ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Prince of Tennis in Three Kingdoms The Red Cliff

    ลำดับตอนที่ #10 : Match 9 สิ้นสุดการเตรียมพร้อม เปิดตำนานศึกผาแดง

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 53


    Match 9

    สิ้นสุดการเตรียมพร้อม

    เปิดตำนานศึกผาแดง

     

     ท่าเรือประจำตำหนัก

              เธอไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นี่ คุนิมิทสึ ขงเบ้งพูดกับเทะสึกะ

                ฉันปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก... เทะสึกะว่าขณะยกที่นอนมาปูไว้ที่หน้าประตูทางเดินเชื่อมระหว่างห้องใต้ท้องเรือ

                งั้นก็เข้าไปนอนในห้องดีๆ สิ ขงเบ้งว่า

                เรือลำนี้มีแค่พวกเรา เกิดมีหน่วยลอบสังหารบุกเข้ามาแล้วฉันจะคุ้มกันเธอได้ไงถ้าอยู่ในห้องตัวเอง...เทะสึกะอธิบาย

                นั้นก็เข้ามานอนด้วยกันสิ (ฮัดเช้ย~!! ว่าไงนะ?) ขงเบ้งเอ่ยอย่างไม่ได้คิดอะไร โดยลืมนึกถึงสถานะของตัวเอง

                เธอลืมแล้วเหรอ? ที่ได้แยกมานอนเดี่ยวนี่เพราะอะไร? ทั้ง 2 เริ่มระลึกความ


    เมื่อไม่นานนัก

              งั้นพวกข้าขอตัวนะขอรับ ลิบองกล่าวลา ขณะนำลูกทีมทั้ง 3 คำนับลาทุกคน ก่อนพากันออกจากเดินเรือนรับรองไป

                เอาล่ะข้าก็คงต้องขอตัวบ้างล่ะขอรับ โลซกว่าก่อนก้มหัวคำนับทุกคนในห้อง ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะขอรับ

                ว่าเจ้าเจ้าตัวก็กลับหลังหันเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันได้แม้กระสัมผัสที่ประตู จู่ๆ เสียงฝีเท้าตึกตักเหมือนคนกำลังวิ่งก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนประตูตรงหน้าโลซกจะถูกระชากออกอย่างแรง พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่พุ่งเข้ามาในห้องด้วยความเร็วสูง และแล้ว

                โครม~!

              เหวอ~!” โลซกถูกบุรุษผู้มาเยือนชนเข้ายังจัง ทำให้ทั้ง 2 กระเด็นกลิ้งเข้าไปในห้อง ก่อนหยุดนอนหมดสะภาพหน้าขงเบ้งพอดีเปะ

                เอ๋~? ขงเบ้ง และ เซงาคุตีหน้ามองสถานการณ์เป็นตาเดียวกัน

                อ. อ. อ... บุรุษผู้มาเยือนซึ่งได้สติกลับมาลืมตาเงยขึ้นมองขงเบ้ง ก่อนเงียบไปราวเวลาถูกหยุดลง ไม่นานนัก ที่ตาทั้ง 2 ข้างของบุรุษเบื้องล่างก็เริ่มปรากฏน้ำตาไหลพรากลงมาราวน้ำตก ปากที่เคยเหยียดตรงเหมือนคนปกติเริ่มสั่นเป็นลูกคลื่น หน้าตาที่เคยคมเรียวแบบธรรมชาติก็หดลงกลายเป็นการ์ตูนเอสดี และในที่สุด อาเหลีย~ง...!”

                บุรุษผู้มาเยือนโผเข้ากอดขงเบ้งโดยไม่สนใจสายตาของคงรอบข้างที่ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า

                อาเหลียง~! อาเหลี่ยง~! อาเหลียงนะอาเหลียง เจ้าจะมานี่ทั้งที่ทำไม่ส่งข่าวบอกกันเลย...! ถ้าไม่มีคนมาบอก เจ้าก็คงไม่บอกให้พี่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม!? โฮ~...!!” ว่าจบผู้มาเยือนก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร (ขงเบ้งชื่อจริงคือ จูกัดเหลียง)

                พอได้แล้วน่าท่านพี่ ขงเบ้งว่าขณะพยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นพี่ซึ่งรัดตนไว้แน่นจนอึดอัด

                อาเหลีย~…! อาเหลียงใจร้า~ย...! ง่~า...!” พี่ชายปราชญ์มังกรยังไม่เลิกออเซาะ ปล่อยโอร้องไห้ออกมาจน เหล่าเซงาคุเริ่มยิ้มแหย่ๆ ด้วยหลากหลายอารมณ์

    มากังตั๋งทั้งที่ไม่บอกพี่เล~ย...! แง้~...!”

                นั่งลง!”

                แหมะ

              เฮ้ย~? เหล่าเซงาคุงงกันเป็นไก่ตาแตกเมื่อทันทีที่ได้ยินคำสั่งจากปากน้องสาวผู้เป็นพี่ก็ยอตัวลงเงยหน้าขึ้นมองผู้สั่งทำท่านั่งราวกับเป็นลูกหมา (หะ หา~?)

                ขอมือ ไม่รอช้าผู้เป็นพี่ยื่นมือให้น้องสาวโดยอัตโนมัติ

                นั่งนิ่งๆ และเหมือนเคยผู้เป็นพี่ก็นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนตามคำสั่ง (เชื่องด้วยแฮะ)

                (=o=*) เหล่าเซงาคุถึงกับอึ้งอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

                อะแฮ่ม... ขงเบ้งจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยแนะนำผู้เป็นพี่ที่นั่งนิ่งอยู่ใกล้ๆ ตน ขอแนะนำนะ นี่จูกัดกิ๋น พี่ชายๆ ของข้าเอง... เอาล่ะ ทักทาย

                ยินดีได้รู้จักขอรับ จูกัดกิ๋นยกมือประสานกันก้มหัวคำนับทั้งที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิม

                นั่นนิ่งอย่างเดิม และเหมือนเคยจูกัดกิ๋นกลับมานั่งยองๆ นิ่งเป็นลูกหมาดังเดิม

                ตกลงพี่ชายหรือสัตว์เลี้ยงล่ะเนี่ย...?เหล่าเซงาคุคิดประสานเสียงกันในใจ

                มาเข้าเรื่องกันดีกว่า พี่มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?ขงเบ้งเอ่ยถาม

                คนเป็นพี่จะมาหาน้องสาวแสนสวย สุดน่ารัก น่าเอ็นดู น่าทนุถนอม หากใครได้มองเป็นต้องหลงใหล จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ~?จูกัดกิ๋นกล่าว

                (-*-)เหล่าเซงาคุเหงื่อตกเมื่อได้ยินผู้เป็นถึงพี่ชายของมหาปราชญ์ฮกหลงเอ่ยงัดเอาคำชมมาเกือบหมดพจนานุกรมเพื่อมาพูดประโยคสั้นๆ

                ว่าแต่เหอะเจ้าอาเหลียง มากังตั๋งทั้งทีทำไมไม่ส่งข่าวมา มิหน่ำซ้ำพอมาถึงก็ไม่มาหาพี่อีก จากกันไป ไม่ได้พบตั้งนาน เจ้าไม่คิดถึงพี่หน่อยเหรอ ใจดำเกินไปแล้วนะ~!” จูกัดกิ๋นว่าขณะทำตาเป็นประกายส่งไปอ้อนผู้เป็นน้อง

                เฮ้~…” ขงเบ้งถอนหายใจหน่ายๆ พลางเอาพัดกันประกายออดอ้อนที่พี่ชายส่งมาคุกคามตน ขณะเอามืออีกข้างกุมขมับ ด้วยความอายแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี อาการเห่อน้องจนโงหัวไม่ขึ้นของพี่ชายแท้ๆของตัวเอง ข้ามานี่ในนามทูตของท่านเล่าปี่ ไม่ได้ด้วยกิของตนเอง ดังนั่นงานจึงต้องมาก่อน ท่านพี่เองก็เป็นขุนนางตำแหน่งไม่ใช่เล็กๆ เรื่องแค่นี้ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ?

                ก็แห~ม... จูกัดกิ๋นเถียงไม่ออก

                เอาล่ะ นี่ก็เย็นแล้ว ข้ากับคนของข้าต้องขอพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัวแล้ว เอาไว้วันหลังข้าจะไปหาท่านพี่เอง ตอนนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ ขงเบ้งเอ่ยกึ่งไล่ แล้วหันมาเอ่ยบอกเหล่าเซงาคุ ทุกคนไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมกินข้าว แล้วมาแบ่งห้องนอนกัน

                ห้องนอน...? คนของเจ้า? จูกัดกิ๋นทวนคำขณะหันมองเหล่าเซงาคุที่ยืนกระจัดกระจายกันอยู่ในห้อง ไม่ได้...!!!”

                หือ? ขงเบ้งมองจูกัดกิ๋นงงๆ

                อาเหลีย~! เจ้าเป็นผู้หญิงนะ! จะให้นอนในเรือนรับรองที่แต่ผู้ชายกันได้ไง~!” จูกัดกิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังจนน่ากลัว ขณะมองเหล่าเซงาคุด้วยสายตาไม่เชื่อใจ พลางทำเสียขู่เหมือนหมาอย่างไม่อายใคร [โทโมกะ & ซากุโนะ: เราก็เป็นผู้หญิงนะ!]

                เฮ้~อ...!” ขงเบ้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ก่อนเอ่ยบอก ก็ได้ๆ... งั้นข้าไปนอนที่เรือก็ได้... ห้ามค้านอีก! ไม่งั้นข้าจะนอนที่นี่!”

                อะ!” จูกัดกิ๋นทำท่าจะเอ่ยแย้งแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อถูกน้องสาวดักคอ

                งั้นฉันไปด้วย...

                หา~? ทุกคนมองมาที่เทะสึกะเป็นตาเดียวกัน

                ในฐานะรองแม่ทัพ ฉันต้องอยู่คุ้มกันกุนซือ... เทะสึกะอธิบายง่ายๆ

                ดีเลย!” ขงเบ้งเอ่ยด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าตนไม่ต้องไปอยู่เหงาในเรือคนเดียว

                ไม่ด้า~ย....!! ไม่ได้เด็ดขาด...!!” จูกัดกิ๋นโวยขึ้นอีกครั้ง

                อะไรอีกล่ะพี่? ขงเบ้งเริ่มไม่พอใจ

                อาเหลียง~! เจ้าเป็นผู้หญิงนะ จะไปนอนอยู่ในเรือกับผู้ชายแค่ 2 ต่อ 2 ได้ยังไง! พี่ไม่ยอมเด็ดขาด…!” จูกัดกิ๋นยื่นคำขาด

                นอนนี่ก็ไม่ได้ นอนที่เรือก็ไม่ได้ แล้วพี่จะให้ข้าทำยังไง? ขงเบ้งถามเซ็งๆ

                อะ... อืม... จูกัดกิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยบอก เอาอย่างงี้ เจ้าไปนอนที่เรือนั้นแหละ แต่พี่จะไปนอนด้วย!”

                เฮ้~อ... จะเอายังไงก็เอา ถึงข้าจะปฏิเสธยังไงพี่ก็ไม่ยอมอยู่ดีขงเบ้งตอบปัดๆ ก่อนหันมาเอ่ยบอกนางกำนัน ช่วยเอาของไปเตรียมห้องให้ข้ากับเทะสึกะ บนเรือให้ที

                ค่ะ เหล่านางกำนันตอบรับ ก่อนแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง

                พอใจรึยัง...” ขงเบ้งเอ่ยประชดพี่ตนหน่ายๆ นั่งทำอะไรอยู่ ถ้าจะมานอนที่เรือกับข้าก็ไปบอกให้คนเอาของมาเตรียมห้องซะ

                ดะ ได้! ได้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ... อุ๊!” จูกัดกิ๋นตอบรับอย่างพอใจก่อนทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่แล้ว อาเหลีย~ง...

                อะไรอีกล่ะ? ขงเบ้งเอ่ยถามอย่าสงไม่สบอารมณ์

                ตะคริวกินขา ให้ใครมางัดพี่ขึ้นที จูกัดกิ๋นที่ตะคริวกินอยู่ในท่านั่งแบบหมาน้อยเอ่ยขึ้นอย่างหน้าสมเพช (สมเพชจริงน่ะแหละ...)

                เฮ้อ~!” ขงเบ้งถอนใจครั้งสุดท้ายก่อนเดินจากไปพร้อมกับสั่ง ทาเคชิ! คาโอรุ!”

                ครับ ว่าจบทั้งคู่ก็ไปแงะจูกัดกิ๋นขึ้น แล้วพาไปที่นั่งที่เก้าอี้ แต่ยังไม่ทันไปถึง

                เดี๋ยวๆ หยุดก่อน!” จูกัดจิ๋นเอ่ยบอกไคโดและโมโมะที่กำลังอุ้มตนผ่านหน้าเทะสึกะพอดี นายน่ะ! หวังจะเข้าใกล้อาเหลียงใช่มั้ย! อย่าหวังเลยเจ้าโลลิคอน!”

                ผมอายุ 15 ครับ... เทะสึกะเอ่ยบอกสั้นๆ

                อะ... เอ๋~!? อะ... เออ... ทะ โทษที... แต่ยังไงก็... ห้ามยุ่งกับน้องฉันเด็ดขาด!” ว่าจบจูกัดกิ๋นก็ปล่อยให้ไคโด และ โมโมะเอาตนไปวางไว้ที่เก้าอี้โดยดี

                เอ...? จะว่าไปเหมือนลืมอะไรไปนะ...?

