ตอนที่ 5 : 1st Shade - RED : บทที่ 4
ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น มันบ่งบอกถึงสิ่งแปลกปลอมที่บริเวณชายฝั่ง อิลิเนอร์ซึ่งกำลังใช้ปืนยิงกาวเชื่อมต่อชิ้นส่วนเพื่อประกอบงานประดิษฐ์ของเธอต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความหงุดหงิด แล้วสั่งว่า
“แสดงภาพ”
หน้าจอโปร่งใสปรากฏขึ้นตรงหน้า และฉายภาพชายหนุ่มต้นเหตุของเสียงสัญญาณเตือนซึ่งสวมเพียงกางเกงขายาว เขากำลังปีนขึ้นมาตามผนังหน้าผาราวกับกำลังไต่อยู่บนสะพานเชือกในสนามเด็กเล่น แสงแดดยามเย็นสาดกระทบกับมัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังที่เป็นมันเลื่อมด้วยเหงื่อ ทำให้อิลิเนอร์นึกหงุดหงิดตัวเองที่ห้ามใจไม่ให้ชอบสรีระของอีกฝ่ายไม่ได้
ธรรมชาติคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมนุษย์ก็คือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเอกของธรรมชาติ ในฐานะนักประดิษฐ์ อิลิเนอร์รู้สึกท้าทายอย่างมากที่มีคู่ต่อสู้เป็นโลกอันยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นการแข่งขันที่เธอไม่มีวันชนะมันได้ แต่ก็ทำให้ทุกวันของเธอสนุกมากทีเดียว สนุก...จนกระทั่ง ผู้ชายคนนี้มาปรากฏตัว
สามวันก่อน เรด ไฟร์ มาถึงเกาะนิวไซน์ตามคำสั่งที่แสนเจ้ากี้เจ้าการของอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งดูแลเธอตอนที่เธอเรียนปริญญาด้านโบราณคดี อิลิเนอร์ตั้งใจปล่อยเรดไว้ข้างนอกเพื่อให้เขาเผชิญกับกลไกที่สร้างสภาพอากาศให้แปรปรวนซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัยของเกาะนิวไซน์ ใครก็ตามที่บุกรุกขึ้นมาบนเกาะนี้จะถูกสะกดพลังจิตวิวัฒน์ลงในทันที หลังจากนั้นก็ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้รอดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนด้วยตัวเอง
ด้วยวิธีนี้ อิลิเนอร์จึงไม่เคยหวาดกลัวเลยว่าจะมีใครบุกเข้ามาทำร้ายหรือขโมยสิ่งประดิษฐ์ของเธอได้ เพราะเธอมั่นใจว่าระบบรักษาความปลอดภัยที่วางไว้จะทำให้มดงานที่แสนจุ้นจ้านต้องระเห็จพ้นจากเกาะของเธอไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน แต่กับเขาคนนี้กลับเป็นว่า เขาอยู่รอดปลอดภัยดีมาจนถึงวันนี้
“อยากออกกำลังกายก็ไปทำที่หน้าผาบ้านตัวเองสิ” อิลิเนอร์แค่นเสียงพูดอยากขัดใจ แต่เมื่อเหลือบมองที่มุมของหน้าจออีกแวบหนึ่ง ก็เห็นสาเหตุที่เรดต้องมาปีนหน้าผาเช้านี้ หญิงสาวนักประดิษฐ์จึงเลื่อนมือไปพิมพ์คำสั่งบนหน้าจอใส ภาพบนชายฝั่งของเกาะด้านนั้นก็ขยายกว้างขึ้น แหดักจับสิ่งแปลกปลอมรอบเกาะปรากฏชัดขึ้น และมีมนุษย์ติดอยู่ในนั้นถึงสามคน
แหดักจับสิ่งผิดปกติจะมีความไวต่อสิ่งแปลกปลอมมาก แต่เธอกลับไม่ได้รับสัญญาณเตือน นั่นคงเป็นเพราะผู้ชายประหลาดคนนั้นละสิ อิลิเนอร์คิด พลางสั่งให้แหดักจับในบริเวณนั้นปล่อยคลื่นพลังงานเพื่อเคลื่อนย้ายผู้บุกรุกทั้งสามคนให้ขึ้นมาอยู่บนหน้าผา ก่อนเธอจะละมือจากงานที่ทำและลุกขึ้น
