ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Faith of the Liora

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 รูปปั้นในสุสาน : Chapter 4 Graveyard statue

    • อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 56


    บทที่ 4 รูปปั้นในสุสาน : Chapter 4 Graveyard statue               


                    เอมิลี่นั่งรถรางมาเป็นเวลาสิบเจ็ดนาทีแล้ว ดูเหมือนจะได้ระยะทางไกล แต่ความจริงมันวิ่งได้เอื่อยมากราวกับรถขายไอศกรีม ด้านหลังเห็นเป็นแสงไฟจากตัวเมืองอามันยาอยู่ลิบๆ ทางที่กำลังจะไปคือ หมู่บ้านเกษตรกรรม พวกชาวไร่ชาวสวนทำเกษตรกันอยู่ที่นั่น

                    วินเทอร์ลุกขึ้นแล้วมองไปข้างทาง มันสะกิดเอมิลี่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่น

    “ตื่นๆ เราต้องลงตรงนี้”

    “หืม” เธอลืมตาอย่างสลึมสลือ

    “กดกริ่งสิ”

    “เราถึงแล้วหรือ”

    “ใช่ รีบกดก่อนที่จะเลยน่า” วินเทอร์สั่ง

    เอมิลี่ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วกดกริ่งที่อยู่ด้านบนของรถรางดังกริ๊ง รถรางเริ่มชะลอแล้วหยุด ทั้งคู่ลงจากรถ

    เธอเห็นตรงนี้เป็นสถานที่โล่งแจ้ง เหมือนกับที่ดินว่างเปล่า มีหญ้าขึ้นยาวพอสมควร บรรยากาศมืดสลัว มีแสงจากโคมไฟที่แขวนไว้เสาต้นหนึ่งที่คงจะผ่านการใช้งานมานานแล้ว ถัดจากนั้นไปด้านก็เป็นป่าสนที่รกหนา มีทางเดินหินแหวกพงหญ้าออกเป็นสองฝั่ง ตัดเข้าไปในดงต้นสนเหล่านั้น รถรางเคลื่อนออกไปแล้ว

    “เราต้องเดินไปทางนั้นต่ออีกหน่อย” วินเทอร์ชี้หางไปที่ทางเดินนั้น

    “โว่ว โว่ว โว่ว เดี๋ยว เดินเข้าไปในดงต้นไม้เนี่ยนะ” เอมิลี่ถามด้วยความไม่พอใจ

    “ถูกต้อง”

    “มืดๆแบบนี้เนี่ยนะ”

    “ถูกต้อง”

    “มันดูเปลี่ยวมากเลยนะ”

    “ก็คงเป็นเช่นนั้น”

    “แล้วก็ยังวังเวงอีกด้วย”

    “ก็ใช่”

    “ไม่เอาอะ มันดูน่าอันตราย” เอมิลี่ปฏิเสธเสียงแข็ง

    “ถ้าเธอไม่ไป ฉันก็จะไปคนเดียว” วินเทอร์สะบัดตูด แล้วเดินนำไปอย่างไม่แยแส

    “เดี๋ยวสิ อย่าทิ้งฉันไว้กลางทุ่งหญ้าแบบนี้สิ” เอมิลี่ตะโกน แต่วินเทอร์ก็ไม่หันกลับมา

    “นี่วินเทอร์!” เธอตะโกนขึ้นอีกครั้ง “รอฉันด้วย”

    สุดท้ายเธอก็ต้องวิ่งตามมันไป ทั้งคู่อยู่ไกลออกไป ไกลออกไปจนหายไปในดงต้นสนที่มืดมิด

     

     

    “บทที่สิบเจ็ด มารยาทในการรับประทานอาหาร” หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น นางน่าจะอายุประมาณสี่สิบ ผมสีขาวถูกรวบเก็บไว้บนศีรษะจนหมด ใส่ชุดสีเหลืองอำพัน เครื่องประดับเต็มตัว แต่งหน้าเจนจัดราวกับคุณนายชั้นสูง ที่ชอบวางท่าสวยโก้ในงานเลี้ยงน้ำชา

    “ข้อที่หนึ่ง เจ้าหญิงจะไม่รับประทานอาหารเอง หากไม่มีคนเชิญ” นางอ่านหนังสือสีทองเล่มหนาที่หน้าปกเขียนว่า“คุณสมบัติเจ้าหญิง” เสียงก้อง

    “ข้อสอง เจ้าหญิงจะไม่เอ่ยปากชวนใครรับประทานอาหาร เข้าใจไหมเพคะ” นางหันหน้ามาถาม เจ้าหญิง ที่กำลังนอนอยู่ที่ขอบเตียง

