ง 2 ชูดาบ และ กระบี่ขึ้นไขว่กัน แล้วกระโดดพุ่งตัวเข้าไปสู้กับข้าศึกคนกันละทาง
กลับมาที่แฮหัวเอี่ยน ผู้เป็นแม่ทัพ ซึ่งยืนจ้องหน้าเอจิเซนอยู่อย่างเคียดแค้น ในขณะที่ทหารทัพโจโฉที่อยู่รอบๆ ตัวเขา ถูกทหารม้า และ กำแพงโล่แมงมุมโพรงฝั่งของเอจิเซนที่นำโดยซีซิง และ หวังกูซิงจัดการไปเรื่อยๆ
“ลุยมันเลย!” หวังกูควบม้าเข้าถีบทหารแฮหัวเอี่ยนพร้อมกับพลพรรคของเขา
ผัวะ! โคร~ม...!
“จัดการต่อด้วย!” ซีซิงเอ่ยกำชับกำเหล่าทหารแมงมุมโพรง (จะเรียกงี้จริงๆอะ)
“เจ้าวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วงั้นสินะ...” แฮหัวเอี่ยนกัดฟันเอ่ยว่าเอจิเซน
“ก็ใช่...” เอจิเซนตอบสั้นๆ
“หึ... ข้ามันโง่เอง...” แฮหัวเอี่ยนด่าตัวเอง
“ยังไงก็ช่าง...” เอจิเซนเอ่ยปัดๆ ก่อนชักดาบมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ก่อนเอ่ยท้าแฮหัวเอี่ยนสู้อีกครั้ง “มาตัดสินกันให้รู้ผลดีดีกว่า...”
“ก็ย่อมได้… ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...” แฮหัวเอี่ยนไม่ว่าเปล่า กระโดดลงจากม้าไปยืนที่พื้นพร้อมดาบโค้งของเขา “มาเจอกันตัวต่อตัวตรงพื้นนี่แหละ”
“ก็ได้...” เอจิเซนกระโดดลงมาเช่นเดียวกัน “มาเริ่มกันเลย”
“แล้วเจ้าจะเสียใจที่ลองดีกับข้าไอ้หนู” ทั้ง 2 คนตั้งการ์ดหันหน้าเข้าหากัน ภายใต้บรรยากาศเสียงการต่อสู้กันในสนามรบ ราวกับรู้หัวหน้าทัพทั้ง 2 จะสู้กัน ทั้งทหารทัพแฮหัวเอี่ยน และ ทหารของเอจิเซน แหวกตัวออกเว้นพื้นที่สำหรับสู้กันให้ทั้งคู่ ทั้งๆ ตัวพวกเขาเองก็ยังสู้กันเองอยู่
“ย๊า~ก…!/ย่าห์!” แฮหัวเอี่ยน และ เอจิเซนพุ่งเข้าปะทะกันเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าตอนอยู่บนหลังม้าเป็นเท่าตัว
เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...!
“โอ้~... ทั้งแรง และ ความเร็วเพิ่มขึ้น” แฮหัวเอี่ยนกล่าว “เจ้าเป็นพวกถนัดการต่อสู้บนพื้นเหมือนกันเหรอเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ...” เอจิเซนว่ากวนๆ
เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...! เคล้~ง...!
เสียงดาบปะทะกันดังติดกันเป็นฉากๆ ทั้ง 2 ต่างกระหน่ำดาบในมือเข้าแลกกันอย่างไม่มีใครน้อยหน้าใคร แต่ผู้เสียเปรียบดูท่าจะเป็นแฮหัวเอี่ยน เพราะตอนนี้ทหารของเขาที่อยู่ในล๊อคกำแพงโล่ของเอจิเซนร่วมกันถูกสังหารตายไปหมดแล้ว
“ย๊า~ก...!” แฮหัวเอี่ยนเหวี่ยงดาบตามแนวขวางเข้าฟาดใส่เอจิเซนสุดแรง
เคล้~ง...!
