ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 17 ถ้ำอัศวิน

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 49


                    กิ๊ซ!  กิ๊ซ!  กิ๊ซ!”  ตัวประหลาดรูปร่างเหมือนหัวกะโหลกมนุษย์หลายสิบหัวร้องรับกันเป็นทอดๆ  พวกมันกำลังล้อมโจเอลและลูนาร์ไว้ทุกทิศทุกทาง!

                    ในที่สุดหนึ่ง  ในพวกนั้นก็เริ่มการโจมตีเป็นตัวแรก  มันพุ่งตัวเข้าใส่คนทั้งสองอย่างรวดเร็ว  ทว่าการโจมตีเป็นเส้นตรงเช่นนี้ไม่อาจทำอะไรโจเอลได้  ดูรันดานาถูกกระชากขึ้นฉายแววในชั่วเสี้ยววินาที  แล้วตัวประหลาดดังกล่าวก็ขาดออกเป็นสองท่อน  พรรคพวกของมันที่เหลือก็ทำแบบเดียวกันนั้นอย่างไม่กลัวตาย  แต่โจเอลก็ปัดป้องได้จนหมด  ซ้ำยังสังหารพวกมันลงไปตัวแล้วตัวเล่า  ลูนาร์ก็มิได้อยู่เฉย  เธอท่องบทสวดก่อนจะสาดน้ำมนต์ใส่พวกตัวประหลาดเหล่านั้น  ซึ่งทำให้ตัวที่โดนต้องละลายลงไปดังเช่นตัวที่โดนก่อนหน้า

                    เมื่อเห็นว่าการโจมตีดูจะไร้ผล  พวกมันจึงหยุดแล้วส่งเสียงเหมือนจะปรึกษากัน  โจเอลและลูนาร์ต่างสงสัยว่าพวกตัวประหลาดจะทำอะไรต่อไป  และทั้งสองไม่ต้องรอคำตอบนานนัก  เมื่อสัตว์ประหลาดเหล่านั้นต่างเข้ามารวมกลุ่มกันจนดูคล้ายกองดินตะปุ่มตะป่ำ  คนทั้งสองต่างจ้องมองการกระทำนั้นอย่างฉงน  เพียงไม่นานกลุ่มก้อนของตัวประหลาดก็เริ่มขยับเขยื้อน  มันยืดตัวขึ้นจนสูงเกือบถึงเพดาน  รูปร่างแปรเปลี่ยนไปจนดูคล้ายกับคนตัวโตๆ

                    กี๊ซ!”  เจ้าตัวประหลาดที่บัดนี้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์กรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะฟาดแขนเข้าใส่โจเอล  ชายหนุ่มตวัดดาบสีเขียวคมกริบเข้าหยุดยั้งการจู่โจม  แขนของตัวประหลาดขาดกระเด็นทันที  แต่มันหาได้สะดุ้งสะเทือนไม่  กลับโถมตัวเข้ากระแทกใส่โจเอลจนกระเด็น  แต่โจเอลก็กระโดดถอยหลังก่อนที่จะถูกปะทะจึงมิได้บอบช้ำมากนัก

                    เมื่อตั้งหลักได้  โจเอลก็คิดหาวิธีจัดการกับร่างยักษ์ตรงหน้า  ศัตรูตัวนี้ดูจะไม่ธรรมดา  เขาคงไม่อาจจัดการมันได้โดยเร็ว  ชายหนุ่มขยับดาบในมือ  คิดที่จะลองโจมตีเพื่อหยั่งเชิง  ทว่าเมื่อจะก้าวเท้าออกไปกลับต้องสะดุด!

                    แขนของตัวประหลาดที่เพิ่งจะถูกโจเอลตัดซึ่งกองอยู่บนพื้นนั้น  บัดนี้ได้แยกออกเป็นตัวเล็กตัวน้อยอีกครั้งและได้ใช้สายรยางค์รัดขาของเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน  ขณะที่เจ้าตัวร้ายก็ยืดสายรยางค์ออกมาแทนแขนข้างที่ถูกตัด  มันยืดสิ่งที่คล้ายหนวดปลาหมึกออกไปคว้าหินก้อนยักษ์เพื่อใช้แทนอาวุธ  เจ้าอสูรกายร่างยักษ์ก้าวย่างเพื่อจะฟาดหินก้อนใหญ่เข้าใส่เหยื่อที่ยังถูกตรึงอยู่กับที่!

