ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะดุดรักนายมาเฟีย [Fic TVXQ+SUJU]

    ลำดับตอนที่ #4 : ผู้บุกรุก

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.พ. 52




    ตอนที่ 4 
    ผู้บุกรุก
     
    ระหว่างที่ยูโนวขี่มอร์ไซด์โดยมีชางมินซ้อนท้ายอยู่เพื่อนเดินทางกลับบ้านอยู่นั้น ร่างสูงที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้าไม่ยอมพูดอะไรออกมา ชางมินเห็นอย่างนั้นก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้

    “มีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่า? พี่ยูโนว”ชางมินถามพลางชะเง้อมองหน้าอีกฝ่าย

    “คุณรู้จัก คนชื่อดองวุคมั้ย?”สุดท้ายร่างสูงก็ยอมเปิดปากถามออกมา

    “อ้อ.....”ลากเสียงยาวพลางพยักหน้า “พี่ดองวุคคงมาที่ร้านน่ะสิ”พูดขึ้นอย่างพอจะเดาเหตุการณ์ได้ ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้ารับ ชางมินมองใบหน้าคมนั้นแล้วยิ้ม

    “พี่ดองวุคน่ะนะ   เป็นลูกชายเจ้าของตึกแถวนี้ ตามจีบพี่แจจุงมานานแล้ว แต่พี่เค้าคงไม่เล่นด้วยหรอก”

    “พูดเหมือนรยอวุคเลย”ยูโนวว่าพลางเบ้ปากอย่างไม่ค่อยเชื่อ แม้จะหันไปข้างหน้าแต่ชางมินก็ยังเห็นท่าทางนั้นผ่านกระจกอยู่ดี

    “ทำไม? ไม่เชื่อผมเหรอ?”

    “เปล๊า...”ปฏิเสธเสียงสูงพยายามไม่สนใจสายตาเหมือนรู้ทันของหนุ่มน้อย “ก็แค่คิดว่า ท่าทางที่คุยกันไม่เห็นเหมือน คนไม่เล่นด้วยสักเท่าไหร่ ถ้าไม่คิดจะรักเค้าไม่เห็นต้องไปทำท่าอ่อนหวานหยดย้อยอย่างนั้น”

    ชางมินมองคนพูดแล้วยิ้ม “มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย พี่แจจุงน่ะ....เห็นอย่างนั้น เหมือนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แต่ที่จริงน่ะอ่อนไหวมากนะ แต่เค้าก็ต้องเข้มแข็งเพื่อดูแลน้องที่อ่อนแออย่างผม สู้ชีวิต ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ผมมีความสุข เลยดูเหมือนแข็งกร้าว เอาแต่ใจ และติดจะเจ้าเล่ห์ไปนิด ก็เพื่อความอยู่รอดนี่แหละ”พูดยาวเหยียดเหลือบมองคนขับที่ทำเหมือนไม่สนใจ แต่หนุ่มน้อยก็รู้ว่าหูอีกฝ่ายกระดิกไม่หยุด  จึงพูดต่อไป


    “ผมรู้ว่าจริงๆ แล้ว พี่ต้องการใครสักคนที่เป็นที่พึ่งของพี่ได้ ให้พี่ได้พักพิง แล้วคนๆ นั้นก็ไม่ใช่พี่ดองวุค เพราะถ้าใช่พี่เค้าคงลงเอยกันไปนานแล้ว ไม่รอจนถึงป่านนี้หรอก”หนุ่มน้อยพูดลอยๆ แต่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าคมผ่านกระจกที่แม้จะเหมือนนิ่ง แต่แววตาและริมฝีปากกลับเผลอยิ้มออกมา ทำให้ชางมินอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

    ผมหวังว่าคนๆ นั้นจะเป็นพี่นะ แม้เราจะเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่ถึงวัน แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่จะต้องปกป้องดูแลพี่แจจุงได้ พี่คงจะสามารถทลายกำแพงที่พี่แจจุงสร้างไว้ และเข้าไปในหัวใจของพี่เค้าได้แน่



     
    ตกค่ำ 


    เยซองและรยอวุคก็ลากลับเมื่อช่วยกันเก็บร้านเสร็จแล้ว ทั้งคู่เดินเคียงกันมาจนถึงปากซอย ก็พบร่างเพรียวบางของหญิงสาวคนนึงยืนรออยู่ พอเธอคนนั้นหันมาเห็นทั้งคู่ก็รีบเดินเจ้ามาหาอย่างดีใจ


