ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Most beloved {ความรักของแสนรัก}

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนพิเศษ มึนเช่น เดือนเมษา ถึงเวลาเรารักกัน [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.91K
      10
      28 ม.ค. 48

    Most Beloved{ความรักของแสนรัก}

    Author Verandah



    ตอนพิเศษ มึนเช่น เดือนเมษา ถึงเวลาเรารักกัน [1]



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ถึง มีนา พี่สาวของฉัน



        หวัดดี มีน ขอโทษที่ฉันไม่ได้ ตอบ E - mail ของเธอเลย เพราะตลอด 4 เดือนที่ผ่านมานี้

    มันมีเรื่องยุ่งๆ มากมายจนฉันไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะ E - mail ตอบเธอ ทุกอย่างมันดูรวดเร็วไปหมด

    ฉันมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง ซึ่งฉันก็กำลังจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ



    เรื่องมันเริ่มจาก ฉันส่งจดหมายสมัครเรียนต่อ ไปที่มหาวิทยาลัยที่เยอรมัน เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันอยาก

    ไปเรียนต่อเมืองนอกแค่ไหน แล้วมันก็สำเร็จ!!!!  ทางมหาวิทยาลัยที่โน่นตอบรับการเข้าเรียนของฉัน



    และเนื่องจากฉันส่งไปหลายที่ ฉันก็เลยต้องมานั่งตัดสินใจเลือกว่าจะเอาที่ไหนดี สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจ

    เลือกที่ ลูเบค งงล่ะสิ ว่า ลูเบค คืออะไร



    ลูเบค เป็นชื่อเมือง ที่อยู่ในรัฐนีเดอร์ ซัคเซน ในเยอรมัน ซึ่งรัฐนี้อยู่เหนือสุดของประเทศเลยนะ

    และมหาวิทยาลัยที่ฉันเลือกก็คือ Medizinische Universitat Lubeck อ่านไม่รู้เรื่องล่ะสิ ไม่เป็นไร

    ฉันจะแปลเป็นภาษาไทยให้ละกัน ก็แปลว่า มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ แห่ง เมืองลูเบค จ้ะ



    เอาล่ะ จะเล่าต่อล่ะนะ



    พอเลือกได้แล้ว ฉันก็ต้องยุ่งกับการจัดทำวีซ่า แล้วก็อะไรอีกมากมาย แต่มันก็คุ้มที่เสียเวลาไปทั้งหมด

    เพื่อความปรารถนาของฉัน เมื่อเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ฉันก็แพ็คกระเป๋าบินไปเยอรมันทันที



    เพราะฉันจะต้องไปฝึกภาษาที่นั่นก่อนเปิดเรียนเป็นเวลา 4  เดือน ความจริงไม่ต้องก็ได้ เพราะฉันมี

    ใบรับรองการใช้ภาษาอยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ฉันเลยไปเทคคอร์สการใช้ภาษา

    ที่นั่นอีก 3 เดือน



    โดยฉันจะเริ่มเรียนภาษา วันที่ 7 ธันวาไปจนถึง 7 มีนา แล้วมหาวิทยาลัยจะเปิดเรียนวันที่ 7 เมษา

    ฉันจะมีเวลาพักก่อนเปิดเทอมจริงๆ  1 เดือนเต็ม



    ฉันออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 1ธันวา เลย กะว่ายังไงก็ทัน นั่งเครื่องบินอยู่นาน นอนหลับไปหลายตื่น

    กินข้าวอีกหลายมื้อ ก็ถึง ลูเบค นี่แหละ



    ฉันต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจทันที เพื่อรับรองสถานะภาพนักศึกษาต่างชาติ ไม่อย่างนั้นเรา

    ก็จะกลายเป็นคนหนีเข้าเมืองไปเลย แล้วก็ทำงานพิเศษไม่ได้ด้วย แล้วก็ไปรายงานตัวกับทาง

    มหาวิทยาลัย  เพื่อรับทราบข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น แล้วก็สอบถามเรื่องที่พัก



    ที่เยอรมันนี่เค้าไม่มีหอพักนักศึกษากันหรอกนะ เราต้องไปเดินดูตามป้ายประกาศหาบ้านเช่าเอง

    ซึ่งก็หาได้ทั่วไปตามบอร์ดในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ



    แต่ฉันก็หาไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องไปหาโรงแรมนอนไปก่อน ก็เลือกที่ถูกๆ หน่อย อยู่ไปก่อน