                    เดย์ไลท์!!”  ลูนาร์รีบใช้เวทย์เข้าแทรกการโจมตีนั้นเพื่อช่วยโจเอลไว้  แสงสว่างเจิดจ้าจากปลายไม้เท้าทำให้ศัตรูร่างใหญ่หยุดชะงัก  โจเอลรีบตัดสายรยางค์ที่รัดขาเขาไว้แล้วรีบกลิ้งตัวหลบ  ก่อนที่หินก้อนยักษ์จะฟาดลงมาอย่างฉิวเฉียด  การจู่โจมครั้งนั้นรุนแรงมากเสียจนทำเอาพื้นที่พวกเขายืนอยู่เกิดรอยแตกที่เห็นได้ชัด

                    เจ้าตัวใหญ่เงื้ออาวุธของตนเพื่อโจมตีอีกครั้ง  แต่โจเอลก็รีบถลันเข้าใส่แล้วใช่ดาบฟันเข้าที่ข้อเท้าจนขาดสะบั้น  ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงเสียหลักทันที  มันล้มลงเสียงดังสนั่น  ตามติดด้วยหินก้อนยักษ์ที่หล่นลงทับตัวมันเอง

                    การล้มลงของเจ้าตัวประหลาดร่างยักษ์ส่งผลให้พื้นหินที่ยืนอยู่ถล่มลงอย่างกระทันหัน  โจเอลหงายหลังร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง  ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น  คือลูนาร์ซึ่งเกาะขอบผนังไว้ได้อย่างปลอดภัย...

     

                    โจเอลลืมตาฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด  ไม่แน่ใจว่าตนเองตกลงมาสูงขนาดไหนและสลบไปนานเท่าไหร่  เขาพยายามเพ่งมองกลับไปยังด้านบน  ทว่าเปล่าประโยชน์  เพราะในความมืดนั้นเขาแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

                    ชายหนุ่มพยายามยันกายลุกขึ้นด้วยความลำบาก  ร่างกายปวดระบมแต่ดูจะไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย  โจเอลหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับความมืด  เมื่อพอจะมองเห็นได้ลางๆเขาจึงกวาดมือไปตามพื้นเพื่อหาดาบคู่ใจ  ทว่ากลับไปสัมผัสกับสายรยางค์แทน...

                    ตัวประหลาดหลายตัวตกลงมาเช่นเดียวกับโจเอล  พวกมันล้วนตายกันหมดแล้ว  บางทีอาจเพราะตกลงมาจากที่สูง  แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าแปลก...  แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก?  โจเอลไม่ได้ขบคิดเรื่องนั้นมากนัก  ตอนนี้เขากังวลถึงลูนาร์มากกว่า  เวลานี้เธอจะเป็นเช่นใดบ้าง...

                    ขณะที่โจเอลยังคงนิ่งเงียบเพราะความคิดคำนึงอยู่นั้น  สิ่งหนึ่งก็ได้ดึงดูดสายตาของเขา...  ดวงไฟสีเขียวสว่างวับแวมคล้ายหิงห้อย  ทว่าใหญ่กว่าหลายเท่าตัวปรากฏขึ้นไม่ไกลจากที่ที่เขายืนอยู่  มันหยุดนิ่งทอดตัวลงต่ำเรี่ยพื้น  แสงสว่างนั้นทำให้โจเอลมองสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีขึ้น  ตรงพื้นซึ่งดวงไฟปริศนาหยุดอยู่นั้นคือที่ที่ดาบดูรันดานาตกอยู่  ดูเหมือนว่ามันจะสนใจดาบเล่มนี้  แต่เมื่อโจเอลเดินตรงเข้าไปเพื่อจะเก็บดาบ  ดวงไฟดังกล่าวก็ถอยหนี

