คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 17 ถ้ำอัศวิน
“กิ๊ซ! กิ๊ซ! กิ๊ซ!” ตัวประหลาดรูปร่างเหมือนหัวกะโหลกมนุษย์หลายสิบหัวร้องรับกันเป็นทอดๆ พวกมันกำลังล้อมโจเอลและลูนาร์ไว้ทุกทิศทุกทาง!
ในที่สุดหนึ่ง ในพวกนั้นก็เริ่มการโจมตีเป็นตัวแรก มันพุ่งตัวเข้าใส่คนทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทว่าการโจมตีเป็นเส้นตรงเช่นนี้ไม่อาจทำอะไรโจเอลได้ ดูรันดานาถูกกระชากขึ้นฉายแววในชั่วเสี้ยววินาที แล้วตัวประหลาดดังกล่าวก็ขาดออกเป็นสองท่อน พรรคพวกของมันที่เหลือก็ทำแบบเดียวกันนั้นอย่างไม่กลัวตาย แต่โจเอลก็ปัดป้องได้จนหมด ซ้ำยังสังหารพวกมันลงไปตัวแล้วตัวเล่า ลูนาร์ก็มิได้อยู่เฉย เธอท่องบทสวดก่อนจะสาดน้ำมนต์ใส่พวกตัวประหลาดเหล่านั้น ซึ่งทำให้ตัวที่โดนต้องละลายลงไปดังเช่นตัวที่โดนก่อนหน้า
เมื่อเห็นว่าการโจมตีดูจะไร้ผล พวกมันจึงหยุดแล้วส่งเสียงเหมือนจะปรึกษากัน โจเอลและลูนาร์ต่างสงสัยว่าพวกตัวประหลาดจะทำอะไรต่อไป และทั้งสองไม่ต้องรอคำตอบนานนัก เมื่อสัตว์ประหลาดเหล่านั้นต่างเข้ามารวมกลุ่มกันจนดูคล้ายกองดินตะปุ่มตะป่ำ คนทั้งสองต่างจ้องมองการกระทำนั้นอย่างฉงน เพียงไม่นานกลุ่มก้อนของตัวประหลาดก็เริ่มขยับเขยื้อน มันยืดตัวขึ้นจนสูงเกือบถึงเพดาน รูปร่างแปรเปลี่ยนไปจนดูคล้ายกับคนตัวโตๆ
“กี๊ซ!” เจ้าตัวประหลาดที่บัดนี้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์กรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะฟาดแขนเข้าใส่โจเอล ชายหนุ่มตวัดดาบสีเขียวคมกริบเข้าหยุดยั้งการจู่โจม แขนของตัวประหลาดขาดกระเด็นทันที แต่มันหาได้สะดุ้งสะเทือนไม่ กลับโถมตัวเข้ากระแทกใส่โจเอลจนกระเด็น แต่โจเอลก็กระโดดถอยหลังก่อนที่จะถูกปะทะจึงมิได้บอบช้ำมากนัก
เมื่อตั้งหลักได้ โจเอลก็คิดหาวิธีจัดการกับร่างยักษ์ตรงหน้า ศัตรูตัวนี้ดูจะไม่ธรรมดา เขาคงไม่อาจจัดการมันได้โดยเร็ว ชายหนุ่มขยับดาบในมือ คิดที่จะลองโจมตีเพื่อหยั่งเชิง ทว่าเมื่อจะก้าวเท้าออกไปกลับต้องสะดุด!
แขนของตัวประหลาดที่เพิ่งจะถูกโจเอลตัดซึ่งกองอยู่บนพื้นนั้น บัดนี้ได้แยกออกเป็นตัวเล็กตัวน้อยอีกครั้งและได้ใช้สายรยางค์รัดขาของเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ขณะที่เจ้าตัวร้ายก็ยืดสายรยางค์ออกมาแทนแขนข้างที่ถูกตัด มันยืดสิ่งที่คล้ายหนวดปลาหมึกออกไปคว้าหินก้อนยักษ์เพื่อใช้แทนอาวุธ เจ้าอสูรกายร่างยักษ์ก้าวย่างเพื่อจะฟาดหินก้อนใหญ่เข้าใส่เหยื่อที่ยังถูกตรึงอยู่กับที่!
