ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : จีฮุน?
ตอนที่ 11
จีฮุน?
แสงสีอ่อนที่ส่องลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง บ่งบอกว่ายอมเช้าเริ่มเข้ามาเยือน ภายในห้องยังคงมีสองร่างกกกอดกันอย่างแนบแน่น ทั้งๆ ที่ดวงตายังคงปิดสนิท เนื้อตัวเปลือยเปล่าดีที่มีผ้าห่มผืนหนาปกปิดร่างกายของทั้งคู่ไว้ เผยให้เห็นเพียงช่วงไหล่ขาวเนียนที่มีใบหน้าคมซุกอยู่สูดกลิ่นหอมเข้าปอดอย่างไม่รู้เบื่อ
ประตูเพียงบานเดียวของห้องถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดวงตากลมโตบนใบหน้าอ่อนเยาว์โผล่เข้ามาอย่างช้าๆ ใบหน้าสีน้ำผึ้งแดงเรื่อขึ้นทันที เมื่อเห็นสภาพของทั้งสองคนที่พอจะเดาได้ว่าเพิ่งจะผ่านกิจกรรมอะไรกันมา ดวงตาคมลืมขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีดวงตาอีกคู่มองอยู่ หยีตาเล็กน้อยก่อนจะผงกหัวขึ้นมองผู้มาใหม่ที่ยืนหน้าแดงอยู่ ใบหน้าเรียบไม่มีแววเขินอายแต่อย่างใด ผิดกับอีกคน (ทำไมหมีหน้าหนาขนาดเน้...)
นิ้วหนาถูกยกขึ้นมาแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้ามไม่ให้ชางมินส่งเสียงอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนสวยตื่นและคงได้อายน้องจนพาลโกรธเค้าไปด้วยแน่ ชางมินที่เริ่มตั้งสติได้ก็ยิ้มให้ตาเป็นประกายก่อนจะพยักหน้าหลิ่วตาให้ แล้วย่องออกไป แต่ยังไม่วายชี้หน้าร่างสูงให้ได้อายอีกครั้ง
แน่นักนะ.....
ยูโนวได้แต่หัวเราะแก้เขิน
“แจจุงครับ.....ตื่นเถอะ”เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ พร้อมกับจูบหน้าผากมน ลงมาที่เปลือกตา ไล่ไปจนถึงแก้มนวล คนถูกสัมผัสส่ายหน้าหนีอย่างรำคาญ แล้วเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว ดวงตากลมโตเปิดขึ้นมาองหน้าคมที่อยู่แนบชิดอย่างตกใจ
“อรุณสวัสดิ์ครับ...คนสวย”พูดจบก็ก้มลงแตะริมฝีปากบนเรียวปากสวยของคนเพิ่งตื่นแผ่วบา ก่อนที่จะลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไปพลางหัวเราะ
จากตอนแรกที่งัวเงีย แจจุงตื่นเต็มตาทันที มองแผ่นหลังกว้างที่เดินเข้าห้องน้ำไป ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ซุกหน้ากับหมอนทันทีด้วยความอาย แต่เรียวปากยังคงยิ้มไม่หุบ มือเรียวกำจี้ที่สร้อยคอแน่น ยิ่งนึกหน้าก็ยิ่งแดงจนลามไปยันคอแล้ว บรรยากาศแสนหวานยังคงอบอวลไปทั่วห้อง
พอประตูห้องน้ำถูกเปิดออก พร้อมกับที่ร่างสูงเดินออกมาโดยมีผ้าขนหนูผืนเดียวพันช่วงล่างไว้ แจจุงรีบเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโป่งทันที ยูโนวเห็นอย่างนั้นก็ยิ้ม แล้วเดินไปแต่งตัวแต่ดวงตาคมยังมองคนที่เอาแต่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ยอมออกมาสักที จึงเดินเข้าไปกระซิบบอกคนใต้ผ้าห่มใกล้ๆ
“ผมลงไปก่อนนะครับ”แล้วลุกออกไปยิ้มๆ
พอได้ยินเสียงปิดประตู แจจุงก็โผล่ออกมาจากผ้าห่มแล้วยิ้มอายๆ กับตัวเอง
ร่างสูงเดินลงมาข้างล่างก็พบชางมิน เยซอง และซองมินกำลังช่วยกันจัดโต๊ะอยู่ โดยที่ทั้งสามหันมามองชายหนุ่มแล้วยิ้มแปลกๆ
นี่แสดงว่า เจ้าชางมินปากโป้งไปเรียบร้อยแล้ว