“มีแต่เรื่องยุ่งตลอดสิน่า” หญิงสาวบ่น ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานเป็นครั้งแรกในรอบสามวันนี้
“อากาศดีนะครับ”
อิลิเนอร์ตวัดสายตาไปมองคนทักทาย ถ้าไม่ติดว่าน้ำเสียงที่ทักมาของเขาไม่ได้เจืออารมณ์ขุ่นมัวไว้เลยสักนิดละก็ เธอคงนึกว่าเขาพูดแดกดันเธอ เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมา อากาศบนเกาะนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เขาพูดสักนิดเลย
“พวกเขาเป็นยังไงบ้าง”
เรดเลิกคิ้วแล้วมองคนบุกรุกทั้งสามคนที่นอนสลบอยู่แวบหนึ่ง
“ตอนผมไปถึง พวกเขาสลบไปแล้ว ผมนึกว่าคุณรู้แล้วเสียอีก”
อิลิเนอร์ถอนหายใจแรงๆ พลางทรุดตัวลงยื่นมือแตะไปตามตัวของผู้บุกรุก ก็พบเอ็มพีซีขนาดเล็กกลัดติดอยู่กับเสื้อด้านใน หญิงสาวจึงกดเปิด แล้วเจาะระบบป้องกันผ่านเข้าไปค้นหาที่มาของผู้บุกรุก และรู้ว่า พวกเขาเป็นคนของตระกูลพอร์ทซีที่ตามติดเธอมาหลายปี ทั้งนี้ก็เพราะต้องการไม้เท้าปัญญาอ่อนนั่น
‘เราไม่ได้ต้องการมันสักหน่อย มาตามติดเราอยู่ได้ น่ารำคาญจริง’
“คุณจะทำยังไงกับพวกเขาเหรอครับ” เรดถาม
“ส่งกลับ พวกเขาก็แค่มาทักทาย” อิลิเนอร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่ชอบฆ่าคน มันมีวิธีที่ดีกว่าการฆ่ามาก หากต้องการตักเตือนพวกผู้ใหญ่ในตระกูลของพ่อซึ่งพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อทวงคืนของ ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ใช่เจ้าของ
แวบ!
แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นจากกลางฝ่ามือของอิลิเนอร์ แล้วร่างของคนทั้งสามก็หายวับไป จากนั้นหญิงสาวก็ลุกขึ้นปัดมือป้อยๆ อยู่ชั่วขณะ แล้วทำท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่เรดก็เอ่ยขึ้นว่า
“ขอพลังของผมคืนได้หรือเปล่า”
เจ้าของเกาะสาวหันมาสบตา แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“คุณได้พลังนั้นคืนแน่นอน แค่เพียงคุณออกไปจากเกาะนี้”
เรดถอนหายใจดังเฮือก
“คุณก็รู้ว่าผมทำไม่ได้ อีกอย่าง เกาะนี้ยังมีช่องโหว่อยู่ ผมแค่จะช่วยเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย”
อิลิเนอร์ยกมือกอดอกด้วยสีหน้าไม่ยี่หระต่อคำเตือนอย่างหวังดีนัก เธอเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดถึงดีว่าหมายถึงอะไร เพราะช่องโหว่เหล่านั้นเป็นสิ่งที่เธอจงใจทำให้มันเกิด เกาะนี้ถูกออกแบบมาให้ตรวจจับสิ่งแปลกปลอมทุกชนิด แต่การให้ระบบต้องตรวจจับตลอดเวลาเป็นอะไรที่เปลืองพลังงาน ดังนั้น เธอจึงจงใจเปิดช่องโหว่ และเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยตรงนั้นเป็นพิเศษ ด้วยแผนการนี้ ทำให้เธอสามารถสร้างระบบป้องกันภัยที่จำเพาะ ซึ่งบางครั้งแม้เป็นเธอเองที่นึกอยากทดลองระบบดูบ้าง ก็ยังแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน
เมื่อเห็นอาการนิ่งสงบของเธอ เรดก็ต้องหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด พลางถามว่า
“หรือว่าคุณจงใจเปิดช่องโหว่พวกนั้นเอาไว้”
“คนเราชอบโจมตีที่จุดอ่อนของคนอื่นอยู่แล้วนี่”
“คุณเลยหาผลประโยชน์จากตรงนั้น แหม ถ้าไม่บอก ผมคงนึกว่าคุณจบคอร์สเสนาธิการมานะครับ”
อิลิเนอร์ยักไหล่พลางหมุนตัวกลับ เธอรู้ว่าเรดยังมองตามเธอมา แต่เธอไม่สนใจ แม้เขาจะมีไอพลังที่ก่อกวนเธอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอต้องสนใจเรื่องนั้น แม้เธอจะไม่ใส่ใจผู้บุกรุกพวกนี้มาก่อน แต่การที่พวกพอร์ทซีพยายามเข้าใกล้เธอตลอด ทั้งที่รู้ว่ามันไร้ประโยชน์ นั่นแสดงว่า เวลาแห่งการตัดสินของสามตระกูลผู้ยิ่งใหญ่คงใกล้มาถึงมากแล้ว
เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงสาวตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหาร พร้อมสั่งให้เอ็มพีซีต่อสายถึงน้องชายเธอทันที เมื่อคนอีกฟากหนึ่งรับสาย หญิงสาวจึงเงยหน้ามองหน้าจอเอ็มพีซีเพื่อสบตากับน้องชาย
“แมนดี้ ครอส”
คำเรียกหายียวนของเธอสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายได้เป็นอย่างดี เขารู้พฤติกรรมของเธอดีว่าเธอกำลังเริ่มกวนโมโหเขาแล้ว
“แอลลี่...” แมนดิสันเรียกชื่อเล่นพี่สาวเป็นการทักทายทำนองเดียวกับเธอ ถือเป็นการเอาคืนเล็กๆ หญิงสาวเลยโต้กลับว่า
“ฉันอายุสามสิบห้าแล้ว อย่าพยายามทำให้ฉันรู้สึกเป็นเด็กหญิงแอลลี่ได้ไหม”
“โทษทีนะ บางทีฉันอาจดีใจไปหน่อยที่ได้รับการติดต่อจากพี่สาวที่ไม่แม้แต่จะโทร. มาสวัสดีปีใหม่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา” แมนดิสันเอ่ยขอโทษขอโพยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ฉันยุ่ง” อิลิเนอร์อ้างเหตุผลเดิมๆ ตอบกลับสั้นๆ บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่น้องชายนะ อาจเพราะเธอกับเขามีอายุห่างกันแค่ปีเดียวเท่านั้น เลยเหมือนเป็นเพื่อนเล่นกันมากกว่า
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ” แมนดิสันถามเข้าเรื่อง
“คนของพอร์ทซีมาหาฉัน” น้ำเสียงบอกเล่ามาตามสายของอิลิเนอร์ฟังดูเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
“มาหา?” แมนดิสันทวนถามเสียงสูงส่อแววว่ารู้ทันด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยุดฟังพี่สาวเล่าต่อ
“พวกเขาติดอยู่ที่แหกับดักของฉันที่วางไว้รอบเกาะ พอใจไหม”
“ก็พอได้นะ” แมนดิสันกวนกลับแล้วถามต่อ “แล้วพวกเขามาหาพอร์ทซีนอกคอกอย่างพวกเราทำไมล่ะ”
“คงต้องการของเล่นเทพเจ้านั่นละมั้ง” อิลิเนอร์ตอบปัดไปอย่างรำคาญ ขณะที่แมนดิสันเหยียดแผ่นหลังขึ้นตั้งตรงอย่างตั้งใจฟัง
“พี่คงไม่...”