    อื้อ... เสียงครางโหยหวนของใครบางคนดังขึ้นเรียกความสนใจของคนทั้งห้องให้หันไปมองเป็นตาเดียวกัน สนข้านิดหนึ่งขอรับ... แอ๊~ก...

                ฮะ เฮ้ย!” เหล่าเซงาคุร้องเสียงหลงเมื่อโลซกที่พวกเขาลืมไปสนิท นอนหมดสติวิญญาณลอยออกจากร่างไปสู่สุขติ ลุงโลซก...!”


     กลับสู่ปัจจุบัน

              โอเ~คๆ... เข้าใจแล้ว... ขงเบ้งตอบอย่างยอมจำนน

                จะว่าไป คุณจูกัดกิ๋นล่ะ? เทะสึกะเอ่ยถามหลังปูที่นอนเรียบร้อยแล้ว

                รายนั่น หัวถึงหมอนก็เข้าฌานแล้ว... ขงเบ้งกล่าวถึงพี่ชายด้วยความละอา แต่ก็นะ เห็นพี่ฉันบ้าๆ บอๆ แบบนี้ แต่เวลางานจะดูจริงจังเป็นสมผู้ใหญ่สุดๆ เลย

                อืม... เทะสึกะพยักหน้ารับเรียบๆ

                พูดถึงเรื่อง จริงจัง... ขงบ้งหันมามองเทะสึกะด้วยสายตาพินิจพิจารณา

                มีอะไรเหรอ? เทะสึกะเอ่ยถาม

                ขงเบ้งไม่ตอบอะไร แต่กลับโค้งตัวลงเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าสบตาเทะสึกะ

                เทะสึกะไม่พูดอะไรได้แต่มองขงเบ้งงงๆ

                ทั้ง 2 ยืนนิ่งจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ด้วยบรรยากาศที่มีเพียงเสียงคลื่นสาดกระทบท่าเรือทำให้รอบๆ นั่นเงียบสงบจน 2 หนุ่มสาวแทบได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน

                นี่คุนิมิทสึ... ในที่สุดขงเบ้งก็เอ่ยทำลายความเงียบ เธอเคยยิ้มบ้างรึเปล่า?

                หือ?

                ก็ตั้งแต่ได้เจอกับเธอมา ฉันยังไม่เห็นเธอยิ้มเลยซักครั้ง ขงเบ้งกอดอกเงยหน้าทำท่าคิดไตร่ตรองภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา ขนาดคาโอรุที่ชอบทำหน้าตาน่ากลัวอยู่ตลอดเวลาก็ยังมีบ้างที่ยิ้มออกมาเห็นเลย

                ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มาจากเทะสึกะ

                ฉันว่าเธอจริงจังเกินไปหน่อยรึเปล่า? ขงเบ้งเอ่ยถาม

                ฉันยืนอยู่บนความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง ฉันจะไม่ประมาทเด็ดขาด เทะสึกะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

                ฉันเข้าใจว่าตอนนี้ บนบ่าของเธอต้องแบกภาระชีวิตลูกทีมทั้ง 13 ชีวิตรวมทั้งตัวเธอเอาไว้ แต่การทำอะไรที่มันมากเกินไปมันก็ไม่เป็นผลดีเสมอไปนะขงเบ้งกล่าว

                เทะสึกะเงียบลงเหมือนสบสน

                มากับฉันหน่อยสิ ขงเบ่งว่า

                หือ? เทะสึกะมองผู้เอ่ยชวน

    คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ฉันอยากออกไปดีดพอพิณชมเดือนดาราหน่อย...


    ดาดฟ้าเรือ

              ขงเบ้งเดินออกมายังดาดฟ้าเรือพร้อมเทะสึกะที่ยกพิณประจำตัวของเธอขึ้นมาตั้งไว้บริเวณไม่ไกลจากพังงานัก ที่ที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างถนัดตา ก่อนขงเบ้งถอดหมวกปราชญ์น้อยบนหัวตนออก ก่อนจะบรรจงนั่งลงตรงหน้าพิณที่เทะสึกะตั้งไว้ให้ด้วยท่าทีสง่างาม ผมสีดำเงางามพลิ้วไปตามลมบางๆ ของริมฝั่งน้ำยามเย็นสะท้อนแสงดวงดาว เช่นเดียวกับผิวขาวอมชมพูดุจไข่มุกที่ส่องประกายเมื่อต้องกับแสงจันทร์ ช่างเป็นภาพที่งดงาม ถึงขนาดทำให้หนุ่มเพอร์เฟ็ค กัปตันแห่งเซงาคุตกตะลึงตาค้างหน้าแดงขึ้นมาในทันที

                เมื่อนั่งประตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย ขงเบ้งก็เริ่มลงมือบรรเลงเพลงแสนหวานเคล้าบรรยากาศยามเย็นริมน้ำอันแสนสงบ ดวงตาสีฟ้าใสเริ่มหรี่ลงจนปิดสนิทด้วยความเคลิบเคลิ้มไปตามทำนองเพลง ร่างบางๆ ค่อยๆ โยกไปมาตามจังหวะ นิ้วเรียวสวยของเธอไล่ดีดตามสายต่างๆ ให้เกินเป็นเสียงตามเนื้อเพลง ยิ้มจากริมฝีปากเรียวบางบนใบหน้าที่กำลังแสดงให้เห็นอารมณ์แห่งความสุนทรียิ่งทำให้เธอยิ่งเปล่งประกายความงดงามขึ้นเรื่อยๆ เป็นหลายเท่าตัว โดยไม่รู้ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใด อาจจะด้วยบรรยากาศจากสภาพแวดล้อม ความไพเราะของดนตรีที่เธอบรรเลง หรือ อะไรสักอย่างที่เทะสึกะไม่สามารถอธิบายได้ อันเนื่องมาจากเขาไม่สามารถละสายตาออกจากขงเบ้งที่ดูงดงามราวนางฟ้าลงมาจุติในร่างมนุษย์ได้

                ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะไม่นานนัก ถึงเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่ด้วยการแต่งตัวด้วยชุดนักปราชญ์ที่ทำให้คล้ายเด็กผู้ชาย พร้อมกับท่าทางฉลาดสุขุม และ นุ่มลึกผิดกับเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันกับเธอ ทำให้หลายๆ คนรวมทั้งเทะสึกะมองข้ามจุดสำคัญอย่างหนึ่งไปนั่นก็คือ ความงามของเธอ เช่นเดียวกับ มังกรที่ถึงแม้จะมีรูปโฉมที่งดงามตระการตาเพียงใด แต่ด้วยพลังอำนาจ และ ความยิ่งใหญ่ของมันทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวก้มหัวคำนับโดยด้วยความยำเกรงโดยไม่ทันได้ทัศนาความงามของมัน ขงเบ้ง... ปราชญ์มังกรหลับ... ปราชญ์เด็กสาวผู้งดงาม ผู้เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา แต่กลับซ่อนมันไว้ภายใต้คราบของเด็กน้อยวัยเยาว์... มังกรแสนสง่างามซึ่งซ่อนอิทธิฤทธิ์ของตนไว้ด้วยนิทรา ช่างเป็นสมยานามที่เข้ากันจริงๆ...

                ในที่สุดท่อนสุดท้ายของบทเพลงก็จบลง เมื่อนิ้วของขงเบ้งบรรจงดีดลงที่สายพิณสายสุดท้าย ทั้งที่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เทะสึกะกลับรู้สึกราวกับผ่านไปหลายชั่วโมง

                นี่... คุนิมิทสึ... ในขณะที่ภาพอันงดงามของเธอยังตรึงเอาความสนใจของเทะสึกะไว้ราวกับมนต์เสน่หา ขงเบ้งก็เอ่ยเรียกสติของเทะสึกะให้กลับมา เธอเคยได้ยินคำกล่าวโบราณเกี่ยวกับสายพิณไหม...?

                ... เทะสึกะยืนนิ่งใช้เวลารวบรวมสติที่หายไปให้กลับมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงสุขุม และ เรียบเฉย ไม่เคย...

                นั่นสินะ... ในยุคที่เธอมา คงไม่มีใครพูดถึงคำกล่าวโบราณสักเท่าไหร่... ขงเบ้ง กล่าวขณะหันหน้าเอานัยน์ตาสีฟ้าใส ที่เปล่งประกายราวเดือนดาราบนท้องฟ้ามาสบตาเทะสึกะ เขาว่ากันว่า... สายพิณ ก็เปรียบเหมือน ชีวิตมนุษย์ หากต้องการให้เสียงที่ดีดออกมาไพเราะ ก็ต้องปรับแต่งสายให้ตรง เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์ที่ต้องขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ

                เทะสึกะยืนสงบนิ่งรอฟังคำกล่าวของเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ

                แต่การปรับสายให้ตรงนั่น ผู้ปรับจะต้องมองเห็นถึงความสมดุลของแต่ละสายขงเบ้งไม่ว่าเปล่ายื่นมือไปยังตัวปรับสายพิณแล้วเริ่มปรับให้สายหย่อนลง หากปรับหย่อนเกินไป เสียงที่ออกมาก็จะฟังดูไม่ได้ เช่นเดียวกับ คนที่ขี้เกียจฝึกฝน เมื่อถึงเวลาที่ต้องไขว่คว้าสิ่งที่ตนต้องการกลับไม่มีฝีมือพอใจเอามันมาไว้กับตัว ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดู และ ดูไม่ได้ เช่นเดียวเสียงจากสายพิณที่หย่อนจนเกินไป...
                ขงเบ้งเว้นวรรคไปครูหนึ่ง ก่อนขยับมือปรับสายให้ตึงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนไม่สามารถปรับต่อไปได้ ก่อนว่าต่อ

                ในขณะเดียวกัน หากปรับตรึงเกินไปก็จะทำให้เสียงออกมาแหลมจนบาดหู และ อาจทำให้สายนั่นขาดได้ เช่นเดียวกับ ผู้ที่จริงจังกับชีวิตมากเกินไป ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการมากจนเกินขนาด ก็อาจทำให้ฝันของเขาทลาย อันเนื่องมากจาก ขงเบ้งหยุดลงครู่หนึ่งก่อนเลื่อนนิ้วลงมาดีดสายที่เธอปรับจนตรึงเกิดขนาด และ ทันใดนั่น เสียงแหลนอันไร้ซึ่งความไพเราะก็ดังขึ้น ก่อนสายพิณเส้นนั่นจะขาดสะบันลงต่อหน้าต่อตา ตัวของเขาไม่สามารถรับความหนักหนาสาหัสที่เกิดมาจากความบุกบั่นอุสสาหะ และ ความจริงจังอันเกินขนาดนั่นไหว ทำให้ชีวิตของคนผู้นั่นขาดสะบั้นลง เช่นเดียวกับสายพิณตรึงจนเกินไป...

                เทะสึกะเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่เคยพบมาก่อนจากประโยคอันฉะฉานของเบ้ง

                เพราะงั้น หากต้องการปรับสายพิณที่ให้ได้เสียงที่ไพเราะ ก็ต้องปรับสายพิณนั่นให้ตรึงกำลังดี หย่อนยาน หรือ ตรึงจนเกินไป เช่นเดียวกันกับชีวิตคนเรา ที่ต้องรักษาสมดุลของชีวิตให้สอดคล้องกับความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่หนักเกินไป ไม่เบาจนเกินไป...ว่าจบขงเบ้งก็หยิบหมวกของตนขึ้นมาสวมไว้ดังเดิม ก่อนหยิบพัดประจำตัวขึ้นมาถือไว้ แล้วจึงเดินตรงมาที่เทะสึกะ ฝากเรื่องนี้ให้คิดดูนะ... คุนิมิทสึ…”

                อืม... เป็นคำเพียงคำเดียวที่เทะสึกะสามารถตอบรับขงเบ้งได้ในตอนนั่น เนื่องจาก หลากหลายอารมณ์ที่กำลังตีกันอยู่ในหัวเขาทั้ง ทึ่ง ตื่นตา ตกตะลึง นับถือ ยอมรับ ปฏิเสธ เห็นด้วย ขัดแย้ง และ อื่นอีกมากมาย อาจเป็นเพราะทิฐิจากคำพูดประโยคหนึ่งที่ผลักดันให้เขาจริงจังกว่าคนอื่นๆ หลายเท่าตัว นั่นคือ

                เอาล่ะ... ฉันว่าพวกเราเข้านอนกันเถอะ ขงเบ้งว่า เออ... แล้วก็... คุนิมิทสึ... เอายาทาแผลให้หน่อยสิ

                ยาทาแผล? เทะสึกะเอ่ยทวนคำงงๆ

                เมื่อกี้สายที่ขาดมันดีดมาบาดนิ้ว เป็นแผลเลย เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย ขงเบ้งพูดอู้อี้ ขณะใช้ปากดูดนิ้วที่ถูกสายพิณบาดห้ามเลือดไว้ (ซะงั้น...)

                อืม... เทะสึกะตอบรับก่อนเดินเข้าไปยกพิณ และ ที่ตั้งเข้าเดินมาในเรือพร้อมกันกับขงเบ้งที่เดินตามมาติดๆ

                หลังทายาให้ แล้วพามาส่งที่หน้าห้อง เทะสึกะก็เดินกลับมายังที่นอนของตนที่ปูไว้อยู่น่าทางเข้า ก่อนเอนตัวลงนอนเฝ้ายาม ตอนนี้ภาพอันงดงามของขงเบ้งยังคงติดตาเขาอยู่ เขาจึงรีบหลับตาลงแล้วกล่อมใจให้นอน ทันใดนั่น

                เทะสึกะ... เธอจงเป็นเสาหลักแห่งเซงาคุ...