ร่างสูงได้แต่เขม่นตามองทั้งสามดุๆ แต่ไม่วายยิ้มออกมา ก็วันนี้มันเป็นวันที่เค้ามีความสุขที่สุดนี่ จนคนมองหลุดหัวเราะอีกครั้ง ไม่นานแจจุงก็เดินตามลงมา แต่ผิดกันที่ ร่างบางกลับเดินไปจับราวบันไดไป แถมใบหน้าหวานยังแหยเกแปลกๆ อีกด้วย ยูโนวเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปประคองทันที
“พี่แจจุงเป็นอะไรเหรอครับ?”ชางมินถาม น้ำเสียงนั้นสุดแสนจะเป็นห่วง แต่นัยน์ตานี่เต้นระริกไม่หยุด
“อ้อ...พี่แค่หกล้มน่ะ”แจจุงตอบอ้อมแอ้ม ใบหน้าหวานแดงขึ้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงสาเหตุที่แท้จริงที่เค้าต้องเจ็บร้าวไปทั้งสะโพกอย่างนี้ จนอดหันไปค้อนคนที่ประคองอยู่ข้างๆ ไม่ได้
ชางมินหันไปพยักหน้ากับซองมิน ด้วยสีหน้าที่สุดแสนจะเชื่อกับคำตอบของพี่ชาย แต่ไม่แซวต่อด้วยกลัวว่าจะทำให้คนสวยอายจนโกรธได้ พอจัดร้านเสร็จทั้งคู่ก็รีบออกไปเรียนทันที ก็พบกับร่างสูงอีกคนที่ยืนมองอยู่หน้าร้านไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งคู่ปรับสีหน้าแทบไม่ทัน เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่าย แล้วหันกลับไปมองคู่รักแสนหวานในร้านทันที พลางยิ้มเจื่อนให้แขก แล้วรีบหลับฉากจากไปอย่างรวดเร็ว
ดองวุคยืนมองอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่แจจุงเดินลงมา สีหน้าของทั้งสอง แววตาและท่าทางที่ปฏิบัติต่อกัน แค่นั้นก็บอกเค้าได้แล้วว่า ตอนนี้สถานะของทั้งคู่เปลี่ยนไปอย่างไร ร่างสูงรีบปรับสีหน้าใหเป็นปกติอีกครั้งก่อนที่เดินเข้าไปในร้าน
แจจุงที่เห็นแขกผู้มาใหม่ สีหน้าแสดงถึงความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เหลือบมองคนข้างตัวที่มองแขกอยู่เช่นกัน แต่มองแบบดุเดือดมากกว่า มือหนาโอบเอวแจจุงไว้อย่างต้องการให้อีกคนได้รู้ว่า คนๆ นี้เป็นของเค้าแล้ว
ดองวุคได้แต่มองท่าทางนั้นอย่างรวดร้าว มือหนากำแน่น แต่ก็พยายามข่มใจให้เป็นปกติ แจจุงที่เริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์อันย่ำแย่ ก็จับมือหนาที่เอวออกช้าๆ เป็นเชิงว่าเค้าจะไปคุยกับดองวุคให้เข้าใจเอง แล้วเดินไปหาดองวุคพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้
“พี่ดองวุค”ร่างบางเรียกชื่อคนที่ยืนนิ่งอยู่ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คนถูกเรียกเหมือนได้สติ หันมายิ้มให้เศร้าๆ พลางส่ายหน้า
“อย่าพูดอะไรเลยแจจุง พี่เข้าใจ......ที่จริงพี่ก็รู้ตัวมาตลอดว่า ไม่สามารถเข้าไปในหัวใจของแจจุงได้ แต่พี่ไม่ยอมรับมันเอง ตอนนี้คงถึงเวลาที่พี่ต้องยอมรับความจริงสักที ในเมื่อแจจุงมีคนคอยดูแลแล้ว”
“ผมขอโทษ.....”แจจุงพูดยังไม่ทันจบประโยต ก็ถูกนิ้วเรียวของร่างสูงแตะห้ามไว้
“แจจุงไม่ผิด จะมาขอโทษพี่ทำไมกัน พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่คอยตามตื้อจนแจจุงอาจรำคาญ”
ร่างบางรีบส่ายหน้าทันที จนดองวุคยิ้มบางๆ
“พี่ตั้งใจจะตัดใจจากแจจุงตั้งแต่วันที่พี่ได้เห็นนายกับยูโนวดูดาวกันคืนนั้น พี่ก็รู้ว่าพี่ไม่มีทางสู้เค้าได้ ที่จริงวันนี้ พี่ตั้งใจจะมาลาแจจุง พี่ต้องไปทำงานที่บริษัทส่งออกของพ่อพี่ คงไม่มีโอกาสได้มาหาแจจุงอีก พี่หวังว่านายจะมีความสุขอย่างนี้ตลอดไป จำไว้นะแจจุง....ว่าพี่จะยังรักและหวังดีกับแจจุงเสมอ”ดองวุคพูด