    “กฎอะไร บ้าบอชะมัด” เธอพึมพำ

    “เจ้าหญิงลูน่าเพคะ! ทรงตั้งใจฟังอยู่หรือเปล่า” นางดุเสียงดัง

    “ฟังอยู่ค่ะๆ ห้ามกินก่อนชวน และห้ามชวนคนอื่นกิน”ลูน่าตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องไหมคะ มาดามมาร์กาเร็ต”

    “ดี๊!” นางตอบเสียงสูง “เลิกนอนเล่นเป็นเด็กๆได้แล้วเพคะ”

    “เรื่องของข้า” ลูน่าพูดกับตัวเองเบาๆ

                    “ทรงว่าอะไรนะเพคะ” มาดามมาร์กาเร็ตหันขวับ

                    “เปล่าค่ะๆ” ลูน่าตอบอย่างตกใจ

    “งั้นก็ดีข้อที่สาม กฎการใช้อุปกรณ์รับประทานอาหาร สามจุดหนึ่ง ช้อน สามจุดหนึ่งจุดหนึ่ง ช้อนตักซุป

    “มาดามมาร์กาเร็ตคะ นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้ว หมดเวลาเรียนแล้วนะคะ” ลูน่าขัดจังหวะ

    “แต่เรายังไม่จบบทที่สิบเจ็ดเลยนะเพคะ” นางแย้ง

    “ข้าสัญญาว่าจะอ่านมัน ได้โปรดเถอะนะ มาดาม” เจ้าหญิงอ้อนวอน

    “ทรงแน่ใจหรือ เมื่อวันก่อนพระองค์ก็แอบไปเดินเล่นในสวน” นางถามอย่างเหนือชั้นเชิงกว่า

    “ข้าสัญญา จริงๆ ข้าจะไม่แอบไปเดินเล่นอีก” เธอทำหน้าตาเหมือนแมวกำลังอ้อนเจ้านาย

    “เอ่อ ก็ได้เพคะ”มาดามใจอ่อน

    “ขอบคุณค่ะ มาดาม ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เธอกระโดดขึ้นจากเตียง แล้วดันตัวมาดามมาร์กาเร็ตออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

    “พระองค์ ทรงอย่าลืมนะเพคะ พรุ่งนี้ตอนสาย

    “ฝันดีค่ะ” ลูน่าปิดประตูทั้งๆที่นางยังพูดไม่เสร็จ

    เธอเดินมานั่งที่เก้าอี้เบาะสีครีมไร้พนักพิงปลายเตียง ในมือถือแปรงหวีผมสีขาว เธอค่อยๆแปรงผมอย่างสุขใจ ยิ้มเหมือนเด็กที่ได้ลูกอมเป็นรางวัล

    “ไปได้สักที ยัยมาดามลิปม่วง” ลูน่าบ่นอยู่คนเดียว มาดามลิปม่วงคงจะหมายถึงสีปากของมาดามมาร์กาเร็ต ที่ทาลิปสติกสีม่วงเข้มปรี๊ด ดูช้ำเลือดช้ำหนอง

    เจ้าหญิงต้องแบบนั้น เจ้าหญิงต้องแบบนี้” เธอล้อเลียนท่าทางของมาดาม “มาเป็นเจ้าหญิงเองเลยสิ เฮอะ”

    ลูน่าแปรงผมเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปเก็บแปรงที่โต๊ะเครื่องแป้ง ห้องของเธอใหญ่โตโอ่อ่าสมดังเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรจันทรา ข้าวของส่วนใหญ่มีสีโทนเหลืองและทอง นอกจากนั้นก็มีสีขาวบ้างประปราย เธอเปิดประตูระเบียงเพื่อออกไปสูดอากาศยามค่ำคืน

    “วันนี้โลกสวยจัง” เธอมองเห็นโลกจากบนดวงจันทร์อาณาจักรจันทราตั้งอยู่บนดวงจันทร์จริงๆน่ะ

    “ดาราแพรวพราวพราน   ดลบันดาลจันทรารมย์   สุริยนต์ชายเชยชม   สามโลกามาโคจร”

    ลูน่าท่องบทกลอนที่เธอเรียน ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะราวกับเสียงดนตรี บทกลอนได้กล่าวถึงสามอาณาจักรอันยิ่งใหญ่คือ อาณาจักรดารา อาณาจักรจันทรา และอาณาจักรสุริยัน เจ้าหญิงเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้แล้วกลับเข้ามาในห้อง กระโดดลงบนเตียงสีทองอันหนานุ่ม