“ถ้าฉันเอามันออกไปจากชีวิตฉันได้ จะดีมากเลยละ น่าเสียดาย แม้ฉันต้องการทำอย่างนั้นมากแค่ไหน เจ้าของเล่นนั่นก็ไม่เคยหลุดไปจากชีวิตฉันซักที” อิลิเนอร์ตอบระบายความในใจไปอย่างดุเดือด การที่เธอต้องแบกหลักฐานที่แสดงถึงความมีพลังอำนาจที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ไว้กับตัว ดูจะเป็นปมด้อยที่น่าอับอายสำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเธอมากทีเดียว
“แล้วพี่ทำยังไงกับพวกเขาล่ะ”
“ส่งพวกเขาออกไป และโทร. หานายอยู่นี่ไง บางทีพวกนั้นอาจจะลงมืออีก แต่รับรองว่า ฉันจัดการได้”
“ผมจะส่งคนไปคุ้มครองพี่”
เพียงได้ยินคำตอบนั้น อิลิเนอร์ก็เหลือบไปมองชายหนุ่มที่ตามมานั่งอยู่บนระเบียงบ้านของเธอ จึงเห็นเขาโยนแคปซูลอาหารใส่ปาก แม้จะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมีสารอาหารครบถ้วน แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เพราะมันคงไม่ดีต่อร่างกายในระยะยาวแน่
‘แล้วเราจะไปสนใจเขาทำไมล่ะ นั่นเขาเลือกเองนะ’ หญิงสาวคิดโต้แย้งในใจ พลางปฏิเสธน้องชายเสียงแข็งไปว่า
“ไม่ต้องๆ ฉันไม่ต้องการตัวประหลาดมาเพิ่มบนเกาะของฉันอีกคนหรอกนะ”
“แค่ของที่อยู่บนเกาะนั้นทั้งหมด มันก็ประหลาดมากแล้วละ แอลลี่”
คำประท้วงแกมแดกดันของน้องชาย ทำให้หญิงสาวอารมณ์เสียมากขึ้น มันเหมือนเธอยกระดับผู้ชายคนนั้นขึ้นมาให้เทียบเท่ากับสิ่งประดิษฐ์ที่น่ารักของเธอ ซึ่งความจริงแล้วเขาเทียบไม่ได้เลย
“ไม่ต้องเลยนะ ที่ฉันโทร. มาบอกนาย เพราะต้องการให้นายกันคนพวกนั้นออกไปให้ห่างจากฉันซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน ฉันต้องเสียแหดักจับกระแสไหลเวียนของปลาอันมีค่าของฉันไปหลายอันแล้ว และยังเสียเวลาทำงานวิจัยไปอีกมากมาย ก็เพราะเจ้าพวกบ้านั่น อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้ามาใกล้ฉันอีกนะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ออมมือ” อิลิเนอร์พูดเสียงเข้มอย่างหมดความอดทน พลางมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เมื่อครู่ลุกขึ้นเดินมาที่ประตูบ้าน หญิงสาวเลยรีบตัดสายโทรศัพท์ไป ซึ่งพอดีกับเสียงเคาะประตูบ้านที่ดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
อิลิเนอร์เดินไปเปิดประตู
“คุณพอจะทำอะไรกับสภาพอากาศแปรปรวนที่ด้านนอกนั่นได้บ้างไหม”
อิลิเนอร์มองออกไปด้านนอกโดยรอบ ซึ่งสภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้นกำลังจะเข้าสู่ระดับความแรงของพายุเฮอร์ริเคนแล้ว แหกับดักบริเวณชายฝั่งได้ติดตั้งเซนเซอร์ไว้ หากมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามา มันจะส่งสัญญาณไปยังกลไกของระบบปรับสภาพอากาศ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมทุกอย่างที่อยู่นอกจากบาร์เรียร์คุ้มครองบ้านหลังนี้