“ขอบคุณครับ”แจจุงพูดออกไปทั้งน้ำตา แล้วโผเข้ากอดคนพูดแน่น ดองวุคกอดตอบเพียงแป๊บเดียวแล้วผละออก ราวกับพยายามหักห้ามใจไม่ให้รั้งร่างบางไว้อีก พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“อย่าขี้แยสิ นี่ไม่ใช่แจจุงที่พี่รู้จักนะ พี่ไปก่อนล่ะ”พูดจบ ดองวุคก็เดินจากไปทันที
แจจุงได้แต่มองตามน้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด ยูโนวเดินไปยืนข้างๆ แล้วโอบกอดคนขี้แยไว้แน่น มองแผ่นหลังของอดีตคู่แข่งที่เริ่มห่างออกไปเงียบๆ
สักวันนายคงได้พบคนที่เป็นคู่ของนาย....ดองวุค
รถเก๋งสีบรอนขับออกไปด้วยความเร็ว บนถนนที่มีรถเพียงน้อยนิด อาจเป็นเพราะออกมานอกเมือง ดองวุคเหยียบคันเร่งจนสุด หวังเพียงระบายความเศร้าเสียใจที่มีอยู่เต็มอก ให้ออกไปกับสายลม ด้วยความเหม่อหรือน้ำตาที่เคยกลั้นไว้เอ่อล้นออกมาเต็มดวงตา ทำให้ไม่ทันได้สังเกตสัญญาณไฟตรงหน้าว่าได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว รถสปอร์ตคันหรูจึงพุ่งออกมาจากช่องทางด้านซ้าย เพราะสัญญาณไฟตรงเค้าบอกว่าเป็นไฟเขียวให้ไปได้
พอรถสปอร์ตสีแดงโผล่ออกมา ทำให้ดองวุครีบเหยียบเบรก แต่ก็ดูจะสายไปเสียแล้ว ทำให้รถทั้งสองคันชนเข้าอย่างจัง ดีที่บนถนนสายนั้นไร้ผู้คน จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุเพียงแค่นั้น ไม่ลุกลามชนสองสามคันตามมา แรงกระแทกทำให้ดองวุคงงไปเหมือนกัน แต่ดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร มีเพียงแต่รถที่บุบจนเป็นแผลน่ากลัว รวมถึงรถสปอร์ตของคู่กรณีที่หน้าเบี้ยวไปเลย พร้อมกับคนขับที่เดินออกมาดูอย่างหัวเสีย
“ขับรถภาษาอะไร ดูสัญญาณไฟไม่เป็นรึไง? หรือตาบอดสี?”ร่างสูงใหญ่สมส่วน แต่งตัวภูมิฐาน ผิวแทนนิดๆ อย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ เดินลงจากรถมาต่อว่าดองวุคเป็นชุด
“ขอโทษครับ เดี๋ยวค่าเสียหายผมรับผิดชอบเอง”ดองวุครีบเช็ดน้ำตา แล้วลุกออกมาโค้งของโทษทันที
“ขอโทษแล้วรถผมมันหายมั้ย? พังยับขนาดนี้ กว่าจะซ่อมเสร็จก็อีกเป็นเดือน ขับเร็วขนาดนั้นจะรีบไปตายที่ไหนคุณ?”อีกฝ่ายยังคงว่าเป็นชุด จนดองวุคชักเริ่มโมโห
“เอ๊ะ....นี่คุณ ขอโทษก็แล้ว ยอมชดใช้ให้ก็แล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ผมจะรีบขับไปตายที่ไหนมันก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ!”ดองวุคตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายที่ดูจะสูงกว่าเล็กน้อยอย่างเหลืออด
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็คุณเกือบจะพาผมไปพบยมบาลด้วยแล้ว ทำไม? อกหักมารึไง? ถึงได้ขับอย่างคนอยากตายซะขนาดนั้น”ร่างสูงพูดประชดโดยไม่รู้ว่า พูดแทงใจคนฟังเข้าอย่างจัง
ดองวุคพอถูกพูดแทงใจดำเข้า ก็ทั้งโกรธทั้งอาย จนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองใบหน้าคมของคนตรงหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาเอาการอย่างเคียดแค้น กำมือไว้แน่น
“เออ!”ตะโกนไปแค่นั้น ก็หันกลับไปดูรถแล้วโทรเรียกประกันอย่างโมโห
วันนี้วันซวยอะไร อกหักแล้วยังมาเจอคนบ้าแบบนี้อีก!