“ฮึบ... ย่าห์!” เอจิเซนที่ถูกแรงปะทะทำให้ถอยมาเกือบเมตร กระโดดถอยหลังออกไป ก่อนวิ่งสไลด์เข้ามาแฮหัวเอี่ยน ทันทีที่ถึงจุดหมาย ก็กระโดดขึ้นตรงหน้าขุนศึกคุ่ต่อสู้ก่อนฟาดดาบลงตรงกลางแสกหน้า พร้อมเอ่ยชื่อกระบวนท่า “ไดรฟ A!”
เคล้~ง! ควิ้~ง...!
“ท่าสวยดีนี่...” แฮหัวเอี่ยนยกดาบขึ้นรับได้ ดันตัวเอจิเซนออกไป ก่อนพุ่งตัวเข้าไปเอาดาบเข้าเสียดสีประลองกำลังกันอีกครั้ง “โทษทีนะที่ข้ามีแต่ท่าโจมตีธรรมดา กับแรงล้วนๆ ไม่มีกระบวนท่าเจ๋งๆ แบบเจ้า”
“หึ... ยังอ่อนหัดอยู่นะลุง อย่างลุงไม่จำเป็นต้องมีก็ได้” เอจิเซนเอ่ยยิ้มราวว่ากำลังสนุกอยู่กับการต่อสู้ “แค่แรงอย่างเดียวก็เล่นเอาเหนื่อยแล้ว”
“ดูท่าเจ้าจะสนุกน่าดูเลยนะ ฮ่าๆ!” แฮหัวเอี่ยนหัวเราะอย่างชอบใจ “ข้าเหมือนกัน ไม่มีใครทำให้ข้าสนุกแบบนี้มานานแล้ว!”
“ชักจะเบื่อแล้ว รีบมาตัดสินกันดีกว่า...” เอจิเซนว่าก่อนกระโดดออกมาตั้งหลักพร้อมตั้งการ์ดเตรียมใช้ดาบสุดท้าย
“หึ... หึๆๆ ฮ่าๆๆ!” แฮหัวเอี่ยนที่มองดูเอจิเซนที่ตั้งท่าเตรียมตัดสินอยู่ครู่หนึ่งหัวเราออกมาอย่างไร้เหตุผล ก่อนเอ่ยบอก “ไม่เอาดีกว่า... เจ้าชื่ออะไรเจ้าหนู?”
“เอจิเซน เรียวมะ...” เอจิเซนตอบเรียบๆ
“ชื่อแปลกดีนะ ชื่อข้าเจ้าคงรู้จักแล้ว แต่จงจำไว้ให้ดี ข้าแฮหัวเอี่ยน!” แฮหัวเอี่ยนประกาศตัว “ศึกวันนี้เจ้าเป็นฝ่ายชนะ...”
“เอ๋?” เอจิเซนเกิดอาการงงขึ้นมาทันที
“แต่อย่าเพิ่งลำพองไป สงครามมันยังอีกยาว” แฮหัวเอี่ยนเอ่ยคำสุดท้าย ก่อนอาศัยจังหวะที่เอจิเซนกำลังงงอยู่กับคำพูดของตน กระโดดขึ้นม้า “เอาไว้เจอกันใหม่...! เอจิเซน เรียวมะ...! ไอ้หนูหน้ากวนโอ๊ย...! ย่าห์…!”
“ฮี้~...!” เสร็จสิ้นคำกล่าวลา แฮหัวเอี่ยนก็กระทุ้งท้องม้าพุ่งตรงไปยังกำแพงโล่ด้านที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเท่าที่ฝีเท้าม้าจะปำได้
“หรือ!? พะ พวกเรา...!! มันคิดจะฝ่ากำแพงออกไป…!!” หวังกูตะโกนบอกเพื่อนร่วมทัพ “หยุดมัน...!! ขวางมันไว้...!! เร็ว...!!”
