ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Target [yaoi] -จบแล้ว-

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.47K
      64
      24 เม.ย. 59


    ตอนที่ 11

     

    "เจม ทานข้าวเย็นด้วยกันไหม"

    เจมมองคนชวนตาปริบๆ

    จิรานนท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถามย้ำว่า 'ไปไหม?'

    เจมรู้สึกนับถือในความพยายามของรุ่นพี่ร่วมห้อง

    เขาถูกพี่นนท์ชวนทานข้าวเย็นเกือบทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ก็มีเหตุให้ปฏิเสธทุกรอบ ยิ่งช่วงนี้เจมขัดสนเงินทองก็เลยชิ่งหาอะไรทานก่อนที่พี่นนท์จะเข้าห้อง ก็เลยได้ข้ออ้างว่าทานอิ่มแล้ว ขืนให้ตอบว่า 'ไม่ไปครับ ผมไม่มีตังค์' ก็เสียเชิงแย่

    แต่มาวันนี้พี่นนท์เล่นมาดักรอถึงหน้าหอสมุด เหมือนรู้ว่าพอเรียนคาบสุดท้ายเสร็จแล้วเขาจะมาขลุกที่นี่เพื่อหาข้อมูลทำรายงานจนถึงหกโมงเย็น

    "เอ่อ..."

    เจมอึกอัก

    ...จะบอกปัดยังไงดีวะ กูไม่มีตังค์กินข้าวข้างนอก นี่ก็กะว่าจะกลับไปกินมาม่าที่หอ

    ทำไมไม่ชวนพรุ่งนี้ละครับพี่ พรุ่งนี้จะได้เงินจากงานพิเศษอยู่แล้วเชียว

    "มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง" นนท์ชิงพูดก่อน

    "หา? พี่จะเลี้ยงผม?" เจมจิ้มนิ้วมาที่ตัวเอง

    "อื้อ วันนี้คะแนนสอบย่อยวิชาหนึ่งออก พี่ได้เกือบเต็ม ก็เลยอยากฉลอง ชวนใครก็ไม่ว่าง ก็เลยมาชวนเจม"

    ...ดักทางกูหมดเลยว่ะครับ

    กำลังจะบอกให้ไปชวนเพื่อนพอดี แล้วงี้กูจะปฏิเสธไงล่ะวะ

    "พี่เลี้ยงแน่นะ"

    "แน่สิ"

    นนท์พูดพลางฉุดแขนของเจมให้เดินไปยังลานจอดรถ เหมือนจะบังคับให้ตกลงกลายๆ

    ...ก็ได้วะ ไหนๆ ก็กินฟรีนี่หว่า

    เจมไม่ได้ขัดขืนอะไร แค่ขยับออกห่างจากพี่นนท์เพื่อไม่ให้เดินประชิดกายกันเกินไป

    "แล้วเราจะไปกินที่ไหนกันอะพี่"

    "เจมอยากไปที่ไหนล่ะ"

    เจมส่ายหน้า "ผมมันเด็กต่างจังหวัด ไม่ค่อยรู้จักร้านอะไรหรอกครับ เอาพี่ว่าเลยดีกว่า"

    "งั้นไปร้านแถวหน้ามอก็แล้วกัน เผื่อเจมจะรีบกลับมาทำงาน"

    ...ทำไมรู้ดีจังวะ

    เจมลอบมองรุ่นพี่เงียบๆ

    ไม่นานทั้งสองก็มาถึงลานจอดมอเตอร์ไซค์

    เจมรู้ว่าพี่นนท์มีรถมอเตอร์ไซค์ แต่ยังไม่เคยเห็นเสียทีว่าเป็นรถแบบไหน

    ทีแรกเจมก็นึกว่าพี่นนท์เดินไปเรียนเป็นหลัก แต่มารู้ภายหลังว่าในวันที่มีเรียนใกล้ๆ ก็จะเดินไป หากวันไหนมีเรียนไกลหรือต้องเร่งรีบก็จะใช้มอเตอร์ไซค์

    รุ่นพี่นำรถออกจากที่จอด ทำให้เจมได้เห็นว่าเป็นรถสไตล์สกู๊ดเตอร์สีดำแดงแต่ออกแบบให้เท่พอๆ กับบิ๊กไบค์

    นนท์เปิดเบาะนำหมวกกันน๊อคออกมายื่นให้เจม

    "แล้วพี่นนท์อะ ไม่ใส่เหรอ"

