ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : หอมแล้วก็....อุ้ม ปิดท้ายด้วย....จูบ
ตอนที่ 7
หอมแล้วก็....อุ้ม ปิดท้ายด้วย....จูบ
หอมแล้วก็....อุ้ม ปิดท้ายด้วย....จูบ
รุ่งเช้า
แจจุงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เปลือกตาดูเหมือนจะหนักผิดปกติจนแทบยกไม่ขึ้น อาจเป็นเพราะเมื่อนอนดึกเกินไป แต่พอลืมตาขึ้นมาภาพดวงตาคมของอีกคนที่อยู่ใกล้ชนิดที่หน้าแทบจะแนบกันอยู่แล้ว แถมจมูกและหน้าผากยังชนกันจนรับรู้ถึงไออุ่นจากอีกฝ่าย
ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นอะไรชัดเจน ความง่วงที่เคยมีหายไปเป็นปลิดทิ้ง มือเรียวยกขึ้นตบบ้องหูอีกฝ่ายอย่างแรงจนร่างหนาล้มลงไปนอนร้องครวญครางกับพื้น
“ทำบ้าอะไรของนาย?”ถามออกไปอย่างโมโห ใบหน้าขาวแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ มือบางถูกยกขึ้นมาทาบอกที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโมโหหรืออะไรกันแน่?
“โอ๊ย....เจ็บเป็นบ้าเลย มือหนักชะมัด ผมก็แค่เห็นว่าคุณยังไม่ตื่น ทั้งๆ ที่ปกติออกจะตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย ก็หลงเป็นห่วงนึกว่าไม่สบาย เลยจะวัดไข้ แค่นี้เองไม่เห็นต้องมาทำร้ายกันเลย”พ่นพลางทำแก้มป่อง เอามือจับหัวเหมือนเด็ก
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ตื่นมาเห็นหน้านายใกล้ซะขนาดนั้น แล้วไอ้วิธีวัดไข้เนี่ยใช้มือไม่ได้รึไง?”พูดเสียงดังพลางลุกเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ใบหน้าหวานยังคงไม่หายแดง
พอแจจุงลงมาข้างล่างก็พบว่าชางมินออกไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรยอวุคและเยซองที่ดูหายดีแล้วจัดโต๊ะกันอยู่ และดูเหมือนจะเถียงกันไปด้วย
“นายยังไม่บอกชั้นเลยนะ ว่าทำไมเมื่อเช้าถึงไม่รอชั้นเหมือนทุกวัน หนีมาคนเดียวอย่างนี้”เยซองถามพลางมองรยอวุคอย่างคาดคั้น แต่มือก็ยังคงจัดโต๊ะทำหน้าที่ของตนต่อไป
“ชั้นรีบ”ตอบสั้นๆ โดยไม่มองหน้าคนถามที่เหมือนจะควันออกหูแล้ว มือบางยังคงเก็บกวาดร้านใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีรอยยิ้มเหมือนทุกวัน แล้วเหลือบไปเห็นเจ้าของร้านที่เดินลงมาพร้อมร่างสูงอีกคน
“สวัดดีครับพี่แจจุง พี่ยุนโฮ”ใบหน้าเนียนมองทั้งสอง เผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจที่ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามร่างสูงข้างๆ นี่เพียงลำพัง
แจจุงเพียงพยักหน้ารับยิ้มๆ แกล้วเดินไปเช็คของที่ครัวทันที ยูโนวจึงเดินเจ้าไปหาคนทัก
“เป็นไง? บรรยากาศแปลกๆ ทะเลาะกันเหรอ?”ร่างสูงถามเสียงเบาด้วยกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน พลางพยักหน้าไปทางเยซองที่จัดโต๊ะอยู่
“เปล่าหรอกครับ แค่เมื่อเช้าปมมาที่นี่ก่อนโดยไม่รอเค้าแค่นั้นเอง ผมมาคิดดูแล้ว ที่พี่พูดมาก็ถูก ผมทนดูเค้าอยู่กับคนอื่นไม่ไหวแล้ว ผมจะตีตัวออกห่างมาเอง ถ้าผมมีความสำคัญกับเค้าบ้าง เค้าคงหันมาสนใจความรู้สึกของผมมากกว่านี้”รยอวุคพูดเสียงเบาพลางเหลือบไปมองเยซองที่มองมาที่ทั้งสองเช่นกัน ดวงตาเรียวหมองลงทันทีแล้วสูดหายใจเข้าลึก เหมือนจะพยายามไม่ให้เสียงสั่นและน้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาตอนนี้ แล้วพูดต่อ
“ถ้าเค้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผมจะได้ทำใจและถึงเวลาที่ต้องจากเค้าไปสักที มันเป็นวิธีเรียกร้องความสนใจครั้งสุดท้ายของผม”ร่างบางพูดต่อเสียงเศร้า ก้มหน้าแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จนคนฟังอดที่จะเอื้อมไปบีบไหล่บางนั้นอย่างให้กำลังใจ