โดยที่ดองวุคไม่รู้เลยว่า ตอนที่เค้าหันหลังให้ อีกคนกลับมองตามทุกอย่างก้าว เรียวปากหนายกยิ้มอย่างชอบใจ
หลายวันต่อมา
คยูฮยอนเดินมาจนเกือบจะถึงร้านอาหารของแจจุง เพราะมีลูกน้องรายงานมาว่า พบคนที่หน้าเหมือนยุนโฮอยู่แถวนี้ เค้าจึงต้องมาดูให้แน่ใจ ชายหนุ่มหยิบรูปยุนโฮขึ้นมาดูอีกครั้ง พลางมองไปรอบๆ แต่ตอนนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีใบหน้าน่ารักพร้อมรอยยิ้มมายืนดักหน้าเค้าไว้
“คุณคยูฮยอน! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณยังมาหาคนอยู่เหรอครับ?”ซองมินทักอย่างร่าเริง เค้าเดินมาส่งชางมินที่ร้าน และเห็นร่างสูงยืนด้อมๆ มองๆ อยู่เลยเข้ามาทัก พอซองมินหันไปเห็นรูปยุนโฮในมือของร่างสูง ก็หยิบขึ้นมาดูตาโตอย่างตกใจ
“นี่มันรูปพี่ยูโนวนี่ คุณคยูฮยอนตามหาพี่ยูโนวอยู่เหรอ?”ซองมินเงยหน้าถามร่างสูงทันที ซึ่งคยูฮยอยเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กันที่คนตัวเล็กรู้จักคนในรูป
“นายรู้จักคนในรูปนี้เหรอ?”ร่างสูงถามเสียงเข้ม มือหนาจับไหล่ทั้งสองข้างของซองมินไว้แน่น จนคนถูกจับหน้าเบ้ด้วยความเจ็บ ร่างสูงจึงรู้ตัวปล่อยมือออก
“ก็นี่...พี่ยูโนว เค้าทำงานอยู่ที่ร้านอาหารตรงนั้นน่ะ”ซองมินพูดพลางชี้ไปที่ร้านอาหารของแจจุง ที่ตอนนี้มีรถลีมูซีนสีดำจอดอยู่ พร้อมกับร่างสูง่ของคนขับและร่างเล็กของผู้เป็นนายเดินเข้าไปในร้าน
“คิบอม แล้วนั่น....”คยูฮยอนมองตามอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะมาพบคิบอมและจุนซูที่นี่
“อ๋อ....คุณคิบอมกับคุณจุนซูน่ะครับ คงจะมาหาพี่แจจุงน่ะ คุณรู้จักพวกเค้าด้ว...”พูดยังไม่ทันจบ ซองมินก็ต้องร้องอย่างตกใจ ที่อยู่ๆ ร่างสูงก็ดึงตัวเค้าเข้าไปในซอกแคบๆ ใกล้ๆ นั้น
ความแคบแค่เพียงคนๆ เดียวเดินกลับต้องยืนกันสองคน ทำให้ทั้งคู่ยืนแนบชิดกันเกือบทุกส่วน มือเล็กยังคงถูกมือใหญ่จับไว้แน่น ซองมินเหลือบมองใบหน้าคมที่อยู่ห่างแค่คืบนั้นอย่างแปลกใจ
“คุณคยู....”เรียกยังไม่ทันจบ ร่างสูงก็ส่งสัญญาณให้เงียบทันที
“ชู่ว์...”คยูฮยอนชะเง้อหน้อออกไปมองข้างนอกอีกครั้ง พบว่าคิบอมยังคงยืนมองมาทางเค้าอยู่
“แจจุงที่นายพูดถึงนี่ใคร?”อยู่ๆ ร่างสูงก็หันมาถาม ซองมินที่เหม่อมองเรียวปากนั้นอย่างหลงใหล ก็ได้สติ มองดวงตาคมที่ดูเร่งรีบนั้นแล้วตอบ “อ้อ...พี่แจจุง ก็เป็นเจ้าของร้านอาหารร้านั้น แล้วก็เป็นแฟนพี่ยูโนวด้วย”พอสบดวงตาคมที่ยังดูงุนงง ซองมินจึงชี้ไปที่รูปในมือของร่างสูง
“พี่ยูโนวก็คนในรูปนั้นไง”พูดจบก็เหลือบมองใบหน้าคมอีกครั้ง ใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด
คยูฮยอยที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งแน่ใจว่าข่าวที่ได้มาไม่ผิดพลาด แม้จะแปลกใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงเรียกยุนโฮแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“ขอบใจมาก แล้วอย่าบอกใครเรื่องของชั้นนะ...อย่าบอกเรื่องที่ชั้นมาตามหาคนในรูปนี่”คยูฮยอนกระซิบอยู่ข้างหูนิ่มที่เริ่มแดงระเรื่อ
“ทำไมครับ?”ซองมินถามอย่างสงสัย ทั้งๆ ที่ใจยังเต็นไม่เป็นจังหวะกับความใกล้ชิดที่ได้รับ
“นายอย่ารู้เลย สัญญากับชั้นสิ ว่านายจะไม่บอกใคร”เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างแก้มเนียนที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ
ซองมินได้แต่หลับตาแล้วพยักหน้ารับอย่างเขินอาย พอมือที่ถูกจับไว้ได้รับอิสระ พร้อมกับร่างสูงที่วิ่งจากไปทางไหนซองมินก็ไม่รู้ พอลืมตาร่างสุงก็หายไปแล้ว มือเล็กถูกยกขึ้นมากุมอกที่เต้นระรัวไม่หยุด แล้วคิบอมก็โผล่มาทำให้ซองมินสะดุ้งสุดตัวหันไปมองอย่างตกใจ
“นายมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อกี้นายคุยอยู่กับใคร?”คิบอมถามเสียงเครียดไม่แพ้สีหน้า
“ไม่....ไม่มีนี่ครับ ผมอยู่คนเดียว”ซองมินตอบตะกุกตะกัก หลบตาอีกฝ่ายเป็นพัลวัล แล้วเดินออกจากตรอกไป คิบอมได้แต่มองท่าทางมีพิรุธนั้นอย่างสงสัย เมื่อกี้ชั้นเหมือนห็นนายรึเปล่านะ....คยูฮยอน?
ซองมินไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งที่เค้าเพิ่งบอกคยูฮยอนไป จะก่อให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดใหญ่โต จนเค้ายากที่จะลืม!