    จนได้เข้าเรียนภาษานั่นแหละ ถึงหาที่อยู่ได้



    บังเอิญว่าเพื่อนร่วมชั้นของฉันเค้ากำลังหา room mate อยู่พอดี เค้าเองก็มาเรียนต่อเหมือกัน

    ฉันไปนั่งๆ คุยกันแล้วนิสัยก็โอเค ก็เลยตกลง



    ฉันมี room mate 2 คน เป็นคนฝรั่งเศสคนหนึ่ง และก็เป็นคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ผู้หญิงทั้งคู่ ไม่ต้องห่วงนะ

    (คือ ความจริง มันหาผู้ชายไม่ได้อ่ะ >_<)



    คนที่เป็นฝรั่งเศสนี่ เค้าชื่อ ซินเธีย เป็นนักศึกษาวิชาเภสัช เค้าสวยมากเชียว ผมน้ำตาลเข้ม ตาสีฟ้าล่ะ

    ส่วนอีกคนที่เป็นคนญี่ปุ่น เค้าชื่อ อากิ เป็นนักศึกษาแพทย์ ก็คงจะได้เรียนด้วยกัน แต่อากินี่เค้าเป็น

    ลูกครึ่ง เยอรมัน - ญี่ปุ่น แต่ไม่เคยอยู่เยอรมันเลย พึ่งมาหัดภาษาเยอรมันเอาตอนโตแล้ว



    บ้านเช่าที่ฉันอยู่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก แต่ก็ต้องมีจักรยาน ซึ่งฉันก็ซื้อเรียบร้อยแล้วล่ะ

    ที่บ้านนี้ 2 ชั้น มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ชั้นล่างห้อง ชั้นบนห้อง เราก็แบ่งๆ กันไป



    ห้องของฉันเนี่ย บรรยากาศดีสุดๆ ตอนเช้าๆ นะ เปิดหน้าต่างออกไปเห็นมหาวิทยาลัยด้วย แถวฉากหลัง

    เป็นภูเขา สีเขียวของต้นไม้ตัดกับสีตึกเรียน สวยมากเลย ถ้ามีนมาเห็นต้องชอบแน่ๆ ลองให้คุณกฤษพา

    มาฮันนีมูนรอบสองที่นี่สิ อาจได้มีลูกอีกคนแน่



    (แต่ว่ามาแถวๆ เดือนมีนานะ ถ้ามาธันวา เดี๋ยวจะเห็นแต่หิมะ เพราะฉันก็พึ่งมาสังเกตุวิวได้

    เมื่อไม่กี่อาทิตย์นี่เอง)



    ไหนจะต้องไปเรียน แล้วก็จัดของเข้าบ้านพัก แล้วก็ซื้อของ เสื้อผ้า ของแห้ง แล้วก็อะไรต่อมิอะไร

    อีกเยอะแยะ  ทำให้ฉันลืมเวลาไปเลย มารู้สึกตัวอีกที ก็ปลายเดือนกุมภาแล้ว ฉันยังไม่ได้ไปเที่ยว



    ที่ไหนเลย แต่อย่างว่า จะไปก็ไม่มีปัญญาเพราะเงินก็แทบไม่มีแล้ว ต้องเก็บเอาไปกินไว้ใช้

    จะเอาไปเที่ยวก็ไม่ได้



    แล้วก็เหมือนฉันจะโชคดีนะ มีคนมาจ้างให้ฉันไปเป็นล่ามภาษาไทยล่ะ บังเอิญว่ามีคนไทยเค้ามา

    ดูงานที่มหาวิทยาลัย แล้วที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยอาศัยอยู่เลย เค้าก็เลยมาว่าจ้างนักศึกษาไทยที่อยู่ที่นี่



    เค้าให้ชั่วโมงละ 1000 ยูโรแนะ มีน ลองเอา 50 คูณดูสิ ชั่วโมงละ 5000 บาท โอ้ แม่เจ้า ฉันไปเป็นล่าม

    อยู่ 3 วัน วันละ 4 ชั่วโมง รวมทั้งหมดก็ 12 ชั่วโมง 12 x 5000 ก็ได้ทั้งหมด 6 หมื่น คิดดูสิมีน