“สู้เค้า รยอวุค อย่าลืมว่าพี่และทุกคนคอยเชียร์นายอยู่ อย่าเพิ่งท้อแท้สิ”ยูโนวพูดพลางยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย รยอวุคเงยหน้ามองร่างสูงรอยยิ้มและคำพูดนั้นเป็นเหมือนพลังที่ช่วยให้เค้าเข้มแข็งขึ้น ร่างเล็กพยักหน้าตอบดวงตาฉายแววมุ่งมั่น
ต่อจากนี้....เค้าจะไม่ยอมเจ็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่คนเดียวอีกแล้ว...เค้ายังมีพี่ชายอย่างยูโนวอยู่ เค้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เค้าเจ็บ แม้มันอาจจะรุนแรงจนเค้าแทบขาดใจก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าเจ็บช้ำเรื่องเดิมๆทุกวี่วัน
“ยูโนวไปซื้อของได้แล้ว”แจจุงพูดขึ้น เมื่อเดินออกมาจากครัวพร้อมกระดาษโน้ตในมือ
ยูโนวหันไปพยักหน้ากับรยอวุคอีกครั้งแล้วเดินตามเจ้าของร้านคนสวยไป
แจจุงและยูโนวขับรถมาถึงตลาดในเวลาไม่นาน พอลงจากรถก็พบร่างสูงของดองวุคยืนพิงรถเก๋งคนหรูมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว...บังเอิญจังเลยสนะ พี่ก็ว่าจะมาซื้อของเหมือนกัน เดี๋ญวพี่ช่วยแจจุงถือของนะ”ดองวุคเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเสนอตัวทันที
“อย่าดีกว่าครับ ผมเกรงใจ อีกอย่างผมก็มียูโนวช่วยถือแล้ว ไม่รบกวนพี่ดีกว่า”แจจุงตอบกลับลางยิ้มหวาน
“ใช่...คุณแจจุงมีผมอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้คนอื่นมายุ่งอีก”ยูโนวพูดสำทับอย่างแฝงความหมาย พร้อมกับส่งสายตายียวนข้ามหัวร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปให้ร่างสูงอีกคนที่เหมือนเป็นศัตรูหัวใจ
ดองวุคมองยูโนวอย่างเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายส่งมา ประกาศตัวเป็นศัตรูเต็มที่เลยนี่ แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ส่งสายตาแข็งกร้าวกลับไปไม่แพ้กัน ทั้งคู่ส่งสายตาที่ต่างจะแผดเผาฝ่ายตรงข้ามใส่กันราบกับประกาศทำสงคราม
แจจุงเงยหน้ามองทั้งสองคนที่เอาแต่มองหน้ากันไม่พูดไม่จาอย่างแปลกใจ พอทั้งคู่รู้ตัวก็รีบปรับสายตาให้เป็นปกติแล้วยิ้มให้กันทันที
“รบกง...รบกวนอะไรกัน พี่อยากช่วย ไป...เราไปซื้อของกันดีกว่า”ดองวุคหันมาพูดกับแจจุงพลางยิ้ม จับแขนร่างบางให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านจากร่างบาง
ยูโนวมองอย่างไม่พอใจ จะเดินเข้าไปแทรก ดองวุคก็รีบหันไปกระซิบทันที “เป็นคนใช้ก็ต้องเดินตามหลังสิ จะมาเดินข้างเจ้านายได้ยังไง?”แล้วพาแจจุงที่มองทั้งสองคนอย่างงุนงงไม่รู้เรื่องศึกชิงแจที่เกิดขึ้น เดินตามดองวุคไป
“ถึงยังไงเรื่องนี้ชั้นก็เป็นพระเอกฟะ ไอ้หน้าจืด (ต้องขอโทษแฟนคลับเซเว่นด้วย มันเป็นไปตามบทเน้อ)”ยูโนวพูดอย่างหงุดหงิด เดินตามสองคนที่เดินประคองกันไปตรงหน้าอย่างไม่พอใจ
ทั้งสามเดินมาจนถึงในตลาด ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าหรือผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของต่างหันมามองชายหนุ่มทั้งสามอย่างสนใจ ราวกับมีดารามาเดินก็ไม่ปาน
“แจจุง น่าอิจฉาจังน้า ควงหนุ่มหล่อมาซื้อของตั้งสองคน ดูคนเค้าอิจฉากันทั้งตลาดแล้ว”แม่ค้าขายผักเจ้าประจำเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับหลิ่วตาให้
“เจ้ ทำไมพูดอย่างกับผมเป็นผู้หญิงไปได้ ถ้าให้ถูกต้องบอกว่ามีหนุ่มหล่อสามคนมาเดินตลาดเลยเป็นที่สนใจของสาวๆ ทั้งตลาดต่างหาก ถึงจะถูก”แจจุงเถียงกลับไปอย่างเอาเรื่อง ใบหน้าหวานแดงเรื่อไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรืออายกันแน่?