                    โจเอลนึกประหลาดใจ  เพราะดวงไฟสีเขียวยังไม่ยอมไปไหน  สักพักมันก็ลอยช้าๆไปในทิศทางหนึ่ง  ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามันต้องการให้เขาเดินตามไป  จึงเดินตามดวงไฟสีลึกลับไปเรื่อยๆจนถึงลำธารใต้ดินแห่งหนึ่ง  น้ำในลำธารส่งกลิ่นเหม็นประหลาด  ซ้ำยังมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายน้ำเดือด  สิ่งเหล่านั้นเพียงพอที่จะเตือนใครก็ตามที่ได้เห็นว่าไม่ควรลงไปในน้ำ

                    ขณะที่โจเอลยังคงยืนลังเลอยู่นั้น  ดวงไฟลึกลับก็นำสายตาเขาไปยังทิศทางหนึ่ง  ที่ซึ่งมีหินประหลาดทอดตัวดั่งสะพาน  ชายหนุ่มจึงลองก้าวขึ้นไปบนนั้น  มันมีพื้นที่แบนราบน่าจะเดินผ่านไปได้โดยสะดวก  แต่ก็บอบบางจนน่ากลัวว่าจะถล่มลงมาเมื่อใดก็ได้  และความกังวลนั้นก็ตั้งท่าว่าจะเป็นความจริง  เพราะเพียงก้าวแรกที่ย่างลงไป  ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอาการที่ไม่สู้ดี  เขาจึงชักเท้ากลับแล้วมองไปรอบๆเพื่อหาทางอื่น  ทว่าก็ดูจะเปล่าประโยชน์  ในความมืดเช่นนี้โจเอลไม่พบกับทางใดที่จะพาเขากลับขึ้นไปข้างบนได้อีก  แต่หากจะข้ามสะพานนี้ไปก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

                    หลังจากที่ยืนคิดได้สักพักหนึ่ง  ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ปลดเกราะที่สวมอยู่จนเหลือเพียงชุดธรรมดา  เพื่อลดน้ำหนักมิให้สะพานหินพังลงเสียก่อน  มันดูจะได้ผลเมื่อคราวนี้สะพานไม่ส่งสัญญาณเช่นเดิมอีก  โจเอลจึงเดินไปอย่างสบายใจมากขึ้น  ดวงไฟลึกลับลอยช้าๆนำทางไปข้างหน้า  ไม่นานนักโจเอลก็เดินมาจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง  เขารู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เหยียบลงบนพื้นจริงๆอีกครั้ง

                    เมื่อสำรวจดูโดยรอบ  พื้นที่ตรงนี้มีชายฝั่งที่เป็นหินทอดตัวยาวขนานไปกับลำธารใต้ดิน  ชายฝั่งลึกเข้าไปไม่กี่ฟุต  เบื้องหน้าของโจเอลคือช่องว่างลึกเข้าไปในแผ่นผาดั่งอุโมงค์  เขาเหลียวกลับไปมองฝั่งตรงข้ามของลำธารอยู่ครู่หนึ่งจึงทำให้คลาดสายตากับดวงไฟลึกลับ  เพราะเมื่อหันกลับมามันก็หายไปเสียแล้ว  หากแต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าไปในช่องผา  คนผู้นั้นสวมชุดภูมิฐานแบบเดียวกับพวกขุนนาง  เมื่อคะเนดูแล้วคงจะสูงพอกันกับโจเอล  แต่ที่น่าประหลาดก็คือ...  ร่างนั้นมีแสงเรืองๆสีเขียวห่อหุ้มไปทั้งตัว...!