    "พี่มีแล้วนี่ไง" นนท์เอาหมวกกันน๊อคสีดำที่ห้อยอยู่แฮนด์รถขึ้นมาสวม

    "พี่นนท์มีหมวกสองอัน?" เจมเลิกคิ้ว

    นนท์ยิ้มแต่ไม่ตอบ แล้วขึ้นไปนั่งบนรถเตรียมสตาร์ท

    เจมเพิ่งสังเกตุว่าหมวกกันน๊อคของตนดูใหม่มากเหมือนเพิ่งซื้อ พอสวมก็ได้กลิ่นของใหม่ตามที่คิดจริงๆ

    พอเจมขึ้นควบซ้อนท้าย นนท์ก็ออกรถ

    นนท์พาเจมเข้าไปในร้านขายเย็นตาโฟในย่านตึกแถวแห่งหนึ่ง

    "ร้านนี้อร่อยมาก เจมเคยมาหรือยัง" นนท์บอกขณะเลือกนั่งตรงโต๊ะว่าง

    "ยังครับ"

    เจมมองบรรยากาศในร้านก็ไม่พบว่าจะเป็นร้านพิเศษอะไร เหมือนร้านขายเย็นตาโฟทั่วไป

    ...ปกติวัยรุ่นหน้าตาแบบพี่นนท์มักจะไปร้านอาหารที่ดูฮิปเตอร์

    อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้านแนวถ่ายรูปอวดลงเฟสฯ ลงไอจีแบบชิคๆ คูลๆ ไม่ใช่เหรอวะ

    หรือว่าเทรนด์คนหล่อเดี๋ยวนี้มาแนวใหม่ คือตระเวนกินร้านอาหารธรรมดาๆ แทน?

    "เจม จะสั่งอะไร"

    คำถามของรุ่นพี่ทำเอาเจมตื่นจากการคิดเรื่อยเปื่อย

    "เย็นตาโฟเส้นใหญ่ครับ"

    นนท์พยักหน้าแล้วหันไปยืนยันกับเด็กเสิร์ฟ

    "เย็นตาโฟเส้นใหญ่สองครับ"

    จากนั้นนนท์ก็ลุกไปเอาน้ำมาเผื่อเจมคนละแก้ว ทำให้เจมเพิ่งรู้ว่าเป็นร้านที่ลูกค้าต้องบริการหาน้ำมาดื่มด้วยตัวเอง ส่วนเด็กเสิร์ฟก็วิ่งวุ่นเสิร์ฟเย็นตาโฟให้ลูกค้ามือเป็นระวิง

    "โชคดีที่ตอนเรามามีโต๊ะว่าง ไม่งั้นได้ยืนรอแหง" พี่นนท์พูดขึ้น

    "ร้านนี้ขายดีมากเลยเหรอครับ"

    "อื้ม ย่ิงช่วงทุ่มสองทุ่มคนจะเยอะมากเลย"

    เจมแหงนมองรูปบนกำแพงที่มีรายการชวนชิมต่างๆ มาถ่ายทำก็เร่ิมเชื่อว่าคงอร่อยจริงๆ

    "เออเจม ทำงานกับพี่ณัทนี่...ได้รับค่าจ้างยังไงเหรอ"

    เจมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามของรุ่นพี่ แต่ก็ไม่คิดอะไรนอกจากชวนคุยธรรมดา

    "อ๋อ จ่ายเป็นเงินสดครับ พี่ณัทจ่ายให้ทุกสองอาทิตย์ พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดจ่ายตังค์แล้วครับ" พอพูดเรื่องจะได้เงิน เจมก็มีสีหน้าเบิกบานขึ้นทันที

    มีหรือนนท์จะมองไม่ออก พอเห็นเจมหน้าสดใส เขาก็พอยิ้มตามไปด้วย

    "ว่าแต่พี่นนท์รู้จักพี่ณัทได้ไงอะครับ ว่าจะถามหลายทีแล้วลืม"

    เจมถือโอกาสเผือกเลยก็แล้วกัน ไหนๆ พี่นนท์ก็พูดประเด็นนี้พอดี

    "พี่ณัทเป็นเพื่อนกับพี่ชายพี่น่ะ"

    เจมได้ยินก็ทำตาโต "พี่นนท์มีพี่ชายด้วยเหรอครับ เพิ่งรู้นะเนี่ย"

    "สงสัยเพราะพี่ไม่ค่อยพูดถึงพี่ชายก็เลยคิดว่าพี่เป็นลูกคนเดียวสิท่า"

    เจมหัวเราะแห้งๆ "ใช่ครับ"

    ...โอเค เคลียร์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่นนท์กับพี่ณัทไปละ

    แล้วเรื่องอาจารย์เทมส์กับพี่นนท์ล่ะ กูควรจะเผือกต่อดีไหม?