    “รอตั้งนานแหนะ ต้องชดใช้ด้วยการเลี้ยงเค้าด้วย”หญิงสาวเอ่ยเสียงอ้อนพลางยิ้ม คว้าแขนเยซองไปกอดไว้ แขนแกร่งเสียดสีกับอกนุ่มนั้นอย่างตั้งใจ แล้วหันมาพยักหน้าทักทายรยอวุคนิดหนึ่งก่อนที่จะเข้าไปซบไหล่ของคนที่เกาะอยู่ ไม่ได้เกรงใจสายตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน


    “จ้า....ขอโทษที่ให้รอ พอดีต้องเก็บร้านก่อน เดี๋ยวจะให้ชดใช้ยังไง ผมยอมให้ทุกอย่างเลย”เยซองตอบเสียงหวานไม่แพ้กัน รยอวุคมองทั้งสองด้วยสายตาที่ปวดร้าว แม้จะพยายามปรับให้เป็นปกติแล้วก็ตาม


    ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวของเยซอง ชายหนุ่มมักจะควงสาวไม่ซ้ำหน้า จนแทบจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร และเค้าก็ไม่คิดที่จะจำ จำทำไมให้เจ็บ........


    “งั้นชั้นกลับก่อนนะ”บอกกับทั้งคู่ที่เริ่มสร้างโลกส่วนตัวกันแล้ว เดินแยกออกมาโดยไม่ฟังเสียงเรียกของอีกฝ่าย พยายาม....พยายามที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาต่อหน้าพวกเค้า.....พยายามที่จะไม่ร้องไห้ให้พวกเค้าเห็น ถึงอย่างนั้นน้ำตาก็ยังรื้นขึ้นมาไม่หยุด

    รยอวุคเดินกลับมาถึงห้องพัก ร่างบางทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง หยาดน้ำตาหลั่งไหลลงสู่หมอนที่เจ้าตัวใช้เป็นที่ซับน้ำตามาเกือบทุกคืน

    เค้าหลงรักเยซองมานานแล้ว   นาน....แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่? ตัวเค้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนนี้เค้าต้องมาทนดูคนที่ตัวเองรัก ควงคนโน้นทีควงคนนั้นที ทั้งที่ตัวเองเป็นได้เพียงเพื่อนสนิท คอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน ว่า 

    “เพื่อน” จำไว้เค้าให้เราได้แค่นี้ อย่าอิจฉาคนพวกนั้น ในเมื่อเราไปไม่ถึง....ควรอยู่ที่ที่เป็นของตัวเอง ทำใจให้ได้ ควรพอใจแล้วที่ได้ยืนอยู่ข้างๆเค้าตอนนี้ ได้คุยกันได้พบกับเค้าทุกวัน ไม่ใช่เหรอ....รยอวุค


    คิดอย่างเจ็บปวดร้องไห้สะอึกสะอื้นไร้คนคอยปลอบใจ จะต้องทนเจ็บอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร แต่แล้วด้วยความเพลียจากการร้องไห้อย่างหนัก ร่างบางก็ผล็อยหลับไป




     
    วันรุ่งขึ้น

    ยูโนวตื่นขึ้นมาแต่เช้าโดยที่ไม่ต้องมีคนมาปลุกเช่นเมื่อวานอีก แจจุงเห็นร่างสูงเดินลงมาก็เดินเข้าไปลูบหัวอีกฝ่ายพลางยิ้มหวานให้ เหมือนคุณครูที่เห็นนักเรียนปฏิบัติตัวดี

    “ตื่นเองอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย   นึกว่าจะให้ชั้นต้องไปปลุกแบบเมื่อวานอีก ไม่งั้น....ไม่เหลือแน่”พูดจบจากรอยยิ้มหวานก็เริ่มเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ประกอบคำพูด 

    ร่างสูงได้ยินอย่างนั้นก็รีบเอามือกุมเป้าเดินหนีไปหาพวกชางมินทันที แจจุงมองท่าทางนั้นแล้วหัวเราะชอบใจ

    “เอ้า....ยูโนว นายเอานี่ไปส่งให้หมอฮันหน่อยนะ”แจจุงสั่งแล้วส่งปิ่นโตให้ร่างสูงซึ่งก็รับไปโดยดี

    “ให้ผมไปส่งให้มั้ยครับ? พี่ยูโนวจะได้อยู่ช่วยพี่ที่ร้าน”ชางมินที่หยุดเรียนในวันนี้อาสาขึ้น แต่คนสวยส่ายหน้าทันที