จุนซูและคิบอมกลับมาที่รถอีกครั้ง หลังจากที่ไปหาแจจุงที่ร้าน แล้วพบว่าแจจุงออกไปส่งอาหารให้ลูกค้า มีเพียงชางมินและเยซองอยู่ที่ร้านเท่านั้น รอได้สักพักก็เริ่มถอดใจ เมื่อเจ้าของร้านไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาสักที จึงขอตัวกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
คิบอมขับรถออกาได้สักพัก จุนซูก็เหลือบเห็นแจจุงเดินอยู่ข้างทาง ในมือเต็มไปด้วยข้าวของ ร่างเล็กรีบสั่งให้คนสนิทหยุดรถทันที
“แจจุง....ไปส่งอาหารเหรอ? มา...เดี๋ยวชั้นไปส่ง”จุนซูพูดแล้วลงไปช่วยยกของในมือคนถูกเรียกขึ้นรถ โดยไม่รอฟังคำคัดค้านของแจจุง
“ชั้นไปหานายที่ร้านมา แต่ชางมินบอกว่านายไม่อยู่”จุนซูพูดเมื่อทั้งคู่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
“คุณไปหาผมมีธุระอะไรรึเปล่า?”แจจุงหันมาถาม
พอได้ยินคำถามจุนซูก็เอาแต่หน้าแดง เหลือบมองคิบอมที่มองผ่านกระจกหลัง ก่อนจะหันไปกระซิบกับแจจุงไม่ให้คนขับได้ยิน
สิ่งที่จุนซูเล่าให้แจจุงฟัง เป็นเรื่องที่เค้าชวนยูชอนไปดูหนัง ตลอดจนเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงหนังด้วย ซึ่งคนฟังพอได้ยินก็ยิ้มแก้มแทบปริ ในขณะที่คนเล่าก็หน้าแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
“ร้ายนี่คุณ....อย่างนี้น่ะดีแล้ว ผมรับรอง ต่อไปจะต้องดีขึ้นแน่”แจจุงพูดยิ้มๆ
“แต่ตอนนี้เรามองหน้ากันแทบไม่ติด ผมไม่กล้าเจอเค้าเลย”จุนซูพูดพลางก้มหน้า จนที่ปรึกษาจำเป็นต้องเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายบีบเบาๆ
“คุณต้องกล้ากว่านี้ เพื่อความรักของคุณ”
จุนซูได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ เค้าคิดถูกแล้วที่มาหาแจจุง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสร้อยบนคอขาวของอีกฝ่ายที่เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
“แจจุงใส่สร้อยคอด้วยเหรอ ก่อนหน้านี้ไม่ยักเคยเห็น”จุนซูถาม คนถูกถามก้มลงมองสร้อยยิ้มๆ
“ยูโนวเพิ่งให้มาน่ะ”
“ยูโนว?”
“อ้อ....ใช่ จุนซูยังไม่เคยเจอนี่ เค้าเป็นคนทำงานที่ร้าน”แจจุงรีบพูดทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายงงๆ
“และเป็นแฟนแจจุงด้วย”อีกคนเสริมให้ เล่นเอาเจ้าของร้านอาหารคนสวยหน้าแดงเรื่อขึ้นทันที แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณคิบอมจอดตรงแยกข้างหน้านี่แหละ ผมส่งอาหารตรงนั้น”แจจุงหันไปพูดกับคนขับแก้เขิน
“จุนซูไปส่งที่ร้านให้ก็ได้”คนตัวเล็กอาสา
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้”แจจุงว่าพลางขนของลงจากรถ
“หรือว่ารอกลับพร้อมเจ้าของสร้อย”คนตัวเล็กแซวพลางหลิ่วตา
“เกลียดนัก...คนรู้ทัน”แจจุงหันไปว่ายิ้มๆ ก่อนจะลงจากรถไป
พอส่งอาหารเสร็จ ร่างบางก็เดินออกมาอีกครั้ง ก็พบว่าฝนตกลงมาซะแล้ว จึงรีบเดินไปหลบฝนที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ไม่นานนักร่างสูงที่คุ้นตาก็วิ่งเข้ามาทางเค้า
“แจจุง...มาทำอะไรที่นี่ครับ?”ยูโนวถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อมายืนข้างๆ คนสวย สะบัดผมที่เปียกน้ำไปมา