                    เหมือนมีอะไรบางอย่างเชื้อเชิญให้โจเอลเดินตามร่างที่เรืองแสงไป  แต่เมื่อก้าวเท้าผ่านซุ้มหินเข้าไป  ร่างของชายลึกลับก็หายวับไปต่อหน้า!  นั่นทำให้โจเอลตกอยู่ท่ามกลางความมืดอีกครั้ง  เขาต้องใช้มือคลำไปตามพื้นเพื่อจะหาทิศทาง  และก็ได้ไปสัมผัสถูกแท่งไม้บางอย่าง...  เมื่อคว้ามันเข้ามาใกล้จึงได้กลิ่นน้ำมันดินที่ปลายอีกด้านหนึ่ง มันคือคบไฟนั่นเอง...  ดูท่าว่ามันจะยังใช้ได้อยู่ชายหนุ่มจึงรีบจุดไฟขึ้น  แสงสว่างทำให้สามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้อย่างชัดเจน  และสิ่งแรกที่พบเห็นก็ทำให้เขาถึงกับนิ่งไป...

                    ตรงหน้าของโจเอลคือซากศพแห้งกรังที่สวมชุดเกราะเต็มยศ  จะเหลือไว้แต่เพียงหมวกเกราะซึ่งถอดวางไว้ข้างกายเท่านั้น  ซากศพดังกล่าวนั่งอยู่บนแท่นหินที่ด้านหนึ่งของถ้ำ  แม้ว่าผู้สวมเกราะจะเสียชีวิตไปแล้ว  ทว่าก็ยังดูองอาจน่าเกรงขาม  หลังยังคงตั้งตรง  มือทั้งสองข้างวางค้ำไว้เหนืออาวุธคู่กายซึ่งเป็นค้อนสงคราม  ไหล่ก็มิได้ห่อลู่ลงแต่อย่างใด  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเขามิได้ตายโดยทรมานสักนิด  หรือไม่ชายผู้นี้ก็คงจะมีความอดทนเป็นเลิศทีเดียว

                    ชุดเกราะที่สวมอยู่นั้น  นับเป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากช่างชั้นเลิศทีเดียว  การออกแบบมีจุดประสงค์เพื่อการปกป้องที่ดี  มันจึงไม่มีชิ้นส่วนให้เกะกะรุ่มร่าม  ทว่าก็มีความงามสง่าอย่างลงตัว  แผ่นเหล็กที่ประกอบเป็นชุดเกราะมีพื้นผิวที่มันวับ  แต่รอยขีดข่วนที่มีอยู่อย่างมากมายก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนทีเดียว

                    แผ่นเกราะทั้งหมดถูกจัดวางให้ป้องกันผู้สวมอย่างมิดชิด  ต่อให้ยืนเป็นเป้านิ่งก็ยังยากจะหาจุดแทรกอาวุธผ่านการคุ้มกันเข้าไปได้  ในด้านความงดงามนั้น  มีการฝังทองคำเพื่อสร้างลวดลายลงไปอย่างปราณีต  บนหมวกเกราะยังมีสิ่งที่คล้ายเขาแกะที่สร้างจากทองคำประดับอยู่ด้วย

                    โจเอลทำความเคารพศพนั้น  ด้วยคาดว่าเขาคงเป็นอัศวินจากที่ใดเป็นแน่  บางทีอาจเป็นอัศวินโอแลนโดที่กล่าวกันว่าได้หายสาบสูญไปในดินแดนแถบนี้เมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว  ชายหนุ่มสังเกตเห็นม้วนผ้าอยู่ที่พื้นตรงหน้าอัศวินจึงได้หยิบขึ้นมาดู 

                    มันเป็นผ้าเนื้อดีผืนเล็กๆที่มีแหวนวงหนึ่งสวมไว้แทนปลอก  แหวนดังกล่าวทำจากทองคำดูเรียบๆ  หัวแหวนเป็นรูปหัวของแกะที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มดาว  โจเอลคิดว่าบางทีม้วนผ้านั้นคงมีบันทึกบางอย่าง  เขาจึงคลี่มันออกมาดูเพื่อจะได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ  แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิด  บนผ้าเนื้อดีนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้  มีใจความว่า...