    “นายอยู่ช่วยพี่อย่างนี้ดีกว่า พี่ไม่อยากให้นายขี่มอร์ไซด์”คนสวยว่าซึ่งก็ไม่มีใครกล้าขัด ยูโนวจึงหันไปสตาร์ทรถทันทีเมื่อมติเห็นชอบว่าควรเป็นอย่างนั้น

    พอลับร่างของยูโนว ร่างบางอีกคนก็เข้ามาทันที พร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่ ใบหน้าหวานที่ดูใจดีบวกกับลักยิ้มที่แก้ม ส่งผลให้ใบหน้านั้นน่ารักยิ่งขึ้น จนคนแถบนั้นให้ฉายาว่า “นางฟ้า”

    “แจจุง พี่เอาดอกไม้มาให้ ดูสิพี่ไม่ได้แวะมาไม่กี่วัน ร้านดูหงอยเหงาชอบกล”แขกผู้มาใหม่กล่าวด้วยรอยยิ้มและเดินไปจัดดอกไม้ใส่แจกัน วางบนโต๊ะและตามกำแพงอย่างสวยงาม

    “พี่ลีทึกล่ะก็ ไม่น่าเอาดอกไม้ที่ร้านมาให้เลย เสียรายได้หมด”แจจุงว่าอีกฝ่ายที่รักใคร่กันเหมือนพี่น้อง แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่สนใจ ยังคงจัดดอกไม้ต่อไป

    “แหม.....แค่นี้ไม่ทำให้ร้านพี่เจ๊งหรอก ก็พี่อยากช่วย พี่ทำได้แค่นี้แหละ ไม่แน่ดอกไม้ของพี่อาจจะทำให้คนเข้ามาเยอะก็ได้ อยากคิดมากเลย คิดเสียว่าพี่ทำก็เพื่อความสบายใจของพี่เอง”ลีทึกว่าอย่างดื้อรั้น

    “คร๊าบ.....เอางั้นก็ได้”แจจุงลางเสียงยาวพลางยิ้ม เดินเข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

    “ขอบคุณมากนะครับ”ขอบคุณอีกครั้งพลางยิ้มหวาน 

    ลีทึกมองคนที่รักเหมือนน้องเหมือนนุ่งอย่างหมั่นเขี้ยว หยิกแก้มเนียนเบาๆพลางยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วเดินไปหาชางมินที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

    “เป็นไงบ้าง หน้าตาดูสดใสขึ้นนะเรา”ลีทึกทัก ชางมินก็โผเข้ากอดทันที เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับเซเมื่อไม่ทันได้ตั้งตัว 

    เยซองและรยอวุคมองภาพตรงหน้าพลางยิ้ม

    ภาพแบบนี่มีให้เห็นจนชินตา แต่ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้งก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
    แต่แล้วรอยยิ้มก็มีอยู่ได้ไม่นาน เมื่อคนกลุ่มนึงบุกเข้ามา ไปพูดพล่ามทำเพลง วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า ทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง

    “พวกแกบังอาจ ดื้อแพ่งไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองใช่มั้ย? มันต้องโดนอย่างนี้ ที่อยากลองดี นี่แค่เตือนเท่านั้น”ชายคนนึงตะโกนขึ้นเสียงดัง กวาดตามองทุกคนอย่างลำพอง

    มีหรือที่คนในร้านจะยืนนิ่งดูเฉยๆ

    เยซองกับรยอวุคพุ่งเจ้าใส่ผู้บุกรุกทันที เช่นเดียวกับแจจุง ลีทึก และชางมินที่พยายามคว้าของที่อยู่ใกล้มือ ทั้งตีและเขวี้ยงปาใส่ฝ่ายบุกรุกสุดแรงเกิด แต่มีหรือที่คนเพียงห้าคนจะสู้คนนับสิบคนได้ แถมคนที่บุกรุกยังมีชั้นเชิงการต่อสู้ที่ดีกว่า น้ำน้อยก็ย่อยแพ้ไฟ 

    ไม่นานเยซองก็ถูกล็อกตัวไว้จนได้ ที่เหลือรีบรุมร่างสูงทันที ทั้งชกทั้งต่อย จนเลือดกบปาก  รยอวุคที่เห็นอย่างนั้นก็เข้ามาช่วย แต่เรี่ยวแรงที่ไม่ได้มีมากอะไรนัก ทำอะไรอีกฝ่ายแทบไม่ได้เลย สุดท้ายเข่าของใครที่ร่างเล็กก็ไม่อาจรู้ได้ เตะเข้าที่ท้องอย่างจัง จนถึงกับจุกจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เจ็บจนแทบร้องไม่ออก