                ประโยคที่เป็นต้นตอของทิฐิในหัวเขายังคงวนเวียนอยู่ไม่หาย พยายามบอกตัวเขาให้อย่าประมาท จงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จงทำหน้าที่ในฐานะผู้นำให้ดีที่สุด แต่แล้ว

                ชีวิตคนเราต้องรักษาสมดุลของชีวิตให้สอดคล้องกับความพอดี

                ทันใดนั่น ภาพ และ เสียงของผู้นำคนก่อนของเซงาคุก็หายไป แทนที่ด้วยภาพและ เสียง จากนางฟ้าที่นั่งดีดพิณอยู่เมื่อครู่ซึ่งเป็นผู้เอ่ยให้คำสอนเขา ตามมาหลอกหลอนถึงในฝัน แต่ถึงกระนั่น ทำไมตัวเขาถึงรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้...


     

    เรือนรับรอง

              ยังไม่นอนอีกเหรอเอจิเซน? ฟูจิที่ออกจากห้องมาเดินดูดาวตามปกติเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ตนคาดไม่ถึงว่าจะมานั่งดูดาวอยู่ในสวนเช่นเดียวกับตน

                แล้วรุ่นพี่ล่ะฮะ...?เอจิเซนถามกลับ

                แห~ม... ได้มาอยู่ในที่ๆ มองเห็นดาวได้เต็มท้องฟ้าแบบนี้ทั้งที จะรีบนอนไปก็น่าเสียดาย ว่าจบเจ้าตัวก็เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ เอจิเซน

                อารมณ์สุนทรีของนายมีได้ทุกที่ทุกสถานการณ์เลยนะ

                ยังไม่นอนเหรออินูอิ? ฟูจิเอ่ยถามเพื่อนหนุ่มแว่นหนาผู้เดินเข้ามาร่วมวง

                ไม่ง่วงสักเท่าไหร่ อินูอิตอบ

                แล้วทำอะไรอยู่น่ะฮะ? เอิเซนเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้รุ่นพี่ถือสมุด และ ปากกาประจำตัวไว้อยู่ในมือ

                อ๋~อ... ฉันกะว่าจะมาเก็บข้อมูลของพวกเราเวลานอนซะหน่อย  แต่ไม่เห็นพวกนาย 2 คนอยู่ในห้อง เลยลองเดินออกมาหาดู

                (-*-)เอจิเซน และ ฟูจิ เหงื่อตกหน้านิ่งๆ

                รุ่นพี่อินูอิเนี่ย ยังน่ากลัวเหมือนเดิมนะฮะ เอจิเซนกระบอกฟูจิ

                ฮะๆ... ฟูจิหัวเราะแห้งๆ

                จะว่าไป ป่านนี้เทะสึกะ กับขงเบ้ง จะเป็นยังบ้างนะ? อินูอิเอ่ยเปิดประเด็น วันนี้อาการค่อนข้างเย็นด้วยสิ

                กัปตันเหรอ?

                อืม... คงกำลังสวีดหวานกับขงเบ้งอยู่มั้ง? ฟูจิเอ่ยยิ้ม

                หื~ม... เอจิซนกับอินูอิคิดภาพตาม ปรากฏเป็นภาพเทะสึกะ และ ขงเบ้งในเรือสำราญลำหรูอยู่ในบทเลิฟซีนส์สุดโรแมนติก

                หึ...!” ทั้ง 2 ส่ายหน้าไล่ความคิดตามๆ กัน อย่างหลอนๆ

                ไม่ทาง... อินูอิว่าขึ้นขณะขยับแว่นเรียกสติ

                นั่นดิฮะ... เอจิเซนสมทบ

                เอ๋~? ฟูจิมองทั้งคู่งงๆ

                นี่ฟูจิ... เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไงเหรอ? อินูอิเอ่ยถามเพื่อนหนุ่มตาตี๋

                นั่นสินะ... หากเป็นไปตามในหนังสือ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่อย่างสบายๆ แบบนี้... ฟูจิตอบเป็นนัยๆ

                ทำไมล่ะฮะ?เอจิเซนเอ่ยถาม

                เพราะ มันจะเป็นวันสุดท้ายแห่งการเจรจา และ เริ่มต้นเตรียมทัพ กรีฑาจากเมืองไปตั้งค่ายเตรียมออกศึกยังไงล่ะ…” ฟูจิตอบ

                เฮ~... เอจิเซนเอามือจับคางทำท่าคิด

                แสดงว่าการเจรจากับคนๆ นั่นที่ลุงโลซกพูดถึงจะเป็นได้ด้วยดีสินะ อินูอิว่า

                แต่เราอย่าเพิ่งว่าใจดีกว่านะ ฟูจิบอก

                ทำไมล่ะ? อินูอิเอ่ยถาม

                มันอาจไม่เป็นเหมือนในหนังสือก็ได้ จำที่มังกรเทพแห่งสายลมบอกกับเทะสึกะ และ เอจิเซนได้มั้ย? ฟูจิเว้นวรรค หยุดหายใจครู่หนึ่ง หากพวกเราไม่ร่วมศึก และ เอาชนะโจโฉ พวกเราต้องติดอยู่ในยุคนี้ ภายใต้ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป...

                หมายความว่าไงฮะ? เอจิเซนเอ่ยถามฟูจิขณะที่ใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าเมื่อแงกดดันเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับมหามังกรเทพตัวนั่นย้อยกลับมาตามความทรงจำที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาด้วยคำพูดของฟูจิ

                ก็หมายความว่า ทุกอย่างมันจะไม่เป็นไปตามหนังสือที่พวกเราเรียมมาน่ะสิ... ฟูจิลืมตาคมกริบของตนขึ้นมาเล็กน้อยขณะเอ่ยอย่างองอาจ ถึงเทพแห่งสายลมจะบอกลายละเอียดแค่เล็กน้อยก็เถอะ แต่จากคำพูดของเขา หากเราไม่ร่วมทำศึกในครั้งนี้ ประวัติศาสตร์ก็จะเปลี่ยนไป นั่นหมายความว่า เนื้อเรื่องของหนังสืออาจเปลี่ยนไปได้... เพราะฉะนั่น ฉันว่าเราอย่าเชื่อข้อมูลในหนังสือมากจนเกินไปดีกว่านะ

                อืม... ที่นายพูดมาก็ถูก... อินูอิเห็นด้วย

                รุ่นพี่ฮะ... เอจิเซนเอ่ยเรียกทั้ง 2

                หือ? ทั้ง 2 หันมามองเอจิเซน

                ... เอจิเซนไม่พูดอะไร

                มีอะไรเหรอเอจิเซน? อินูอิเอ่ยถาม

                ไม่มีอะไรฮะ…” เอจิเซนบอกปฏิเสธ ก่อนลุกขึ้นจากก้อนหินแล้วเดินแยกตัวออกไป ผมไปนอนนะฮะ

                หึ... ฟูจิฉีกยิ้มก่อนตะโกนตามหลังเอจิเซนไป พวกฉันก็กลัวเหมือนกัน...! ไม่ใช่นายคนเดียวหรอก...! แต่ฉันเชื่อนะ! ว่าเราต้องกลับไปยุคปัจจุบันได้...!”

                ... เอจิเซนหยุดชะงักลง แอบยิ้มน้อยๆ ก่อนหันหน้ามามองฟูจิหน้าตากวนๆ แค่นี้ยังอ่อนหัดนะฮะ…”

                หึๆๆ... ฟูจิหัวเราะ ก่อนมองตามหนังรุ่นน้องที่ค่อยๆ เดินจากไป

                พวกนายคุยอะไรกัน? อินูอิเอ่ยถามงงๆ

                อินูอิ... ฟูจิเอ่ยเรียกอินูอิ

                หือ?

                ... ฟูจิไม่พูดอะไรได้แต่จ้องอินูอิอย่างเดียว

                มะ มีอะไรเหรอ? อินูอิชักอึดอัด

                ... ฟูจิยังคงจ้องมองอินูอิอยู่ไม่ละสายตา

                ... อินูอิถึงกับเหงื่อแตกเมื่อถูกเพื่อนหนุ่มตาตี๋จ้องมาที่เขาตาไม่กระพริบ... อันที่จริงไม่รู้กระพริบรึเปล่าดูไม่ออกเพราะเจ้าตัวแกหยี่ตาอยู่ตลอดเวลา ในที่สุด

                แค่นี้ยังอ่อนหัดอยู่นะ... ฟูจิเอ่ยคำพูดประจำตัวเอจิเซนออกมาทำเอาอินูอิยืนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย

                อะ เอ๋~?

                ฉันไปนอนล่ะ ราตรีสวีสดิ์อินูอิ ว่าจบฟูจิก็เดินจากไปอีกคน ทิ้งให้อินูอิที่ยังงงกับคำพูดเมื่อครู่ ยืนปวดหัวอยู่คนเดียว

                อะ อ้า~ว ฟูจิ... อินูอิพยายามจะเอ่ยเรียกหนุ่มตาหยี่ให้กลับมาอธิบาย แต่ก็สายเกินไป ฟูจิเดินเข้าเรือนไปแล้ว ตกลง... เมื่อกี้มันอะไรอะ?

                หึๆๆ...ฟูจิที่กำลังเดินกลับเข้าห้องตัวเองหัวเราะในใจ เพิ่งเคยเห็นเอจิเซนคิดจะถามอะไรแบบนี้นะเนี่ย...

                รุ่นพี่ฮะ รุ่นกลัวว่าพวกเราจะตายกันในศึกมั้ยฮะ?

                ถึงจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจแค่ไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กสินะ หึๆๆ... ฟูจิเอ่ยกับตัวเองขณะนึกถึงคำพูดที่ตนอ่านใจรุ่นน้องมา ว่าแต่เขาเราก็เด็กเหมือนกันล่ะน่า รีบเข้านอนเก็บแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ดีกว่า... จะว่าไปได้แกล้งคนก่อนนอนนี้สนุกเหมือนกันนะ...

                ตกลงเมื่อกี้ฟูจิตั้งใจจะสื่ออะไรหว่า?อินูอิที่ยังยืนเซ่ออยู่ในสวนคิด

     

    ที่พำนักขุนศึก จิวยี่

              ขอรับกวนหน่อยขอรับ...!!” เสียงเตียวเจียว และ คณะปราชญ์ทั้งหลายเอ่ยเรียกผู้ที่พำนักอยู่ในบ้านพักชั่วคราว

                ครืด...!

              ดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรหรือ? ทันทีที่ประตูบานเลื่อนเปิดออก ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มรูปงาม ผู้มีผมยาวสีดำสนิทยาวลงมาประสะโพก ดวงตาคมกริบนัยน์ตาสีเขียวมรกตใบหน้าขาวแม้จะดูสวยหวานราวอิสตรี แต่ด้วยบุคลิกที่มาดแมน ทำให้ทุกคนที่มองมายังตนยำเกรง เขาคนนี้คือ สิงห์สำอาง จิวยี่ จอมทัพเรือแห่งง่อก๊ก ข้ากับภรรยาเดินทางมาค่อนข้างเพลีย พวกเราต้องการพักผ่อน หากไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถอะ...

                โอ้~! ช้าก่อนท่านจิวยี่ สิ่งที่พวกข้านำมาขอร้องท่านนั่นสำคัญมาก ขอได้โปรดรับฟังพวกเราด้วย เตียวเจียวกล่าวรั้งจิวยี่ไว้

                โปรดรับฟังพวกเราด้วย!” เหล่าคณะที่ปรึกษาสมทบ

                เฮ้~อ... จิวยี่ถอนหายยาวอย่างเซ็งๆ เอาล่ะว่ามา...

                ตอนนี้ท่านซุนกวนกำลังสับสนอยู่กับคำหลอกลวงของไอ้เจ้าเด็กอวดดีขงเบ้ง ที่ไอ้เล่าปี่ส่งมาเจรจายืมมือเราไปรบกับโจโฉ ขอท่านจิวยี่ได้โปรดช่วยชี้แนะซุนกวนให้รู้ถึงภัยพิบัติที่พวกมันนำมา และ ชี้ทางสว่างให้ท่านซุนกวนยอมจำนนต่อท่านโจโฉด้วย

                โปรดช่วยพวกเราด้วย!” เหล่าคณะที่ปรึกษาทั้งหลายเอ่ยตามอย่างรู้หน้าที่เมื่อเตียวเจียวพูดจบ

                เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจแล้วๆ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการให้... จิวยี่ตอบปัดๆ ก่อนทำท่าจะเดินกลับเข้าไปพักผ่อน

                เออ…! ท่านจิ่วยี่...!”