ทำไมทุกคนต้องทำตัวเหมือนเค้าเป็นผู้หญิงอยู่เรื่อย
“โธ่...คุณ พูดไปได้ อย่างคุณนี่เค้าไม่เรียกหนุ่มหล่อหรอก เค้าเรียกหนุ่มสวยมากกว่า”ยูโนวพูดแทรกขึ้นมาทันที แม้ค้าคนเดิมชี้หน้าชายหนุ่มพยักหน้าประมาณว่า พ่อหนุ่มคนนี้พูดถูก
“พูดมากนัก ไปซื้อของเลยไป ซื้อผักตามลิสต์นี่นะ”แจจุงหันไปว่ายูโนว ใบหน้าหวานงองุ้ม เมื่อถูกรุมเลยรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ยืนกระดาษส่งให้ชายหนุ่ม
“ซื้อผักอีกแหละ นี่ต้องซื้อหอมด้วยป่ะเนี่ย?”ยูโนวถามพลางทำหน้าเซ็งสุดฤทธิ์ แล้วกลับเป็นหน้าขยาดเมื่อนึกถึงการซื้อเมื่อครั้งก่อน
“ซี้อมาด้วยก็ได้”ร่างบางพยักหน้า นึกขำใบหน้าขยาดของร่างสูง
“หอมแดง หอมใหญ่ หรือ หอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวาดี”ร่างสูงถามพลางเอียงหน้าซ้ายขวาประกอบคำพูด
“ทะลึ่ง เอาหอมแดง ส่วนนายจะเอาหอมแก้มซ้ายหรือขวา ก็ไปซื้อกับเจ้เค้าเอง”แจจุงว่าพลางถลึงตาใส่หน้าทะเล้นของร่างสูง แล้วหันไปหาดองวุคที่ยืนมองอยู่
“ไปซื้อของทางโน้นกันเถอะครับ พี่ดองวุค”แจจุงว่าพลางชี้ไปอีกทางแล้วคว้าแขนอีกฝ่ายเดินไปทันที แต่ก็ยังไม่วายหันมาแยกเขี้ยวใส่คู่กัดอยู่ดี
“ตกลงเอาไงจ๊ะ พ่อหนุ่ม จะเอาแก้มซ้าย....หรือแก้มขวาดี”แม่ค้าวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะ เมื่อเห็นชายหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธจนหัวแทบหลุด
“เอาแค่หอมแดง.....อย่างเดียวก็พอครับ แล้วก็ผักตามโน้ตนี่”ยูโนวพูดเสียงอ่อย เดินเข้าไปเลือกซื้อของตามคำสั่งทันที
แจจุงและดองวุคเดินซื้อของกันไปได้สักพัก โทรศัพท์ของร่างสูงก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับ แล้วเหลือบมองคนข้างๆ ทันที ใบหน้าคมแสดงออกถึงความเสียดายอย่างเห็นได้ชัด พูดเพียงสองสามคำก็เก็บมือถือเข้าที่ดังเดิม
“พี่ต้องกลับก่อนนะครับ พอดีแม่พี่โทรตาม”ดองวุคว่าเสียงอ่อย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมถือเองได้ มีแค่นี้เอง”ร่างบางว่ายิ้มๆ แล้วหยิบของในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ “พี่ไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณป้ารอ”
ดองวุคมองคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจเดินจากมา แจจุงมองท่าทางของอีกฝ่ายยิ้มๆ แล้วเดินกลับมาที่รถอีกครั้งเมื่อซื้อของเสร็จ ก็พบร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนยืนรออยู่แล้ว
“แล้วไอ้หน้าจืดไปไหนแล้วล่ะ?”ยูโนวถามขึ้น เมื่อไม่เห็นศัตรูหัวใจเดินตามร่างบางมา
“อ๋อ...พอดีแม่เค้าโทรตามเลยต้องรีบกลับก่อน”แจจุงทำท่าคิดสักพักก่อนจะเข้าใจว่าร่างสูงหมายถึงใครแล้วค่อยตอบ พลางเอาของในมือไปวางไว้ในรถ