“มารอนายน่ะสิ”คนสวยตอบดวงตากลมโตมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ไม่สนใจใบหน้าคมที่ยิ้มกว้างมองมา
“น่ารักจริง แฟนใครเนี่ย?”ยูโนวพูดยิ้มๆ ดึงคนสวยเข้ามากอดอย่างไม่อายใคร จนแจจุงต้องตีเข้าให้จึงยอมปล่อย แล้วทั้งคู่พากันเดินเคียงคู่กันไป โดยมีร่างสูงใช้เสื้อแจ็คเก็ตบังฝนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นตกพลำๆ
จุนซูที่นั่งอยู่ในรถ มองสายผนที่อยู่ๆ ก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนผู้คนที่เดินอยู่ขวักไขว่ต่างรีบวิ่งเข้าหาที่หลบฝนกันแทบไม่ทัน ความทรงจำเก่าๆ เริ่มหวนคืนเข้ามาในใจจนใบหน้าเนียนเผยยิ้มบางๆ
“คิบอม จอดรถทีสิ”สั่งเรียบๆ คิบอมจอดรถทันทีทั้งที่ยังงงๆ อยู่
“คุณจุนซูจะไปไหนเหรอครับ?”คิบอมถาม แต่คนเป็นนายไม่ตอบ เปิดประตูเดินลงไปท่ามกลางสายฝน จนบอร์ดี้การ์ดหนุ่มต้องรีบหยิบร่มเดินตามลงไปทันที
“ชั้นอยากอยู่คนเดียว นายไปรอที่รถเถอะ”คนตัวเล็กหันไปบอกคนสนิทที่ยืนกางร่มให้อยู่ข้างๆ
“แต่......”ร่างสูงพยายามค้าน ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะไม่สบาย
“ขอร้อง....คิบอม”ไม่ใช่แค่คำพูด ทั้งน้ำเสียงและสายตาดูเว้าวอนจนคิบอมอดสงสารไม่ได้
“ก็ได้ครับ แต่คุณจุนซูต้องถือร่มไปด้วยนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย”คิบอมพูดพลางถอนใจ จุนซูกลับส่ายหน้ายิ้มๆ
“ชั้นอยากเล่นน้ำฝน แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”พูดจบก็หันเดินตรงไปทันที ไม่สนใจร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่
คิบอมได้แต่อึกอักทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ของเค้าก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมากดรับ ทั้งๆ ที่สายตายังคงมองผู้เป็นนายไม่ห่าง
“คุณบอร์ดี้การ์ด นายอยู่ไหนน่ะ?”เสียงสดใสของดงแฮดังมาตามสาย ซึ่งเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของคิบอมในเวลานี้
“คุณดงแฮ ^_^ ผมดีใจจังที่คุณโทรมา ตอนนี้ผมเดินตามคุณจุนซูอยู่ที่แถวตลาดซีซา คุณจุนซูเดินตามฝนใหญ่เลยครับ ผมห้ามยังไงก็ไม่ฟัง”คิบอมพูดออกมายาวเหยียดอย่างผิดปกติ
“ช้าๆ ก็ได้ เดี๋ยวหายใจไม่ทันหรอก แล้วทำไงจุนซูถึงไปเดินตากฝนอย่างนั้นล่ะ”
“ผมก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ คุณจุนซูก็บอกให้จอดรถ แล้วเดินลงไปเลย บอกว่าอยากเล่นน้ำฝน ผมควรทำไงดี ปกติคุณจุนซูไม่เคยเป็นแบบนี้”คิบอมพูอย่างหนักใจ
“ชั้นคิดออกแล้ว นายเดินตามจุนซูไปก่อนนะ เดี๋ยวชั้นตามไป”
“ครับ เร็วๆ นะครับ”
จุนซูเดินไปช้าๆ ท่ามกลางผู้คนที่เร่งรีบอย่างไม่สนใจ ใบหน้าเนียนเงยขึ้นรับน้ำฝนที่ยังคงพรำไม่หยุด
ภาพของเด็กชายตัวเล็กนั่งขดอยู่ในพุ่มไม้ ท่ามกลางท้องฟ้าที่มีฝนซัดกระหน่ำไม่หยุด ฟ้าแลบแปลบๆ จนท้องฟ้าที่มืดมิดสว่างโล่ พร้อมกับเสียงที่ดังจนแสบแก้วหูจนร่างเล็กสะดุ้งสุดตัว นั่งตัวสั่นร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