                ข้าต้องการพักผ่อน... จิวยี่เอ่ยคำขาดขัดคอเล่าคณะปราชญ์อมโป้ปดทั้งหลายก่อนเดินกลับเข้าไปในที่พักอย่างไม่สนใคร

                เออ... เตียวเจียวหันมามองคณะที่ปรึกษาของเขาอย่างไม่แน่นักว่าจิวยี่ได้ตอบรับช่วยพวกเหลือพวกเรารึเปล่า แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น ก่อนเดินนำลูกทีมคณะที่ปรึกษาของเขาเดินทางกลับ โดยมีสายตาของจิวยี่ที่มองผ่านช่องประตูเลื่อนมองตามไปจนแผ่นหลังปราชญ์คนสุดท้ายหายลับไปกับตา

                เฮ้~อ... มีแต่พวกเห็นแกได้ กินบ้านกินเมือง... น่าหดหู่จริงๆ... จิวยี่เอ่ยบ่นกับตัวขณะเดินกลับมาหาภรรยาสุดที่รักที่นั่งแปรงผมอยู่บนเตียง

                มีอะไรเหรอคะ ท่านพี่?หญิงสาวผมสีดำสลวยยาวลงมาปิดสะโพก ตากลมโตนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นสะท้อนแสงจากเปลวเทียนที่จุดให้ความสว่างแก่ห้องเป็นประกายสวยสะดุดตา ใบหน้าเรียบเนียนไร้รอยมีตำหนิ ขาวอมชมพูผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใครได้พบเห็นบอกได้เลยว่างดงามเกินกว่าจะบรรยาย เอ่ยถามผู้เป็นสามี

                ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวเกี้ยว แค่ขุนนางมารบกวนนิดๆ หน่อยๆ... จิวยี่ตอบปัดๆ

                รบกวนหรือมาขอร้องให้ทำอะไรคะ? เสี่ยวเกี้ยวดักคอ

                โอเคๆ ไม่โกหกแล้ว... ใช่พวกเขามาขอให้ข้าบอกให้ท่านซุนกวนให้ยอมจำนน

                แล้วท่านพี่ตอบเขาไปว่ายังไงล่ะคะ? เสี่ยวเกี้ยวเอ่ยถามต่อไป

                ข้าบอกเดี๋ยวจัดการให้... จิวยี่ว่าขณะนั่งลงที่เตียง

                ท่านพี่ก็แค่ตอบปัดๆ ไปสินะ เสี่ยวเกี้ยวกล่าวอย่างรู้ทัน ขณะวางที่แปรงลงก่อนเดินมานั่งลงข้างๆ ผู้เป็นสามี

                หึๆ... รู้ทัน... สมเป็นเจ้าจริงๆ... จิวยี่ยิ้มอย่างพอใจ

                แน่นอนอยู่แล้ว... ข้ารู้ท่านพี่เป็นชายชาตินักรบ ไม่มีทางยอมแพ้ให้ใครง่ายๆ โดยไม่ต่อสู้ แล้วเรื่องอะไร ท่านะไปฟังคำคนเหล่านั่นเล่า? เสี่ยวเกี้ยวว่า

                รู้ข้าอย่างงี้สิ ค่อยสมเป็นภรรยาข้าหน่อย... ว่าจบจิวยี่ก็โอบภรรยาสุดที่รักเขามาใกล้ตัว ก่อนบรรจงจูบลงที่กลางหน้าผาด้วยความรัก

                ว่าแต่ท่านพี่จะเอายังไงกับศึกนี้คะ? เสี่ยวเกี้ยวถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย

                เจ้าอยากรู้งั้นเหรอ? จิวยี่ถามกลับยิ้มๆ

                ข้าเป็นถึงศรีภรรยาของท่านขุนศึกจิวยี่ จะไม่ให้รู้เรื่องที่สามีคิด มันไม่ดำเกินไปเหรอคะ? เสี่ยวเกี้ยวยิ้มตอบ

                หึๆๆ... เอาล่ะๆ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะบอกให้รู้ วันนี้พักผ่อนกันก่อนเถอะ จิวยี่ว่าก่อนปล่อยมือออกจากภรรยาคนสวย

                ท่านพี่สัญญานะ เสี่ยวเกี้ยวว่าขณะเดินไปดับเทียน ก่อนเอนตัวนอนบนเตียง

                จ้าๆ... พี่สัญญา... ว่าจบจิวยี่ก็เอนตัวลงนอนข้างๆ ภรรยา แล้วทังคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา พักผ่อนสำหรับการเจราครั้งสุดท้ายวันพรุ่งนี้

     

    วันรุ่งขึ้น ณ เรือนรับรอง

              ขงเบ้งอยู่ที่นี่สินะ...จิวยี่ในเครื่องแบบขุนพลครับชุดผู้ยืนอยู่หน้าทางเข้าเรือนรับรองของเหล่าเซงาคุ พูดกับตัวเอง

                ชู่ว์...

                หื~ม? จิวยี่หันไปมองที่มาของเสียงผู้กำลังตรงมาทางตน

                “…” ไคโดที่กำลังจ๊อกกิ้งตอนเช้าหันมาสบตาจิวยี่ที่มองมาทางตน ก่อนออกวิ่งต่ออย่างไม่ใส่ใจ ชู่ว์...

                มีบุคลิกประจำตัวแปลกๆ นะหมอเนี่ย...จิวยี่คิดในใจก่อนเดินเข้าไปในเรือน

                โมโมะ! เอาคืนมานะ!”

                เรื่องอะไรล่ะ นานๆ ทีได้กินติ่มซำอร่อยๆ แบบนี้ ใครดีใครได้ล่ะครับ...!”

                เอ๋~? จิวยี่หันหน้ามองตามโมโมที่คีบขนมจีบจากเข่งติ่มซำในมือกิน ขณะวิ่งหนีคิคุมารุที่กำลังตามมาติดๆ จนทั้งคู่วิ่งหายออกไปอีกห้องหนึ่ง

                ที่นี่... ครึครืนดีนะ...จิวยี่คิดในใจแบบเหงื่อตกเล็กน้อย ออกก่อนเดินต่อไป

                ตูม!

              เบรินนิ่ง...!!”

                เฮ้ย! เอาแร็กเก็ตออกจากมือรุ่นพี่ทากะเร็ว!”

                แล้วโฮริโอะคุงเอาแร็กเก็ตไปให้รุ่นพี่ถือทำไม!?

                ฉันวางไว้เฉยๆ! รุ่นพี่ทากะเดินมาหยิบเอง!”

                เอ๋~? (อีกรอบ) อีกครั้ง จิวยี่มองตามคาวามูระที่กระโดดถีบประตูห้องออกมาวิ่งอาลาวาท พร้อมกับเด็กหนุ่ม 3 คนที่วิ่งตามไป จนทั้ง 4 วิ่งหายไปอีกห้องหนึ่ง

                มันจะ... ครึครืนเกินไปแล้วมั้ง...?จิวยี่มองงงๆ แต่ก็ไม่รอช้าก้าวเดินต่อไป พลางคิดในใจอย่างเป็นกังวล ตกลงเรา... เข้าถูกเรือนรึเปล่าเนี่ย... ทำไมมีแต่พวกเด็กๆ วิ่งกันเต็มไปหมดเลย...?

                โอ้~! ท่านจิวยี่!”

                ท่านโลซก!” จิวยี่เอ่ยทักโลซกกลับด้วยความดีใจ

                ท่านจิวยี่มาทำอะไรที่นี่หรือ? โลซกเอ่ยถาม

                ข้ามาหาท่านขงเบ้งน่ะ เออ... จะว่าไป ท่านโลซก ที่นี่ใช่เรือนพักของอาจารย์ฮกหลงรึเปล่า? จิวยี่เอ่ยตอบ และ ไม่วายถามเพื่อความแน่ใจ

                ใช่แล้วขอรับ พอดีเลย ข้าก็กำลังจะไปหาทางขงเบ้งอยู่เหมือนกัน ท่านจิวยี่มาด้วยกันเลยสิขอรับ โลซกเอ่ยปากชวน

                นั่นขอรบกวนหน่อยล่ะกัน จิวยี่ตอบรับ แล้วทั้งคู่ก็เดินไปยังห้องในสุดของเรือน

                ห้องนี้แหละขอรับ โลซกเอ่ยบอกจิวยี่

                อืม... เข้าไปกันเลย จิวยี่ว่าขณะเปิดประตูเข้าไป และแล้วสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ได้พบก็ทำจิวยี่ถึงกับยืนตะลึงไปตามๆ กัน ภาพของขงเบ้งนั่งดีดพิณประจำตัวภายใต้อากาศที่ปลอดโปร่ และ บรรยากาศระเบียงริมน้ำ ด้วยท่วงท่าที่สวยงาม

                ขงเบ้ง... เป็นผู้หญิงงั้นเหรอ...?จิวยี่คิดในใจขณะเดินตามโลซกเข้ามาทักทายขงเบ้งที่ประกบข้างด้วย 2 ทหารคู่ใจ เทะสึกะ และ เรียวมะ

                อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์ขงเบ้ง เมื่อคืนหลับสบายไหมขอรับ โลซกเอ่ยถามอย่างสุภาพ

                สบายมาก บรรยากาศแสนสงบริมน้ำของกกงตั๋งนี่ดีจริงๆ ขงเบ้งเอ่ยตอบ ขณะสายตาช่างสังเกตของเธอหันไปสะดุดเห็นชายหนุ่มรูปงามที่อยู่หลังโลซก พลันรู้ทันทีว่าเขาผู้นั่นคือใคร แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จัก เอ่ยคุยกับโลซกต่อไป ว่าแต่ท่านลุงโลซกล่ะเป็นไงบ้าง? ส่วนที่เคล็ดเมื่อวานหายรึยัง?

                อ๋~อ ไม่ต้องห่วงขอรับข้าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ถูกชนหัวโขกพื้นคอเกือบหักเท่านั้นเอง (ไม่เป็นอะไรมาก? พูดมาได้) โลซกตอบรับ

                อะแฮ่ม... จิวยี่แสร้งไอให้โลซกรู้สึกตัวเล็กน้อย

                อ๊ะ~! ขออภัยที่เสียมารยาท ท่านขงเบ้งข้ามีคนอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก โลซกก้าวออกไปข้างๆ เล็กน้อยให้ขงเบ้งได้เห็นจิวยี่ถนัดตา ก่อนเอ่ยแนะนำจิวยี่ ชายที่ท่านเห็นอยู่นี่คือท่านจิวยี่ ขอรับ

                โอ้~! เป็นเกียรติที่ได้พบท่านจอมทัพจิวยี่ ขงเบ้งกล่าวพลางก้มลงคำนับตามธรรมเนียม ข้าได้ยินกิติศัพท์ของท่านมานานทั้งฝีมือการรบ และ ผลงาน อีกทั้งคำร่ำลือถึงความงามของท่าน

                เป็นเกียรติเช่นกันอาจารย์ขงเบ้ง จิวยี่คำนับตอบ ว่าแต่... ข้าขอเวลาสักเดี๋ยวได้ไหม ข้ามีเรื่องอย่าคุยกับท่านหน่อย?

                ได้สิ เชิญมาคุยกันในห้องนี้ดีกว่า...ขงเบ้งว่าพลางเดินนำไปยังห้องรับแขก

     

    ห้องรับแขก

              ข้าว่าท่านจิวยี่ต้องมาคุยเรื่องรบกับโจโฉแน่เลย ดีไม่ดี ถ้าเรากล่อมท่านจิวยี่ให้มาเป็นฝ่ายเราได้ ทีนี้ข้ารับรองว่าท่านซุนกวนต้องสนับสนุนเราแน่ๆ ขอรับ โลซกแอบกระซิบขงเบ้งเบา

                ข้าไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างงั้นท่านโลซก ขงเบ้งกระซิบตอบ ข้าว่าเราดูท่าทีของเขาก่อนดีกว่า...

              ขอรับ... โลซกว่าก่อนจัดแจงที่นั่งให้ขงเบ้ง และ จิวยี่

    เอาล่ะ... ว่ามาได้เลย... ขงเบ้งเอ่ยบอกจิวยี่หลังเธอ และ เขานั่งลงที่โต๊ะรับแขก โดยมีเทะสึกะ เรียวมะ และ โลซก ยืนอยู่ข้างกาย

                เรื่องของเรื่องก็คือ... จิวยี่ทำท่าจะเปิดประเด็น แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อหันไปมองเทะสึกะ และ เรียวมะ

                อ๋อ~! ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าลืมแนะนำคนของข้า ขงเบ้งลุกขึ้น แล้ว ชี้พัดไปยังเทะสึกะ นี่คือรองแม่ทัพของเรา เทะสึกะ คุนิมิทสึ

                เทะสึกะ เป็นเกียรติที่ได้พบ เทะสึกะก้มหัวคำนับจิวยี่

                เป็นเกียรติที่ได้พบท่านรองแม่ทัพ จิวยี่ลุกขึ้นรับคำนับ เป็นถึงรองแม่ทัพ คงมีฝีมือไม่น้อย ท่านเล่าปี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้รองแม่ทัพที่ยังหนุ่มแน่นอย่างงี้

                ส่วนนี่หัวหน้าทัพหลักของเรา เอจิเซน เรียวมะ ขงเบ้งเอ่ยแนะนำเอจิเซนต่อ

                เป็นเกียรติที่ได้พบฮะ เอจิเซนก้มหัวคำนับตาม

                โห~! อายุแค่นี้เป็นหัวหน้าทัพหลักแล้วหรือ? จิวยี่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

                แม้อายุจะน้อย แต่ฝีมือไม่น้อยตามอายุหรอกนะท่าน โปรดวางใจ ขงเบ้งว่าขณะผายมือเชิญจิวยี่นั่งลง เข้าเรื่องของเราดีกว่า เชิญเลยท่านจิวยี่

                            หากข้าให้ท่านซุนกวนออกรบ คนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดคือเล่าปี่ ถึงใจข้าจะสนับสนุนให้รบก็เถอะ แต่ฝ่ายกังตั๋งมีแต่เสียกับเสีย ส่วนฝ่ายเล่าปี่มีแต่ได้กับได้อย่างงี้มันขัดใจข้ายังไงก็ไม่รู้แฮะ...จิวยี่เถียงกับตัวเองอยู่ในใจ ขณะมองดูขงเบ้งที่ยังคงรอคอยให้เขาเอ่ยเปิดเรื่อง ยังไงก็ตาม ลองภูมิขงเบ้งดหน่อยดีกว่า

                ข้าว่าเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง และ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎรชาวกังตั๋ง ข้าจะขอให้ท่านซุนกวนยอมจำนนต่อโจโฉ จิวยี่ว่า

                อะไรนะ!? โลซกอุทานด้วยความตกใจ

    อย่างที่ยินนั่นแหละท่านโลซก ข้าจะบอกท่านซุนกวนให้ยอมจำนน จิวยี่เอ่ยซ้ำ

    ทะ ทะ ทะ ท่านจิวยี่! ท่านเป็นชายชาติทหาร! แทนที่ท่านจะดึงท่านซุนกวนออกมาจากความซับสน ท่านกลับทับทมให้ท่านยอมแพ้งั้นเหรอ!? โลซกเอ่ยถามด้วยความโมโห ท่านแน่ใจแล้วหรือ!?