    แจจุงที่ไม่รู้ว่าไปคว้ามีดมาจากไหน กวัดแกว่งอาวุธในมือจนคนที่เข้ามาทำร้ายแตกฮือออกเป็นวงกว้าง ส่วนลีทึกที่มีไม้หน้าสามเป็นอาวุธ   (ไปเอามาจากไหนกันเนีย?:คนเขียน) หลับหูหลับตาฟาดลงบนตัวฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง มีเพียงชางมินที่สู้รบปรบมือด้วยมือเปล่า ด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่กี่นาทีอาการเหนื่อยหอมก็แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด สายตาก็เริ่มพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นศัตรูซึ่งได้ทีชกหน้าร่างบางเข้าอย่างจัง จนล้มลงไปนอนกับพื้น แจจุงที่เห็นร่างของน้องชายล้มลงก็ตะโกนอย่างตกใจ


    “ชางมิน!”ตะโกนเสียงดัง จนทุกสายตาหันไปมอง ร่างบางกวาดมีดในมือไปมาราวกับคลุ้มคลั่ง คนที่รายล้อมพากับหลบมีดกันจ้าละหวั่น จนแจจุงไปถึงร่างของน้องชายได้อย่างรวดเร็ว แขนเรียวโอบอุ้มร่างที่สลบอยู่บนพื้นขึ้นมา มองใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษนั้นอย่างตกใจ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูเข้าจู่โจมได้อย่างง่ายดาย
    ขณะนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งก็เข้ามา พร้อมกับเสียงโวยวายอันดังกระหึ่ม เรียกความสนใจจากคนร้ายไปจากสองพี่น้อง


    “พวกแกบังอาจทำร้ายคุณลีทึก   เอามือแสนสกปรกของแกออกจากนางฟ้าของชั้นเดี๋ยวนี้”ตะโกนเสียงดัง พร้อมกับถีบคนร้ายจนกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว



    “ไอ้พวกนักเลงกิ๊กก๊อก บังอาจมาก่อกวนที่นี่งั้นเหรอ?”ร่างสูงยังตะโกนต่อไปอย่างเกรี้ยวกราด ชกต่อยผู้ที่ดาหน้าเข้ามาไม่ยั้ง การต่อสู้หนึ่งต่อสิบ ก็ย่อยที่จะเพลี่ยงพล้ำโดนอีกฝ่ายใช้เก้าอี้ตีหลังเข้าอย่างจัง แต่ร่างสูงก็ยังคงนิ่ง ด้วยความสามารถในการต่อสู้ที่มีชั้นเชิงสูงกว่า แม้จะมีเพียงคนเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายล้มระเนละนาดได้ไม่ยาก พอรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ ฝ่ายผู้บุกรุกก็รีบพากันออกไปทันที


    “โธ่....แค่นี้ก็หนีแหละ ไม่แน่จริงนี่หว่า จำไว้ทีหลังอย่ามายุ่งกับถิ่นของคังอิน แห่งแก๊ง TVXQ โว๊ย”ร่างสูงตะโกนไล่หลังไปอย่างสะใจ

    “ปากดีนักนะ แล้วไอ้บนหัวนี่มันอะไร”ลีทึกพูดอย่างหมั่นไส้ เอานิ้วจิ้มไปที่หัวของร่างสูงที่มีเลือดไหลซึมออกมา

    “โอ๊ย....เจ็บนะ เลือดไหลด้วยเหรอเนี่ย? เจ็บจังเลยลีทึก”ร้องโอดครวญ พลางทำตาแป๋วใส่คนสวยอย่างออดอ้อน

    ยูโนวที่เพิ่งกลับมา  มองสภาพตรงหน้าอย่างตกใจ (ช่างเป็นพระเอกที่เหมือนตำรวจหนังบู๊อะไรอย่างนี้ มาตอนจบแล้ว) ก็รีบพุ่งเจ้าไปหาคนสวยเจ้าของร้านทันที


    “คุณแจจุง มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”

    “พวกนักเลงมันมาหาเรื่องที่ร้านน่ะ ชั้นไม่ยอมให้เงินมัน มันก็เลยเข้ามาพังร้าน”แจจุงหันมาตอบ แต่ใบหน้าหวานยังคงน้องชายที่สลบอยู่ มือเรียวตบแก้มน้องชายเบาๆ


    “ชางมิน.....ชางมิน ฟื้นสิ”

    ชางมินส่ายหน้าไปมาก็ลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นมาจับปากที่ยังคงมีเลือดซึมนิด