“คุณทำได้ แต่ไม่คิดจะทำ” เรดชิงสรุป อิลิเนอร์จึงหันมาสบตาเขานิ่ง
“มันเป็นกลไกปกติ และนั่นหมายถึง มันไม่มีข้อยกเว้น”
“แม้แต่คุณงั้นเหรอ”
อิลิเนอร์สบตาเรดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง แล้วตอบว่า “ ‘ข้อยกเว้น’ ก็มีความหมายเดียวกับ ‘จุดอ่อน’ นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวมันก็หยุดเอง เมื่อมันไม่พบสิ่งแปลกปลอม”
“แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ด้านนอกนะ ต่อให้ผมเก่งแค่ไหน ผมก็สู้พายุที่มีความแรงระดับนั้นโดยไม่มีจิตวิวัฒน์ไม่ได้หรอกนะครับ”
อิลิเนอร์สูดหายใจเข้าลึก แล้วถอนหายใจแรงอย่างนึกรำคาญ
“คืนพลังให้ผม” เรดร้องขออีกครั้ง แต่อิลิเนอร์ยังคงนิ่ง
“...หรือไม่ ก็ให้ผมเข้ามาอยู่ในบ้าน”
ทั้งสองจ้องตากัน ขณะลมพายุก็ทวีคูณความแรงมากยิ่งขึ้น ในที่สุดอิลิเนอร์ก็ยอมเปิดประตูกว้างขึ้น แล้วพูดว่า
“โดยปกติพายุจะสงบภายในสิบชั่วโมง ถ้าครบเวลานั้นแล้ว...”
“ผมจะออกไป” เรดยืนยันเสียงหนักแน่นแทรกขึ้น ก่อนอิลินเนอร์จะพูดจบประโยคที่เธอต้องการบอก นั่นทำให้หญิงสาวแปลกใจ ดูเหมือนนายคนนี้จะรู้จักรักษาระยะห่างนะ และเป็นมืออาชีพมากพอด้วย
“ดี ปิดประตูด้วย”
เรดปิดประตู ขณะที่อิลิเนอร์เดินไปที่เคาน์เตอร์เตรียมอาหาร พอหันกลับมาก็เห็นเรดเดินไปยืนข้างผนังกระจกเพื่อมองออกไปข้างนอก แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาซ้อนทับกับภาพของใครคนหนึ่ง ซึ่งอิลิเนอร์ปัดมันออกไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว แล้วหันมาสนใจกับการฉีกอาหารสำเร็จใส่ลงไปในตู้ปรุงอาหาร ซึ่งเธอผลิตขึ้นมาใช้เองเพราะขี้เกียจทำกับข้าว
“คุณอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไงครับ”
“ฉันทำงาน” อิลิเนอร์ตอบ ขณะมองตัวเลขบนหน้าจอซึ่งกำลังนับถอยหลัง
“แล้วไม่เหงาเหรอครับ”
ปิ๊ง! เสียงสัญญาณเครื่องปรุงอาหารร้องขึ้นและตัดหมดเวลาทำงาน อิลิเนอร์จึงเอื้อมมือไปเปิดฝาตู้ แล้วดึงจานสตูผักออกมาวางบนเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร จากนั้นก็คว้าช้อนมาตักกิน โดยไม่สนใจจะตอบคำถาม แต่พอกินไปได้สองสามคำ หญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะเรดเอาแต่จ้องมองเธอไม่วางตา
“ความเหงามันไม่เกิดกับคนที่มีงานทำหรอก คุณไฟร์”
เรดพยักหน้า “ก็จริงของคุณ”
แล้วบทสนทนาก็หยุดไป อิลิเนอร์กินอาหารต่อจนหมดจาน ขณะที่นึกสงสัยว่า ผู้ชายคนนี้ประหลาดแท้ อยากจะพูดอะไรก็พูด เมื่อพูดแล้วอยากจะเงียบก็เงียบไปเฉยๆ
“ฉันจะกลับเข้าไปทำงานต่อ คุณมีสิทธิ์อยู่ในบ้านหลังนี้แค่ภายในห้องนี้เท่า...”
