คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตำนานวันสร้างโลก...[1]
มหากาพย์สงครามล้างเผ่าพันธุ์
Part 1 : ตำนานวันสร้างโลก 1-1
หากว่าดวงดาวดวงใดก็ตามที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ณ ดาวดวงนั้นมักมีเรื่องเล่ามากมายที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น แต่ทว่าบางเรื่องราวอาจถูกกล่าวขานกันจนกลายเป็นตำนานสืบไปดังเช่นเรื่องราวของการสร้างโลกบน ดาวเคราะห์ เกรนเซียร์ <Grenzear> หนึ่งในจำนวนดาวเคราะห์ของกาแล็คซี่โครนอส ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะดวงที่สี่ในจำนวนดาวเคราะห์ทั้งสิบสี่ดวง สิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นมาอย่างมากมายหลายเผ่าพันธุ์ รวมไปถึง มนุษย์ ด้วยเช่นกัน
มีตำนานบทหนึ่งกล่าวว่าขณะที่ทุกสรรพสิ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนผืนแผ่นดินนั้น ได้มีบุรุษผู้หนึ่งเกิดขึ้นมาจากผืนแผ่นดินและเปลวเพลิงอันร้อนแรงของแกนโลก เขาเรียกตนเองว่า เกรนเซียร์ บุรุษผู้นั้นมีอำนาจมากมายมหาศาลจนทุกสรรพสิ่งเรียกเขาว่า มหาเทพบิดร <Archlord Grenzear> มหาเทพได้สร้างเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างมากมาย รวมไปถึงกระทั่งเผ่าพันธุ์ยักษ์ มนุษย์ที่มีพละกำลังมากมายมหาศาล ร่างกายที่ใหญ่โตกำยำของเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้น ขนาดที่เล็กที่สุดของพวกเขาก็ประมาณ สอง ควอเนลแล้ว <ค่ามาตรวัดของดาวเคราะห์เกรนเซียร์ 1 ควอเนล = 1.6 เมตร> พวกเขามีอารมณ์ที่ดุร้าย สีผิวเขียวกล่ำเป็นประกาย พวกเขานับถือมหาเทพบิดรยิ่งชีพของพวกเขาเองเสียอีก
หลังจากที่มหาเทพได้สร้างเผ่าพันธุ์ยักษ์ขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้สร้างเผ่าพันธุ์อสูรขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน เหล่าอสูรถูกสร้างขึ้นด้วยเปลวเพลิงและความมืดมิด พวกอสูรจึงมีร่างกายที่แปลกประหลาด และมีอำนาจแห่งความมืดอยู่ในตัว พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่โหยหาการเข่นฆ่ากว่าทุกสรรพสิ่งบนผืนพิภพ เหล่ายักษ์เอือมระอากับความบ้าคลั่ง พวกเขาจึงก่อสงครามกับเหล่าอสูรอยู่เรื่อยมา
กาลเวลาไหลเวียนไปจวบจนมหาเทพเริ่มรู้สึกอ้างว้าง เขาจึงกรีดเลือดของตนลงในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมกับหยาดน้ำตาของตนลงไป ก่อนที่จะใช้อำนาจทั้งปวงของเขาสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกตนหนึ่ง มนุษย์ผู้นั้นเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม ผิวพรรณของนางขาวสะอาด ซึ่ง ขัดกับผิวของเขาที่ออกแดงกล่ำอย่างมาก มหาเทพจึงเอ่ยเรียกนางว่า โซฟิเทียร์ <Zophitear> มหาเทพมารดร
พวกเขาอยู่กินกันเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง เกรนเซียร์สังเกตว่าภรรยาของตนเริ่มมีอำนาจขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับตน เขาจึงเริ่มหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่ง นางจะมีอำนาจที่ทัดเทียมกับตน หรือ อาจมากกว่าตนด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากนางมีความอ่อนโยนอยู่ในตัวของนาง นางจึงยังคงให้อภัยผู้เป็นสามีทุกครั้งที่สามีพยายามจะลอบสังหารตน แต่สิ่งที่นางมิอาจอภัยให้แด่สามีของตนนั้น มีเพียงเรื่องเดียวนั่นคือ เขาได้สังหารบุตรของพวกเขาเองด้วยความหวาดระแวง นางจึงชุบชีวิตบุตรของนางขึ้นมาอีกครั้ง และตั้งชื่อให้กับเขาว่า อาห์คาเทล <Arhcatale> ซึ่งนางให้ความหมายกับชื่อบุตรของนางว่า ผู้สังหารเทพ
อาห์คาเทล เป็นบุรุษที่มีความยุติธรรมและความกตัญญูอย่างมาก เขาจึงไม่อาจหักใจสังหารบิดาตนได้ ถึงแม้ว่ามารดาของเขาจะสั่งมาก็ตามที เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีของบิดาและมารดาของตน จวบจนกระทั่งสงครามของเหล่าอสูรและยักษ์ จนวันหนึ่งเขาได้ใช้อำนาจที่ตนมีสร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเผ่าพันธุ์นี้มีรูปร่างเฉกเช่นเดียวกับเขาและมหาเทพทั้งสององค์ เพียงแต่ว่าผิวพรรณของพวกเขานั้นขาวราวกับหิมะเช่นเดียวกับมหาเทพมารดร และมีรูปร่างเพรียว ใบหูเรียวยาว รวมถึงสีผมที่ขาวสะอาดดุจหิมะในยามฤดูหนาว พวกเขาได้รับอำนาจแห่งมนตราทั้งสี่ธาตุมาใช้ จึงทำให้พวกเขากลายเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าอสูรและยักษ์ไปในทันที พวกอสูรและยักษ์ต่างพากันเรียกพวกเขาว่า เอลฟ์ หรือ เอเวน นั่นเอง
เผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นชนเผ่าแรกที่เริ่มมีการปกครองในระบอบกษัตริย์ ซึ่งพวกเขาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในพงไพรี จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันนั้นมีแต่คนเรียกขานพวกเขาว่า องครักษ์แห่งพงพันธุ์ เอลฟ์มีสายตาและประสาทสัมผัสด้านการได้ยินดีกว่าเผ่าพันธุ์อื่น พวกเขาจึงเริ่มฝึกทักษะด้านการใช้ธนูไว้สำหรับป้องกันการรุกรานของอสูรและยักษ์ ซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่พวกเอลฟ์เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก รองมาจากการใช้มนตราของพวกเขา เหล่าเอลฟ์ยกย่องนับถืออาห์คาเทลเป็นเทพพิทักษ์องค์หนึ่ง ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาเรียกขานอาห์คาเทลว่า เทพกษัตริย์ทรงธรรม เลยทีเดียว
ความคิดเห็น