“อะไรน่ะ!? /ว่าไงนะ!? /จะหนีงั้นเหรอ!?” จิวยี่ ซุนกวน ซุนซั่งเซียง เล่าปี่ เหล่าขุนพลพันธมิตร และ เหล่าเซงาคุ ที่จัดกรบรรดาทหารทัพโจโฉในพื้นที่ของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หันไปมองตามเสียงของหวังกูทางล๊อคของเอจิเซน
“ย่าห์...!!” ทันทีที่ได้ยินคำเตือนของหวังกู เหล่าทหารม้าของเอจิเซนก็พากันพุ่งตรงเข้าไปขวางแฮหัวเอี่ยนที่คิดจะหนีออกจากค่ายกลของพวกเขา
“ถอยไปพวกสวะ…!!” แฮหัวเอี่ยนตวาดพร้อมเหวี่ยงดาบเข้าสังหารเหล่าทหารที่เข้ามาขวางตน
“อ๊า~ก...!!” ทหารม้าที่พุ่งตัวเข้ามาขวางถูกดาบโค้งในมือแฮหัวเอี่ยนฟันทะลุร่างไปทีละคนทีละคน จนไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางอีก ไม่นานนักแฮหัวเอี่ยนก็จัดการพวกที่เข้ามายุ่งยากกับตนเสร็จสรรพ ก่อนทำท่าจะพุ่งไปทางทหารกำแพงโล่ แต่แล้ว
“ถ้าเจ้าคิดว่าจะไหนไปได้ ก็ข้ามศพข้าไปก่อนแล้วกัน!”
“ซีซิง!?” เอจิเซนเบิกตากว้าง ขณะเอ่ยนามของเสียงเมื่อครู่
“ซิง...!?” หวังกูอุทานเสียงดังเมื่อเห็นซีซิงเข้าไปยืนม้าตั้งการ์ดขวางแฮหัวเอี่ยนตรงหน้ากำแพงโล่ “เจ้าบ้าเหรอ…!? ถอยออกมา...! ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหนเจ้าก็สู้ระดับขุนพลไม่ได้หรอก...!!”
“ซิงเหรอ?” ทันที่ได้ยิน ซุนกวนเริ่มเอะใจกับชื่อของทหารที่กำลังยืนประจันหน้าแฮหัวเอี่ยนอยู่ตอนนี้
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง...!” ซีซิงกล่าวก่อนหันไปเอ่ยท้า “ถ้าแน่จริงก็เข้ามาเลย!”
“อย่างเจ้าไมคณามือข้าหรอก...!” แฮหัวเอี่ยนไม่มีท่าทีลังเล ตะบึงม้ายกดาบเข้าปะทะกับซีซิงทันที
เคล้~ง! เคล้~ง! เคล้~ง!
‘อะไรกัน!? ทำไมถึงได้หนักแบบนี้!? นี้น่ะเหรอฝีมือระดับขุนพล!?’ ซีซิงเริ่มวิตกหลังปะทะดาบกับแฮหัวเอี่ยนได้ไปแค่ 10 กว่างเพลง เพราะได้รู้ถึงระดับที่ต่างกันของเธอและศัตรูตรงหน้า
“แค่มีมือฝีมือมากกว่าทหารกระจอกๆ คนอื่น ริอาจมาสู้กับขุนพลงั้นเหรอ!” แฮหัวเอี่ยนว่าก่อนเงื้อดาบขึ้นสุดแขน “จะหลงตัวเองไปหน่อยแล้ว...!”
เคล้~ง! โครม!
“อ๊ะ!” ซีซิงที่ถูกแฮหัวกระแทกสันดาปใส่เผลอหลุดเสียงหวานร้องออกมา ก่อนร่วงตกม้าไป แรงกระแทกทำให้หมวกเกราะที่ใช้ปิดหน้าปลอมเป็นชายของตนหลุดออกเผยให้เห็นหน้าหวานสวย กับผมเปียยาวของเธอ
“ซิง...! เป็นผู้หญิง...!?” หวังกูถึงกับช๊อค เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงเพื่อนร่วมทัพที่ค่อยกัดกับตนมาตลอดการฝึกรวมทัพจนถึงสงครามตนนี้
“เฮ้ยนั่นมัน...! นายหญิงน้อย ซุนซีซิงนี่นา...!!” หนึ่งในทหารม้าฝ่ายเอจิเซนร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ซีซิง...!!” ซุนกวนเบิกตากว้างใจแถบหลุดนอกอกเมื่อเห็นผู้ที่เป็นเหมือนแก้วตาของตนกำลังอยู่ในอันตราย
“นายหญิงน้อยเหรอ!?” จิวยี่ที่ตกใจไม่แพ้กัน หันไปมองที่ล๊อคของเอจิเซน
“โห~… เจ้าเป็นลูกสาวของซุนกวนงั้นเหรอ” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกที่เผยฐานะของเด็กสาวตรงหน้าที่พยายามลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล อันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บฝีมือของตน “งั้นดีเลย! ข้าจะได้ไม่กลับไปหาท่านโจโฉมือเปล่า!”