    แต่ไม่ดีกว่า บรรยากาศกำลังดี เผื่อถามไปแล้วพี่นนท์อารมณ์เสียกูก็อดแดกฟรีดิวะ

    ขณะเจมกำลังนึกในใจ เด็กเสิร์ฟก็นำถ้วยเย็นตาโฟมาวางบนโต๊ะพอดี

    เขาจึงได้ฤกษ์ชิมว่าจะอร่อยสมคำร่ำลือหรือไม่

    เจมตักน้ำสีชมพูขึ้นมาซด

    แล้วเขาก็เข้าไปสู่ความเวิ้งว้าอันไกลโพ้น

    ...คุณพระ! ความกล่มกล่อมของน้ำซุปผสานกับรสชาติเครื่องเทศนี่มันอะไร???

    น้ำซุปเย็นตาโฟได้ไหลวนอยู่ในช่องปาก ซัดสาดไปตามกระพุ้งแก้ม ประหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่โล้สำเภา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศจีนด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ก่อร่างสร้างชื่อให้ถูกปากคนไทย จนกลายมาเป็นอาหารที่ทุกคนรู้จักในนามก๋วยเตี๋ยวสีชมพูนี่เอง...เอง...เอง...(เอคโค่)

    "อร่อยไหมเจม"

    นนท์ถามทั้งที่ดูจากสีหน้าของคนนั่งด้านตรงข้ามก็พอรู้ว่ากำลังซาบซึ้งในรสเย็นตาโฟอยู่

    เห็นแล้วอยากจะหยิกแก้มจริงๆ

    "อร่อยมากพี่!!"

    เจมพูดจบก็โซ้ยเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากโดยไม่คิดใส่เครื่องปรุงใดๆ อีก

    "ค่อยๆ กินล่ะ เดี๋ยวสำลัก" นนท์พูดกลั้วหัวเราะ

    นั่นทานกันไปได้สักพักเจมก็นึกเรื่องที่เต้บอกได้ว่าพี่นนท์เป็นเพื่อนพี่โจ เลยคิดจะถามเพื่อความแน่ใจ

    "พี่นนท์ครับ"

    "หืม?"

    "พี่รู้จักพี่โจวิดวะปีสี่ไหม ที่เคยเป็นเดือนคณะ"

    จิรานนท์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า "รู้จัก"

    "งั้นที่ไอ้เต้บอกว่าพี่เป็นเพื่อนกับพี่โจก็จริงอะดิ"

    "ทำไมเหรอ" นนท์วางตะเกียบ

    "อ๋อ เปล่าครับ คือผมกลัวว่าไอ้เต้จะมั่วอะ" เจมพยายามเบี่ยงเรื่องไปเป็นอย่างอื่น ไม่ให้รุ่นพี่สงสัยว่ากำลังลอบถามข้อมูลของพี่โจอยู่

    "แล้วเจมรู้จักโจได้ยังไง"

    "คือผมไปเดินชนพี่โจอะครับ ไอ้เต้ก็เลยบอกว่านั่นเป็นพี่โจ เพื่อนพี่นนท์" เจมยกมือลูบข้างแก้ม

    "ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม" นนท์ทำหน้าเหมือนกังวลแทน

    "ปัญหาไรเหรอครับ?"

    "ก็เห็นบอกว่าเดินชนกับโจ"

    "อ๋อ ไม่มีครับ พี่โจไม่ได้เอาเรื่องอะไร" เจมโบกมือพัลวัน

    นนท์พยักหน้ารับรู้

    ส่วนเจมก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติม เพราะคิดว่าค่อยๆ เลียบเคียงถามดีกว่าถามตู้มเดียว เดี๋ยวจะดูมีพิรุธซะเปล่า

     