ยังไม่ทันที่อิลิเนอร์จะพูดจบ ไฟภายในบ้านทั้งหมดก็ดับพึ่บลงพร้อมกันทุกดวง แม้ตอนนี้เป็นกลางวันจึงไม่มืด แต่อยู่ๆ ไฟก็ดับไป มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“อย่าขยับ” อิลิเนอร์สั่งชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ห่างจากเธอไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เครื่องสกัดแร่ของฉันกำลังทำงานอยู่ บางครั้งมันอาจดึงพลังงานทั้งหมดไปใช้ นายอยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะเข้าไปดู” อิลิเนอร์ตอบพร้อมกับหมุนตัวเดินลึกเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อถึงห้องทำงาน เธอก็ตรงไปที่เครื่องสกัดแร่ซึ่งเธอประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสกัดเอาแร่สำคัญบางชนิด เพื่อนำไปหลอมเป็นชิ้นส่วนสำคัญบางอย่างเพื่อเป็นส่วนประกอบในสิ่งประดิษฐ์ของเธอ
“ใช่จริงๆ นี่มันต้องใช้พลังงานมากขนาดนี้เลยเหรอ” อิลิเนอร์พึมพำอย่างครุ่นคิด พลางมองค่าแสดงที่บ่งบอกว่า เครื่องสกัดแร่กำลังเดินเครื่องเต็มกำลังสูงสุด หญิงสาวเลยสองจิตสองใจว่าควรจะปิดเครื่องดีไหม เพราะถึงหยุดเดินเครื่องตอนนี้เดี๋ยวพอถึงตอนต้องทำงานต่อ มันก็คงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
“คุณจะไม่ปิดมันเหรอ” เสียงถามดังขึ้น ทำให้อิลิเนอร์ตกใจจึงหันขวับไปมองคนที่เดินตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
‘เขาไม่มีพลังแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเคลื่อนไหวได้เสียงเบามากนัก’
“ก็บอกให้อยู่เฉยๆ ไง คุณไม่มีสิทธิ์เดินเพ่นพ่านไปทั่วบ้านอย่างนี้นะ” อิลิเนอร์ตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แล้วดันไหล่คนขัดคำสั่งให้ถอยห่างไป เรดก้าวถอยหลังตามแรงดันของเธอ แล้วหรี่ตามองเครื่องสกัดแร่ที่เริ่มส่งเสียงร้อง
“เสียงเครื่องมัน...”
อิลิเนอร์หันไปมอง แล้วดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเมื่อเห็นค่าความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม
‘ตายละ!’
ไวเท่าความคิด อิลิเนอร์จึงรีบกางอาณาเขตป้องกันทันที พร้อมๆ กับแรงระเบิดที่ปะทุขึ้นเสียงดังสนั่น
ตู้ม!
แรงระเบิดอันมหาศาลกระแทกออกไปโดยรอบบริเวณนั้นเป็นวงกว้างจนเครื่องสกัดแร่กระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี บาร์เรียร์ของอิลิเนอร์สามารถคุ้มครองห้องนั้นตั้งแต่จุดที่เธอยืนอยู่ลึกเข้าไปในตัวบ้าน แต่ห้องด้านที่เป็นจุดตั้งเครื่องสกัดแรงเครื่องนั้นพังราบหายวับไปทั้งแถบ จนมองเห็นภูเขาหลังบ้านได้ชัดเจน
“ให้ตายเถอะ” อิลิเนอร์สบถเสียงเครียด แล้วยิ่งสบถดังขึ้นเมื่อพายุเฮอร์ริเคนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ตัวบ้านทางฝั่งของห้องทดลอง
“คุณบอกว่า มันจะทำลายสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกตัวบ้าน แต่บ้านเป็นแบบนี้แล้ว...” เรดถามยังไม่ทันขาดคำ อิลิเนอร์ก็พูดแทรกว่า
“มันก็จะทำลายบ้านหลังนี้ด้วยน่ะสิ” อิลิเนอร์ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“แล้วเราจะ...” เสียงของเรดหายไป เพราะรับรู้ได้ถึงพลังจิตวิวัฒน์ของเขาที่ได้รับการปลดล็อก