    ถ้าอยู่เมืองไทย เท่ากับเงินเดือน 2 เดือนของเราเลย



    ฉันก็เลยดี๊ด๊าสุดฤทธิ์ ออกตัวว่าจะไปเที่ยวทันที แต่เมื่อโชคดีมาแล้ว ความซวยมันก็ตามมาเหมือนกัน

    ขณะที่ฉันกำลังเริงร่าสุดขีดอยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องมาม่าต้มยำกุ้งกล่องใหญ่วางอยู่ในตู้



    เธอคงคิดล่ะสิ ว่าอีแค่กล่องมาม่า มันจะเอาความซวยมาให้ฉันได้ยังไง ก็ถ้าไม่บังเอิญว่า ไอ้กล่องนี่มัน

    ไม่ใช่ของฉัน ฉันก็คงจะไม่ซวยไง



    ความจริง มาม่าพวกนี้มันเป็นของพี่กุ้ง ที่เค้าฝากเอามาให้นายปรเมษฐ์ ซึ่งก็ทำงานอยู่ที่เยอรมันเหมือนกัน

    แล้วฉันก็มาอยู่ที่เยอรมันแล้ว ตั้งเกือบ 3 เดือน แต่ของที่พี่กุ้งฝากมา ยังไม่ถึงมือน้องชายคนเก่งของพี่กุ้ง

    เลยนี่สิ ฉันก็เลยซวย



    แล้วความซวยมันก็ยังไม่หมดหรอกนะ เคยได้ยินไหมว่า ซวยซ้ำซวยซ้อนน่ะ



    เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็นายปรเมษฐ์ เค้าดันอยู่ที่ มึนเช่น น่ะสิ !!!!!!



    ไม่เข้าใจใช่ไหม คืองี้ ลูเบค เนี่ย มันอยู่ทางเหนือของเยอรมัน เมื่อกี๊ก็บอกแล้วใช่ไหม

    แต่ไอ้ เมืองมึนเช่น เนี่ย มันดันอยู่ทางใต้ของเยอรมันนี่สิ ไกลสุดกู่เลย



    โอ้ แม่เจ้า ฉันจะต้องนั่งรถไฟจากเหนือสุดไปใต้สุดเชียวหรือนี่ ถ้าเธอยังไม่เห็นภาพล่ะก็

    ฉันจะบอกให้ว่ามันก็ไม่ต่างจากนั่งรถไฟจากกรุงเทพไปสุไหงโกลกหรอกจะบอกให้



    แล้วฉันก็ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่อาทิตย์เพื่อจะเอาของไปให้อีตานั่น แทนที่จะไปเที่ยว

    ก่อนเปิดเทอม



    ซวยไหม อย่างนี้ กับคนที่ไม่อยากเจอที่สุด กลับต้องเดินทางไปหาเค้าด้วยตัวเองซะนี่



    ถ้าเธอถามว่าฉันไปไหม ก็ตอบว่าต้องไปสิ ฉันรับปากพี่กุ้งไว้แล้วนี่ ฉันก็เห็นใจล่ะนะ อยู่ที่นี่คิดถึง

    ส้มตำบ้านเฮามากๆ มีต้มยำกุ้งให้กินแบบฉบับออริจินอลก็พอหายคิดถึงได้หน่อย



    แล้วฉันก็ว่าพี่กุ้งคิดถูกที่ฝากฉันมาเพราะถ้าส่งมาทางไปรษณีล่ะก็ นายนั่นอาจได้กินมาม่า

    ห่อละ 200 บาทแน่ๆ



    ฉันก็โทรไปบอกแล้วก็นัดสถานที่เรียบร้อย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็ไปเที่ยว มึนเช่น มันซะเลย

    คิดได้ดังนั้นก็เลยแพ็คกระเป๋า เสื้อผ้า แผนที่ ให้เรียบร้อย เตรียมออกเดินทาง โทรไปนัดกับอีตานั่น

    แล้วก็ต้องหงุดหงิดที่ได้ยินอีตานั่น พูดด้วยน้ำเสียงดีใจจนออกนอกหน้า



    ทำไมถึงได้ชอบมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนักนะ อีตาพระพรหมบ้า!!