“เดย์ไลท์!!” ลูนาร์รีบใช้เวทย์เข้าแทรกการโจมตีนั้นเพื่อช่วยโจเอลไว้ แสงสว่างเจิดจ้าจากปลายไม้เท้าทำให้ศัตรูร่างใหญ่หยุดชะงัก โจเอลรีบตัดสายรยางค์ที่รัดขาเขาไว้แล้วรีบกลิ้งตัวหลบ ก่อนที่หินก้อนยักษ์จะฟาดลงมาอย่างฉิวเฉียด การจู่โจมครั้งนั้นรุนแรงมากเสียจนทำเอาพื้นที่พวกเขายืนอยู่เกิดรอยแตกที่เห็นได้ชัด
เจ้าตัวใหญ่เงื้ออาวุธของตนเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่โจเอลก็รีบถลันเข้าใส่แล้วใช่ดาบฟันเข้าที่ข้อเท้าจนขาดสะบั้น ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงเสียหลักทันที มันล้มลงเสียงดังสนั่น ตามติดด้วยหินก้อนยักษ์ที่หล่นลงทับตัวมันเอง
การล้มลงของเจ้าตัวประหลาดร่างยักษ์ส่งผลให้พื้นหินที่ยืนอยู่ถล่มลงอย่างกระทันหัน โจเอลหงายหลังร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คือลูนาร์ซึ่งเกาะขอบผนังไว้ได้อย่างปลอดภัย...
โจเอลลืมตาฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ไม่แน่ใจว่าตนเองตกลงมาสูงขนาดไหนและสลบไปนานเท่าไหร่ เขาพยายามเพ่งมองกลับไปยังด้านบน ทว่าเปล่าประโยชน์ เพราะในความมืดนั้นเขาแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
ชายหนุ่มพยายามยันกายลุกขึ้นด้วยความลำบาก ร่างกายปวดระบมแต่ดูจะไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย โจเอลหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับความมืด เมื่อพอจะมองเห็นได้ลางๆเขาจึงกวาดมือไปตามพื้นเพื่อหาดาบคู่ใจ ทว่ากลับไปสัมผัสกับสายรยางค์แทน...
ตัวประหลาดหลายตัวตกลงมาเช่นเดียวกับโจเอล พวกมันล้วนตายกันหมดแล้ว บางทีอาจเพราะตกลงมาจากที่สูง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าแปลก... แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก? โจเอลไม่ได้ขบคิดเรื่องนั้นมากนัก ตอนนี้เขากังวลถึงลูนาร์มากกว่า เวลานี้เธอจะเป็นเช่นใดบ้าง...
ขณะที่โจเอลยังคงนิ่งเงียบเพราะความคิดคำนึงอยู่นั้น สิ่งหนึ่งก็ได้ดึงดูดสายตาของเขา... ดวงไฟสีเขียวสว่างวับแวมคล้ายหิงห้อย ทว่าใหญ่กว่าหลายเท่าตัวปรากฏขึ้นไม่ไกลจากที่ที่เขายืนอยู่ มันหยุดนิ่งทอดตัวลงต่ำเรี่ยพื้น แสงสว่างนั้นทำให้โจเอลมองสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีขึ้น ตรงพื้นซึ่งดวงไฟปริศนาหยุดอยู่นั้นคือที่ที่ดาบดูรันดานาตกอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะสนใจดาบเล่มนี้ แต่เมื่อโจเอลเดินตรงเข้าไปเพื่อจะเก็บดาบ ดวงไฟดังกล่าวก็ถอยหนี