อิลิเนอร์ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะดันทุรังรักษากฎของตัวเองจนไม่ลืมหูลืมตาดูความเป็นจริง ในสถานการณ์ตอนนี้ เธอต้องมีคนช่วยกางอาณาเขต เพื่อเธอจะได้ซ่อมแซมบ้านไว้ป้องกันพายุที่กำลังเข้ามาใกล้ได้
“ตอบฉันหน่อยสิ ว่าหน้าที่ที่คุณมาที่นี่คืออะไร คุณไฟร์”
“คุ้มครองคุณครับ”
“ดี งั้นก็ทำหน้าที่ของคุณซะ”
เรดมองหน้าสาวสวยแล้วต่อรองว่า
“ผมจะทำเมื่อคุณยอมรับระบบการทำงานของผมทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะกิจอย่างตอนนี้”
“นี่มันเหตุฉุกเฉินนะคุณ” อิลิเนอร์โวยวายใส่ทันที ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เขาคิดจะแบล็กเมล์เธอหรือไง แต่แววตาชายหนุ่มที่จ้องตอบมา มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาจะทำตามที่พูดจริงๆ
ครืน!
เสียงฟ้าร้องและลมพายุที่เคลื่อนที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ทำให้อิลิเนอร์ต้องรีบตัดสินใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เครื่องสกัดแร่ระเบิด แต่ทุกครั้งที่ผ่านมามันไม่ได้เกิดในสภาพอากาศแปรปรวนแบบนี้
‘เราจำเป็นต้องมีเขา’
คำตอบนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่ความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมานี่สิ มันชัดเจนจนเธออยากบีบคออีกฝ่ายเหมือนกัน
“ว่าไงครับ”
“ตกลง” อิลิเนอร์ตอบ
ทันใดนั้น บาร์เรียร์ของเรดก็ปรากฏขึ้น แถมเลียนแบบบาร์เรียร์ที่เธอใช้เคลือบป้องกันบ้านหลังนี้ไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลย และด้วยไอพลังนี้จึงทำให้พายุเฮอร์ริเคนเคลื่อนตัวผ่านบริเวณนี้ไปอย่างง่ายดาย
‘หมอนี่ ดูเผินๆ ภายนอกเหมือนจะเป็นผู้มีจิตวิวัฒน์สายเสริมสร้าง แต่จริงๆ แล้วเขามีจิตวิวัฒน์เป็น...สายป้องกันเหมือนเรา!’’ อิลิเนอร์มองเรดตาค้าง ขณะที่ชายหนุ่มหันมาสบตาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ดูเหมือนผมจะซื้อเวลาให้คุณได้นะ”
Writer's Talk :
เรียกว่า ไม่มีใครยอมใคร คนเก่งก็ต้องสู้กับคนเก่งนะคะ อิลิเนอร์เป็นตัวละครที่มีความเป็นผู้ใหญ่และเด็กในตัว แต่ค่อนไปทางเด็กพิเศษมากกว่าเพราะชีวิตของเธอคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ส่วนเรด ผู้ชายแบบเขาคงไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆ จริงไหมคะ
งานนี้เราเลยต้องดูกันยาวๆ เลยค่ะ ว่าเกมนี้ใครจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย ^^
------------------------------------------------------------------------------------------
ตารางการอัพนิยายเรื่องนี้คือ ทุกวันจันทร์ นะคะ
ใครที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่ต้องกลัวจะอ่านไม่รู้เรื่องนะคะ เพราะว่าเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวข้องกันเพียงแต่อยู่ในโลกเดียวกันเท่านั้น ถ้าสนใจอยากตามอ่านพื้นโลกของ ค.ศ. 3225 สามารถกดอ่านได้จากที่นี่เลยค่ะ
สำหรับคนที่ต้องการรูปเล่มกดที่ชื่อเลยจ้า
>>> Cinderella 3225 <<<
ลุ้นมากค่ะ