“ที่แท้ก็ลูกแหง่ติดแม่นี่เอง”ยูโนวพูดลอยๆ พลางพยักหน้าหงึกหงัก ร่างบางหันมามองคนพูดตาดุ
“ทำไมต้องไปว่าพี่เค้าอย่างนั้น เค้ายังไม่ได้ทำอะไรให้นายเลยนะ”
“เรื่องอย่างนี้ แค่เห็นแวบแรก็รู้แล้วว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต เหมือนไทยกับพม่าที่รบกันไม่มีจบสิ้น พวกเราข้าศึกตีเมืองท่าด่านแล้ว”ร่างสูงพูดอย่างห้าวหาญ ชูมือขึ้นประกอบ
“เหมือนชั้นกับนายใช่ไหม?”แจจุงถามพลางมองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง
“อย่างคุณกับผมน่ะ เค้าเรียกว่าคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เหมือนโกโบริกับอังสุมาริน หรือขวัญกับเรียมอะไรอย่างนั้น”ร่างสูงว่าพลางหลิ่วตาให้อย่างเจ้าเล่ห์
“บ้าสิ....กลับไปที่ร้านได้แล้ว”เจออย่างนั้นเข้าเล่นคนสวยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ว่าอีกฝ่ายหน้าแดง เดินหนีขึ้นรถไป ยูโนวมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู แล้วตามขึ้นรถไปอีกคน
ณ คฤหาสตระกูลชอง
ภายในห้องทำงานตรงชั้นสอง ร่างสูงของยูชอนกำลังนั่งทำงานอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารมากมายก่ายกอง
ประตูเพียงบานเดียวของห้องถูกเปิดขึ้นหลังจากมีเสียงเคาะเบาๆ สองสามครั้งดังเข้ามา ตามด้วยร่างเล็กของคุณหนูเล็กเจ้าของคฤหาส ในมือถือถาดที่มีกาขนาดเล็กลวดลายน่ารัก แล้วแก้วชาเข้าชุด
ประตูเพียงบานเดียวของห้องถูกเปิดขึ้นหลังจากมีเสียงเคาะเบาๆ สองสามครั้งดังเข้ามา ตามด้วยร่างเล็กของคุณหนูเล็กเจ้าของคฤหาส ในมือถือถาดที่มีกาขนาดเล็กลวดลายน่ารัก แล้วแก้วชาเข้าชุด
ใบหน้าเนียนยิ้มให้กับร่างสูงพลางหันไปปิดประตูแผ่วเบา แล้วเดินเข้าไปหายูชอนที่มองอยู่ตั้งแต่เค้าเดินเข้ามา
“งานเยอะมากเลยเหรอ? ชั้นเห็นนายไม่ได้ออกจากห้องนี้ตั้งแต่เมื่อคืน”จุนซูพูดขึ้น
“นิดหน่อยน่ะ พอยุนโฮไม่อยู่หลายอย่างก็เลยแปรปรวน”ยูชอนตอบ ใบหน้าคมเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด มือหนาหยิบกระดาษที่กองเกะกะบนโต๊ะเก็บให้เรียบร้อยเพื่อให้อีกฝ่ายมีเนื้อที่พอจะวางถาดที่ยกมา
“พอดีเมื่อวานชั้นได้รู้จักเพื่อนใหม่ เค้าให้ใบชามา หอมมากเลย ชั้นเลยชงมาให้เผื่อนายจะคลายเครียดลงบ้าง”พูดยิ้มๆ มือเรียวเทชาหอมกรุ่นอย่างบรรจงส่งให้ร่างสูง
ยูชอนสูดกลิ่นหอมอ่อนจากแก้วชาในมือแล้วจิบ “หอมจริงๆ ด้วย ขอบคุณนะ”หันไปบอกคนชงยิ้มๆ จุนซูได้แต่ส่ายหน้าไปมาช้าๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“แล้วเพื่อนใหม่นั่นไปรู้จักได้ยังไง เค้าเป็นใครมาจากไหนเหรอ?”ยูชอนถาม
เรื่อยๆ เหมือนชวนคุยธรรมดา แต่จุนซูก็พอจะรู้ว่า ร่างสูงจะต้องให้คนไปตามสืบเป็นแน่ เพราะช่วงนี้พวกเค้าต้องระวังตัวจากศัตรูที่จ้องแล่นงานอยู่ การที่จะคบหากับคนแปลกหน้าในเวลานี้ย่อมไม่ดีแน่