โจเอลนึกประหลาดใจ เพราะดวงไฟสีเขียวยังไม่ยอมไปไหน สักพักมันก็ลอยช้าๆไปในทิศทางหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามันต้องการให้เขาเดินตามไป จึงเดินตามดวงไฟสีลึกลับไปเรื่อยๆจนถึงลำธารใต้ดินแห่งหนึ่ง น้ำในลำธารส่งกลิ่นเหม็นประหลาด ซ้ำยังมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายน้ำเดือด สิ่งเหล่านั้นเพียงพอที่จะเตือนใครก็ตามที่ได้เห็นว่าไม่ควรลงไปในน้ำ
ขณะที่โจเอลยังคงยืนลังเลอยู่นั้น ดวงไฟลึกลับก็นำสายตาเขาไปยังทิศทางหนึ่ง ที่ซึ่งมีหินประหลาดทอดตัวดั่งสะพาน ชายหนุ่มจึงลองก้าวขึ้นไปบนนั้น มันมีพื้นที่แบนราบน่าจะเดินผ่านไปได้โดยสะดวก แต่ก็บอบบางจนน่ากลัวว่าจะถล่มลงมาเมื่อใดก็ได้ และความกังวลนั้นก็ตั้งท่าว่าจะเป็นความจริง เพราะเพียงก้าวแรกที่ย่างลงไป ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอาการที่ไม่สู้ดี เขาจึงชักเท้ากลับแล้วมองไปรอบๆเพื่อหาทางอื่น ทว่าก็ดูจะเปล่าประโยชน์ ในความมืดเช่นนี้โจเอลไม่พบกับทางใดที่จะพาเขากลับขึ้นไปข้างบนได้อีก แต่หากจะข้ามสะพานนี้ไปก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
หลังจากที่ยืนคิดได้สักพักหนึ่ง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ปลดเกราะที่สวมอยู่จนเหลือเพียงชุดธรรมดา เพื่อลดน้ำหนักมิให้สะพานหินพังลงเสียก่อน มันดูจะได้ผลเมื่อคราวนี้สะพานไม่ส่งสัญญาณเช่นเดิมอีก โจเอลจึงเดินไปอย่างสบายใจมากขึ้น ดวงไฟลึกลับลอยช้าๆนำทางไปข้างหน้า ไม่นานนักโจเอลก็เดินมาจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง เขารู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เหยียบลงบนพื้นจริงๆอีกครั้ง
เมื่อสำรวจดูโดยรอบ พื้นที่ตรงนี้มีชายฝั่งที่เป็นหินทอดตัวยาวขนานไปกับลำธารใต้ดิน ชายฝั่งลึกเข้าไปไม่กี่ฟุต เบื้องหน้าของโจเอลคือช่องว่างลึกเข้าไปในแผ่นผาดั่งอุโมงค์ เขาเหลียวกลับไปมองฝั่งตรงข้ามของลำธารอยู่ครู่หนึ่งจึงทำให้คลาดสายตากับดวงไฟลึกลับ เพราะเมื่อหันกลับมามันก็หายไปเสียแล้ว หากแต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าไปในช่องผา คนผู้นั้นสวมชุดภูมิฐานแบบเดียวกับพวกขุนนาง เมื่อคะเนดูแล้วคงจะสูงพอกันกับโจเอล แต่ที่น่าประหลาดก็คือ... ร่างนั้นมีแสงเรืองๆสีเขียวห่อหุ้มไปทั้งตัว...!
เหมือนมีอะไรบางอย่างเชื้อเชิญให้โจเอลเดินตามร่างที่เรืองแสงไป แต่เมื่อก้าวเท้าผ่านซุ้มหินเข้าไป ร่างของชายลึกลับก็หายวับไปต่อหน้า! นั่นทำให้โจเอลตกอยู่ท่ามกลางความมืดอีกครั้ง เขาต้องใช้มือคลำไปตามพื้นเพื่อจะหาทิศทาง และก็ได้ไปสัมผัสถูกแท่งไม้บางอย่าง... เมื่อคว้ามันเข้ามาใกล้จึงได้กลิ่นน้ำมันดินที่ปลายอีกด้านหนึ่ง มันคือคบไฟนั่นเอง... ดูท่าว่ามันจะยังใช้ได้อยู่ชายหนุ่มจึงรีบจุดไฟขึ้น แสงสว่างทำให้สามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้อย่างชัดเจน และสิ่งแรกที่พบเห็นก็ทำให้เขาถึงกับนิ่งไป...