“ห๊ะ!” ซีซิงเงยหน้าขึ้นมองแฮหัวเอี่ยนที่กำลังเงื้อดาบขึ้นเล็งมาที่เธอ
“ขอหัวเจ้าก็แล้วกัน...!!” ว่าจบดาบของแฮหัวเอี่ยนก็พุ่งลงมาหาซีซิงด้วยความเร็วที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเธอไม่มีทางหลบได้ทัน ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ขณะที่ดาบกำลังมุ่งเข้าปลิดชีพเธอ ภาพความคิดในจิตใต้สำนึกของเธอก็ปรากฏขึ้น นี่คือจุดจบของเธองั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะได้มายังสิ่งที่เธอเฝ้าฝันมาตลอด การได้เข้าร่วมรบในสงคราม มันจะต้องจบแบบนี้งั้นเหรอ ไม่สิ่งที่เธอหวังไว้ไม่ใช่อย่างนี้ แต่ดูถ้าจะไม่มีทางแก้ไขมันได้แล้ว เธอจึงได้แต่หลับตาลงอย่างไม่กล้ามองชะตากรรมตัวเอง
ชัวะ!
“เฮือ~ก...!!!”
“ไม่...!!!” ซุนกวนตะโกนลั่นทันทีที่เห็นเลือดสดๆ กระเด็นออกมา ก่อนหมดแรงเข่าอ่อนทรุดลงพร้อมหัวใจที่แหลกสลาย
“เดี๋ยวก่อนนะ!?” จิวยี่ที่ยังคงมองอยู่ที่เหตุการณ์ณืสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ
“หือ~?” ซีซิงลืมตาขึ้นอย่างข้องใจเมื่อรู้สึกว่าตัวเองยังมีลมหายใจอยู่ แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือ
“อ่อนหัดเกินไปแล้วนะเธอ...” เอจิเซนที่ถูกดาบปักคาจากแขนขวาทะลุลงมาถึงหัวไหล่ พร้อมด้วยเลือดที่กำลังไหลออกมาจากแผลสดๆ ของเขา
เอจิเซนซึ่งทันทีที่เห็นการปะทะกันของซีซิง และ แฮหัวเอี่ยน เขาก็รีบวิ่งตรงมาช่วยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันกัน เมื่อเขายังอยู่หากกับทั้ง 2 ในช่วงเวลาแสนชุนมุลที่ซีซิงตกม้า และ แฮหัวเอี่ยนกำลังยกดาบขึ้นเตรียมปลิดชีพเธอ เกินไป ไม่มีทางที่เขาจะพุ่งตัวเข้าไปรับดาบนั่นทัน... แต่ถ้าเข้าไปขวางล่ะก็ไม่แน่... ในชั่วพริบตาที่ดาบที่เงื้อจนสุดพุ่งลงมายังเป้าหมาย เอจิเซนที่ตัดสินใจด้วยความบ้าบิ่นเกินคน ก็กระโดดทิ้งดาบพุ่งตัวขึ้นไปยกแขนขึ้นรีบดาบแฮหัวเอี่ยนแทนซีซิง
“อะ อะ เอจิเซน...!!!” ซีซิงกรีดร้องด้วยความตกใจ
“เอจิเซน...!!! เรียวมะ…!!!/เรียวมะคุง...!!!/” พันธมิตรเล่า-ซุน เหล่าเซงาคุ ตะโกนเรียกหัวหน้าทัพผู้มีอายุน้อยที่สุดซึ่งกำลังเสียท่าให้กับความบ้าดีเดือดของตนเอง
“ทหารแหวกกำแพงออก...!! ทุกคนเข้าช่วยเหลือหัวหน้าทัพเรียวมะด่วน...!!!” ขงเบ้งที่ยังครองสิติได้อยู่ ตะโกนสั่งจากบนแท่นบัญชาการ
“ไปเร็ว...!!!” ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ทุกคนไม่รอช้า มุ่งไปตรงจุดหมายทันที
“ชิ! เอาหัวเจ้าไปแทนก็ได้…!” แฮหัวเอี่ยนยังไม่เลิกรา ดึงดาบออกมาจากแขน และ หัวไหล่ซ้ายของเอจิเซน ก็เงื้อดาบขึ้นเตรียมฟันใส่เอจิเซนอีกครั้ง แต่
ฉึก!