“จุนซู คุณจุนซูครับ....จุนซู”เสียงเรียกของเด็กชายอีกคนดังขึ้น ทำให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่ในพุ่มไม้ขยับตัวจะออกไปหา แต่แล้วฟ้าก็ร้องขึ้นอีกครั้ง จนเด็กน้อยน่ารักมุดกลับเข้าไปที่เดิม พร้อมกับร้องไห้เสียงดัง จนเด็กชายที่ตามหาอยู่เดินตามมาจนพบ
“จุนซู อยู่นี่เอง กลับบ้านกันเถอะครับ”เด็กชายตัวเปียกปอนพูดยิ้มๆ พลางยื่นมือมาให้
“ยูชอน....จุนซูกลัว”เด็กน้อยพูดพลางร้องไห้ แล้วจับมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายแน่น พอออกมาจากพุ่มไม้ได้ ยูชอนก็ถอดเสื้อนอกคลุมหัวเด็กน้อยไว้
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมอยู่นี่แล้ว”เด็กชายพูดยิ้มๆ พลางเอามือบังศีรษะเล็กๆไว้ราวกับจะช่วยบังฝนให้ จุนซูหันมามองมือหนาบนศีรษะ
“อย่างนี้ยูชอนก็เปียกแย่สิ”
“มันเป็นหน้าที่ขององครักษ์คนนี้อยู่แล้วครับ”ยูชอนตอบยิ้มๆ แล้วทั้งคู่ก็เดินฝ่าฝนไปจนถึงคฤหาสตระกูลชอง
หลังจากนั้น ยูชอนก็ต้องนอนซมป่วยอยู่เป็นอาทิตย์ โดยมีเด็กน้อยนั่งเฝ้าไข้ร้องไห้อยู่ไม่ห่าง
“เพราะจุนซูแท้ๆ ที่ทำให้ยูชอนต้องป่วย ถ้าจุนซูไม่ไปเล่นที่นั่น”เด็กน้อยพูดพลางสะอึกสะอื้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกไม่กี่วันก็หาย อย่าร้องไห้เลยนะครับ....จุนซู”ยูชอนพูดยิ้มๆ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มใสอย่างเบามือ
แค่นึกถึงวันเก่าๆ เรียวปากบางก็ยกยิ้มอย่างมีความสุข คงหลังจากนั้นละมั้ง ที่เค้ามองยูชอนมากกว่าพี่ชาย แต่แล้วสายฝนที่ละมาบนใบหน้าก็หายไป พร้อมกับเสียงทุ้มที่คุ้นเคย
“ยืนตากฝนอย่างนี้เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ”
จุนซูหันไปมองเจ้าของเสียง ก็พบยูชอนยืนอยู่ ในมือหนาถือร่มไว้ แต่ร่มนั้นไม่ได้กางไว้ให้ตัวเองกลับกางอยู่บนศีรษะของเค้าจนเจ้าตัวก็เริ่มเปียกไม่แพ้กัน ร่างเล็กยิ้มให้กับท่าทางนั้น
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ยูชอนก็จะมาดูแลเค้าเสมอ โดยที่ตัวเองต้องลำบากแทน และไม่เคยที่จะตีตัวเสมอ แม้แต่จะยืนในร่มคันเดียวกัน เป็นองครักษ์ที่คุ้มครองเจ้าหญิงอย่างแท้จริง
จุนซูจับไปที่มือหนาที่ถือคันร่มไว้ แล้วเลื่อนไปอยู่ข้างตัวชายหนุ่ม พร้อมกับตัวเอง ตอนนี้เค้าทั้งคู่ยืนอยู่ในร่มคันเดียวกัน
“ต่อจากนี้ ถ้าจะเปียกเราก็จะเปียกด้วยกัน แล้วถ้าได้ร่มบังเราก็ต้องบังด้วยกัน”จุนซูพูดพลางยิ้มหวาน
จะไม่มีองครักษ์กับเจ้าหญิงอีกแล้ว ต่อจากนี้เราจะเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน ร่วมทุกข์และสุขด้วยกัน
ยูชอนดูจะอึ้งกับการกระทำของคนตัวเล็กไม่น้อย จนจุนซูเริ่มยืนสั่น ร่างสูงจึงรีบถอดเสื้อมาคลุมให้ พอได้เสื้ออุ่นของอีกฝ่ายมาสวมไว้ คนตัวเล็กก็เอาแขนเสื้อที่ยาวขึ้นข้อมือเช็ดหน้าตัวเองที่เปียกชุ่ม แล้วหันไปเช็ดบนใบหน้าคมของอีกฝ่ายก็เปียกไม่แพ้กัน ยูชอนได้แต่ทำอะไรไม่ถูกยืนนิ่งขึงอยู่อย่างนั้น จนจุนซูฉวยโอกาสนั้นควงแขนแกร่งไว้ แล้วดึงให้เดินไปด้วยกันพร้อมรอยยิ้ม
“เป็นไง.....ความคิดชั้น เด็ดมั้ย?”