    หน่อยอย่างเจ็บปวด

    “พี่แจจุง”เอ่ยออกมาแล้วต้องเบ้ปากเมื่อเจ็บแผล


    “ไป   เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอฮัน”แจจุงพูดพลางดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น   แต่คนเจ็บกลับขืนตัวไว้

    “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นไร แค่มืนแล้วก็เจ็บปากนิดหน่อย”ชางมินพูด

    “แต่หน้านานซีดมากนะ”ใบหน้าหวานยังไม่คลายกังวล

    “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ทายานิดหน่อยก็หาย”ชางมินพูดแล้วเดินเข้าไปเอากล่องยาในห้องครัว โดยมียูโนวเดินตามไปติดๆ แจจุงมองตามน้องชายพลางถอนหายใจในความดื้อดึงนั้น แล้วหันไปหารยอวุคที่ยืนประคองเยซองอยู่

    “นายสองคนเป็นไงบ้าง? เยซองท่าทางจะหนักนะ”ร่างบางถาม มองเยซองที่น่วมไปทั้งตัว

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แผลแค่นี้วันสองวันก็หาย”คนเจ็บว่ายิ้มๆ

    “รยอวุคนายพาเยซองไปหาหมอฮันดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานหรอก เอ้า...นี่ค่ายานะ”แจจุงว่าพลางยัดเงินใส่มือรยอวุค

    “เอ้า...นี่กุญแจรถ”ยูโนวที่เดินออกมาจากครับ ยื่นกุญแจมอร์ไซด์ให้

    “ขอบคุณครับ”รยอวุคกล่าว พลางก้มคำนักทั้งสองคน แล้วพยุกร่างคนเจ็บเดินขึ้นมอร์ไซด์ขับออกไป

    ชางมินเดินเอากล่องยาไปให้ลีทึก ที่นั่งทำแผลให้คังอินอยู่ โดยที่ร่างสูงยังร้องโอดครวญไม่หยุด ต่างกับตอนที่ต่อสู้ราวกับคนละคน

    “แล้วคุณเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า? เดี๋ยวผมทายาให้”ยูโนวหันมาถามคนสวยข้างๆ
    “ชั้นให้ชางมินทาให้ก็ได้”แจจุงว่าพลางเชิดหน้า

    ---------------------------------------------------------------

    “ให้พี่ยูโนวทาให้น่ะดีแล้ว พี่เค้ามือเบาจะตาย เมื่อกี้ทายาให้ผมนะ ไม่เจ็บสักนิด อีกอย่างผมต้องไปเก็บกวาดร้าน”พูดจบเจ้าตัวก็เดินไปเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นทันที

    แจจุงหันไปมองหน้าพยาบาลอาสาแล้วถอนใจ สุดท้ายก็พยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจ  ร่างบางเดินไปนั่งหันหลังให้ร่างสูงแล้วถกเสื้อขึ้น 

    ยูโนวมองแผ่นหลังเรียบเนียนนั้นอย่างตื่นตะลึง ผิวขาวเนียนละเอียดน่าสัมผัสตรงทำให้ถึงกับต้องกลืนน้ำลาย แต่บนผิวขาวนั้นกลับมีรอยเขียวช้ำเป็นทางกว้างจนคนมองอดที่จะรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้

    ร่างสูงบีบยาใส่นิ้วแตะผิวเนียนนั้นอย่างแผ่วเบา ลูบไล้ลื่นมือ ดวงตาคมหลับลงรับรู้สัมผัสนั้นอย่างหลงใหล ปากหนายกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ 

    ร่างบางพอรู้สึกถึงสัมผัสใบหน้าหวานก็แดงเรื่อขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากตัวยาไล้ไปตามนิ้วหนา ก็รู้สึกวาบหวามแปลกประหลาดจนใจเต้นแรงไปตามสัมผัสนั้น

    “เสร็จรึยัง!”พูดเสียงดังเพื่อเรียกสติตัวเอว เมื่อรู้สึกว่าใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำให้ร่างสูงได้สติรีบชักมือกลับทันทีแล้วหันไปเก็บยาใส่กล่อง

    “เสร็จแล้วครับ เอ้อ...คุณแจจุง คุณสองคนนั้นเป็นใครเหรอครับ?”ยูโนวถามขณะที่มือก็ช่วยร่างบางเอาเสื้อลงมา