“อ๊า~ก…!” แฮหัวเอี่ยนร้องลั่นเมื่อมือที่ถือดาบของเขาถูกเสียบด้วยลูกธนู พลางหันไปมองอินูอิผู้เป็นเจ้าของธนูซึ่งกำลังเตรียมยิงลูกที่ 2
“ดีล่ะ...!!! เอามันเลย...!!!” เหล่าขุนพล และ เซงาคุที่วิ่งกรูกันมาจะถึงจุดที่พวกเขาอยู่ในไม่ช้าตะโกนลั่น
“โถ่เว้ย…!! ฝากไว้ก่อนเถอะ...!!” แฮหัวเอี่ยนดึงธนูออกจากแขน ก่อนตะบันม้าเข้ากระถือทหารกำแพงโล่ “หลีก...!!”
ผัวะ! โคร~ม...!
“อ๊า~ก...!!” ทหารกำแพงโล่สวนหนึ่งกระเด็นไปชนกันจนล้ม เกิดช่องวางขึ้น
“ไป...!!” แฮหัวเอี่ยนกระทุ้งท้องม้ากระโดดข้ามข้ามเหล่าทหารกำแพงโล่ที่นอนล้มกันอยุ่ตรงหน้าตนไป ก่อนออกตัวสุดแรงเกิด วิ่งหนีออกจากค่ายกลของทัพพันธมิตร เล่า-ซุน จนในที่สุดก็หายลับตาไป
“ไม่ต้องตาม...!! ปล่อยมัน...!!” ขงเบ้งเอ่ยสั่งขุนพล และ ทหารบางส่วนที่ทำท่าจะตามแฮหัวเอี่ยนไป
“เอจิเซนเป็นไงบ้าง…!?” เหล่าเซงาคุที่วิ่งกันมาดูอาการเอจิเซนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่ยังอ่อนหันนะฮะ...” เอจิเซนยังคงกวนไม่เลิกทั้งที่สภาพตนตอนนี้ดูไม่ได้เลย
“ฮะๆ ยังมีหน้ามาพูดอีก” เหล่าเซงาคุพากันส่ายหน้า ก่อนให้โมโมะ และไคโดพยุงตัวเอจิเซนขึ้น ส่วนคนที่เหลือส่งสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไร “มา! จะพาไปทำแผล”
“ปะ เป็นไงบ้างอะ...!?” เพื่อนร่วมชั้นทั้งห้า ต่างทิ้งไม้ฆ้องไม้กลอง วิ่งมาเกาะราวแท่นบัญชาการมองไปยังจุดเกิดเหตุ
“เขาไม่เป็นไร” ขงเบ้งเอ่ยออกมาด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ~…!” ทั้ง 5 ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปตามกันอย่างโล่งใจ
“ซีซิง...!” ซุนกวน ซุนซั่งเซียง จิวยี่ และ เล่าปี่ ที่วิ่งตามเหล่าขุนพล และ เซงาคุมาทีหลังตะโกนเรียกเด็กสาวต้นเหตุ
“ทะ... ท่านพ่อ...” ซีซิงที่ถูกพยุงลุกขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาผู้เป็นบิดาที่กำลังตรงเข้ามาหาตน และแล้ว
เพี๊ยะ...!