     

                                    ถึงผู้ที่พบบันทึกฉบับนี้  ข้าคือโอแลนโด โอวิลไทน์ อัศวินแห่งราศีเมษ  หนึ่งในกลุ่ม ไนท์ออฟ    โซดิแอค  ข้าได้ออกเดินทางมายังแดนเถื่อนแห่งนี้ในปีที่ 326  เพื่อจะค้นหาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สูญหายไป      หลังจากยุคของปฐมจักรพรรดิโอรูธาน

                                    ข้าได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากคนที่นี่  แต่ถูกขอร้องไม่ให้ขึ้นมาบนเขาลูกนี้  จนได้ทราบ    ความจริงว่าคนเหล่านี้มีพิธีอันชั่วร้ายในการส่งผู้คนไปบูชายัญให้กับปิศาจในถ้ำบนภูเขา  ข้าจึงอาสาเป็นผู้ถูก      บูชายัญเพื่อจะได้สังหารปิศาจร้าย

                                    ข้าได้ต่อสู้กับมันอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน  และในที่สุดก็สามารถสังหารมันได้ด้วยความยากลำบาก  แต่                ก็บาดเจ็บอย่างหนักและหลงทางอยู่ในถ้ำแห่งนี้  เมื่อคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว  ข้าจึงได้กำหนดลมหายใจ                เพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ

                                    ข้าขอวิงวอนต่อผู้ใดก็ตามที่ได้พบบันทึกนี้  จงช่วยนำบันทึกและแหวนที่ผนึกไว้  มอบให้แก่คนใน               ตระกูลของข้าที่อยู่ ณ เมอร์ซาทิม  ส่วนชุดเกราะและอาวุธ  ขอให้นำไปคืนให้แด่องค์พระจักรพรรดิหรือ         พระสังฆราช  ข้าขอสัญญาว่าผู้ที่ทำตามคำขอนี้จะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม

                                    สุดท้ายนี้  ด้วยลมหายใจที่เหลืออยู่ไม่มากนัก  ข้าขออุทิศไว้ในความรักและคะนึงหา  แด่โซเฟียผู้  เป็นยอดหญิงในดวงใจของข้า  และเซรีนบุตรสาวตัวน้อยของข้า...

     

                    เมื่อได้อ่านเนื้อความบนแผ่นผ้าจนจบ  ชายหนุ่มก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก  ที่อัศวินผู้เรืองนามกลับต้องมาสิ้นชีพในแดนไกลโดยไม่มีผู้ทำพิธีศพให้  แม้ว่าโจเอลจะเป็นเพียงผู้ปกครองหมู่บ้านเล็กๆริมพรมแดน  แต่เขาก็ทราบดีถึงกิตติศัพท์ของกลุ่มไนท์ออฟโซดิแอค (Knight of Zodiac)  กลุ่มอัศวินซึ่งเป็นตัวแทนแห่งอำนาจขององค์จักรพรรดิ  และเป็นพวกที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือสูงที่สุด

                    อีกส่วนที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจก็เพราะเขากับอัศวินผู้นี้ถือได้ว่ามีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง  กรานัคปู่ของโจเอลก็คือผู้ติดตามของโอแลนโดนั่นเอง  แม้จะผ่านมาจนถึงรุ่นเขา  โจเอลก็ยังรู้สึกเคารพอัศวินผู้นี้ในฐานะผู้ที่เป็นนายคนหนึ่ง

                    โจเอลม้วนผ้าผืนนั้นไว้เช่นเดิม  คิดไว้ว่าจะต้องทำตามประสงค์ของผู้ตายให้จงได้  จากนั้นเขาจึงมองไปรอบๆเพื่อจะหาวิธีที่จะฝังศพอัศวินแห่งราศีเมษตามที่เวลาจะอำนวย  ถ้ำแห่งนี้มิได้กว้างขวางมากนัก  มันมีขนาดราวๆยี่สิบฟุตเท่านั้น  ที่ด้านหนึ่งมีทางต่อไปอีก  พื้นเป็นหินแข็งคงยากที่จะขุด  แต่ก็มีหินก้อนใหญ่ๆมากพอจะวางกลบศพไว้ได้จนมิด