เรื่อยๆ เหมือนชวนคุยธรรมดา แต่จุนซูก็พอจะรู้ว่า ร่างสูงจะต้องให้คนไปตามสืบเป็นแน่ เพราะช่วงนี้พวกเค้าต้องระวังตัวจากศัตรูที่จ้องแล่นงานอยู่ การที่จะคบหากับคนแปลกหน้าในเวลานี้ย่อมไม่ดีแน่
“ดงแฮเค้าพาไปน่ะ เป็นเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ในชุมชนวาย สวยมากเลยนะ สวยจนแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นผู้ชายเลยล่ะ ถึงจะดูดุสักหน่อย แต่ก็เป็นคนจริงใจดีนะ ถ้านายว่างเมื่อไหร่ชั้นจะพาไปกินอาหารฝีมือเค้า อร่อยมากเลยล่ะ”จุนซูพูดไปยิ้มไปไม่หยุด ทำให้คนฟังพลอยยิ้มตามไปด้วย
“ดูท่าทางนายจะถูกใจเพื่อนใหม่คนนี้นะ”
“ไม่รู้สิ ชั้นรู้สึกถูกชะตากับเค้ามาก เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงเราสองคนอยู่”ร่างเล็กพูดแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง มองลงไปยังเบื้องล่างที่เป็นสวนสไตล์ยุโรปถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม แต่ที่สะดุดนัยน์ตาเรียวให้มองตามอย่างสนใจ เห็นจะเป็นร่างสูงของบอร์ดี้การ์ดคู่ใจกับร่างเล็กของเพื่อนรัก ที่ฝ่ายแรกเอาแต่เดินหนี ในขณะที่ฝ่ายหลังก็เดินตามอย่างไม่ลดละ
“นี่...นายยังไม่หายโกรธชั้นอีกเหรอ?”ดงแฮถามพลางวิ่งไปดักหน้าร่างสูงที่กำลังเดินหนี
“ผมเปล่าโกรธครับ”คิบอมพูดเรียบๆ เดินผ่านร่างเล็กของคนตรงหน้าไปราวกับมองไม่เห็น
“เดินหนีชั้นอย่างนี้น่ะนะ ไม่ได้โกรธ”ดงแฮตะโกนไล่หลังร่างสูงที่เดินไกลออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”ดงแฮพูด ใบหน้าหวานครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ยิ้มกว้างดีดนิ้วขึ้นมาดังเป๊าะอย่างนึกแผนเด็ดได้
“ชั้นบอกให้หยุดไง โอ๊ะ...โอ๊ย!”ตะโกนอีกครั้ง แล้วแกล้งร้องโวยวายลงนอนกับพื้นหญ้าราวกับเพิ่งสะดุดล้ม
คิบอมที่ได้ยินเสียงร้องก็หันมามองร่างบางที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างตกใจ รีบวิ่งกลับไปหาคน (แกล้ง) เจ็บทันที
“ชั้นเจ็บขา สงสัยขาแพลงแน่เลย”ดงแฮพูดพลางจับข้อเท้าตัวเอง ทำหน้าราวกับเจ็บเสียเต็มประดา จนน่าจะได้รางวัลตุ๊กตาทองเสียจริง
คิบอมรีบดูตามทันทีมือหนาจับข้อเท้าเล็กนั้นแผ่วเบาราวกับกลัวจะทำให้เจ็บมากขึ้น ใบหน้าและดวงตาฉายแววห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“อุ้มชั้นไปนั่งที่โต๊ะหน่อยสิ ชั้นเดินไม่ไหว”คนเจ็บพูดอ้อน คิบอมมองคนพูดพลางถอนใจ แต่ก็ยอมอุ้มอีกฝ่ายไปนั่งโต๊ะใกล้ๆนั้นโดยดี
ดงแฮเหลือบมองใบหน้าคมนั้นเผลอยิ้มไม่หยุด คนอะไรเชื่อคนง่ายจังแหะ จนหลุดหัวเราะออกมา คิบอมที่เห็นใบหน้าทะเล้นนั้นก็รู้ตัวทันทีว่า ถูกหลอก