    “เฮ่อข้าอยากออกไปเที่ยวเล่นเหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ” เธอถอนหายใจ “เดินเล่นในสวน นั่งปิกนิก ดื่มรูทเบียร์ และเดตกับชายหนุ่มรูปหล่อ การเป็นเจ้าหญิงมีข้อจำกันมากมายเหลือเกิน”

    ลูน่านอนคิดอะไรมากมายบนเตียง เธอร้องเพลงสองสามเพลง หยิบคุณสมบัติเจ้าหญิงมาเปิดอ่านบทที่สิบเจ็ดต่อ แต่ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็ปิดมันแล้วโยนไปที่เก้าอี้ปลายเตียง ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้น จัดชุดของเธอเล็กน้อยให้เข้ารูปก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    เจ้าหญิงเดินลงจากห้องของเธอ ที่อยู่ชั้นบนสุดของหอคอยทิศตะวันออก ลงบันไดวนมาเรื่อยๆ จนถึงโถงบันไดชั้นห้า เธอเดินต่อไปทางตะวันตกโดยผ่านห้องทรงงาน และผ่านห้องมาดามมาร์การเร็ตด้วย จนมาถึงโถงบันไดอีกฝั่ง จากนั้นก็เดินลงบันไดจนมาถึงชั้นสามซึ่งเป็นห้องของข้าราชบริพาลในวัง เธอเดินมาหยุดที่ห้องหนึ่ง แล้วเคาะประตู

    “เรเชลๆ เจ้าอยู่หรือเปล่า”

    สักพักก็มีคนเปิดประตู เป็นหญิงน่าจะอายุเท่าลูน่า

    “เพคะ องค์หญิง”

    “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าช่วยดูต้นทางให้ข้าที”

    “ได้เพคะ ว่าแต่วันนี้พระองค์จะเสด็จไปไหน” เรเชลถาม

    “โลกน่ะ”

    “โลกหรือ พระราชาทรงห้ามใครเดินทางข้ามอาณาจักรโดยพลการนี่เพคะ”

    “เอาเถอะน่า เจ้าช่วยดูต้นทางให้ข้าก็พอ”

    ทั้งคู่เดินออกจากพระราชวังทางประตูหลัง ซึ่งมีสวนดอกลิลลี่ เรเชลหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ จึงพาเจ้าหญิงลัดเลาไปตามพุ่มดอกโรสแมรี่ที่ส่งกลิ่นหอม และเข้าไปในเขาวงกตพุ่มไม้สีเขียว เรเชลนำทางผ่านเขาวงกตธรรมชาติอย่างชำนาญ เขาวงกตแห่งนี้ พระราชาจันทราเป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อเป็นสุสานของราชินีลิโอนี หลุมฝังศพของพระนางอยู่ด้านในสุดของเขาวงกต ราชินีลิโอนีสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดลูน่าได้เพียงหนึ่งเดือนโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ

    “ถึงแล้วเพคะ” เรเชลพูด เมื่อเธอและลูน่าเดินมาถึงใจกลางเขาวงกตซึ่งใช้เวลาไม่นาน สุสานเป็นลานไม่กว้างมาก มีหลุมฝังศพหินสีขาวอยู่ตรงกลางหันไปทางทิศตะวันตก ด้านข้างมีสวนดอกไม้นานาพันธุ์ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นขึ้น ด้านขวาของสุสานมีเก้าอี้สวนสีขาว ตั้งอยู่ด้านข้างรูปปั้นเทพีเฮรา

    “ขอบใจเจ้ามาก ไปได้แล้วล่ะ”

    “ทรงเดินทางปลอดภัยนะเพคะ” เรเชลถอนสายบัวก่อนที่จะเดินกลับออกไป

    ลูน่าเดินตรงไปที่หน้ารูปปันเทพีเฮรา ถอดกระดิ่งสีทองอ่อนๆ ที่ผูกติดอยู่ที่ข้อมือเธอด้วยสายผ้าสีฟ้าอ่อน ออกแล้วยัดมันลงในช่องว่างตรงฐานรูปปั้น มันลงล็อคได้พอดี รูปปั้นเริ่มขยับ แล้วเคลื่อนแยกออกจากกันเป็นสองซีกซ้ายและขวา เสียงดังครืด มันแหวกออกทำให้ช่องว่างตรงกลางเป็นช่องว่างสีดำมืดคล้ายมิติลับ

    “เอาละนะ ไปแล้วจ้า” ลูน่าพูดแล้วหยิบกระดิ่งที่ติดอยู่ช่องซีกซ้ายออก จากนั้นก็กระโดเข้าไปในมิตินั้นด้วยความรวดเร็ว รูปปั้นกลับมาเคลื่อนต่อกันดังเดิม