    “อ้อ...คนที่ทำแผลหน้าหวานๆ นั่นพี่ลีทึก เป็นเจ้าของร้านดอกไม้ข้างๆ นี่ ส่วนคนตัวใหญ่ๆ ที่มีแผลนั้นก็พี่คังอิน เป็นคนแถวนี้เหมือนกัน”แจจุงพูดพลางชี้ทั้งสองคนที่นั่งทำแผลกันเสียงดัง เพราะคนเจ็บเอาแต่ร้องโอดโอยในขณะที่คนทำก็กดหนักๆ ข้อหาหมั่นไส้ ปากบางก็บ่นว่าคนเจ็บอยู่ตลอดเวลา

    “นี่ตัวละครยังออกมาไม่หมดอีกเหรอ? มีตัวใหม่ๆ ออกมาทุกวันเลย”ยูโนวบ่น

    “เท่าที่รู้นี่ก็เกือบหมดแล้วล่ะ”ร่างบางตอบยิ้มๆ

    “ก็แปลว่ายังไม่หมดน่ะสิ”ร่างสูงบ่นกระปอดกระแปดขมวดคิ้วมุ่นเหมือนเด็กๆ

    “พี่ลีทึก พี่คังอินครับ ผมลืมแนะนำให้รู้จัก นี่ยูโนวคนช่วยงานที่ร้านคนใหม่ ส่วนนี่พี่ลีทึกกับพี่คังอิน”แจจุงว่าพลางจูงมือร่างสูงเข้าไปหาทั้งสอง

    “อ้อ..นี่หรือ ยูโนวนักร้องดังวงดงบังซินกิ พี่ชื่อลีทึกยินดีที่ได้รู้จัก”ลีทึกเอ่ยแซวพลางยื่นมือให้ด้วยรอยยิ้ม 

    ยูโนวยิ้มรับแล้วจะเอื้อมไปจับมือรับการทักทายนั้น แต่มือหนาของร่างสูงอีกคนกลับคว้ามือเค้าไปจับแทน แล้วใช้อีกมือจับมือคนสวยไว้ ราวกับจะใช้ตัวเองเป็นสื่อกลางก็ไม่ปาน

    “ชั้นคังอิน เป็นแฟนลีทึก ยินดีที่ได้รู้จัก”คังอินว่ายิ้มๆ ไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่มองมาจากการกระทำของตนเอง แล้วปล่อยมือทั้งคู่ออก พอมือเรียวเป็นอิสระ ก็ฟาดคนพูดอย่างแรง

    “ใครเป็นแฟนนายไม่ทราบ”พูดพลางถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

    “น่า....ตอนนี้ยังไม่ใช่แต่ก็เกือบแล้วล่ะ ยังไงนายก็หนีชั้นไม่พ้นหรอก”พูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่คนสวย มือหันไปดึงร่างบางตรงหน้ามากอดไว้อย่างออดอ้อน แม้ลีทึกจะดิ้น แต่ก็เพียงบางเบาไม่ได้ตั้งใจดิ้นอะไรนัก

    “บ้า....”ถึงปากจะว่า แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างเขินอาย ไม่ได้สนใจสายตาของน้องๆ ที่มองดูอยู่เล้ย

    “ยังไงผมก็ต้องขอบคุณพี่คังอินมากนะครับ ถ้าไม่ได้พี่ช่วยไว้ผมคงแย่”แจจุงพูดขึ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มรู้ตัวแยกออกจากกันทันที

    “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงที่นี่ก็เป็นเขตของแก๊ง TVXQ เป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแล”ร่างหนาพูดพลางโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ

    “แหม...พูดมาได้เต็มปาก ชั้นไม่เห็นพวกของแก๊งนายจะมาสนใจอะไรที่นี่เลย”ลีทึกว่าอย่างหมั่นไส้

    “ทำยังไงได้ล่ะ ก็ที่นี่อยู่ห่างจากส่วนกลาง แถมยังอยู่ใกล้เขตของฝ่ายตรงข้ามอีก คนในแก๊งเลยไม่ค่อยสนใจกันหรอก มีแต่ชั้นนี่แหละ ที่มาที่นี่ก็เพราะนาย”พูดพลางทำตาวิบวับใส่เจ้าของร้านดอกไม้คนสวย ที่ยังเชิดหน้าไปอีกทาง แต่เรียวปากบางกลับอมยิ้ม

    “แต่หลังจากนี้ไม่ต้องห่วงนะ ช่วงนี้คนที่แก๊งมาที่นี่กันเยอะ เห็นว่ามาตามหาหัวหน้ายุนโฮที่หายตัวไป แต่นี่เป็นเรื่องภายในนะ ไม่มีใครรู้หรอก”คังอินหันมาพูดจริงจัง เอามือป้องปากไว้เหมือนกระซิบแต่ก็ได้ยินชัดกันทุกคน