    ศตคุณขับรถไปตามเส้นทาง เขาเพิ่งแวะรับขนมปังจากแหล่งผลิตไปวางขายในร้าน ขนมปังที่ศตคุณรับมาขายเป็นยี่ห้อโฮมเมดจึงต้องมารับถึงแหล่งซึ่งเป็นบ้านหลังหนึ่งที่แปลงสภาพเป็นโรงงานทำขนมปังขนาดเล็ก

    เขาขับไปได้สักพักรถก็กระตุก ศตคุณเฉลียวใจทันจึงเปลี่ยนไปขับเลนติดฟุตบาท ไม่กี่นาทีต่อมาเครื่องยนตร์ก็ดับสนิท รถจอดนิ่งข้างทาง สตาร์ทไม่ติดอีกเลย

    ศตคุณไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องยนตร์อะไรนัก เลยตัดสินใจโทรหาศูนย์บริการ

    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงช่างจากศูนย์ก็มาถึง พอตรวจเช็คแล้วก็บอกกับศตคุณว่าต้องลากรถเข้าอู่

    ทำให้ศตคุณต้องย้ายตะกร้าใส่ขนมปังจำนวนสี่ตะกร้าใหญ่ออกจากหลังรถ แล้วเตรียมเรียกแท็กซี่ ส่วนรถก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่าง

    ศตคุณเรียกแท็กซี่หลายคัน เมื่อเห็นเขามีตระกร้าขนมปังพะรุงพะรังต่างไม่จอดรับคันแล้วคันเล่า

    เขาเริ่มหัวเสีย วางตะกร้าไว้บนพื้น หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

    "โจ้เหรอ พี่รถเสีย อาจไปที่ร้านช้าหน่อย"

    ศตคุณโทรบอกพนักงานที่จะมาทำงานในกะแรก เนื่องจากกุญแจเปิดร้านอยู่ที่เขา

    ในจังหวะที่กดวางแล้วกำลังจะมองหาแท็กซี่ต่อ รถคันหนึ่งก็มาเทียบอยู่ด้านหน้า กระจกด้านข้างเลื่อนลงมา ทำให้มองเห็นคนขับ

    ศตคุณมองอย่างไม่เชื่อสายตา

    "เทมส์"

    ธีทัตเดาสถานการณ์ได้จากรถของศตคุณที่จอดนิ่งริมฟุตบาทพร้อมกับเปิดไฟฉุกเฉิน ใกล้นั้นมีชายใส่ชุดพนักงานของศูนย์บริการรถยนต์แห่งหนึ่งกำลังยกโทรศัพท์พูดอยู่ ในมือถือแผ่นกระดาษและแฟ้ม

    ส่วนเจ้าของรถอย่างศตคุณก็นำข้าวของออกมายืนคล้ายจะโบกแท็กซี่ด้านนอก

    "เอาตระกร้าไปใส่หลังรถสิ"

    "หา?" ศตคุณเลิกคิ้ว

    ธีทัตปรายตาดุมองเขา คล้ายจะบอกว่าทำไมต้องให้พูดซ้ำสอง

    ศตคุณจึงรีบยกตะกร้าขนมปังไปใส่ในกระโปรงหลังรถแต่โดยดี เสร็จแล้วก็ขึ้นมานั่งด้านข้างคนขับพร้อมกับปิดประตูอย่างเบามือ

    รถของธีทัตวิ่งไปได้สักพัก ภายในรถยังคงเงียบกริบ ไม่นานศตคุณก็เริ่มกล่าว

    "ขอบคุณนะ"

    ธีทัตยังไม่เอ่ยอะไร สายตานิ่งมองที่ถนนเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียว

    ศตคุณเม้มปาก ไม่เคยรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าได้เท่านี้มาก่อน

    ไม่รู้ว่าเพราะแอร์ในรถเย็นฉ่ำหรือความเย็นชาจากคนด้านข้าง ถึงทำให้เขารู้สึกหนาวไปถึงหัวใจ จนเผลอพูดบางอย่างออกมา

    "ถ้ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่ จะให้เราขอโทษอีกกี่ครั้งก็ได้ เราไม่ได้อยากให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้ ทั้งเทมส์กับนันท์ต่างก็เป็นเพื่อนเรา สำคัญกับเราเหมือนๆ กัน ถ้าไม่มีเรา...ทุกอย่างคงดีกว่านี้"

    "พอเถอะ" เทมส์ทำเหมือนไม่อยากฟัง

    "เราแค่อยากบอกว่าทุกอย่างมันเป็นความผิดเราเอง"