    เป็นเวลาห้านาทีที่ลูน่าเดินอยู่ในมิติ มันเป็นทางแคบๆสลัวๆ มีแสงเทียนเล็กน้อยบนฝาผนัง ปลายทางก็มีช่องมิติแบบเดิม เธอก้าวออกไปแล้วพบว่า อยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งบนโลก สังเกตได้จากมีดวงจันทร์บนท้องฟ้า  ด้านหน้าเป็นท่าเรือเวสต์เลค ลูน่าเดินเข้าไปที่ท่า มองหาเรือที่กำลังจอดเรียงราย แสงไฟจากเสาพอมองเห็นป้ายได้ในตอนกลางคืน เธอเดินมาหยุดที่เรือลำหนึ่งแล้วเดินขึ้นไป ซึ่งป้ายเขียนว่า ไปอามันยา

    ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

                   

                    เอมิลี่กับวินเทอร์โผล่มากจาดงต้นสนอีกด้านหนึ่ง ทัศนียภาพเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ต้นไม้ประปราย ซึ่งดูเหมือนเป็นลานอะไรสักอย่าง มีกระท่อมเล็กๆตั้งอยู่ตรงเนินเขา วินเทอร์พาเอมิลี่ไปที่กระท่อมหลังนั้น

                    “ถึงแล้วล่ะ” มันพูดพลางผลักประตูให้เปิด

    “ที่นี่ที่ไหนกัน” เอมิลี่ถาม

    “บ้านฉันเอง เข้ามาสิ”

    เอมิลี่เข้าไปในกระท่อม บ้านที่มืดอยู่ก็พลันสว่างขึ้นจากเชิงเทียนบนผนัง ที่ดูเหมือนท้องฟ้ายามราตรี เธอสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว มันเป็นบ้านที่เธอเคยเห็นในความทรงจำของวินเทอร์นั่นเอง

    “นั่งลงก่อนสิ จะชงชากินก็ได้นะ มีผงชาคาโมมายล์อยู่ในตู้เก็บของนั่น”

    “ขอบคุณนะ” เอมิลี่เดินไปชงชาแทบจะทันทีที่วินเทอร์พูดจบ เธอขาดมันมาหลายชั่วโมงแล้ว

    “นางไปไหนนะ”วินเทอร์พึมพำ

    “ใครกันหรือ”

    “โจเซลีนน่ะ นางไม่อยู่” วินเทอร์ล้มตัวนอนลงบนพื้นหน้าเตาผิงหินที่มีไฟลุกโหม มันถูกจุดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

    “โจเซลีน” เอมิลี่พึมพำก่อนจะจิบชาหนึ่งอึก “นางเป็นแม่มดใช่ไหม”

    วินเทอร์ไม่ตอบ มันคงหลับไปแล้ว เอมิลี่นั่งลงที่เก้าอี้สีขาว พลันก็คิดถึงเรื่องสถานเลี้ยงเด็กได้ เธอรู้สึกเป็นกังวลกับแผนการของมิสเตอร์ฮอล์ฟ ถ้าเกิดมีเงินไม่พอสร้างสถานเลี้ยงเด็กใหม่ เด็กๆจะไปอยู่ที่ไหน

    “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอก ถ้าเธอช่วยฉันเสร็จแล้ว ฉันจะจัดการเรื่องมิสเตอร์ฮอล์ฟให้” วินเทอร์พูดขึ้น มันอ่านความคิดของเอมิลี่ได้

    “จริงหรือ ขอบคุณมากเลยนะ” เอมิลี่ยิ้มอย่างดีใจ

    “จริงสิ โจเซลีนช่วยได้ทุกคน” วินเทอร์พลิกตัวไปอีกด้าน

    เอมิลี่ดื่มชาด้วยความยินดี กลิ่นหอมของชาคาโมมายล์ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าตั้งแต่ตอนที่ใช้สายด่วนกาลเวลาของโอลิเวีย

    ซดชาจดหมดแล้ว เธอก็วางแก้วไว้ที่ตัก ไฟจากเชิงเทียนหรี่ลงเองอัตโนมัติ

    “วิเศษจัง” เอมิลี่ตื่นตาตื่นใจกับเชิงเทียนนั้น อันที่จริงก็ตั้งแต่เจอวินเทอร์แล้วล่ะ วันนี้เธอเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติมาตลอดบ่าย จนรู้สึกเพลีย เธอผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย ในมือยังถือแก้วเปล่าอยู่ เชิงเทียนบนผนังหรี่ลงเรื่อยๆจนดับ ทำให้ภายในกระท่อมมืดอีกครั้ง ทุกอย่างดูสงบ และไม่เคลื่อนไหว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×