    ข้าคิดดีแล้ว... จิวยี่ตอบอย่างตัดเยื่อใย

    ท่าน!”

    หมับ

                ไม่เอาน่าลุง เขาบอกว่าตัดสินใจแล้วก็เรื่องของเขาสิลุง เอจิเซยที่แตะไหล่เรียกให้โลซกที่กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าจิวยี่หยุดลง

                เรามีที่สิทธิ์จะออกความเห็น แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับให้เขาตัดสินใจ เมื่อเขาเลือกทางที่ต้องการแล้ว เราก็ต้องยอมรับ เทะสึกะเสริม

                แต่!”

                อย่างที่คุนิมิทสึ และ เรีบวมะว่านั่นล่ะท่านลุงโลซก นี่คือการตัดสินใจของท่านจิวยี่ เราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย ท่านจิวยี่เป็นถึงนักรบผู้เจนสนมารบ ท่านตัดสินใจแบบนี้คงผ่าการคิดทบทวนมาแล้ว ขงเบ้งกล่าว ข้าก็เห็นชอบกับความคิดท่านเหมือนกัน เมื่อสู้ไม่ได้ก็ควนยอมแพ้ เห็นแกประโยชน์ของบ้านเมือง

                อาจารย์ขงเบ้งท่านพูดอะไร!? ท่านจะให้เรายอมแพ้เหรอ!?โลซกตกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อขงเบ้งสนับสนุนให้จิวยี่ยอมแพ้

                หึ... เทะสึกะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็น 2 นิ้วที่เอามาไขว้กันอยู่ข้างขงเบ้งอีกครั้ง

                งั้นข้าคงต้องปรึกษาท่านเรื่องส่งของกำนันไปขอยอมจำนนต่อโจโฉแล้วล่ะ ท่านพอจะแนะนำอะไรดีๆ ที่ทำให้โจโฉพอใจได้หรือไม่? จิวยี่เอ่ยถาม

                ฮ่าๆๆๆๆ...!” ขงเบ้งหัวเราะ

                หื~อ? จะมาไม้ไหนล่ะทีนี้...จิวยี่คิดในใจ

                ขออภัย... ข้าเผลอตัวไปหน่อย อะแฮ่ม ทางจะคิดมากทำไมเรื่องของกำนัน ข้ามีวิธีทำให้โจโฉพอใจซะยิ่งกว่าได้รับสมบัติทั้งหมดของกังตั๋งซะอีก

                ยิ่งกว่าสมบัติทั้งหมดของกังตั๋งอีกงั้นเหรอ? จิวยี่เบิกตากว้างด้วยแปลกใจ มันคือะไรงั้นหรือ?

                โจโฉเป็นผู้มักมากในกาม หลงใหลในหญิงงาม ขงเบ้งเริ่มเอ่ยบรรยาย และในกังตั๋งนี้ก็มีหญิงงามอยู่คู่หนึ่งที่โจโฉต้องการได้ตัวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดนอนเพ้อเก็บเอาไปฝัน ไม่แน่นะ เหตุผลจริงที่ยกทัพมากังตั๋งนี่ อาจเป็นเพราะ หญิงงาม 2 นางนี้ก็ได้

                หญิงงามทั้ง 2 เป็นใครหรือ? จิวยี่ถามด้วยความสงสัย อย่าไม่รู้ว่าตนกำลังตกลงไปในหลุมพรางของขงเบ้ง

                สองพี่น้องลูกสาวของเกียวก๊กโล แม่นางไต้เกี้ยว และ เสี่ยวเกี้ยวนั่นไงล่ะ

                ว่าไงนะ…!” จิวยี่ลุกพรวดขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความตกใจ

                สองพี่น้องตระกูลเกี้ยวยังไงล่ะท่านจิวยี่ โจโฉหลงทั้ง 2 จนโงหัวไม่ขึ้นเลย ถึงขนาดแต่งโครงถึงแม่นางทั้ง 2 ไว้ที่ปราสาทนกยูงทองแดงไว้ว่า ข้าจะกอดนางสองเกี้ยวไว้ทั้งซ้ายขวา ให้มีความสุขทุกเวลามิให้อนาทรเลย’” ขงเบ้งเอ่ยอย่างไม่แยแสอะไร แต่แอบยิ้มแบบชั่วร้ายภายใต้พัดใบใหญ่ประจะตัวของตนที่ถูกเลื่อนขึ้นมาปิดใบหน้าช่วงล่าง ในขณะที่ดูอากาศร้อนรนของจิวยี่

                ไอ้โจโฉ…! ไอ้โจรกังฉิน…! ไอ้กบฏตัวตัณหา...! จะหยามกันมากไปแล้ว...! แกอย่าหวังจะอยู่ร่วมโลกกับข้าอีกเลย...!!” จิวยี่โวยวายอย่างโกรธจัดถึงกับล้มกับอี้ที่ตนนั่งด้วยความโมโห

                ท่านเป็นอะไร ท่านจิวยี่ ขงเบ้งทำเป็นถามอย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แค่สตรี 2 นาง ทำไมต้องโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้?

                ท่านคงยังไม่รู้! 2 สาวงามตระกูลเกี้ยวนั้น! ไต้เกี้ยวคือภรรยาของซุนเซ็กนายผู้ล่วงลับของข้า! ส่วนเสี่ยวเกี้ยวนั่นคือภรรยาของข้าเอง!” จิวยี่เอ่ยบอกด้วยความโมโห

                โอ้~! ข้าต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่าน ขงเบ้งก้มหัวลงคำนับขอขมา ขณะเดียวกันก็แอบยิ้มน้อยๆ ที่คำลวงที่เป็นดั่งไม้ขีดก้านเล็กๆ ที่ตนโยนลงไปในกองน้ำมันบังเกิดผล

                ท่านไม่ผิดหรอกท่านขงเบ้ง... ท่านไม่รู้... อารมณ์ของจิวยี่เริ่มสงบลงเมื่อเห็นขงเบ้งก้มหัวขอโทษตนอย่างสำนึกผิด ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ผิดอะไร

                ยังไงข้าก็ผิดที่พูดอะไรออกมาโดยไม่ดูความเหมาะสม ท่านจิวยี่โปรดอภัยด้วย ขงเบ้งยังคงเล่นละครต่อไป

                ได้... ข้าอภัยให้ท่านขงเบ้ง จิวยี่ว่าขณะประคองให้ขงเบ้งเงยหน้าขึ้น แต่ข้าจะไม่มีวันอภัยให้กับไอ้โจรนั่น!”

                งั้นแสดงว่า!” โลซกเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ

                ถูกต้องแล้วท่านโลซก ข้าจะบอกให้ท่านซุนกวนออกรบกับโจโฉ จิวยี่พูดอย่างอาจหาญ กังตั๋งจะไม่ยอมก้มหัวไอ้โจรกังฉินนั่น จนกว่านักรบคนสุดท้ายจะสูญสิ้นไป!”

                หึ... แล้วเมื่อกี้ทำท่าจะบอกว่ายอมแพ้... เอจิเซนยิ้มกวนขณะเอ่ยขึ้นสวนจิวยี่

                ข้าต้องขออภัยด้วยที่คิดอะไรขี้ขลาด และ โง่เขลาเยี่ยงนั่น จิวยี่ก้มลงคำนับทุกคนอย่างสมเกียรติ

                แค่นี้ยังอ่อนหัดอยู่นะ เอจิเซนพูดเย้ยเล็กน้อย

                เงยหน้าเถอะครับคุณจิวยี่ เทะสึกะบอก

                ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกท่านจิวยี่ ในเมื่อตอนนี้ท่านคิดจะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีใครต่อว่าท่านหรอกท่าน พวกเราทุกคนต่างรอคอยเวลาที่จะลุกขึ้นมานำพวกเราเข้าสู้กับอริศัตรู และตอนนี้ก็ถึงเวลานั้นแล้ว ขงเบ้งกล่าวด้วยว่าจาสละสลวยทำเอาจิวยี่รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

                ยัง... มันยังไม่ถึงเวลา... จิวยี่เอ่ยเบาๆ

                หื~อ? เทะสึกะ เอจิเซน และ โลซกอุทานอย่างไม่เข้าใจ

                ถูกของท่าน... ขงเบ้งพยักหน้าอย่างพอใจ

                เอ๋~? ทั้ง 3 เอียงคองง

                ตอนนี้เป็นเวลาเจรจาเปิดศึกครั้งสุดท้ายแล้ว จิวยี่ว่า

                ทุกคนที่ออกันอยู่หน้าประตูน่ะ เข้ามาได้แล้ว ขงเบ้งว่า

                อะ เอ๋~? จิวยี่หันไปมองที่ประตูก่อนยิ้มแหย่ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อเทะสึกะเดินไปเปิดประตูทำให้เหล่าเซงาคุทั้ง 12 คนที่กำลังยืนเบียดกันเอาหูแนบประตูล้มลงมานอนกองกันอย่างดูไม่ได้

                แหะๆๆ... เหล่าเซงาคุทั้งหลายหัวเราะแห้งๆ

                เออ...พวกเขาคือ? จิวยี่ชี้ไปยังเหล่าเซงาคุที่นอนกองกันอยู่ขณะเอ่ยถามขงเบ้ง

                เด็กเหล่านี้คือนักรบวัยเยาว์ที่ประจำตำแหน่งต่างๆ ของหัวหน้าทัพ ในกองทัพของท่านเล่าปี่ เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จัก แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั่น ขงเบ้งกล่าว

                ใช่... จิวยี่ว่าก่อนเอ่ยบอกทุกคนอย่างองอาจ ไปตำหนักเมืองกัน!”

                โอ้!” เหล่าเซงาคุลุกขึ้นมาเฮ ทำเอาจิวยี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

     

    ตำหนักเมืองกังตั๋ง

              ท่านซุนกวนยอมแพ้เทิดขอรับ!”

                ท่านซุนกวน ตกลงรบเถิดขอรับ!”

                เฮ้~…” ซุนกวนถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความอ่อนแรง เมื่อเหล่าขุนพล และ ที่ปรึกษาต่างแย่งกันขอให้ตนออกรบ และ ยอมแพ้ จนเจ้าตัวเซ็งจัดที่ต้องอยู่ตรงกลางสมรภูมิน้ำลายนี้ โดยในใจกำลังหวังให้ 2 คนที่จะช่วยเป็นผู้ตัดสินใจพาตนลี้ภัยออกจากสถานการณ์อันน่าปวดหัวนี้สักที ท่านพี่จิวยี่ น้องขงเบ้ง เมื่อไหร่จะมานะ ฟังแต่พวกนี้เถียงกันไปเถียงกันมา ข้าจะอวกอยู่แล้วนะ... ใครก็ได้มาซะทีเหอ~

                ท่านจิวยี่มาแล้วขอรับ...!” นายทหารตะโกนรายงานเมื่อเห็นจิวยี่ที่กำลังเดินเข้ามาในห้องโถงตำหนักเมือง

                มาแล้ว!” ทั้งตำหนักหันควับไปเป็นทางเดียวกัน

                โอ้~! ท่านจิว... ยี่...” เตียวเจียวและคณะปราชญ์ที่กำลังยิ้มดีใจที่คนที่ว่าเป็นพระผู้ไถ่ของตนกำลังมาช่วยพวกตน แต่รอยยิ้มนั้นก็ต้องหายไปในพริบตา เมื่อคนในขบวนที่จิวยี่นั่นนำมา คือขงเบ้ง โลซก และ เหล่าเซงาคุ

                ท่านพี่จิวยี่…! น้องขงเบ้ง...!” ซุนกวนเอ่ยเรียกทั้ง 2 ด้วยความดีใจ

                น้องเหรอ? จิวยี่หันมามองขงเบ้ง

                เออ... ท่านของเรียกข้าว่าน้องน่ะ ขงเบ้งบอก

                อ๋~อ พอเข้าใจ จิวยี่พยักหน้าก่อนเดินตรงเข้าไปหาซุนกวน

                ท่านจิวยี่ ในที่สุดท่านก็มา เอ? แต่ทำไมมากับท่านขงเบ้งล่ะ? ซุนกวนเอ่ยถาม

                เรื่องนี้เอาไว้ก่อนท่านซุนกวน เรามีเรื่องสำคัญกว่าต้องคุยกัน จิวยี่บอก

                โอ้~! งั้นก็ดีเลย พวกเราขอฟังให้ชัดตรงนี้เลย ซุนกวนเอ่ยเสียงดังฟังชัดเรียกความสนใจของทุกคนให้ตรงมาที่จิวยี่ ท่านพี่จิวยี่ ท่านว่าพวกเราโต้ตอบอย่างไรกับการมาของโจโฉ? รบ หรือ ยอมจน ท่านโปรดชี้แนะด้วย

                ข้าขอเสนอให้รบขอรบ!” จิวยี่เอ่ยคำขาด

                งั้นเราจะรบ... ซุนกวนออกตันสินใจทั้งรอยยิ้ม

                อะไรนะ...!/ไม่นะ…!/จบแล้วพวกเรา...!”