“นี่คุณ หลอกผมเหรอ?”ถามพลางลุกขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างโมโห
“ก็นายชอบเดินหนี ชั้นง้อนายจนเหนื่อยแล้ว เลยต้องใช้วิธีนี้”ดงแฮพูดทำหน้าตาบ๊องแบ๊วราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรผิด คว้ามืออีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่าคิบอมทำท่าจะเดินหนีอีก
“อย่างเพิ่งโกรธสิ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าทำอะไรให้นายโกรธ แต่นี่ชั้นก็ง้อนายมานานแล้วนะ น่าจะดีกันได้แล้ว”พูดพลางมองร่างสูงอย่างอ้อนวอนไม่แพ้น้ำเสียง
คิบอมเห็นอย่างนั้นก็ถอนใจ ยอมกลับไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย สุดท้ายเค้าก็ต้องยอมคนๆ นี้ พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มใจอ่อน ดงแฮก็ยิ้มหวานอย่างดีใจ ดวงตาเรียวเหลือบมองขึ้นไปบนชั้นสองเห็นเพื่อนรักมองลงมาที่หน้าต่างก็ยิ้มให้พลางโบกมือ
“นายรู้มั้ย? ว่าทำไมคุณยูชอนถึงทำตัวห่างเหินกับจุนซูจัง”
คิบอมเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องซะงั้น
อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องซะงั้น
“คุณยูชอนคงคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคุณจุนซูที่เป็นลูกของผู้มีพระคุณ”คิบอมตอบอย่างคนที่พอจะรู้เรื่อง
“นายอย่าทำตัวอย่างนั้นนะ”ดงแฮพูดทำหน้าดุใส่ แต่สำหรับคนมองคิดว่ามันน่ารักซะมากกว่า
“เอ๋?”
“นายอย่าคิดดูถูกตัวเองอย่างนั้น นายเองก็มีดีไม่แพ้คนอื่น การที่นายดูถูกตัวเองก็เหมือนกับนายดูถูกคนที่รักนาย คุณยูชอนก็เหมือนกัน เค้าเองก็มีดีกว่าใครหลายๆคนที่ชั้นรู้จัก เสียแต่ที่เจ้าตัวชอบดูถูกตัวเอง นั่นก็เท่ากับเค้าดูถูกจุนซูที่รักเค้าน่ะแหละ สุดท้ายก็ต้องมานั่งเจ็บทั้งสองฝ่าย”ดงแฮพูดใบหน้าเนียนดูเศร้าลงเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก
“ชั้นไม่อยากเป็นอย่างจุนซูหรอกนะ”พูดปิดท้ายพลางยิ้มให้อีกฝ่าย คิบอมได้ยินอย่างนั้นก็มองดวงตาเรียวของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
คุณต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่?
จุนซูที่ยืนมองทั้งคู่อยู่นานถึงกับอมยิ้มกับท่าทางงอนง้อของทั้งคู่ ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูเอาแต่ใจอย่างดงแฮจะแพ้ให้กับบอร์ดี้การ์ดแสนทื่ออย่างคิบอม
“มองอะไรอยู่น่ะ?”ยูชอนเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารเห็นร่างบางยืนยิ้มอยู่คนเดียวถามขึ้น
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”จุนซูปฏิเสธยิ้มๆ พลางเดินออกจากหน้าต่างมาหาร่างสูงที่โต๊ะทำงาน มองเอกสารบนโต๊ะอย่างช่างใจ สุดท้างก็ตัดสินใจพูดออกไป
“งานพวกนี้เหลืออีกเยอะมั้ย?”