    วันที่ฉันออกเดินทาง ก็วันที่ 10 มีนา เวลา ตีห้า ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น ดอกไม้บานสะพรั่งเพราะ

    พึ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ สวยมากเลย ทุกอย่างดูดี ยกเว้นอารมณ์ของฉัน

    (คือ ที่เยอรมัน แค่ตีสี่ ฟ้าก็แจ้งจางปางแล้วล่ะ แล้วกว่าฟ้าจะมืดก็ปาเข้าไป สี่ห้าทุ่มโน่นแนะ)



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เมืองมึนเช่น ชื่อนี้คงไม่ค่อยคุ้นหูมีนเท่าไหร่สินะ เอาล่ะ เดี๋ยวฉันบรรยายให้ฟัง



    มึนเช่น นี้เป็นการออกเสียงแบบเยอรมัน แต่ถ้าออกเสียงตามภาษาอังกฤษหรือที่คนทั้งโลกเค้าพูดกันก็คือ

    เมืองมิวนิค ยังไงล่ะ เริ่มคุ้นรึยัง ถ้ายัง มาจะบรรยายต่อ



    เมืองมึนเช่น (มิวนิค) อยู่ทางใต้ของเยอรมัน แลัก็เป็นเมืองหลวงของ รัฐบาวาเรีย ซึ่ง บาวาเรีย

    ถ้าอ่านแบบภาษาอังกฤษ ก็ บาเยิร์น ยังไงล่ะ คราวนี้ คงคุ้นหูแล้วสินะ



    มันก็ชื่อเดียวกับทีมฟุตบอล บาเยิร์น มิวนิค ไง



    เมืองมึนเช่น มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศรองจาก

    เบอร์ลิน และ ฮัมบูร์ก



    ในเมืองนี้มีทั้งหอสมุด สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่ชื่อเสียงหลายแห่ง แถมยังมีการจัดงาน

    มหกรรมประจำปี ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือ ออกโทเบอร์เฟส (Oktoberfest)

    ความจริงมันก็คือ เทศกาลเบียร์ นั่นเอง



    เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง อย่าง BMW และ SIEMENS  และยังมีบริษัทที่ผลิต

    สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงอีกหลายแห่ง นอกจากนี้ มึนเช่น ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง

    อีก 3 แห่ง ด้วย



    โดย 1 ใน 3 แห่งนี้ก็คือ Ludwig - Maximilians - Univerrsitat Munchen

    หรือ ที่แปลเป็นไทย ก็คือ มหาวิทยาลัยลุดวิกมักซิมิเลี่ยน แห่ง เมืองมึนเช่น



    แต่พวกนักศึกษาต่างชาติอย่างเราๆ ก็เรียกกันสั้นๆ ว่า มหาวิทยาลัยมิวนิค



    มหาวิทยาลัยมิวนิค เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1472 ก็ไม่ค่อยแก่เท่าไหร่

    แค่ 533 ปี เท่านั้นเอง



    เธอคงสงสัยว่าทำไมฉันต้องอธิบาย มหาวิทยาลัยนี้ซะละเอียดยิบ ล่ะสิ ก็จะไม่ให้ฉันอธิบายได้ไง

    ก็ในเมื่อ อีตาปรเมษฐ์ เค้าเรียนจบจากที่นี่น่ะสิ!!!!



    ใครๆ ก็รู้ว่า ถ้าใครเรียนจบจากที่นี่ ก็จะได้ไปฝึกงานที่บริษัทใหญ่ๆ แถมบางทีเราอาจได้เข้าทำงาน

    ที่นั่นเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเยอรมันหรือไม่ก็ตาม



    แล้วทำไมน่ะเหรอ ?????



    ก็อีตาปรเมษฐ์ เค้าได้ทำงานที่นี่น่ะสิ เจ๋งไม่ล่ะ ถ้าไม่เก่งจริงเค้าก็ไม่ให้ทำหรอก

    (ฮึ น่าหมันไส้)



    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ฉันใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง ตกใจใช่ไหมล่ะ รถไฟที่นี่เร็วโคตร ขอบอก

    นี่ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ต้องมี 10 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย



    ฉันออกเดินทาง ตอนตีห้า ใช่ไหม กว่ารถไฟจะออกก็ เกือบเจ็ดโมง (คือ.........ฉันหลงทางน่ะ เลยช้า)