                เย้…!/สุดยอด...! ต้องให้ได้อย่างงี้…!”

                ทุกคนจงฟัง!” ซุนกวนว่าขณะชักกระบี่ข้างตัวออกมาถืออย่างกระฉับ และแล้ว

                โชะ! ครื่น!

              หา~!? ทุกคนอุทานเป็นเสียงเดียวกันหลังซุนกวนชักกระบี่ออกมาฟันโต๊ะของตนหักเป็น 2 เสี่ยง

                ใครกล้าเสนอให้ข้ายอจำนนอีก มันผู้นั่นจะมีชะตากรรมเป็นดั่งโต๊ะตัวนี้…!!” ซุนกวนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็จขาด ขณะเก็บกระบี่เข้าฝักข้างตัว ก่อนยกทั้งฟักขึ้นมาถือโชว์ต่อหน้าทุกคน รับบัญชา...!”

                ขอรับ...!!” เหล่าขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นนักรบ หรือ นักปราชญ์ รวมถึงโลซก และ จิวยี่คุกเข่าลงคำนับอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้ขงเบ้ง และ เหล่าเซงาคุที่เป็นแขกยืนมองสถานการณ์อยู่เงียบๆ

                ขอแต่งตั้งจิวยี่ให้เป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพกั๋งตั้งเข้ารบกับทัพโจโฉ โดยมีเทียเภาเป็นรองแม่ทัพ โลซกเป็นที่ปรึกษากองทัพ!” ว่าจบซุนกวนก็เดินตรงมาที่จิวยี่ พร้อมยื่นกระบี่ในมือตนให้ผู้เป็นแม่ทัพตามบัญชาของเขา กระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้ถือเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดในการคุมกองทัพ! นอกจากข้าที่ขัดขืนคำสั่งผู้ถือจะต้องถูกประหาร! จิวยี่ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือท่านแล้ว! จงออกไปนำความภูมิใจ เกียรติยศ และ ศักดิ์ศรี มาสู่กังตั๋งพร้อมกับชัยชนะ!”

                จิวยี่รับบัญชาขอรับ!” จิวยี่ลุกขึ้นรับกระบี่อาญาสิทธิ์จากมือซุนกวน ก่อนหกลับหลังหันทาชูกระบี่ขึ้นฟ้าพร้อมตะโกนเรียกความฮึกเฮิม พวกเรา เตรียมออกศึก...!!”

                สู่ชัยชนะ...!!” เหล่าขุนพลร้องตอบรับด้วยความดีใจ ในขณะเดียวกันบรรดาคณะที่ปรึกษาก็ได้แต่ยืนเงียบกัดฝันอย่างแค้นใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว เมื่อจิวยี่ หนทางรอดสุดท้ายของตน ถูกขงเบ้งฉกไปซะแล้ว

                รับคำสั่ง!” จิวยี่เริ่มสั่งการคำสั่งแรกในฐานะแม่ทัพ จงแยกย้ายกันไปจัดเตรียมกำลังพล เสบียง ยุทโธปกรณ์ ทุกๆ อย่างให้เรียบร้อย ทันทีที่ทุกอย่างพร้อม เราจะออกเดินทางในทันที!”

                ขอรับ...!!!” ว่าจบเหล่าขุนพลทั้งหมดในห้องโถงตำหนัก ก็พากันแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง

                สงครามเริ่มขึ้นแล้ว...ขงเบ้งเอ่ยขึ้นเบาๆ

                ห้ามประมาทเด็ดขาด... เทะสึกะสมทบ

     

    เมืองกังแฮ

              ทางนี้เรียบร้อยแล้วขอรับท่านเล่าปี่ นายทหารในเกราะเขียว สีประจำกองทัพเล่าปี่ เอ่ยรายงานผู้เป็นนายซึ่งกำลังฟังผลรายงานจากอีกกลุ่มอยู่

                ดีมากๆ... ทางนี้ล่ะเป็นไงบ้าง? เล่าปี่เอ่ยชมทหารผู้มารายงาน ก่อนหันไปถามทหารอีกคนที่คนใกล้ๆ กัน

                ทางนี้ก็เรียบร้อยแล้วขอรับ นายทหารคนนั้นว่า

                ท่านพี่... เตียวหุยที่เพิ่งตื่นเดินสะลึมสะลือมาเอ่ยทักเล่าปี่ ทั้งๆ ที่ตนยังอยู่ในชุดนอน และ ยังกอดตุ๊กตาหมีควาย (หมีควาย?) อยู่ในอ้อมแขน

                อรุณสวัสดิ์เตียวหุย ตรงนั่นตรวจดูอีกรอบนะ!” เล่าปี่หยุดทักตอบครู่หนึ่ง ก่อนหันไปสั่งงานทหารต่อ

                ท่านพี่ทำอะไรอยู่อะ? ไหง่แต่งองทรงเครื่องเสร็จสรรพ ตื่นมาสั่งการทหารแค่เช้าเลย?เตียวหุยถามขณะอ้าปากหาวอย่างไม่อายใคร

    อ๋อ~! ท่านขงเบ้งส่งสาสน์มาบอกว่าการเจรจาสำฤทธิ์ผลแล้ว ข้าเลยมาเตรียมยุทโธปกรณ์ และ เสบียงห้ำพร้อมไปสมทบกับทัพกังตั๋ง เล่าปี่อธิบาย

    งั้นเหรอ...? เตียวหุยขยี้ตา

    หึๆ... เล่าปีหยุดเงียบไปพักหนึ่งก่อนแอบยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ แล้วจึงหันมาเอ่ยกับเตียวหุย เจ้าไปนอนต่อก็ได้นะเตียวหุย ยังเช้าอยู่ไม่ใช่เหร~อ?

    หือ...? เตียวหุยที่ยังคงมึนๆ รู้สึกว่าแปลกกับหางเสียงสูงๆ ของผู้เป็นพี่ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรจึงเอ่ยลา งั้นข้ากลับไปนอนก่อนนะ

    ฝัน~ดีเล่าปี่เอ่ยยิ้มๆ ก่อนหันกับไปทำงานต่อ

    หลังเล่าปี่เอ่ยราตรีสวัสดิ์ (หรืออรุณสวัสดิ์) เตียวหุยก็เดินถือตุ๊กตาหมี (ควาย) ตรงกับไปทางที่ตนเดินมา พอดีกับที่กวนอู จูล่ง และ กวนเป๋งเดินมาทางเล่าปี่พอดี

    อ้า~ว อรุณสวัสดิ์ พวกเจ้าก็มาทำงานแต่เช้าเหมือนกันเหรอ? เตียวหุยเอ่ยทัก

    เช้า? กวนเป๋งเอียงคองง

    เช้าบ้าอะไร! มันจะบ่ายอยู่แล้วนะ!” จูล่งเอ่ยว่าเตียวหุย นี่...! อย่าบอกนะว่าเจ้าเพิ่งตื่นน่ะ!?

    หื~! สารรูปสิดูไม่ได้เลย กวนว่าสมทบ ยังอยู่ในชุดนอนอยู่อีก แต่งตัวแบบนี้ออกมาเดินข้างนอกได้ไง หัดอายคนอื่นบ้างสิ... รีบกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเลยนะ

    จะบ่าย? เตียวหุยมอง 2 ยืนงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อโดน 2 สาว พี่ และ เพื่อนสาว ด่าเอา เมื่อกี้พี่ใหญ่ยัง?

    เตียวหุยอย่าเอาแต่อู้สิ รีบไปอาบน้ำแล้วมาช่วยกันหน่อย…!” เล่าปี่แสร้งทำเป็นตะโกนบอก ขุดหลุมฟังน้องตัวเอง

    นั่น! ท่านเล่าปี่สั่งก็สั่ง!ยังจะมามัวโอ้เอ้อะไรอีก!” จูล่งติ

    เหลวไหลเป็นเด็กๆ เกินไปแล้ว...รีบไปทันทีเลยนะ!” กวนอูทับถมก่อนทั้ง 2 สาวจะเดินไปหาเล่าปี่

    อะ... เอ๋~? เตียวหุยยังคงยืนนิ่งกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    ท่านอาเตียวหุย... กวนเป๋งเดินมาจับไหล่เตียวหุยแบบขำๆ ข้าว่า ท่านโดนท่านลุงเล่าปี่อำซะแล้วล่ะ...

    ว่าจบกวนเป๋งก็เดินตามแม่ของตนไป ทิ้งให้เตียวหุยหันไปมองเล่าปี่ที่ยืนยิ้มอย่างบริสุทธิ์ให้กวนอู และ จูล่ง ไม่รู้เพราะขี้ตาที่ยังไม่ล้างออกจากหน้า หรือ อาการเบลออะไรสักอย่าง ทำให้เขาเห็นเงาของเล่าปี่มีเขากับหางปีศาจงอกออกมาด้วย

    อ่า... เตียวหุยสะบัดหน้าไปมาก่อนหันกลับไปมองที่เงาอีกที ซึ่งแน่นอนเงาของเล่าปี่ยังคงเป็นเงาของคนปกติ ทำให้เขายิ่งงงขึ้นไปอีก แต่แล้วเจ้าตัวก็สายหน้าละอาตัวเองบ่นไปพลางเดินกลับห้องไปพลาง ชักจะบ้าแล้วเรา...


    ณ ค่ายกังตั๋ง

              เคล้~! ฟิ้~…! ฉึก!

              ยะ ยอมแล้ว หนึ่งในนายกองของกังตั๋งเอ่ยยอมแพ้เมื่อดาบในมือของตนถูกเจ้าเปี๊ยกแห่งเซงาคุ เอจิเซน ฟันกระเด็นขึ้นฟ้าก่อนหล่นลงมาปักพื้น

                แค่นี้ยังอ่อนหัดนะ... เอจิเซนว่าก่อนเก็บดาบตนเข้าฟัก

                เป็นยังบ้างท่านจิวยี่? ฝีมือหัวหน้าทัพวัยเยาว์ของเราเป็นอย่างไรบ้าง? ขงเบ้งที่ยืนมองการซ้อมรบของเหล่าขุนพลทั้งหลาย รวมถึงเหล่าเซงาคุที่ทางขงเบ้งให้ลองแสดงฝีมือสู้กับทหารมือดีกังตั๋งที่จิวยี่คัดเลือกมา เพื่อแสดงให้ทัพทางกังตั๋งได้รู้ถึงความสามารถของพวกเขา

                ยอดเยี่ยม... ขนาดอายุน้อยๆ ยังมีฝีมือถึงขนาดนี้ ถ้าโตขึ้นเป็นชายเต็มตัวแล้วจะมีฝีมือขนาดไหน ยอดเยี่ยมจริงๆ จิวยี่ปั้นหน้ายิ้มเอ่ยชื่นชมสรรเสริญให้เหล่าเซงาคุ ในขณะเดียวกันก็แอบคิดกังวลอยู่ในใจ อืม... นอกจากมีขงเบ้งปราชญ์มังกรแห่งยุคเป็นมันสมองของทัพแล้ว ทางเล่าปี่ยังมีทหารที่เก่งกาจมากถึงเพียงเท่านี้เชียวหรือ...

                เอจิเซนเดินกลับไปยืนเรียงแถวต่อพวกรุ่นพี่ที่ต่างแสดงฝีมือกันให้เป็นที่ประจักครบทุกคนแล้ว ภายใต้สายตาของจิวยี่ที่เริ่มเป็นกังวล และ ไม่วางใจในฝีมือของพวกเขาที่มีมากจนน่ากลัว

                หึๆๆ... เห็นแค่นี้ก็กลัวแล้วหรือ ท่านจิวยี่...ขงเบ้งแอบคิดในใจ ขณะรักษาใบหน้ายิ้มซื่ออย่างสงบ และ สุขุมไว้อย่างดี พลางหันมาเอ่ยถาม จะว่าไป ขอข้าชมฝีมือขอเหล่าพลกังตั๋งหน่อยจะได้ไหม?

                ได้สิ จิวยี่ว่าขณะจะให้ไปเอ่ยสั่งขุนพลของตน แต่แล้ว

                ข้ามีความคิดดีๆ แล้ว ขงเบ้งเอ่ยขัด ทำให้จิวยี่หันกลับมามองด้วยความสงสัย ลองให้ขุนพลของท่านมาประลองกับคนของข้าดูหน่อยไหมล่ะ?

                เอ๋~? จิวยี่เอียงคอทำท่าสงสัย

                ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธุ์ภายในกองทัพของเราทั้ง 2 ไงล่ะ แต่ถ้าท่านกลัว คนของท่าบาดเจ็บก็ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจเราต้องรักษาสภาพกำลังผลให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด ขงเบ้งว่าด้วยเสียงใสๆ ขณะเอาพัดปิดปากแอบยิ้มให้กับความซนแกมเจ้าเล่ห์ของตน ไหนๆ ก็ไหนๆ แกล้งผู้ใหญ่หน่อยดีกว่า ดูซิท่านจอมทัพเรือจะว่ายังไง

                ได้ จิวยี่ตอบรับ ขณะคิดในใจ หนอ~ย จะเล่นสงครามประสาทกันเหรอ... ได้!’