“ลูกคิดบ้าอะไรอยู่...!!” ซุนกวนตวาดหลังตบหน้าซีซิงไปเพี๊ยะหนึ่ง ก่อนมองหน้าผู้เป็นลูกด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ทำให้ชายฉกรรจ์อย่างเขาเกือบหลุดปล่อยน้ำตาออกมา หากไม่ใช่ทิฐิที่ยังต้องรักษามาดต่อหน้าขุนพลของเขา
“...” ซีซิงได้แต่ก้มหน้าเอามือลูบแก้มข้างที่โดนตบเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด
“โถ่เอ๊~ย...!” ซุนกวนคุกเข่าลงดึงลูกมากอดไว้ในอ้อมแขน
“ท่านซุนกวน ขออภัยที่ต้องพูด แต่พวกเราต้องรีบนำทัพ กลับไปเตรียมการต่อที่ผาแดง ด่วนนะขอรับ!” จิวยี่เอ่ยด้วยวาจาจริงจัง
“ข้าเข้าใจ ท่านสั่งการเลย” ซุนกวนที่ยังคงโอบกอดลูกที่ยังนิ่งสนิทอันเนื่องมาจากอาการช็อคที่เห็นเอจิเซนต้องมาเจ็บตัวเพราะตน ตอยรับ
“ทราบแล้วขอรับ” จิวยี่พยักหน้าเบาๆ ก่อนเดินห่างเล็กน้อยเตรียมออกคำสั่งรวมพลเพื่อรีบเดินทางกลับค่าย แต่แล้วก็ต้องหยุดลง
“ไม่ต้องรีบขนาดนั่นก็ได้ท่านจิวยี่...” ขงเบ้งพร้อมทั้ง 5 ปีหนึ่งที่ไม่รู้ลงมาจากแท่นสั่งการตอนไหน ว่าขณะจับไหล่จิวยี่ “เราจัดการที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับไปก็ยังทัน...”
“แล้วทัพของโจโฉล่ะท่านขงเบ้ง...?” จิวยี่เอ่ยถาม “เท่าที่ดู หากโจโฉคิดจะยกพลมาทางบก แฮหัวเอี่ยนก็ไม่น่าจะสู้ตายพลีกาย หาทางหนีขนาดนี้ แสดงว่าพวกมันต้องมาทางน้ำแน่นอน เราต้องรีบกลับไปเตรียมพร้อมรับมือ”
“ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก... เชื่อข้าเถอะ ต่อให้มันเอายกทัพมา มันก็ไม่เข้าโจมตีพวกเราหรอก...” ขงเบ้งกล่าว
“ทำไมท่านถึงแน่ใจขนาดนั่นล่ะ?” จิวยี่ถามด้วยความประหลาดใจ
“มนุษย์แต่ละคนต่างที่ความต้านทานที่ต่างกัน บางคนมีมากบางคนมีน้อย บางคนแข็งแกร่งในที่หนึ่ง บางคนอ่อนแอในที่หนึ่ง และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครแข็งแกรงได้ในทุกที่...” ขงเบ้งพูดเป็นนัยๆ “เชื่อข้าเถอะท่านจิวยี่...”
“อืม...” จิวยี่ยังคงลังเลอยู่
“ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่ข้าพูด ข้ายอมให้ตัดหัว” ขงเบ้งยืนยันคำพูดของตน
“ก็ได้...” จิวยี่รับคำทันทีที่ได้เห็นความมั่นใจของขงเบ้ง
“ตอนนี้สั่งการให้ทุกคนจัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันก่อนเถอะ” ขงเบ้งว่า
“เข้าใจแล้ว” จิวยี่ตอบรับ ก่อนลงมือออกตำสั่ง “รับคำสั่ง...!! ทหารทั้งหมด...!! จงแยกกันเป็นกองๆ...!! กองแรกปลดอาวุธ และ ชุดเกราะของข้าศึกออกให้หมด...!! กองที่ 2 ช่วยดูแล และ ปฐมพยาบาลคนที่บาดเจ็บให้พร้อมเคลื่อนย้าย...!! กองที่ 3 จัดการกับศพทุกที่ปลดอาวุธออกแล้วให้เรียบร้อย...!! กองสุดท้ายปลดแท่นบัญชาการลง และ เก็บของๆ เราให้เรียบร้อย...!! เมื่อเสร็จแล้วให้ทุกคนมาเข้าแถวรวมทัพเตรียมกลับค่าย...!! รับทราบ...!!?”