ตรงหน้าของโจเอลคือซากศพแห้งกรังที่สวมชุดเกราะเต็มยศ จะเหลือไว้แต่เพียงหมวกเกราะซึ่งถอดวางไว้ข้างกายเท่านั้น ซากศพดังกล่าวนั่งอยู่บนแท่นหินที่ด้านหนึ่งของถ้ำ แม้ว่าผู้สวมเกราะจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่าก็ยังดูองอาจน่าเกรงขาม หลังยังคงตั้งตรง มือทั้งสองข้างวางค้ำไว้เหนืออาวุธคู่กายซึ่งเป็นค้อนสงคราม ไหล่ก็มิได้ห่อลู่ลงแต่อย่างใด ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเขามิได้ตายโดยทรมานสักนิด หรือไม่ชายผู้นี้ก็คงจะมีความอดทนเป็นเลิศทีเดียว
ชุดเกราะที่สวมอยู่นั้น นับเป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากช่างชั้นเลิศทีเดียว การออกแบบมีจุดประสงค์เพื่อการปกป้องที่ดี มันจึงไม่มีชิ้นส่วนให้เกะกะรุ่มร่าม ทว่าก็มีความงามสง่าอย่างลงตัว แผ่นเหล็กที่ประกอบเป็นชุดเกราะมีพื้นผิวที่มันวับ แต่รอยขีดข่วนที่มีอยู่อย่างมากมายก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนทีเดียว
แผ่นเกราะทั้งหมดถูกจัดวางให้ป้องกันผู้สวมอย่างมิดชิด ต่อให้ยืนเป็นเป้านิ่งก็ยังยากจะหาจุดแทรกอาวุธผ่านการคุ้มกันเข้าไปได้ ในด้านความงดงามนั้น มีการฝังทองคำเพื่อสร้างลวดลายลงไปอย่างปราณีต บนหมวกเกราะยังมีสิ่งที่คล้ายเขาแกะที่สร้างจากทองคำประดับอยู่ด้วย
โจเอลทำความเคารพศพนั้น ด้วยคาดว่าเขาคงเป็นอัศวินจากที่ใดเป็นแน่ บางทีอาจเป็นอัศวินโอแลนโดที่กล่าวกันว่าได้หายสาบสูญไปในดินแดนแถบนี้เมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ชายหนุ่มสังเกตเห็นม้วนผ้าอยู่ที่พื้นตรงหน้าอัศวินจึงได้หยิบขึ้นมาดู
มันเป็นผ้าเนื้อดีผืนเล็กๆที่มีแหวนวงหนึ่งสวมไว้แทนปลอก แหวนดังกล่าวทำจากทองคำดูเรียบๆ หัวแหวนเป็นรูปหัวของแกะที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มดาว โจเอลคิดว่าบางทีม้วนผ้านั้นคงมีบันทึกบางอย่าง เขาจึงคลี่มันออกมาดูเพื่อจะได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิด บนผ้าเนื้อดีนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ มีใจความว่า...
“ถึงผู้ที่พบบันทึกฉบับนี้ ข้าคือโอแลนโด โอวิลไทน์ อัศวินแห่งราศีเมษ หนึ่งในกลุ่ม ไนท์ออฟ โซดิแอค ข้าได้ออกเดินทางมายังแดนเถื่อนแห่งนี้ในปีที่ 326 เพื่อจะค้นหาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สูญหายไป หลังจากยุคของปฐมจักรพรรดิโอรูธาน
ข้าได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากคนที่นี่ แต่ถูกขอร้องไม่ให้ขึ้นมาบนเขาลูกนี้ จนได้ทราบ ความจริงว่าคนเหล่านี้มีพิธีอันชั่วร้ายในการส่งผู้คนไปบูชายัญให้กับปิศาจในถ้ำบนภูเขา ข้าจึงอาสาเป็นผู้ถูก บูชายัญเพื่อจะได้สังหารปิศาจร้าย
ข้าได้ต่อสู้กับมันอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน และในที่สุดก็สามารถสังหารมันได้ด้วยความยากลำบาก แต่ ก็บาดเจ็บอย่างหนักและหลงทางอยู่ในถ้ำแห่งนี้ เมื่อคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว ข้าจึงได้กำหนดลมหายใจ เพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบ
ข้าขอวิงวอนต่อผู้ใดก็ตามที่ได้พบบันทึกนี้ จงช่วยนำบันทึกและแหวนที่ผนึกไว้ มอบให้แก่คนใน ตระกูลของข้าที่อยู่ ณ เมอร์ซาทิม ส่วนชุดเกราะและอาวุธ ขอให้นำไปคืนให้แด่องค์พระจักรพรรดิหรือ พระสังฆราช ข้าขอสัญญาว่าผู้ที่ทำตามคำขอนี้จะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม
สุดท้ายนี้ ด้วยลมหายใจที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ข้าขออุทิศไว้ในความรักและคะนึงหา แด่โซเฟียผู้ เป็นยอดหญิงในดวงใจของข้า และเซรีนบุตรสาวตัวน้อยของข้า...”