                    เมื่อคิดหนทางที่จะทำพิธีศพได้  ชายหนุ่มจึงรีบลงมือทันที  เขาทำความเคารพศพอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆถอดชุดเกราะออกจากร่างไร้ชีวิต  น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ศพนั้นยังอยู่ในสภาพดี  ทั้งๆเวลาได้ผ่านมาเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม  โจเอลวางร่างไร้วิญญาณลงที่มุมหนึ่งของถ้ำ  จากนั้นก็ได้สวดส่งวิญญาณให้ก่อนจะนำหินมาวางทับศพ  ระหว่างที่กำลังเรียงหินอยู่นั้น  โจเอลก็หวนนึกถึงเนื้อความในบันทึกซึ่งมีบางส่วนที่ยังคงติดใจเขาอยู่

                    อย่างแรกเขาสงสัยว่าทำไมอัศวินโอแลนโดจึงได้รับการต้อนรับที่ดีจากชาวการ์กอน?  อาจเป็นเพราะอัศวินผู้นี้เดินทางมาโดยลำพังและไม่มีท่าทีคุกคาม  หรืออาจเป็นเพราะยุคนั้นชาวการ์กอนยังไม่มีความหวาดระแวงผู้คนภายนอกก็เป็นได้...

                    อีกประการนั้นโจเอลรู้สึกสงสัยที่อัศวินผู้นี้กล่าวว่าได้สังหารปิศาจในถ้ำนี้ไปแล้ว...  ปิศาจที่ว่านั้นจะใช่สตรีลึกลับหรือเปล่า?  หากว่าใช่แล้วทำไมนางจึงยังปรากฏกายอยู่อีก?  ถ้ามิใช่ความเข้าใจผิดว่าได้สังหารปิศาจตนนั้นแล้ว  ก็อาจเป็นไปได้ว่าในถ้ำแห่งนี้ยังมีปิศาจตนอื่นอยู่อีก...

                    หลังจากทำพิธีศพให้อัศวินโอแลนโดเท่าที่เวลาจะอำนวยแล้ว  โจเอลก็กลับมาครุ่นคิดถึงปัญหาของตนอีกครั้ง  เขาต้องหาเส้นทางที่จะสามารถติดตามลูนาร์และจอร์ชให้ได้โดยไว  ชายหนุ่มเหลียวมองชุดเกราะที่เพิ่งจะถูกถอดออกมาจากศพ  เขาต้องนำมันไปด้วยเพื่อคืนให้แด่องค์พระจักรพรรดิหรือพระสังฆราช  แต่การต้องหอบหิ้วเกราะทั้งชุดไปด้วยเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่  เว้นแต่ว่า...

                    แม้ว่าจะเป็นการไม่สมควรสักเท่าไหร่  ที่จะนำชุดเกราะของผู้ตายมาสวมทันที  แต่เขาต้องรีบไปเพื่อที่จะช่วยลูนาร์และจอร์ช  การต้องนำสิ่งนี้ไปในรูปของสัมภาระคงจะไม่สะดวกนัก  และเขายังอาจต้องพึ่งพาการป้องกันจากชุดเกราะนี้อีกด้วย  หากว่าจะต้องเจอกับปิศาจพวกนั้นอีก

                    โดยไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านี้  โจเอลรีบจัดแจงสวมชุดเกราะทันที  ชุดเกราะมีขนาดรับกับร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด  ซึ่งคงเป็นเพราะขนาดร่างกายของเขาและอัศวินโอแลนโดที่ใกล้เคียงกันนั่นเอง  และเมื่อเริ่มก้าวเดิน  โจเอลก็รู้สึกว่าชุดนั้นเบากว่าที่คิดมาก

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนำพาร่างของตนไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว  เขาไม่พบกับดวงไฟหรือร่างของชายลึกลับอีกเลย  จนอดที่จะคิดไม่ได้ว่าบางทีนั่นอาจเป็นวิญญาณของอัศวินโอแลนโด