    “แก๊งTVXQ? .....ยุนโฮ”ยูโนวทวนคำ ใบหน้าคมขมวดมุ่นพลางส่ายหน้าไปมาอย่างสับสน อะไรบางอย่างเหมือนจะตีขึ้นมาในหัวลางๆ แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร เหมือนมีอะไรมาบีบขมับจนปวดหัวไปหมด

    “นายรู้จักงั้นเหรอ?”แจจุงหันมาถามมองอาการของคนข้างๆ มือบางพยุงอีกฝ่ายอย่างห่วงใย

    “ผมไม่รู้ แค่รู้สึกคุ้นๆ มันงงๆ ยังไงก็ไม่รู้ ปวดหัวมากเลย”ร่างสูงว่า มือหนาจับหน้าผากไว้ใบหน้าเริ่มซีดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    แจจุงหันไปลูบหลังอย่างอ่อนโยน พลางพยุงอีกฝ่ายไปนั่งที่โต๊ะ

    “อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ใจเย็นๆ เดี๋ยวนายก็คงจำอะไรได้เองแหละ”เอ่ยสำทับด้วยเสียงละมุน หันไปเอาน้ำเย็นมาให้ร่างสูงดื่ม ยูโนวพยักหน้ารับดื่มน้ำที่อีกฝ่ายส่งให้ใบหน้าคมก็เริ่มดีขึ้น มองร่างบางแล้วยิ้มอย่างขอบคุณ ทั้งคู่เดินไปหาชางมินช่วยเก็บกวาดร้านที่ถูกทำลายข้าวของเสียเละตุ้มเปะ

    (ผมคิดว่าจะคุยกันจนไม่มาช่วยผมทำซะอีก:ชางมิน)

    ลีทึกกับคังอินพอทำแผลเสร็จก็รีบมาช่วยอีกแรง

    “พี่สองคนไม่ต้องทำหรอกครับ พี่ไม่ไปเฝ้าร้านเหรอ?”แจจุงว่าพลางพยายามแย่งไม้กวานมาจากมือของลีทึก

    “ร้านน้องพี่เป็นอย่างนี้ จะให้พี่ปล่อยทิ้งไว้ได้ยังไง ที่ร้านพี่ก็มีคนงานดูแลกันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก”ลีทึกเถียงยังคงจับไม้กวาดไว้แน่น แล้วดึงมากวาดต่อ 

    “ว่าแต่แจเถอะ ไม่ยอมมันอย่างนี้ต่อไปมันคงกลับมาเล่นงานอีกแน่ ระวังตัวไว้หน่อยนะ”เอ่ยบอกอย่างห่วงใย

    “พี่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ยังไงผมก็จะไม่ยอมให้เงินที่ผมหามากับพวกมันฟรีๆหรอก ถึงตายก็ไม่ยอม”ร่างบางพูดอย่างดื้อรั้น ลีทึกได้แต่ลูบผมดกดำของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่และกังวลใจในความดื้อดึงนั้น


     
    ตกค่ำ

    ยูโนวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นชางมินยืนแอบอยู่หลังประตูมองบางอย่างอยู่ จึงเดินเข้าไปสะกิด อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเป็นยูโนวก็ถอนหายใจ ชี้ให้ร่างสูงมองตามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

    ยูโนวชะเง้อมองตามก็พบว่า ที่เด็กหนุ่มมองอยู่นั้นก็คือแจจุงนั่นเอง ร่างบางกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ ใบหน้าหวานดูเคร่งเครียดผิดไปจากที่เคย

    “พี่แจจุงคงเครียดกับเรื่องของวันนี้ แต่ผมช่วยอะไรพี่เค้าไม่ได้เลย”พูดออกมาเสียงเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

    ร่างสูงมองแล้วลูบหัวเด็กหนุ่มยิ้มๆ “อย่าคิดมากสิ พี่นายเค้าไม่ต้องการเห็นนายเป็นอย่างนี้หรอกนะ นายต้องยิ้มสดใสให้เค้า จำไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายต้องคอยยิ้มให้กำลังใจเค้าเสมอ”

    ชางมินยิ้มรับก่อนที่จะขอตัวกลับห้องของตัวเองไป ยูโนวจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ร่างบางที่ยังนั่งกดเครื่องคิดเลขอยู่

    “ทำอะไรอยู่น่ะคุณ?”แจจุงเงยหน้าขึ้นมามองคนถามแล้วยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูเจื่อนเต็มที