ดงแฮถามพลางยิ้ม ตอนนี้ร่างบางยืนอยู่กับบอดี้การ์ดหนุ่ม ไม่ไกลจากอีกคู่ที่เดินควงกันออกไป คิบอมไม่ตอบได้แต่มองเจ้านายและหัวหน้ายิ้มๆ
ดงแฮถามพลางยิ้ม ตอนนี้ร่างบางยืนอยู่กับบอดี้การ์ดหนุ่ม ไม่ไกลจากอีกคู่ที่เดินควงกันออกไป คิบอมไม่ตอบได้แต่มองเจ้านายและหัวหน้ายิ้มๆ
“นี่ คุณบอดี้การ์ด ไปกับชั้นหน่อยสิ”ร่างบางหันมาชวน คิบอมทำแค่เพียงหันมามองแล้วกลับไปมองเจ้านายอีกครั้ง
“น่า....จุนซูเค้ามีคนดูแลแล้ว นายไปกับชั้นเถอะนะ”ดงแฮยังคงอ้อนต่อไป มือเรียวจับแขนร่างสูงไว้พลางดึงกลับไปที่รถ คิบอมได้แต่เดินตามอย่างงงๆ
“แล้วเราจะไปไหนกันครับ?”คิบอมถามคนที่นั่งข้างๆ เมื่อรถเริ่มออกตัว
“อย่าเพิ่งรู้เลย ขับไปตามทางที่ชั้นบอกก็พอ”ดงแฮพูดยิ้มๆ
เมื่อมาถึงที่หมาย คิบอมมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ลานหญ้ากว้างที่เต็มไปด้วยป้ายหินสีขาวนับร้อยนับพัน แล้วหันไปมองคนข้างที่นั่งยิ้มอยู่
“ที่ฝังศพพ่อชั้นเอง ชั้นไม่ได้มาไหว้ท่านนานแล้ว เลยจะมาเคารพศพท่านสักหน่อย ไปด้วยกันมั้ย?”ดงแฮอธิบาย แล้วเอ่ยชวน
คิบอมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ล่ะครับ เชิญคุณตามสบายเถอะ”ใบหน้าคมมองดงแฮอย่างเศร้าสร้อย “ผมเสียใจด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นหรอก ชั้นเองก็จำท่านแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าไม่ไปด้วยกันแน่เหรอ? ชั้นกะจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักว่าที่ลูกเขยสักหน่อย”ดงแฮพูดอย่างทะเล้น ต่างกับคนฟังที่ยังทำหน้าตะลึงไม่หาย
“ล้อเล่นน่า....งั้นนายรออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวชั้นมา”ดงแฮว่า พลางหยิกแก้มที่เริ่มแดงของร่างสูงก่อนจะลงจากรถไป
ร่างบางเดินไปที่หลุมศพของพ่อเค้า ก็พบกับร่างสูงของคนๆ นึง ซึ่งเค้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน กำลังคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพ พร้อมกับก้มลงคำนับจนหน้าผากชนกับพื้นปูน ใบหน้าคมเต็มไปด้วยความสำนึกผิด และเศร้าสร้อยจนน่ากลัว ดงแฮเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างหลัง พอชายหนุ่มรู้ตัวก็หันมามองพร้อมกับลุกขึ้นยิ้ม
“คุณรู้จักคุณพ่อผมเหรอครับ?”ดงแฮถามยิ้มๆ อีกฝ่ายมองเค้าอย่างพินิจก่อนจะยิ้มตอบ
“ครับ....คุณคงเป็นคุณดงแฮ ผมจีฮุนครับ เป็นอีกคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน และสำนึกในพระคุณเสมอมา”ร่างสูงพูดพลางก้มหน้าคำนับ
“อย่ามากพิธีเลยครับ ที่แท้ก็เป็นคนในแก๊งนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณจีฮุน”ดงแฮพยักหน้ารับแล้วเดินไปคำนับหลุมศพบ้าง
“ผมเสียใจเรื่องคุณท่านด้วยนะครับ”ชายที่ชื่อจีฮุนพูดขึ้น
“อย่ามาเสียใจกับผมเลยครับ หน้าพ่อผมยังแทบจำไม่ได้เลย ผมไปอยู่กับแม่ที่เมืองนอกตั้งแต่เล็ก เจอท่านแทบนับครั้งได้ แต่พี่ซีวอนต่างหาก ดูเหมือนจะอาการหนักเหมือนกันกับเรื่องนี้ รายนั้นเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคน เห็นว่าที่คุณพ่อตาย ก็เพราะเพื่อนของพี่ ทำให้พี่กลายเป็นคนเงียบๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ออกจะร่าเริงแท้ๆ กลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไปแล้ว”ดงแฮพูดเรียบๆ แต่ดวงหน้าแลดูเศร้าลงเมื่อนึกถึงพี่ชาย
คำพูดของดงแฮกระทบใจคนฟังอย่างจัง ดวงตาคมไหววูบอย่างน่ากลัว และดูเศร้าไปในคราวเดียวกัน
ทั้งคู่ยืนเคารพหลุมศพอีกสักพัก ดงแฮก็ขอตัวกลับออกมาก่อน
ทั้งคู่ยืนเคารพหลุมศพอีกสักพัก ดงแฮก็ขอตัวกลับออกมาก่อน
จีฮุนหันไปมองหลุมศพอีกหลุกที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหลุมศพท่านชอย พ่อของดงแฮ ใบหน้าคมดูเจ็บปวดและโกรธแค้นอย่างประหลาด
“เป็นไงครับ? พ่อเห็นสิ่งที่พ่อทำไว้รึยัง?”ร่างสูงพูดเรียบๆ มือหนากำแน่น กับป้ายหลุมศพที่ไม่สามารถตอบอะไรได้ของจีฮวาน คนสนิทของคุณชอย พ่อของซีวอนนั่นเอง!
-------------------------------------------------------------------
มาอัฟให้แล้วเน้.........
เรื่องคอนฯ เอสเอ็ม เค้าเปิดจองบัตรกันแล้วน้า.....(คนอื่นเค้ารู้กันหมดแล้ว!)
บอกไว้เผื่อคนที่ยังไม่รู้........จะไปซื้อ
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าน้า..................
-------------------------------------------------------------------
มาอัฟให้แล้วเน้.........
เรื่องคอนฯ เอสเอ็ม เค้าเปิดจองบัตรกันแล้วน้า.....(คนอื่นเค้ารู้กันหมดแล้ว!)
บอกไว้เผื่อคนที่ยังไม่รู้........จะไปซื้อ
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าน้า..................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น