                    โจเอลสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วรีบเร่งฝีเท้า  ทว่าหลังจากที่เดินมาได้ไม่นานเขาก็ต้องพบกับทางตัน  ชายหนุ่มเหลียวมองโดยรอบก็ไม่พบเส้นทางอื่นแต่อย่างใด  มีเพียงด้านบนที่ดูเหมือนจะมีอุโมงค์อยู่  น่าจะพอให้ไปต่อได้  ติดอยู่เพียงแค่ว่ามันอยู่สูงขึ้นไปราวยี่สิบห้าฟุต...

                    โจเอลแหงนมองขึ้นไปยังด้านบน  มิรู้ที่จะหาทางใดขึ้นไปได้  ความหวังดูจะริบหรี่เลือนรางอยู่แล้ว  หากว่าไม่มีแสงไฟสว่างมาจากอุโมงค์ด้านบน  สักพักหนึ่งก็ปรากฏร่างของคนสองคน  ร่างหนึ่งมีผิวสีแดง  และอีกร่างมีผิวสีน้ำเงิน

                    ท่านจ้าวชีวิต?*  หนึ่งในนั้นตะโกนถามลงมา

                    ...ช่วยเรียกข้าว่าโจเอลเถอะ  พวกเจ้าสองคนพอจะช่วยข้าขึ้นไปได้หรือเปล่า?*  โจเอลถามกลับไป  ไม่นานเส้นเถาวัลย์สีเงินก็ถูกหย่อนลงมาเป็นคำตอบ  เขาจึงใช้มันช่วยในการปีนกลับขึ้นไป  หรืออันที่จริงน่าจะเรียกว่าถูกดึงขึ้นไปมากกว่า  ด้วยท่อนแขนอันกำยำของยักษ์สองพี่น้อง  เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวทั้งสามก็ได้ยืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน

                    แล้วคนอื่นๆล่ะ?*  โจเอลถามถึงคนที่เหลือทันที  ยักษ์สองพี่น้องมองหน้ากันอยู่ทีหนึ่งก่อนจะตอบ

                    ยังไม่มีใครฟื้นเลย  คงเพราะเราสองคนมีเชื้อสายของเมยานาร์  จึงฟื้นตัวได้เร็วกว่าพวกท่าน*  มาโก๊ก กล่าว

                    เราตื่นขึ้นมาไม่พบท่านจึงรีบตามหา  พอดีเห็นแสงไฟจึงได้มาเจอท่านนี่แหละ*  โก๊กเสริม

                    ว่าแต่...  ทำไมท่านถึงฟื้นขึ้นมาก่อนคนอื่นๆกันหรือ?  แล้ว...  ชุดนั่น...?*  มาโก๊กถาม  แต่โจเอลไม่ได้ตอบ  เขามองสองพี่น้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

                    ข้าอยากรู้เรื่องทั้งหมด  เกี่ยวกับสตรีลึกลับที่ปรากฏตัวนั่น  เดี๋ยวนี้!*

     

                    เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่นั้นมิอาจทราบได้  เพราะสำหรับจอร์ชแล้ว  การต้องอยู่อย่างอึดอัดเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่าเวลาช่างเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน  นั่นเพราะเขาต้องนอนนิ่งๆอยู่นานจนรู้สึกเมื่อยขบ

                    เมื่อมองขึ้นไปบนเพดาน  เรือนร่างอันเย้ายวนของเมยานาร์ตอนนี้ได้นอนขนานกับร่างของจอร์ช  ทว่าสูงขึ้นไปราวสิบฟุตโดยใช้สายรยางค์ในการยึดเกาะกับผนังไว้

                    ตั้งแต่ตอนที่นางเอ่ยถึงเหยื่อสังเวยอีกคนหนึ่ง  นางก็หลบขึ้นไปนอนบนนั้นด้วยท่าทางอันประหลาด  และไม่ได้ให้ความสนใจกับจอร์ชอีก  แม้ว่าดวงตาสีเหลืองหม่นที่งดงามนั้นจะมิได้หลับลงไป  แต่จอร์ชก็สังเกตเห็นว่ามันไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเขาอีก  ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงลุกขึ้นดู