                งั้นพวกเราเลือกผู้ประลองของเรากันดีกว่า ขงเบ้วกล่าว

                ตกลง... จิวยี่ตอบรับก่อนหันไปเรียกชายมาดขรึมผู้มีแผลเป็นทางยาวพาดจากเหนือคิ้วผ่านตาซ้ายลงมาเกือบถึงคาง ใต้หมวกเกราะสีเลือดหมู ในชุดยาวที่ชายเสื้อยาวลงมาเกือบถึงข้อเท้า ที่ปลายเสื้อขาดรุ่งริ่ง แต่แทนที่จะดูไม่ได้กลับดูมีสไตล์เข้ากับเกราะอย่างเบาบนตัวได้อย่างหน้าประหลาด ที่ข้างตัว มีดาบคล้ายดาบคาตะนะแบบเดียวกับที่ฟูจิถือเพียงแต่ยาวกว่าเล็กน้อย อาจเนื่องมากจากขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าฟูจิเกือบครึ่งเมตร จิวท่าย... ลงสังเวียน

                จิวท่ายไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มหัวลงคำนับจิวยี่ ก่อนเดินตรงไปยังลานกลางค่าย

                หืม... ขงเบ้งมองดาบข้างตัวจิวท่ายก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียกหัวหน้าทัพฝ่ายตนที่ใช้อาวุธแบบเดียวกัน ฟูจิ เราจะประลองวัดฝีมือกัน เธอช่วยเป็นตัวแทนเซงาคุหน่อยสิ

                ได้ครับ ฟูจิเอ่ยตอบรับขณะก้มหัวลงคำนับขงเบ้ง   

    ห้ามประมาทนะ เทะสึกะเอ่ยเตือน

    อื้ม... ฟูจิพยักหน้า ก่อนจับดาบแบบเดียวกันเดินไปยืนประจันหน้าจิวท่าย

    ... จิวท่ายไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ก้มหัวให้ฟูจิเล็กน้อย ก่อนย่อเข่าลงข้างหนึ่งตั้งการ์ดอยู่ในท่าเตรียมชักดาบ

                หืม~? ฟูจิที่มองดูจิวท่ายเบื้องหน้า ผู้อยู่ในท่าตั้งรับที่หน้าตัวเขารู้สึกเหมือนจะรู้จัก แต่ก็ไม่แน่ใจ ฟูจิจึงไม่ใส่ใจก้มหัวคำนับจิวท่ายอย่างสุภาพ และ ชักดาบออกมาตั้งการพร้อมสู้รอสัญญาณสั่งเริ่ม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียงมารยาท

                ทั้ง 2 คนยืนสงบนิ่งจ้องหน้ากันและกันด้วยความเยือกเย็น ในขณะที่หูรอฟังคำสั่งเปิดฉากลุยจากแม่ทัพใหญ่แห่งกังตั๋งอย่างมีสมาธิ และในที่สุด

                เริ่มได้!”

                เคล้ง! ครืด...!

              ชั่วพริบตาที่จิวยี่ให้สัญญาณเริ่มการประลอง ดาบในฟักจิวท่ายก็ถูกดึงออกมาตรงเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วที่สายตาคนปกติแทบมองไม่ทัน แต่เพราะคู่ต่อสู้เบื้องหน้าจิวท่ายนั้นคือ ฟูจิผู้ถูกขนานนามอัจฉริยะ ทำให้ดาบเล่มยาวของตนที่ควรจะพุ่งเข้าเสียบหัวใจถูกป้องกันไว้ด้วยดาบแบบกันเดียวของฟูจิ แต่ด้วยความเร็ว และ พลังกำลังอันน่าทึ่งของจิวท่าย ก็ทำเอาฟูจิถอยออกจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปไม่น้อยเลยทีเดียว

                อิไอนูคิ (วิชาดาบของญี่ปุ่น เป็นการชักดาบในฟักออกฟันคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว)ฟูจิที่ลืมตาเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าสวยในดวงตาคมกริบของตนคิดในใจขณะค่อยๆ ถอยออกห่างรัศมีดาบของจิวท่าย ก่อนชี้ดาบมาข้างหน้าในท่าตั้งรับแบบเคนโด้ ฮะๆ เรื่องนี้มันจะมั่วไปถึงไหนนะ แค่เห็นดาบกับท่าตั้งรับตอนแรกก็เอะใจแล้วเชียว หึ จิวท่ายใช้ดาบญี่ปุ่น...ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ...

                เพลงดาบนี้... มีไม่กี่คนที่รับได้... คำพูดที่เหมือนจะเอ่ยชมดังออกมาจากปากจิวท่าย ในขณะที่เจ้าตัวค่อยๆ เลื่อนดาบมายืนตั้งรับอยู่ในท่าเดียวกัน

                โห~… เสือใบ้อย่างจิวท่าย เอ่ยชมเด็กนั่นด้วยแฮะ ลิบองที่ยืนอยู่ในกลุ่มขุนพลที่ชมการประลองอยู่คิด เด็กนั่น... รู้สึกจะชื่อฟูจิสินะ เท่าที่เห็นฝีมือคราวๆ ก็พอรู้อยู่นะว่าเก่ง แต่ถึงขนาดรับดาบนั้นของจิวท่ายที่แม้แต่เราเองยังแทบไม่ทันได้แบบนี้... ดูท่าการประลองเล็กๆ ครั้งนี้ชักน่าสนุกแล้วสิ

                ชึบ! เคล้~! เคล้~! ควับ! เคล้~! ครืด...! เคล้~!

              ทั้งฟูจิ และ จิวท่ายต่างวาดลีลาเพลงดาบอย่างไม่น้อยน่ากัน ทุกๆ ครั้งที่ดาบเล่มยาวของทั้งเหวี่ยงเข้าปะทะกัน จะเกิดเสียงแหวกอากาศราวกับคมดาบนั่นตัดกับสายลมก่อนพุ่งตรงไปประสานงานกัน ทำให้เกิดเป็นสะเก็ดไปน้อยๆ ขึ้น ก่อนที่คมดาบจะถูกดึงกลับมา และ เหวี่ยงเข้าไปปะทะกันอีกครั้งอย่างไม่ขาดสาย

                โว้ว~!” ขุนพลกังตั๋งทั้งหลายต่างตกตะลึงในภาพที่เห็นตรงหน้า จนให้พวกตนจ้องมองการต่อสู้ครั้งนี้โดยไม่กระพริบตาราวต้องมนต์สะกด ในขณะที่

                ฟูจิสู้เค้~า...!/ รุ่นพี่ฟูจิสู้ๆ!/ อย่ายอมแพ้จิวท่านท่าย...!/ จัดการเด็กนั่นเลย!/ เก็บข้อมูล... เหล่าเซงาคุ และ บรรดาขุนพลเอกอย่าง อุยกาย กำเหลง เล่งทอง ลกซุน และ ลิบอง ต่างออกเสียงเชียร์อย่างได้อรรถรส

                เคล้~! ควับ! เคล้~! ฟึบ! เคล้~! เคล้~! เคล้~! ชึบ

              หลังกระหน่ำดาบฟาดฟันซึ่งกันและกันอยู่พักใหญ่ ฟูจิ และ จิวท่ายก็กระโดดออกมาตั้งหลักรอดูสถานการณ์ของกันและกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ราวกับทั้ง 2 ได้สื่อสารกันทางเพลงดาบ

                สุดยอด... สมแล้วที่เป็นถึงทหารคู่ใจของคุณซุนกวน ฝีมือร้ายกาจจริงๆ...ฟูจิคิดขณะยังคงชี้ดาบตั้งการ์ดไว้อย่างไประมาท (ตามคำของกัปตัน)

                ... จิวท่ายที่ได้ชื่อว่าเสือใบ้ ก็ยังคงเงียบสนิทไม่พูดอะไร ทำแค่เพียงจ้องตรงมาที่ฟูจิด้วยชื่นชมในฝีมือของนักรบวัยเยาว์ผู้นี้ที่สามารถทำให้ตนต้องแสดงฝีมืออกมาได้ถึงขนาดนี้ แต่ยังก็ตาม การต่อสู้ยังไงก็ต้องสิ้นสุดลง จิวท่ายไม่รอใช้มือ 2 ข้างถือดาบไว้ข้างลำตัว พร้อมออกกระบวนท่า เตรียมปิดฉากด้วยดาบสุดท้าย

                หึ... ทันทีที่เห็นจิวท่ายตั้งท่าท้ารบด้วยดาบสุดท้าย ฟูจิก็เผยยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนกระชับดาบในมือขวาก่อนยื่นแขนออกไปข้างตัวลำตัว ในท่าเตรียมพร้อมสำหรับหนึ่งในท่าทริปเปิลเคาเตอร์ที่ทุกคนรู้กันในนาม

                ท่าแบบนั้นมัน! นางแอ่นหวนกลับ!” เหล่าปีหนึ่ง (ตัวแถม) ทั้ง 5 ที่ยืนเป็นผู้ช่วยงานเบ็ดเตล็ด (เด็กรับใช้นั่นแหละ) อยู่ข้างหลังขงเบ้ง เอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

                ทั้งฟูจิ และ จิวท่ายที่ตั้งท่าพร้อมแล้ว ยืนมองซึ่งกันและกัน รอคอยจังหวะที่คู่ต่อสู้เปิดช่องโหว่ให้โจมตี ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสนิทหลังกองเชียร์ของทั้ง 2 เงียบลงเมื่อเห็นทั้งคู่เตรียมตั้งท่าดาบสุดท้าย ตอนนี้ทั้งฟูจิ และ จิวท่าย ต่างเพ่งสมาธิไปที่ฝ่ายตรงข้ามของตน ใครที่สูญเสียความเยือกเย็นก่อนต้องเป็นฝ่ายผ่ายแพ้... และแล้ว!

                โม~…! โครม!

              ชะ! อะไรน่ะ?เหล่าเซงาคุอุทานหลัง ฟูจิ และ จิวท่ายที่ทำท่าจะก้าวเท้าออกตัวพุ่งเข้าหากัน แต่กลับสะดุดล้มหน้าฟาดพื้นด้วย เมื่อเสียงฆ้องสัญญาณดังมาจากหอสังเกตการณ์ทำเอาตกใจกันไปตามๆ กัน

                มีเรือของทัพโจโฉแล่นมาทางนี้ขอรับ!” นายทหารบนสังเกตการณ์ตะโกนบอก

                ข้าศึกงั้นเหรอ!? จิวยี่ตะโกนถามอย่างเสียอารมณ์

                เปล่าขอรับ! เป็นเรือทูตขอรับ!” นายทหารบนหอสังเกตการณ์ตอบ

                คงจะมารับคำตอบของจดหมายที่ส่งให้ท่านซุนกวนนะ ขงเบ้งว่าขึ้น ก่อนหันนไปมองฟูจิ และ จิวท่าย กำลังเอาแขนเสื้อเช็ดหน้าที่ฟาดลงไปคลุกฝุ่นของตน หลังลุกขึ้นยืนตั้งหลักเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีเหตุขัดข้องเกิดขึ้น เอาเป็นว่า ให้ทั้งคู่เสมอกันไว้ก่อนแล้วกัน ไว้วันหลังค่อมมาตัดสินกันใหม่ ท่านจิวยี่จะยังว่าไง?

                เอาแบบนั้นแล้วกัน... จิวยี่ตอบรับก่อนหันไปสั่งการ ถือว่าการประลองครั้งนี้เสมอกัน ตอนนี้คณะทูตของข้าศึกเดินทางมาหาเรา ข้ากับท่านขงเบ้งจะออกไปรับพวกเขาซะหน่อย ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปฝึกปรือทหารทัพของตนต่อไป

                ขอรับ!” เหล่าขุนพล และ ทหารทั้งหลายที่ดูการประลองอยู่รอบๆ รับคำสั่ง ก่อนแยกย้ายกันไปปฏิบัติตาม

                เจ้า... จิวท่ายเอ่ยขึ้นสั้นๆ ขณะเดินเข้ามาหาฟูจิ

                ครับ? ฟูจิขานรับสั้นๆ

                ชื่ออะไร...? จิวท่ายถามสั้นๆ

                ฟูจิ ชูสึเกะครับ ฟูจิแนะนำตัวสั้นๆ

                ฟูจิ ชูสึเกะ... เจ้าเก่งมาก... จิวท่ายกล่าวชมสั้นๆ ก่อนว่าต่อสั้นๆ ข้าจิวท่าย... หวังว่าคงได้สู้กันอีก...

                เช่นกันครับ ฟูจิตอบรับสั้นๆ (มันจะสั้นไปถึงไหนเนี่ย!?)