“ก็นิดหน่อยน่ะ มีอะไรเหรอ?”ยูชอนตอบ ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือ
“ชั้นอยากไปดูหนัง พาชั้นไปดูหนังหน่อยสิ”พูดเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่คนฟังถึงกับเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ
ปกติจุนซูไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเค้า ออกแนวจะเงียบๆ เรียบร้อยซะด้วยซ้ำ นี่ไปกินยาอะไรผิดมากันเนี่ย? ถึงได้ลุกขึ้นมาอ้อนเค้าอย่างนี้
“ทำไมไม่ไปกับคิบอมล่ะ?”ในที่สุดยูชอนก็เอ่ยปากออกมาหลังจากอึ้งอยู่นาน
“ก็ชั้นอยากไปกับนายนี่ งานพวกนี้ช้านิดช้าหน่อยที่พรรคคงไม่ว่าอะไรหรอก นายเองก็ยังไม่ได้พักเลย ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว ดีทั้งสองฝ่าย น้า....ไปดูหนังกันเถอะ”ร่างบางพูดอ้อน หยิบกระดาษในมืออีกฝ่ายไปเก็บพลางดึงตัวร่างสูงขึ้นมาอย่างออดอ้อน ยูชอนได้แต่ลุกตามอย่างงุนงง
แม้จะเคอะเขินอยู่บ้างเพราะไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ แต่เสียงของแจจุงที่ดังอยู่ในหัว
“ผมว่าถ้าเค้าทำตัวน่าเบื่ออย่างนั้น คุณก็อย่านิ่งสิ ยิ่งคุณนิ่งเค้าก็จะยิ่งทำตัวงี่เง่าเข้าไปอีก คุณต้องรุก แสดงให้เค้าเห็นว่าเรื่องฐานะบ้าบอนั่นมันไม่สำคัญ ถ้าเค้ามีใจให้คุณจริง ยังไงก็อดใจไม่ไหวหรอก เชื่อชั้นสิ”
ทำให้จุนซูตัดสินใจทำอย่างนั้นลงไป
ยูชอนเหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งบิดมือไปมาอย่างแปลกใจ ใบหน้าขาวเดี๋ยวก็แดงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เดี๋ยวก็กลับเป็นปกติ สักพักก็กลับไปแกงขึ้นอีก เหมือนเจ้าตัวนึกเรื่องอะไรแล้วเขินอยู่คนเดียว ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถอย่างเงียบเชียบไม่พูดอะไร ได้แต่มองตากันแล้วเขินอย่างแปลกประหลาดกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอะเจอ
“แล้วนายคิดรึยังว่าจะไปดูหนังเรื่องอะไร?”ยูชอนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ จุนซูเงยหน้าขึ้นมามองพลางส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วกลับไปก้มหน้ามองมือตัวเองอีกครั้งอย่างทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็ต้องกลับไปเงียบตามเดิม
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง แล้วพากันมาจนถึงหน้าลิฟท์เพื่อจะขึ้นไปชั้นบนสุดที่เป็นชั้นโรงหนัง พอลิฟท์เปิดขึ้นก็พบกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังกอดจูบกันอย่างเมามันภายในลิฟท์ แม้จะตกใจแต่ยูชอนก็จูงมือจุนซูเดินเข้าไป
ชายหนุ่มยังคงจูบหญิงสาวต่อไป ไม่สนใจสายตาสองคู่ที่มองมาอย่างเคอะเขิน แม้ว่าหญิงสาวจะเริ่มอายและพยายามฝืนตัวออกมา
“อายเค้าน่ะ หยุดเถอะ”เธอพูดอย่างแผ่วเบาพลางเหลือบมองทั้งคู่
“อย่าสนใจเลย เห็นๆ อยู่ว่าคนเค้าอยากอยู่ตามลำพัง ยังเข้ามาสอดอีก อย่างนี้ต้องโชว์สักหน่อย”พูดอย่างหื่นๆ แล้วลูบคลำแฟนสาวเยาะเย้ยทั้งคู่ จนจุนซูเริ่มทนไม่ได้ หลบไปยืนข้างหลังยูชอนพยายามไม่มองคนทั้งคู่ ใบหน้าเนียนแดงเรื่อไปหมด
ยูชอนกระแอมสองสามที อย่างตั้งสติ ใบหน้าคมยังคงเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร ยืนบังคนตัวเล็กที่อายจนแทบจะแทรกลิฟท์หนีไว้ไม่ให้เห็นคนทั้งคู่
กล่องสี่เหลี่ยมเลื่อนขึ้นมาสองชั้น สองหนุ่มสาวก็พากันเดินออกไป ฝ่ายชายยังไม่วายหันมามองยูชอนอย่างเยาะเย้ยก่อนจะเดินออกไป ประตูลิฟท์ปิดลงอีกครั้ง พอเหลือกันเพียงแค่สองคน จุนซูถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก ยูชอนหันมามองอีกฝ่ายที่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างห่วงใย ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร
ประตูลิฟท์ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผู้คนนับสิบกรูกันเข้ามาจนยูชอนเซเข้าไปหาจุนซูที่ยืนอยู่ข้างหลังและถอยจนชิดกำแพงดีที่แขนของร่างสูงหันมายันกับกำแพงไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ทับคนตัวเล็กจนแบนแน่ แม้จะพยายามกันตัวเองให้จุนซูได้มีเนื้อที่ยืน แต่แรงของคนที่ดันเข้ามาก็มีมากจนแทบฝืนไม่ไหวได้แต่ยืนกันไว้อย่างนั้น
จมูกของร่างสูงคลอเคลียอยู่ที่หน้าผากคนตัวเล็ก ซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บซ่อนความอาย ระบายลมหายใจออกมาแทนความอึดอัดที่มีอยู่ แต่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่า ลมหายใจร้อนๆ ของตนที่เป่ารดอยู่ตรงซอกคอร่างสูง จะก่อความรู้สึกวาบหวามอย่างประหลาดให้ร่างสูง
ในที่สุดทั้งคู่ก็ออกมาจากตู้ลิฟท์มหาภัยจนได้ ยูชอนพาคนตัวเล็กเดินไปที่โรงหนังทันที ทั้งคู่ยืนดูโปรแกรมอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกที่จะดูหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่ง
พอเข้าไปในโรงหนังที่เริ่มฉายไปได้ไม่นาน ผู้คนภายในโรงมีอยู่เพียงน้อยนิด อาจเป็นเพราะเป็นหนังที่ไม่ค่อยดังและฉายมานานแล้วจึงคนนั่งอยู่เบาบาง ทั้งคู่เลือกที่นั่งของตาแล้วดูภาพเคลื่อนไหวจากจอสี่เหลี่ยมอันใหญ่ตรงหน้า
จุนซูดูหนังไปกินป๊อปคอร์นที่ชื้อมาไปอย่างเพลิดเพลิน แต่อีกคนไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังน่าเบื่อ หรือทำงานมาหนักจนไม่ได้หลับได้นอน จึงเผลอหลับไป ตั้งแต่หนังยังฉายไม่ถึงครึ่งเรื่อง
ศีรษะได้รูปเอนไปมาเมื่อเจ้าของเริ่มไม่ได้สติ สุดท้ายก็ตกลงมาที่ไหล่บางของคนข้างๆ จุนซูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อศีรษะของอีกฝ่ายซบลงมา วางป๊อปคอร์นในมือลงทันที ดวงตาเรียวเหลือบมองใบหน้ายามหลับสนิทนั้น ท่ามกลางแสงจากจอภาพที่ส่องมากระทบให้เห็นเพียงรำไร มือเรียวประคับประคองใบหน้านั้นขึ้นมามองให้เห็นเต็มตาอีกครั้ง เรียวปากบางเผลอยิ้มออกมากับภาพตรงหน้า
ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงและเสียงจากจอภาพยนตร์ ใบหน้าหวานเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้ายามหลับของอีกคนอย่างหลงใหล ริมฝีปากบางสัมผัสริมฝีปากหนาของร่างสูงอย่างแนบชิดและแผ่วเบา แต่ย้ำลึกเข้าไปถึงจิตใจ สัมผัสอ่อนนุ่มและอ่อนโยนที่เจ้าตัวจะไม่มีวันลืมเลือน แม้ว่าอีกคนจะไม่ได้รับรู้ด้วยก็ตาม
จุนซูกลับมานั่งมองจอภาพยนตร์อีกครั้ง หลังจัดศีรษะอีกคนให้ซบไหล่ตนดังเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใจกลับเต้นแรงเร็วไม่เป็นจังหวะ ดีที่ความมืดช่วยกลบเกลื่อนใบหน้าที่แดงซ่านไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่จุนซูไม่รู้เลยว่า หัวใจของอีกคนก็เต้นแรงไม่แพ้กัน
---- ------- ----- ---- ------- ---- ------- --- ----- ----- --- ---- ------- --------
มาอัฟให้แล้วน้า...............................ยูซู และ คิเฮ ตามคำขอ
หวังว่าคงถูกใจ..........................
ตอนต่อไป...ใครที่ติดตามคู่ฮันซินมีมานำเหนอ และเราจะแง้มๆ คู่วอนด้วย ว่าสุดท้ายพ่อหนุ่มที่เต็มไปด้วยความแค้นจะคู่ใครและ ปิดท้ายด้วยเบื้องหลังความแค้นของซีวอน
ทำไมซีวอนถึงได้แค้นยุนโฮนัก
ติดตามได้ในตอนหน้าน้า........................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น