                    ชายหนุ่มร่างสะโอดสะองค่อยๆเคลื่อนกายลุกขึ้น  เงียบ...  ไม่มีการตอบสนองใดๆจากสตรีที่นอนอยู่...  จอร์ชชำเลืองไปรอบๆเพื่อหาทางหลบหนี  แต่เมื่อได้ลุกขึ้นมองให้ถนัดตา  เขาก็พบเข้ากับภาพอันน่าสะพรึงกลัว...

                    ที่มุมหนึ่งของถ้ำ  จอร์ชก็พบกับร่างไร้วิญญาณนับสิบร่างที่นอนทับถมก่ายกองกันอยู่  บางร่างดูมีน้ำมีนวลจนเหมือนกับแค่หลับไปเท่านั้น  บางร่างมีรอยกัดเว้าแหว่งหายไปเป็นส่วนๆ  และอีกมากที่เหลือเป็นแค่ซากกองกระดูก...

                    ชายหนุ่มแทบจะอาเจียนเมื่อจินตนาการถึงชะตากรรมของคนเหล่านั้น  ซึ่งอาจรวมถึงตัวเขาเองด้วย...  ไม่สิ...  เขาจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด...

                    จอร์ชค่อยๆเดินเข้าไปคว้ากระดูกท่อนหนึ่งขึ้นมา  มันคงเป็นกระดูกท่อนขาเพราะมีขนาดยาวพอสมควร  ที่ปลายด้านหนึ่งนั้นแตกเป็นส่วนที่แหลมขึ้นมา  เขาจึงขัดมันกับพื้นหินเพื่อให้คมยิ่งขึ้น  และไม่ลืมที่จะนำตะไคร่มาปั้นจนเนื้อละเอียดดี  หากจะรอดไปจากที่นี่  ก่อนอื่นเขาต้องมีอาวุธป้องกันตัวเสียก่อน...

                    ใกล้ๆกับกองซากศพ  คือสิ่งของมีค่าต่างๆที่ถูกทับถมกันจนท่วมสูง  ส่วนใหญ่เป็นอัญมณีและลูกปัดหลากสี  แต่ที่สะดุดตาเขามากที่สุด...  คือมงกุฎที่ทำจากทองคำนั่นเอง!

                    มงกุฎทองคำสลักลวดลายวิจิตรงดงาม  ทั้งยังฝังอัญมณีที่แตกต่างกันไว้ถึง 12 ชนิด  แค่ดูเผินๆก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือช่างชาวเกลลิคแน่  จอร์ชมองมันด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา  เขาเคยเห็นมันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...  เมื่อครั้งที่เขายังอยู่กับ...  เสด็จพ่อ...  ว่าแต่...  ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่?  หรือว่านี่คือสิ่งที่องค์จักรพรรดิทรงต้องการให้ค้นหา?

                    ไม่ทันที่จอร์ชจะได้คิดอะไรต่อ  เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นเมื่อมีเสียงแหวกผืนน้ำดังมาจากทางเข้า  ชายหนุ่มรีบวางมงกุฎที่ไว้ที่เดิม  พยายามเพ่งมองว่าสิ่งใดที่เคลื่อนที่เข้ามา  ไม่ช้าร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น  มันมีรูปร่างคล้ายกลุ่มก้อนของหัวกะโหลกที่รวมกันเข้าเป็นคนตัวโตๆ

                    ร่างนั้นเดินฝ่าผืนน้ำเข้ามาในถ้ำอย่างช้าๆ  บนบ่าของงมันมีสตรีในชุดคลุมยาวพาดอยู่  เพียงเห็นผู้ที่ถูกจับมาแค่แวบเดียว  จอร์ชก็ถึงกับอุทานออกมา

                    ลูนาร์!!!”

     

    * เป็นภาษาการ์กอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×