เมื่อได้อ่านเนื้อความบนแผ่นผ้าจนจบ ชายหนุ่มก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก ที่อัศวินผู้เรืองนามกลับต้องมาสิ้นชีพในแดนไกลโดยไม่มีผู้ทำพิธีศพให้ แม้ว่าโจเอลจะเป็นเพียงผู้ปกครองหมู่บ้านเล็กๆริมพรมแดน แต่เขาก็ทราบดีถึงกิตติศัพท์ของกลุ่มไนท์ออฟโซดิแอค (Knight of Zodiac) กลุ่มอัศวินซึ่งเป็นตัวแทนแห่งอำนาจขององค์จักรพรรดิ และเป็นพวกที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือสูงที่สุด
อีกส่วนที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจก็เพราะเขากับอัศวินผู้นี้ถือได้ว่ามีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง กรานัคปู่ของโจเอลก็คือผู้ติดตามของโอแลนโดนั่นเอง แม้จะผ่านมาจนถึงรุ่นเขา โจเอลก็ยังรู้สึกเคารพอัศวินผู้นี้ในฐานะผู้ที่เป็นนายคนหนึ่ง
โจเอลม้วนผ้าผืนนั้นไว้เช่นเดิม คิดไว้ว่าจะต้องทำตามประสงค์ของผู้ตายให้จงได้ จากนั้นเขาจึงมองไปรอบๆเพื่อจะหาวิธีที่จะฝังศพอัศวินแห่งราศีเมษตามที่เวลาจะอำนวย ถ้ำแห่งนี้มิได้กว้างขวางมากนัก มันมีขนาดราวๆยี่สิบฟุตเท่านั้น ที่ด้านหนึ่งมีทางต่อไปอีก พื้นเป็นหินแข็งคงยากที่จะขุด แต่ก็มีหินก้อนใหญ่ๆมากพอจะวางกลบศพไว้ได้จนมิด
เมื่อคิดหนทางที่จะทำพิธีศพได้ ชายหนุ่มจึงรีบลงมือทันที เขาทำความเคารพศพอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆถอดชุดเกราะออกจากร่างไร้ชีวิต น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ศพนั้นยังอยู่ในสภาพดี ทั้งๆเวลาได้ผ่านมาเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม โจเอลวางร่างไร้วิญญาณลงที่มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นก็ได้สวดส่งวิญญาณให้ก่อนจะนำหินมาวางทับศพ ระหว่างที่กำลังเรียงหินอยู่นั้น โจเอลก็หวนนึกถึงเนื้อความในบันทึกซึ่งมีบางส่วนที่ยังคงติดใจเขาอยู่
อย่างแรกเขาสงสัยว่าทำไมอัศวินโอแลนโดจึงได้รับการต้อนรับที่ดีจากชาวการ์กอน? อาจเป็นเพราะอัศวินผู้นี้เดินทางมาโดยลำพังและไม่มีท่าทีคุกคาม หรืออาจเป็นเพราะยุคนั้นชาวการ์กอนยังไม่มีความหวาดระแวงผู้คนภายนอกก็เป็นได้...