    “คิดค่าเสียหายของวันนี้น่ะสิ ระยะหลังมานี่ไอ้พวกนั้นก็มาวุ่นวายบ่อยขึ้น เจออย่างนี้บ่อยๆ คงแย่”ตอบทั้งๆ ที่ นิ้วเรียวยังกดเครื่องคิดเลขไม่หยุด

    ยูโนวเอื้อมไปจับหน้าอีกฝ่ายให้หันมามองหน้ากันชัดๆ มือหนาประคองใบหน้าหวานนั้นไว้ ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้นนิ่ง ไม่มีแววหวั่นไหว

    “กลัวมั้ย? เหนื่อยรึเปล่า? ผมขอโทษ ที่วันนี้ปกป้องคุณไม่ได้ แต่ผมสัญญา ต่อจากนี้ไป ผมจะปกป้องคุณเอง เจ้าพวกนั้นจะไม่มีวันทำอะไรคุณและน้องคุณได้อีก”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล

    ดวงตากลมโตหลุบลงอย่างเขินอาย ไม่กล้าสบตาหนักแน่นนั้นต่อไปได้

    “พูดอย่างกับพระเอกนิยายน้ำเน่าแหนะ ถ้านายเจอพวกนั้นจริง คงโดนอัดจนเละน่ะสิไม่ว่า”พูดพลางยิ้มอย่างเขินอาย

    “ถึงอย่างนั้น ผมก็จะไม่ยอมให้มันมาทำคุณ”พูดจบร่างสูงก็ดึงตัวอีกฝ่ายมากอดไว้ ร่างบางตัวแข็งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ดิ้นขัดขืนอะไร มือหนาขยับขึ้นมาลูบผมดำขลับนั้นเบาๆ อย่างปลอบโยน

    “ถ้าคุณเหนื่อยพักก่อนก็ได้ ผมให้ยืมอกไว้ซบ ที่ตรงนี้จะมีไว้ให้คุณพักพิงเสมอ อย่าฝืนอีกเลย ผมรู้ว่าคุณเหนื่อยมามากพอแล้ว ต่อจากนี้คุณจะไม่ได้ต่อสู้เพียง
    ลำพัง คุณยังมีผม ผมคนนี้จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
    เสียงทุ้มพูดละมุน แจจุงยกมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่ายแน่น ดวงตากลมโตปลดปล่อยหยาดน้ำตาที่พยายามฝืนเอาไว้มาตลอดทั้งวัน ไหลรินออกมาไม่หยุด เช็ดที่เสื้อของร่างสูงจนเปียกชุ่ม สะอื้นไห้จนตัวโยน

    “ชั้นกลัว....ฮึก กลัวจริงๆ ...ฮึก   กลัวชางมินจะเป็นอะไร.....กลัวร้านนี้จะต้องถูกปิด...ฮึก กลัวชีวิตนี้จะไม่เหลืออะไร....ฮึก สิ่งที่สร้างมาทั้งชีวิตจะถูกทำลายในพริบตา....ชั้น........”พูดพลางสะอึกสะอื้น แขนแกร่งกระชับร่างในอ้อมกอดที่ดูบอบบางนั้น ให้แน่นขึ้นพลางลูบหลังบางนั้นแทนคำปลอบโยน

    “ครับ....ครับ”เอ่ยรับเพียงเท่านั้น รับคำรับรู้ถึงความอัดอั้นที่อีกฝ่ายระบายออกมา โดยไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วกับร่างบางในเวลานี้ 


    แค่มีใครสักคนเข้าใจ แล้วพร้อมที่จะปลอบใจ และดูแลอยู่เคียงข้างเค้าอย่างนี้ก็พอแล้ว พอใจแล้วจริงๆ
    --------------------------------------------------------------------------------------------

    จบไปอีกตอน

    ไม่มีคอมเม้นท์เลยง่ะ เสียใจจัง Y_Y
    แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีใจที่เข้ามาอ่าน (เอ๊ะตกลงแกจะเอายังไง?)

    แค่ขอให้ทุกคนช่วยติดตาม เขียนดีไม่ดียังไง ช่วยติชมมาทางคอมเม้นท์ รออ่านอยู่เสมอ ขอกำลังใจจากผู้อ่านด้วยนะจ๊ะ (ขอมากไปมั้ยเนี่ย?)

    แล้วจะมาอัฟใหม่น้า.......ถึงจะไม่ค่อยมีคนอ่านแต่ก็ยังจะเขียนต่อไป พอดีหน้า
    หนา 5555+ ขอบคุณอีกครั้งที่เข้ามาอ่านค้า..............

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×