    ฉันก็เลยมาถึงที่ มึนเช่น ประมาณ 11 โมง



    พอมาถึงมึนเช่นนะ ก็ต้องร้องโอ้โห เลยมีน สุดยอด พูดได้แค่นี้ ตึกรามบ้านช่องเค้าสวยมากกกกกกกกก

    แถมตอนนี้ ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วด้วย ดอกไม้เต็มเมืองเลยมีน



    ทั้งที่เค้าตัดมาขาย แล้วก็ที่ปลูกไว้ตามสนามหน้าบ้าน หรือไม่ก็ระเบียงห้อง พูดได้เต็มปากเลยว่า

    มีแต่ดอกไม้ ดอกไม้ แล้วก็ดอกไม้



    อากาศที่นี่อุ่นกว่าที่ลูเบค เพราะเป็นรัฐทางใต้ อากาศก็กำลังเย็นสบายอ่ะนะ ฉันเดินผ่านจัสตุรัส

    ของเมือง โอ้โห คนเดินกันเต็มไปหมด ฉันก็เลยหยุดถามทางที่นั่นเลย แถมได้ความรู้เรื่องดอกไม้มาด้วย



    เค้าว่าดอกไม้ที่นี่บานนานมาก ขนาดตัดไปปักแจกันเป็นอาทิตย์ยังไม่เฉาเลย แล้วถ้าเกิดไม่ตัดนะ

    อยู่ได้เป็นเดือน คือตลอดฤดูใบไม้ผลิเมืองก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้ มหัศจรรย์ไหมล่ะ



    หลังจากที่ถามทางและมาถึงมหาวิทยาลัยมิวนิคแล้ว ฉันก็เดินทางไปที่จุดนัดพบทันที



    จุดนัดพบ ที่อีตานั่นนัดเป็นลานน้ำพุหน้าตึกอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ จากที่สังเกตุ รู้สึกว่าที่นี่จะเป็นที่นิยม

    ของนักศึกษาที่จะเป็นจุดนัดพบกัน



    เห็นทีจะเป็นเหมือนที่อีตานั่นบอก เค้าว่า



    \"เจอกันที่ลานน้ำพุ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมิวนิคก็แล้วกันครับ ที่นั่นหาง่าย ใครๆ ก็รู้จัก คุณไม่หลงแน่\"



    ดูสิ มีน ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว อีตานั่นก็ยังล้อเรื่องที่ฉันไปหลงทางในหมู่บ้านวารินนิเวศอยู่เลย

    คนอย่างนี้มันน่าเหยียบให้จมดินจริงๆ



    ฉันนั่งรอ รอแล้ว รอเล่า เฝ้าแต่รอ จนหิวแล้วหิวอีก อีตานั่นก็ยังไม่มา ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว ชั่วโมงก็แล้ว

    จนฉันตะโกนออกมาเป็นภาษาไทยว่า



    \"ไอ้ปลาบ้า หายหัวไปตายที่ไหนวะ คอยดูนะ โผล่หน้ามาเมื่อไหร่จะฆ่าให้ตายเลย!!!!\"

    \"อย่างนั่นผมกลับดีกว่า ไม่อยากถูกฆ่าตาย\" เสียงคนพูดไปหัวเราะไปดังมาจากข้างหลัง



    ฉันหันไปมอง ก็เห็นนายตัวดียืนส่งยิ้มเก๋มาให้ มันก็เลยไปกระตุ้นต่อมอยากกระทื.บคนขึ้นมาทันที



    \"นายไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาห๊า ถึงได้มาเอาป่านนี้\" ฉันแหวใส่เค้าทันที โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

    หน้าฝรั่ง ที่ตอนนี้กลายเป็นฝรั่งมุงไปแล้ว



    \"ผมก็ไปทำงานน่ะสิ\"

    \"แล้วทำไมไม่บอกเล่า ฉันจะได้ไปเดินเที่ยวก่อนแล้วค่อยมารอนาย\"



    \"อ้าว ผมก็คิดว่าคุณมาถึงแล้วจะโทรหานี่นา ก็กะว่า ถ้าโทรมาเมื่อไหร่ก็จะออกมารับทันทีเลยนะ

    แต่คุณก็ไม่โทร นี่พอผมพักกลางวันก็เลยเดินมาดูนี่แหละ\"



    \"แล้วฉันจะไปรู้เหรอว่านายให้โทรหา เมื่อมาถึงน่ะ หยุดเลย นายผิด ห้ามเถียง\"

    \"โอเค คุณคงหิวล่ะสิ ถึงได้โมโห\"



    \"ก็นายลองมาเป็นฉันสิ จะได้รู้ว่า จะโมโหรึเปล่า\"



    เชื่อเลยมีน อีตานั่น ไม่สลดซะนิด แถมยังยิ้มกวนโอ๊ยอีกต่างหาก มันน่า......................