    "เลิกพูดเถอะ! เราไม่ได้รับนายขึ้นรถเพราะให้มาฟื้นฝอยเรื่องพวกนี้"

    "แต่เราไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้"

    "บรรยากาศยังไง"

    "ที่นายชอบทำเมินเฉยใส่"

    เทมส์ได้ยินแล้วหัวเราะในลำคอ

    "ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ กับเพื่อนทรยศอย่างนายน่ะ"

    ศตคุณทำหน้าหนักใจ ถูกเข้าใจผิดแบบนี้มาสองปี ควรจะหาวิธีไหนอธิบายว่าเขาไม่ได้ทรยศดีนะ ...โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงความในใจของตัวเอง

    "นายยังไม่หายโกรธเรา แล้วนายรับเราขึ้นรถทำไม"

    "ไม่หายโกรธ แต่โกรธน้อยลงกว่าสองปีก่อน ที่รับขึ้นรถก็เห็นแก่นักศึกษาที่ต้องมารอร้านกาแฟเปิด ถ้าไม่ได้กินกาแฟหรือขนมปังก่อนเรียนอาจจะท้องกิ่วหิวจนเรียนไม่รู้เรื่อง"

    ศตคุณได้ยินแล้วเผลอยิ้มออกมา

    นี่แหละคือเทมส์ตัวจริง ไม่ใช่เทมส์ที่ใส่หน้ากากเย็นชา เทมส์ตัวจริงมีความกวนประสาท ขี้เล่น เป็นกันเอง

    บางทีการให้อภัยอดีตเพื่อนอย่างเขาคงต้องใช้เวลามากสักหน่อยสำหรับเทมส์ แต่เขารอได้ นานเมื่อไรก็จะรอ

     



    ราวเกือบเที่ยงวัน ศตคุณลงจากแท็กซี่ เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มองหาใครบางคน

    "ณัท" เสียงหนึ่งเอ่ยเรียก

    ศตคุณหันไป เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เปลี่ยนไปจากสองปีก่อนมากนัก

    "นันท์มานานหรือยัง โทษที รถยังซ่อมอยู่ศูนย์ เลยโบกแท็กซี่มา" เขาเอ่ยขณะเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย

    "เพิ่งมาถึงเหมือนกัน" จิรานันท์เอ่ย

    ศตคุณพินิจมองเพื่อนเล็กน้อย แม้ว่าไม่ได้เจอกันราวสองปี นอกจากการแต่งกายของอีกฝ่ายที่ดูออกว่าทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง ทว่าอย่างอื่นยังคงเหมือนเดิม แววตาเรียวคม จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้ายามนิ่งเฉยดูเงียบขรึมเข้าหายาก ทว่าเมื่อแย้มยิ้มกลับดูเป็นกันเอง

    "นนท์บอกว่าณัทเปิดร้านกาแฟที่มหา'ลัยเหรอ"

    จิรานันท์คือพี่ชายของจิรานนท์

    "ใช่ ว่างๆ ก็ไปอุดหนุนสิ" ณัทกล่าวยิ้มๆ

    "ถ้าว่างน่ะนะ" นันท์ทำสีหน้าคล้ายอยากจะฟ้องว่า 'งานยุ่งจะตายห่า ปลีกตัวไม่ได้เลย'

    "ฟังเสียงก็รู้ว่างานยุ่ง นี่เราคงโชคดีมากที่คุณจิรานันท์ปลีกเวลามาทานข้าวเที่ยงด้วยได้" ณัทหัวเราะ

    "ลูกค้าเลื่อนนัด เลยว่างมาเนี่ย ...สั่งไรมากินก่อนละกัน" นันท์บอกจากนั้นหยิบเมนูส่งให้เพื่อน

    เมื่อพนักงานมารับออเดอร์เสร็จ นันท์ก็พูดต่อ

    "นนท์บอกว่าเทมส์เป็นอาจารย์ที่มหา'ลัยด้วยเหรอ"

    ณัทพยักหน้า "อืม"

    นันท์หรี่มองสีหน้าของเพื่อน "ทำไม มันยังโกรธพวกเราอยู่เหรอ"

    "ก็คงไม่หายโกรธง่ายๆ แต่เห็นว่าโกรธน้อยลงแล้ว"

    "ทำไมพูดเหมือนได้คุยกันแล้ว?"