“ทราบขอรับ...!!!” นายทหารทั้งหมดรับคำสั่ง ก่อนออกปฏิบัติตามอย่างแข็งขัน
“จะว่าไป เทะสึกะไปไหน...?” จิวยี่เอ่ยถาม เมื่อมองรอบแล้ว ไม่เห็นผู้ที่เป็นถึงรองแม่ทัพฝ่ายพันธมิตรอยู่ในสนามรบแห่งนี้ “มาคิดดูดีๆ...ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เราตั้งแท่นบัญชาการเสร็จนะ...”
“เขาไปทำหน้าที่สำคัญอยู่...” ขงเบ้งกล่าวสั้น
บนเนินเขาห่างจากทัพเล่า-ซุนไม่มากจนเกินไป
ชัวะ!
“อ๊า~ก...!!” มือสังหารในชุดนินจาที่ถูกกระบี่อาญาสิทธ์ฟันลงมาตั้งแต่หัวลงมา ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนล้มลงไปนอนสิ้นใจรวมกับเพื่อนของตนเกือบ 50 คน
“...” เจ้าของดาบขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนสะบัดคราบเลือกออกจากดาบของตนทำท่าจะเก็บเข้าฝักแต่ต้องหยุดลงเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา ทันใดนั่น
ฟึบ! เคล้~ง...!
“เจอกันอีกแล้วนะ เทะสึกะ คุนิมิทสึ” บุรุษที่พุ่งตัวออกมาจากเงาต้นไม้เอ่ยทัก พร้อมกับฟาดกรงเล็บเข้าปะทะกับกระบี่เทะสึกะ
“ซูเฉา...” เทะสึกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งที่ภายในใจกำลังข้องใจ เมื่อเห็นชายที่ถูกเขาเล่นงานไปคราวก่อนโผล่มาตรงหน้าในสภาพที่เต็มร้อยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ
“ร่างกายฉันฟื้นตัวเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็เท่านั้นเอง” ซูเฉาเอ่ยตอบคำถามในหัวเทะสึกะราวกับอ่านใจได้
“อืม...” เทะสึกะพยักหน้าเข้าใจ
“นายรู้ได้ไงว่ามีทัพหน่วยสังหารมาซุ่มอยู่ที่นี่” ซูเฉาเอ่ยถาม
“ขงเบ้งบอกให้มาสำรวจแถวนี้ดู...” เทะสึกะตอบ “เธอบอกว่าน่าจะมีมือสังหารมาซุ่มรอแถวนี้... ถ้าเจอให้จัดการ ก่อนที่พวกมันจะมาตลบหลังพวกเรา”
“หึ สาวปราชญ์มังกรหลับนั่นเอง... แต่ก็สมเป็นนาย จัดการนักฆ่าระดับ 2 ของฉันได้อย่างง่ายดาย ทำให้หน่วยของฉันไม่ได้เข้าช่วยเหลือท่านแฮหัวเอี่ยน” ซูเฉากล่าวก่อนกระโดดถอยออกมาตั้งลง แล้วจึงลดการ์ดลง “ที่จริงฉันอยากแก้มือกับนายจากศึกคราวก่อน แต่ในท่านแฮหัวเอี่ยนถอยกลับไปแล้ว ฉันก็คงต้องกลับไปรวมทัพกับเขา...”