    \"งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า เนี่ย พอ มาธาร์ รู้ว่าคุณจะมา ก็เลยรีบมาเตรียมอาหารใหญ่\"

    \"ใคร คือ มาธาร์\"



    \"ก็เพื่อนบ้านผมเอง เราสนิทกันมาก\"

    \"ตกลงนี่นายจะฉันไปที่บ้านนายเหรอ\"



    \"ครับ ไม่ใกลจากนี่หรอก เดิน 15 นาทีก็ถึง\"



    ฉันก็เห็นว่าดีเหมือนกัน ก็เลยเดินตามเค้าไป แล้วนายนั่นคงสำนึกผิด ก็เลยมาช่วยฉันแบกเป้

    ฉันก็เลยเดินตัวปลิวเลย ดี สมน้ำหน้า ฉันไม่สงสารหรอก อยากปล่อยให้เรารอตั้งนาน



    ในที่สุดฉันก็มายืนอยู่หน้าอพาตเม้นแห่งนึง ก็ดูสวยแล้วก็สะอาดดี พอเข้าไปข้างในก็ต้องบอกเลยว่า

    อีตานี่ก็รสนิยมดีเหมือนกัน แต่งบ้านสวยดี



    \"คุณอยู่คนเดียวเหรอ\"

    \"ครับ แต่ตั้งแต่วันนี้คงไม่\"



    \"อ๋อ จะเอาแฟนมาอยู่ด้วย\"

    \"โอ้โห คุณยอมเป็นแฟนผมแล้วเหรอ\"



    \"บ้า! ฉันหมายความว่า นายจะพาแฟนของนายมาอยู่ต่างหาก\"

    \"ผมยังไม่มีแฟนซะหน่อย แล้วคนที่จะมาอยู่ด้วย ก็คุณไง\"



    \"เรื่องอะไรฉันจะต้องอยู่ที่นี่กับคุณ\"

    \"คุณพึ่งมามึนเช่นครั้งแรกนี่ พักบ้านคนรู้จักน่ะดีที่สุด\"



    \"แล้วทำไมต้องที่นี่\"

    \"พักกับผมน่ะดีนา ไม่ต้องจ่ายเงิน อยู่ฟรี กี่วันก็ได้ มีอาหารครบทุกมื้อ แถม ผมจะเป็นไกด์พาคุณเที่ยวด้วย\"



    \"ใครไปขอร้องนายกัน ฉันจะไปหาโรงแรมอยู่เอง\"

    \"โธ่คุณ นี่มันฤดูใบไม่ผลิแล้วนา\"



    \"แล้วไง\"

    \"โรงแรมที่นี่เค้าก็คงเต็มหมดแล้ว ช่วงนี้คนยิ่งมาเที่ยวกันเยอะอยู่ คุณหาห้องไม่ได้หรอก\"



    \"ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ทั้งมึนเช่นจะไม่มีห้องว่าให้ฉันซุกหัวนอนเลย\"

    \"มันก็คงพอมี แต่ก็คงเหลือที่แพงมากๆ\"



    \"ฉันมีเงินจ่าย\"

    \"ผมว่าคุณเก็บเงินเอาไว้เที่ยวดีกว่า\"



    \"แล้วจะให้ฉันอยู่กับคุณที่นี่หรือไง\"

    \"ผมก็ว่า มันก็ดีออก หรือคุณกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้ผมมากๆ จะหลงรักผมเข้า เอ........ ต้องใช่แน่เลย

    แนะ เริ่มรักผมแล้วอ่ะดี๊\"



    \"อีตาบ้า ฉันไม่มีวันอยู่ที่นี่แน่ๆ\"

    \"เสียใจ กระเป๋าคุณอยู่ที่ผม แล้วก็พาสปอร์ตด้วย คุณจะไปไหนไม่ได้ถ้าผมไม่อยู่ด้วย\"



    \"นายปลา!!!!\"