                ว่าจบทั้ง 2 ก็คำนับซึ่งกันและกัน ก่อนจิวท่ายจะเดินแยกตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตนดังเดิม

                ท่านขงเบ้ง ไม่ทราบว่า ข้าจะขอรับกวนให้เหล่าหัวหน้าทัพวัยเยาว์ของท่าน ไปเป็นร่วมผู้คุ้มกันให้เราได้หรือไม่? จิวยี่เอ่ยถาม

                ยินดีท่านจิวยี่ ขงเบ้งตอบ ก่อนหันไปเอ่ยเรียกเหล่าเซงาคุ ทุกคนรวมพล

                ครับ!” ว่าบ เหล่าเซงาคุนำโดยเทะสึกะ ก็เดินตรงมาหาขงเบ้ง จิวยี่

                ก่อนอื่นต้องขอชมนะ สมแล้วที่เป็นฟูจิ เก่งมากเลย ขงเบ้งเอ่ยชม

                ขอบคุณ แต่ก็นะ ถ้าไม่ได้เสียงฆ้องช่วยไว้ก่อน ฉันอาจจะแพ้ไปแล้วก็ได้ ฟูจิ ตอบรับอย่างถ่อมตัว แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะเหนือกว่า…’

                เธอคิดอย่างงั้นจริงๆ เหรอ?เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

                แหะๆๆ... ฟูจิเกาหัวอายๆ เมื่อถูกขงเบ้งอ่านใจ

                เอาล่ะ มาเข้าเรื่องงานกันดีกว่า พวกเราจะออกไปรับทูตของโจโฉกัน ท่านจิวยี่ขอให้พวกเธอไปช่วยเป็นผู้คุมกันอีกแรง ช่วยหน่อยนะทุกคนขงเบ้งกล่าว

                ครับผม!” เหล่าเซงาคุตอบรับ

                ปะ ไปกันเถอะ ว่าจบขงเบ้งก็เดินนำขบวนเซงาคุมาทางจิวยี่ ก่อนเอ่ยบอก ทางเราพร้อมแล้วท่านจิวยี่

                งั้นเชิญเลยท่านขงเบ้ง ว่าบทั้งจิวยี่ ขงเบ้ง และ เหล่าเซงาคุ ก็พากันเดินไปที่ท่าเรือไปรอรับทูตผู้มาส่งสาสน์จากโจโฉ

     

    ท่าเรือข้างค่ายกังตั๋ง

              คารวะท่านแม่ทัพ ทูตจากทัพโจโฉคำนับจิวยี่ตามธรรมเนียม ทันทีที่เห็นตัวเดินออกมาพร้อมขงเบ้ง และ เหล่าผู้คุ้มกันวัยเยาว์ทั้ง 14 (แถมเด็กรับใช้อีก 5)

                มีอะไรว่ามาเลยไม่ต้องโยกโย้ท่านทูต ข้าอารมณ์ไม่ดีนัก จิวยี่กล่าว

                ไม่ทราบว่ามีอะไรขัดท่านเหรอ ขอรับ?ทูตโจโฉถามตามมารยาท

                ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกข้าถูกขัดจังหวะขณะทำกิจกรรมสำคัญประจำทัพ เพราะการมของพวกท่านเท่านั่นเอง จิวยี่ตอบด้วยสีหน้าเย็นชา

                อู~ย... ทูตโจโฉหน้าซีดไปทันที

                คิกๆ... ขงเบ้ง และ เหล่าเซงาคุแอบหัวเราะกันเงียบๆ

                คุณจิวยี่เล่นแรงแฮะ คิคุมารุกระซิบว่า

                ใช่ๆ พูดมาที เล่นเอาอีกฝ่าพูดไม่ออกเลย โมโมะสมทบ

                เออ... งั้นข้าก็ขอเข้าเรื่องเลยนะขอรับ ทูตโจโฉกล่าว

                เอาสิ รอจนเบื่อแล้ว จิวยี่ว่าสวน

                อา.... ทูตโจโฉถึงกับสะอึก

                ฮะๆ…” เหล่าเซงาคุเริ่มกั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่

                อะแฮ่ม! ข้ามาที่นี่เพื่อมาขอคำตอบจากท่านตามจดหมายที่ท่านมหาอุปราช ได้ส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนขอรับ

                ทหาร! เอาตัวผู้ส่งสาสน์คนนี้ไปประหาร!” ทันทีที่ทูตฝ่ายโจโฉพูดจบ จิวยี่ก็ออกคำสั่งให้ทหารใกล้ตัวด้วยวาจาดุดัน และ เผด็จการ

                หะ ห~! ดะ เดี๋ย~! ข้าพูดอะไรผิดหรือท่าน!? ทูตของโจโฉรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน และ หวาดกลัว

                ข้าขอปฏิเสธที่จะยอม และ เพื่อเป็นพิสูจน์การตัดสัมพันธุ์กับนายของเจ้าโดยเด็ดขาด ข้าตัดหัวของเจ้าส่งกลับไปให้โจโฉซะ!” จิวยี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันหน้าหวาดกลัว และ เยือกเย็น

                โห~... ตัดหัวทูตส่งกลับงั้นเหรอ ท่านจิวยี่เล่นแรงนะเนี่ย... ขงเบ้งพึมพำกับตัวเองก่อนนึกขึ้นได้ในใจ เอ๊ะ! หรือว่า! ท่านจิวยี่ยังโมโหเรื่องที่เราแหลว่าโจโฉกะกิ๊กกะภรรยาเขา? ตายหอง... อโหสิให้ข้าด้วยแล้วกันนะท่านทูต

                เทะสึกะและเอจิเซนก็มองไปที่ทูตคนนั่นอย่างรู้สึกผิดเช่นกัน (ผู้อยู่ในเหตุการณ์)

                เดี๋ยว! สิ! นะ นี่มันหะ โหดร้าย กะ เกินไปแล้วนะท่าน!” ทูตของโจโฉพยายามร้องขอชีวิต ไว้ชิวิตข้าเถิดด้วย! ขะ ข้าเป็นแค่คนส่งสาสน์เท่านั้น ได้โปรด ขะ ข้าเชื่อว่าท่านไม่ใช่คนป่าเถื่อน โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ!”

                ชวิ้~!

    เจ้าหาว่าข้าโหดร้าย และ ป่าเถือนงั้นเหรอ!” จิวยี่ชักกระบี่ออกมาชี้ไปที่คอของทูตโจโฉ ทำเอาทุกคนรอบๆ ต่างสะดุ้งไปตามๆ กัน ทำไมเจ้าไปบอกนายเจ้าล่ะ! กรีฑาทัพมหากาฬบุกมาหวังยึดเอาเมืองพวกข้าโดยอ้างเหตุผลไร้สาระ อ้างราชองค์การที่ตนบีบบังคับให้องค์ฮ่องเต้ให้ยินยอม อย่างงี้ไม่เรียกโหดร้าย และ ป่าเถื่อนงั้นเหรอ!”

    ทูตโจโฉถึงกับนิ่งสนิท ตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัว เมื่อถูกกระบี่อาญาสิทธิ์ที่สลักลายเสือไว้อย่างสวยงาม จิ้อยู่ที่คอหอย ยิ่งบวกเข้าไปกับเสียงตวาดอันดุดันขอจิวยี่ยิ่งทำให้ความกลัวเพิ่มขึ้นไปจนทำให้เอาฉี่แทบราด

    คุณจิวยี่... เทะสึกะที่ทนดูไม่ได้เดินจับไหล่จิวยี่ ผมรู้ว่าคุณกำลังโมโห... ทั้งเรื่องการบุกมาของโจโฉ และ เรื่องนั่น... (ที่ขงเบ้งแหลไว้) ยังไงก็ตามคนคุณตรงหน้าไม่ใช่โจโฉ ... เขาเป็นแค่คนส่งสาสน์... เป็นแค่คนกลาง...

    จิวยี่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร ขณะที่ทูตของโจโฉ ตาตุ่มเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะ (ตาตุ่มเต้น? อ๋~! ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วเต้น โด่!) รอลุ้นปฏิกิริยาตอบรับจากแม่ทัพใหญ่แห่งกังตั๋งที่กุมชีวิตของตนไว้ในกำมือในขณะนี้

    หึ... เฮ้~อ...จิวยี่ถอนหายใจยาว ก่อนสูดหายใจกลับเข้าไปให้ลึกจนเต็มปอด พยายามสงบใจลง แต่ขณะอารมณ์เริ่มจะคงที่เหตุการณ์ณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

    เอาเลยเซ่!” คนส่งสาสน์ของโจโฉเกิดบ้าดีเดือดอะไรขึ้นมาไม่รู้ ตะโกนแหกปากเหมือนคนบ้า คงคิดว่ายังไงก็ต้องตาย ขอร้องด่าให้สาแก่ใจก่อนไปยมโลกก็ยังดี แกมันโง่ที่คิดจะต่อกรกับท่านโจโฉไอ้จิวยี่...! ท่านโจโฉมีทัพที่มีกำลังพลนับถ้วน…! กะอีแค่กองทัพขี้ปะติ๋วของแกไม่คณามือท่านหรอก…! ไม่มีที่ไหนในในแผ่นดินกล้าฆ่าทูตเพื่อประกาศสงครามกับท่าน…! พวกแกมันบ้า…! ได้ยินไหม...! พวกแกมันบ้า...!!”

    จิวยี่อารมณ์เดือดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังคงรักษามาดเย็นชาไว้ไม่ให้คนรอบๆ รู้ว่าตนกำลังน๊อตหลุด แต่ถึงกระนั้น เส้นเลือดขอดที่ผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผากแฉความโกรธาของตัวเองให้เหล่าผู้มีสายตาเฉียบคม 3-4 คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั่นรู้อยู่ดี

    บ้างั้นเหรอ...? จิวยี่พูดด้วยน้ำเสียงดำมืดกึ่งอำมหิต ก่อนหันมาตวาดใส่ทูตกังตั๋งสุดเสียง ที่นี่…!! กังตั๋งโว้ย...!!”

    ว่าจบจิวยี่ก็ทำในสิ่งทุกคนไม่คาดคิด เขายกขาขวาขึ้นถีบทูตของโจโฉอย่างแรงจนทูตคนนั้นหงายหลังหัวฟาดพื้นก่อนกระเด็ดตกท่าน้ำไปลงไปนอนหมดสติลอยู่เหนือน้ำ ราวศพที่อืดขึ้นมา ท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งฝ่ายคนของทูตที่มาด้วยกัน และ ฝ่านของตนเอง

    ฉันว่า... ฉันเคยเห็นฉากนี้ในหนังนะ... อินูอิเอ่ยขึ้นเรียกเอาความสงสัยไร้สาระของเหล่าเซงาคุจนทั้งกลุ่มเริ่มขุดเรื่องมาซุบซิบกันทันที

    มั่วมาอีกและ...ผู้รู้หนังสือฟูจิคิด

    พาเจ้าขี้ทูตนี้กลับไปบอกโจโฉเลยนะว่า กังตั๋งจะไม่ยอมก้มหัวกับไอ้กบฏทรราชแผ่นดินยังไม่ จนกว่าเลือดหยดสุดท้ายของเราจะละเหยไป เราจะสู้ และ จะส่งไอ้เจ้าโจรตัณหานั้นกลับเมืองหลวงพร้อมกับอัปยศของความผ่ายแพ้ ได้ยินมั้ย!” จิวยี่ชี้กระบี่ไปทางเหล่าผู้ช่วยทูตที่กำลังลากร่างของหัวหน้าทูตของตนที่มีสภาพราวศพอืดน้ำของจริงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนออกคำสั่งเด็ขาดฝากข้อความอันอาหาญกลับไปให้โจโฉ

    ขะ! ขอรับ!” เหล่าผู้ช่วยทูตทั้งหลายตอบรับเสียงดังฝังชัดด้วยความหวาดผวา

    เอาล่ะไปได้แล้ว...!!” จิวยี่ตะโกนไล่

    ทันทีขอรับ ว่าบเหล่าผู้ช่วยทูตก็หอบเอาร่างของผู้เป็นหัวหน้าขึ้นเรือ และ บอกคนขับเรือให้ออกเดินทางโดยเร็ว ในไม่ช้าเรือของคณะทูตโจโฉก็แล่นออกจากท่าเรือหายไปจากสายตาของพวกเขา

    ... จิวยี่ยืนมองเรือของทูตโจโฉหายลับตาไปกับเส้นขอบฟ้าก่อนหันกลับมาทำท่าเดินกลับเข้าค่าย ทุกคน... กลับเข้าค่ายกันเถอะ

    ครับ เหล่าเซงาคุตอบรับ

    เทะสึกะ... จิวยี่หันมาสบตาเทะสึกะ ขอบใจมากนะ... หากไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงขาดสติลงมือฆ่าทูตคนนั่นไปแล้ว...

    ยินดีครับ เทะสึกะน้อมรับคำขอบคุณ

    ถามจริงเถอะ เธออายุ 15 จริงเหรอ? จิวยี่เอ่ยถาม

    ... เทะสึกะยืนหน้านิ่งเหงื่อตกเหมือนเคย

     

    เมืองเกงจิ๋ว

    จิวยี่มันว่าอย่างนั้นงั้นเหรอ? โจโฉเอ่ยถามด้วยหน้าตายด้านเช่นเคย ทั้งๆ ที่ทูตของตนเอาคำด่าของจิวยี่ที่ตนแต่งเสริมเติมแต่งลงไปเล็กน้อย (แน่ะ~!) มารายงานโจโฉอย่างครบถ้วน แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มหาอุปราชแห่งแผ่นดินมีปฏิกิริยาอะไร

    ขอรับ!” ทูตที่กลับมาพร้อมร้อยเท้าที่ท้อง และ หัวปูดที่ด้ากขอบพื้นท่าเรือตอบ

    ถ้ามันต้องการสงคราม... มันก็จะได้สงคราม... โจโฉว่าก่อนเอ่ยบอกทหารยามที่อยู่ใกล้ๆ ตน ไปตามขุนพลทุกคนมา ประชุมทัพ เตรียมบุกกังตั๋ง!”

    ขอรับ ว่าบทหารยามก็วิ่งออกไปกรายคำสั่ง

    หึ... รู้สึกว่าเจ้าจะสมหวังแล้วนะ ซูเฉา...โจโฉเอ่ยกับมือสังหารหนุ่มข้างตัว

    ขอรับ... ซูเฉาตอบรับเรียบๆ พลางแอบคิดดีใจ หึๆๆๆ... พวกเราจะได้แก้มือกันแล้วสินะ... รอข้าก่อนเถอะ... เทะสึกะ คุนิมิทสึ…”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×