อีกประการนั้นโจเอลรู้สึกสงสัยที่อัศวินผู้นี้กล่าวว่าได้สังหารปิศาจในถ้ำนี้ไปแล้ว... ปิศาจที่ว่านั้นจะใช่สตรีลึกลับหรือเปล่า? หากว่าใช่แล้วทำไมนางจึงยังปรากฏกายอยู่อีก? ถ้ามิใช่ความเข้าใจผิดว่าได้สังหารปิศาจตนนั้นแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าในถ้ำแห่งนี้ยังมีปิศาจตนอื่นอยู่อีก...
หลังจากทำพิธีศพให้อัศวินโอแลนโดเท่าที่เวลาจะอำนวยแล้ว โจเอลก็กลับมาครุ่นคิดถึงปัญหาของตนอีกครั้ง เขาต้องหาเส้นทางที่จะสามารถติดตามลูนาร์และจอร์ชให้ได้โดยไว ชายหนุ่มเหลียวมองชุดเกราะที่เพิ่งจะถูกถอดออกมาจากศพ เขาต้องนำมันไปด้วยเพื่อคืนให้แด่องค์พระจักรพรรดิหรือพระสังฆราช แต่การต้องหอบหิ้วเกราะทั้งชุดไปด้วยเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ เว้นแต่ว่า...
แม้ว่าจะเป็นการไม่สมควรสักเท่าไหร่ ที่จะนำชุดเกราะของผู้ตายมาสวมทันที แต่เขาต้องรีบไปเพื่อที่จะช่วยลูนาร์และจอร์ช การต้องนำสิ่งนี้ไปในรูปของสัมภาระคงจะไม่สะดวกนัก และเขายังอาจต้องพึ่งพาการป้องกันจากชุดเกราะนี้อีกด้วย หากว่าจะต้องเจอกับปิศาจพวกนั้นอีก
โดยไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ โจเอลรีบจัดแจงสวมชุดเกราะทันที ชุดเกราะมีขนาดรับกับร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด ซึ่งคงเป็นเพราะขนาดร่างกายของเขาและอัศวินโอแลนโดที่ใกล้เคียงกันนั่นเอง และเมื่อเริ่มก้าวเดิน โจเอลก็รู้สึกว่าชุดนั้นเบากว่าที่คิดมาก
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนำพาร่างของตนไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว เขาไม่พบกับดวงไฟหรือร่างของชายลึกลับอีกเลย จนอดที่จะคิดไม่ได้ว่าบางทีนั่นอาจเป็นวิญญาณของอัศวินโอแลนโด
โจเอลสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วรีบเร่งฝีเท้า ทว่าหลังจากที่เดินมาได้ไม่นานเขาก็ต้องพบกับทางตัน ชายหนุ่มเหลียวมองโดยรอบก็ไม่พบเส้นทางอื่นแต่อย่างใด มีเพียงด้านบนที่ดูเหมือนจะมีอุโมงค์อยู่ น่าจะพอให้ไปต่อได้ ติดอยู่เพียงแค่ว่ามันอยู่สูงขึ้นไปราวยี่สิบห้าฟุต...