    แล้วก่อนที่ฉันจะฉีกเนื้ออีตานั่นเป็นชิ้นๆ ก็มีผู้หญิงคนนึงเปิดประตูห้องออกมา ผู้หญิงคนนั้นก็คือ

    มาธาร์ มาธาร์เป็นผู้หญิงร่างอ้วน ถึงอ้วนมาก หน้าตาท่าทางใจดีมากเลย



    \"แหม เอะอะ กันใหญ่ รักกันดีจังนะจ๊ะ แมส\"



    แมส นั่นเป็นชื่อของอีตานั่น ที่นี่ล่ะมีน เป็นไง ดูดีไหม ฉันล่ะหมันไส้จริงๆ



    \"ก็งั้นแหละครับ มาธาร์ เม เค้าตื่นเต้นกับบรรยากาศของมึนเช่น มากไปหน่อย\"



    ดู ดู สิมีน อีตานั่น หาว่าฉันเป็นบ้านนอกเข้ากรุง เห็นแสงสีนิดหน่อยก็ตื่นเต้น



    \"โอ้ เอพิล คุณสวยกว่าในรูปมาก\" มาธาร์ทักฉัน

    \"เอพิล ?\"



    \" ชื่อคุณแหละ ตอนที่มาธาร์ถามความหมายของชื่อคุณผมก็บอกว่า หมายถึง เดือนเมษา ก็ April ไง\"

    \"อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะมาธาร์ แต่ไม่ต้องเรียก เอพิล หรอกค่ะ ฟังแล้วจั๊กกะจี้\"



    \"โอ้ หนูพูดเยอรมันเก่งมาก ตอนแรกนึกว่าจะพูดไม่ค่อยได้ เหมือนแมส ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ

    พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ โอ๊ย ตอนนั้น ต้องใช้ภาษามือกันให้วุ่น\"



    \"เรื่องตั้งนานแล้ว มาธาร์ยังล้อผมอีก\"

    \"เธออายเป็นด้วยหรือ แมส เอ้า เอากระเป๋า เอพิล ขึ้นไปข้างบนสิ เดี๋ยวจะได้มาทานอาหารกัน\"



    \"เอ่อ ไม่ต้องหรอกค่ะ คือ เม...................\"

    \"โธ่ หนู เรื่องแรงงานเนี่ย งานถนัดของแมสเค้า เราสองคนเข้าไปในห้องดีกว่า หรือว่าหนูอยาก

    ล้างหน้าล้างตาก่อนล่ะ เข้าห้องน้ำไหม\"



    คนเยอรมันน่ารักอย่างนี้แหละ มีน ยิ่งถ้าเราพูดภาษาเยอรมันได้นะ โอ๊ย เค้าจะต้อนรับขับสู้ดีเชียว

    เค้าภูมิใจในชาติ ในภาษาของเค้ามากจ้ะ



    ฉันเลยบอกมาธาร์ไปว่า อยากไปดูห้องก่อน ก็เลยได้ขึ้นมาชั้นบนพร้อมอีตานั่น ห้องที่ฉันจะนอน

    อยู่ทางขวา ของบันได พอเปิดเข้าไปภายในห้อง



    ก็เห็นว่าเป็นห้องที่จัดไว้เรียบร้อยดี วอลเปเปอร์สีขาว มีหน้าต่างมองเห็นวิวข้างนอกชัดเจน

    มีโต๊ะ เก้าอี้ เตียง ครบชุด เตียงก็ปูเรียบร้อยด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าหม่น ซึ่งก็เป็นสีเดียวกันกับที่

    ปอกหมอน หมอนข้าง แล้วก็ผ้าห่ม



    ฉันเดินไปเปิดประตูที่อยู่อีกฟากของห้อง ก็รู้ว่าเป็นห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำนี้ก็ต่อกับห้องอีกห้องนึง

    ฉันเปิดต่อไปก็พบห้องทำงาน มีคอมพิวเตอร์วางอยู่ กับเอกสารอะไรก็ไม่รู้วางเกลื่อนไปหมด



    \"ห้องนั้นห้องทำงานผมเอง\"

    \"อ้าว แล้วนายนอนที่ไหน\"



    \"ก็ที่นี่แหละ\"

    \"เฮ้ย!!\"



    \"เปล่านะ คุณอย่าเข้าใจผิดสิ ก็ผมยกห้องนี้ให้คุณไง ยังไง ปรกติผมก็ไม่ค่อยได้นอนห้องนี้หรอก