    "อือ ตอนเจอหน้ากันครั้งแรกเทมส์แทบไม่อยากมองหน้าเราเลยมั้ง แต่วันก่อนรถเราเสีย เทมส์ขับผ่านพอดีเลยรับขึ้นรถ ก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย"

    จังหวะนั้นพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี พอพนักงานเดินห่างไปนันท์ถึงเลิกคิ้วถามกับณัท

    "เดี๋ยว...รับขึ้นรถ? ก็แสดงว่าไม่ได้โกรธแบบไม่เผาผีแล้วสิ"

    "เราก็ถามไปตรงๆ นะว่าโกรธอยู่เหรอ เทมส์ก็บอกว่ายังโกรธอยู่ แต่ก็ไม่ได้โกรธเหมือนตอนเกิดเรื่อง" ณัทเล่าพลางจับหลอดคนกับน้ำแอปเปิ้ลใส่น้ำแข็งในแก้วทรงกระบอกเล่น ยังไม่คิดดื่ม

    "ความจริงไอ้เทมส์มันไม่ควรโกรธแกเลยนะณัท แกไม่เกี่ยวไรเลย จะโกรธก็ควรโกรธแค่เรา" นนท์พูดจบก็ยกแก้วขึ้นมาดูดหลายอึก

    "ไม่ใช่หรอก เรานี่แหละที่เป็นต้นเหตุ เทมส์จะโกรธก็ถูกแล้ว"

    นันท์นิ่วหน้ากับการโทษตัวเองของเพื่อน วางแก้วลงบนแผ่นรองจนเกือบเป็นการกระแทก

    "อีกละ ชอบพูดแบบนี้ตลอดเลย"

    "ก็มันจริงนี่นา"

    นันท์โบกมือ "พอๆ เปลี่ยนเรื่องๆ ช่างไอ้เทมส์มัน ปล่อยให้โกรธไป เอาที่มันสบายใจละกัน ...เสาร์นี้มีงานวันเกิดปอนด์ จะไปหรือเปล่า"

    "ปอนด์มาชวนเหมือนกัน แล้วนันท์จะไปหรือเปล่า"

    ปอนด์คือเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมของณัท แม้จะต้องแยกย้ายกันไปเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังติดต่อนัดเจอกันบ้างตามโอกาส

    "ต้องดูก่อน ไม่รู้ว่าตรงกับวันนัดลูกค้าไหม ลูกค้ายังไม่แน่ว่าอาจจะเลื่อนนัดเป็นวันเสาร์เย็นหรือไม่ก็วันจันทร์บ่าย รอคอนเฟิร์มอีกทีพรุ่งนี้"

    "เหรอ"

    "ถ้าเราไม่ได้ไปก็ฝากของขวัญไปให้ปอนด์ด้วยนะ"

    "อืมได้ ว่าแต่...ปอนด์ชวนเทมส์มาไหม?" ณัทเพิ่งนึกประเด็นนี้ได้

    "ไม่รู้ ไม่ได้ถามมันด้วย"

    "เทมส์คงไม่ไปมั้ง ถ้ารู้ว่าปอนด์ชวนพวกเราด้วย" ณัทมีสีหน้าหมองลง

    นันท์จ้องเพื่อนแล้วถามออกไป

    "ยังชอบไอ้เทมส์อยู่เหรอ"

    ณัทสะดุ้งที่ถูกถามตรงๆ

    "ไม่รู้สิ มันแค่ลืมไม่ลง..."

    "ก็เลยยังโสดถึงตอนนี้?"

    ณัทสะดุ้งอีกรอบ โดนอีกฝ่ายอ่านออกหมดจด

    "ก็แค่ยังไม่มีใครเข้ามา..."

    "ณัท แกเอาสักอย่างเหอะ จะลืมไอ้เทมส์ไปซะ หรือว่าบอกความในใจกับมันซะที มันจะได้รู้ว่าเรื่องตอนนั้นมันเป็นยังไงกันแน่ มันจะได้เลิกโกรธแก มาโกรธเฉพาะเรานี่"

    "ช่างเหอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว คงแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก"

    ระหว่างนั้นพนักงานนำจานอาหารมาเสิร์ฟพอดี ณัทจึงตัดบท "กินข้าวดีกว่า หิวแล้ว เดี๋ยวต้องรีบกลับไปดูร้านต่อ"

    นันท์ถอนหายใจ ไม่เซ้าซี้อีก หันไปสนใจจานอาหารของตนแทน



    ______________________________________________________



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×