“อืม...” เทะสึกะไม่ว่าอะไร ลดการ์ดลงตัวสบายๆ
“ไว้เจอกันไหม เทะสึกะ คุนิมิทสึ... ไม่สิ ข้าเรียกว่า น้องชาย ดีกว่า” ซูเฉาที่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า และ รอยยิ้มออกมาอย่างผิดกับเวลาปกติ ดูเหมือนถูกใจเทะสึกะเป็นพิเศษกล่าวลา ก่อนกระโดดหายไปวับไป “หวังว่าครั้ง คงจะได้แก้มือกัน”
“ไว้เจอกันใหม่ซูเฉา...” เทะสึกะเอ่ยลา ก่อนหันมองลงเนินไปยังทัพเล่า-ซุนที่กำลังจัดการพื้นที่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินลงเนินไป กลับไปรวมกับทุกคน
ค่ายโจโฉ ตรงข้ามผาแดง
“ท่านโจโฉ ทำไมออกรบล่ะขอรับ?” ชัวมอ เอ่ยถามโจโฉที่ยกเลิกการบุกทางน้ำแล้วหันมาตั้งค่ายเรือของตน ตรงกันข้ากับค่ายของทัพพันธมิตรเล่าซุนพอดี
“ใจเย็นชัวมอ ขณะที่พวกเราขึ้นเรือมา ข้าเห็นข้อบกพร่อง 2 จุดใหญ่ของพวกเรา ซึ่งข้าคิดว่าเราไม่ควรเสี่ยง...” โจโฉตอบ แม้ท่าทางจะดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรเพราะหน้าที่นิ่งเฉยไร้อารมณ์ของเขา แต่จากน้ำเสียงที่พูดออกมาสามารถสัมผัสได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังไม่สบอารมณ์อยู่
“ข้อบกพร่องอะไรเหรอขอรับ?” เตียวอุ๋น เอ่ยถามอีกคน
“ตามสิ...” โจโฉพาชัวมอ เตียวอุ๋น และ ขุนพลคนอื่นๆ ไปดูยังที่พักทหาร
“อ้ว~ก...!!” ทันทีที่เปิดเข้ามาในที่พักของทหารกลุ่มแรก ที่สวนใหญ่มาจากฮูโต๋ ทุกต่างก็ได้เห็นภาพสะอิดสะเอียน ของเหล่าทหารที่ยังคงอ้วกแตกอ้วกแตนเมาเรือกันในสภาพแสนน่าสมเพช
“นี่คือบางส่วนที่เป็นเอามากเท่านั้น...” โจโฉกล่าว “ยังอีกหลายส่วนที่มีอาการนี้เช่นกัน ถึงจะใม่เวอร์ขนาดนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นอุปสรรคอันใหญ่อันหนึ่ง”
“ถ้างั้น ข้าขออาสาฝึกฝนพวกเขาให้เองขอรับ” ชัวมอเสนอตัว “ถ้าได้รับการฝึกฝน พวกเขาก็จะรบบนเรือได้แบบทหารใต้ ขอเวลาสักหน่อย ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอนขอรับ”
“อันนี่ข้าไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เพราะข้ารู้ว่าเจ้าช่วยเราได้อยู่แล้วชัวมอ” โจโฉกล่าว ก่อนเดินนำไปอีกที่หนึ่งที่แยกห่างจากที่พักทหารออกไปหลายเมตร “แต่ที่ข้าห่วงคือข้อบกพร่องจุดที่ 2 นี่ต่างหาก...”
“เฮือก...!!” เหล่าคุณพลอุทานขึ้นพร้อมพร้อมกัน หลังได้เห็นทหารที่ถูกแยกตัวออกมาจากกลุ่มทหารธรรมดา ซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคประหลาดที่ทำให้มีอาการตัวร้อนจัด และ เหงื่อออกมากจนน่าวิตก บางคนถึงกับมีผื่นสีแดงขึ้นตามตัว ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวจนไม่น่ามอง
“พวกเจ้าพอจะรู้มั้ยว่าพวกเขาเป็นโรคอะไร?” โจโฉเอ่ยถาม
“นะ นะ นะ นี่...” ชัวมอกับเตียวอุ๋นเอ่ยเสียงสั่น ด้วยความวิตกกลังวลเมื่อเห็นอาการของทหาร ก่อนเอ่ยชื่อโรคออกมา “นี่มัน...ไข้รากสาดน้อย (ไทฟอยด์) นี่!”
ความคิดเห็น