    ผมนอนที่ห้องโน้นเป็นส่วนใหญ่\"



    \"นั่นนายจะทำอะไร ?\"

    \"ผมก็จะจัดของให้คุณไง\"



    \"ไม่ต้องเลย ฉันจะไปนอนโรงแรม\"

    \"อย่าดื้อสิ เมษา\"



    \"ฉันเป็นผู้หญิงมานอนบ้านผู้ชายแบบนี้ ใครเค้าจะคิดยังไง\"

    \"ก็แค่มาเที่ยวเอง แล้วที่นี่ก็ไม่มีใครเค้าคิดอะไรหรอก เชื่อผมสิ\" นายปลาพูดหน้าตาเฉย



    \"ฉันจะแน่ใจได้ไงว่าฉันจะปลอดภัยกับไปลูเบค\"

    \"1000%\"



    ว้าย มีน อีตานั่น พูดหนักแน่นมากเลยล่ะ ทำเอาฉันอึ้งไปเลย



    \"ใครจะเชื่อ\" ฉันพูดเสียงเบา

    \"คุณเชื่อ ผมรู้ แต่ที่คุณบ่ายเบี่ยงนี่ คุณมีสาเหตุอื่น\"



    ทำเป็นรู้ดีอีกแนะ แต่ก็จริง เกิดอยู่ด้วยกัน ฉันทนไม่ไหว ปล้ำเค้าขึ้นมาจะทำไงใช่ไหมมีน

    และขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้น อีตานั่นก็จัดของไปเรื่อย จนเสร็จ คิดดูสิมีน เค้าจัดทุกอย่างเลย

    ไม่เว้นแต่ชุดชั้นในของฉัน อีตานั่นก็ยังจัดเข้าตู้ให้เสร็จสรรพ โอ้ มาย ก็อด นี่มันอะไรก้าน~~~



    \"ลงไปข้างล่างกันเถอะ มาธาร์คงรอทานข้าวแล้ว คุณหิวไม่ใช่เหรอ\"



    เราก็เลยลงไปทานข้าว แล้วฉันก็ต้องอยู่ที่นี่โดยปริยาย หลังจากกินข้าวเสร็จ อีตานั่นก็กลับไปทำงาน

    ปล่อยฉันให้นั่งคุยกับมาธาร์ พอเย็นๆ นายนั่นก็กลับมา พร้อมกับดอกไม้หนึ่งกระถาง



    เป็นกระถางเล็กๆ ดอกมันก็เล็กๆ สีสวยมากเลย



    \"คุณคงชอบ\"



    เค้าว่างั้น ฉันก็รับมา นายนั่นไปอาบน้ำ ส่วนฉันก็นั่งพิจารณาดอกไม้ไปเรื่อยจน ตอนที่ยกไปวาง

    ตรงมุมโน้น มุมนี้ ก็เลยเห็นว่าที่กระถาง มีการ์ดใบเล็กแขวนแอบอยู่ด้วย





    ขอต้อนรับสู่มึนเช่น ขอต้อนรับสู่บ้านของเรา



    ว้าย มีน อีตานั่นหวานชะมัด  แต่นี่มันบ้านเค้าคนเดียวนี่นา ทำไมใช้คำว่า บ้านของเรา ก็ไม่รู้

    นายนั่นถ้าจะบ้า

      

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    คุยกับคนเขียน



    ตอนพิเศษนี้ มี 2 ตอนจบนะคะ เอาตอนแรกไปอ่านก่อนก็แล้วกัน



    คุณๆ ชอบกันหรือเปล่า  โพสบอกกันบ้างนะคะ แหม โพสเงียบเหงาจัง แต่ว่าคะแนนกระฉูดมากๆ

    ครั้งแรกของ Vrerandah เลยนะเนี่ยที่คะแนนเกิน 500 ปลื้มมากค่ะ



    ขอบคุณมากที่เทใจให้กันขนาดนี้ ตอนนี้ก็เลยฟิตเต็มที่รีบพิมพ์ตอนพิเศษตอนที่ 2 จนสุดกำลัง



    ดังนั้น ใครอยากอ่านตอนต่อไวๆ ก็ให้กำลังใจ Verandah กันเข้ามาเยอะๆ นะคะ



    สวัสดีค่ะ



    Verandah



    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×