โจเอลแหงนมองขึ้นไปยังด้านบน มิรู้ที่จะหาทางใดขึ้นไปได้ ความหวังดูจะริบหรี่เลือนรางอยู่แล้ว หากว่าไม่มีแสงไฟสว่างมาจากอุโมงค์ด้านบน สักพักหนึ่งก็ปรากฏร่างของคนสองคน ร่างหนึ่งมีผิวสีแดง และอีกร่างมีผิวสีน้ำเงิน
“ท่านจ้าวชีวิต?*” หนึ่งในนั้นตะโกนถามลงมา
“...ช่วยเรียกข้าว่าโจเอลเถอะ พวกเจ้าสองคนพอจะช่วยข้าขึ้นไปได้หรือเปล่า?*” โจเอลถามกลับไป ไม่นานเส้นเถาวัลย์สีเงินก็ถูกหย่อนลงมาเป็นคำตอบ เขาจึงใช้มันช่วยในการปีนกลับขึ้นไป หรืออันที่จริงน่าจะเรียกว่าถูกดึงขึ้นไปมากกว่า ด้วยท่อนแขนอันกำยำของยักษ์สองพี่น้อง เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวทั้งสามก็ได้ยืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน
“แล้วคนอื่นๆล่ะ?*” โจเอลถามถึงคนที่เหลือทันที ยักษ์สองพี่น้องมองหน้ากันอยู่ทีหนึ่งก่อนจะตอบ
“ยังไม่มีใครฟื้นเลย คงเพราะเราสองคนมีเชื้อสายของเมยานาร์ จึงฟื้นตัวได้เร็วกว่าพวกท่าน*” มาโก๊ก กล่าว
“เราตื่นขึ้นมาไม่พบท่านจึงรีบตามหา พอดีเห็นแสงไฟจึงได้มาเจอท่านนี่แหละ*” โก๊กเสริม
“ว่าแต่... ทำไมท่านถึงฟื้นขึ้นมาก่อนคนอื่นๆกันหรือ? แล้ว... ชุดนั่น...?*” มาโก๊กถาม แต่โจเอลไม่ได้ตอบ เขามองสองพี่น้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าอยากรู้เรื่องทั้งหมด เกี่ยวกับสตรีลึกลับที่ปรากฏตัวนั่น เดี๋ยวนี้!*”
เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่นั้นมิอาจทราบได้ เพราะสำหรับจอร์ชแล้ว การต้องอยู่อย่างอึดอัดเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่าเวลาช่างเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน นั่นเพราะเขาต้องนอนนิ่งๆอยู่นานจนรู้สึกเมื่อยขบ
เมื่อมองขึ้นไปบนเพดาน เรือนร่างอันเย้ายวนของเมยานาร์ตอนนี้ได้นอนขนานกับร่างของจอร์ช ทว่าสูงขึ้นไปราวสิบฟุตโดยใช้สายรยางค์ในการยึดเกาะกับผนังไว้
ตั้งแต่ตอนที่นางเอ่ยถึงเหยื่อสังเวยอีกคนหนึ่ง นางก็หลบขึ้นไปนอนบนนั้นด้วยท่าทางอันประหลาด และไม่ได้ให้ความสนใจกับจอร์ชอีก แม้ว่าดวงตาสีเหลืองหม่นที่งดงามนั้นจะมิได้หลับลงไป แต่จอร์ชก็สังเกตเห็นว่ามันไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเขาอีก ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงลุกขึ้นดู
ชายหนุ่มร่างสะโอดสะองค่อยๆเคลื่อนกายลุกขึ้น เงียบ... ไม่มีการตอบสนองใดๆจากสตรีที่นอนอยู่... จอร์ชชำเลืองไปรอบๆเพื่อหาทางหลบหนี แต่เมื่อได้ลุกขึ้นมองให้ถนัดตา เขาก็พบเข้ากับภาพอันน่าสะพรึงกลัว...
ที่มุมหนึ่งของถ้ำ จอร์ชก็พบกับร่างไร้วิญญาณนับสิบร่างที่นอนทับถมก่ายกองกันอยู่ บางร่างดูมีน้ำมีนวลจนเหมือนกับแค่หลับไปเท่านั้น บางร่างมีรอยกัดเว้าแหว่งหายไปเป็นส่วนๆ และอีกมากที่เหลือเป็นแค่ซากกองกระดูก...
ชายหนุ่มแทบจะอาเจียนเมื่อจินตนาการถึงชะตากรรมของคนเหล่านั้น ซึ่งอาจรวมถึงตัวเขาเองด้วย... ไม่สิ... เขาจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด...
จอร์ชค่อยๆเดินเข้าไปคว้ากระดูกท่อนหนึ่งขึ้นมา มันคงเป็นกระดูกท่อนขาเพราะมีขนาดยาวพอสมควร ที่ปลายด้านหนึ่งนั้นแตกเป็นส่วนที่แหลมขึ้นมา เขาจึงขัดมันกับพื้นหินเพื่อให้คมยิ่งขึ้น และไม่ลืมที่จะนำตะไคร่มาปั้นจนเนื้อละเอียดดี หากจะรอดไปจากที่นี่ ก่อนอื่นเขาต้องมีอาวุธป้องกันตัวเสียก่อน...
ใกล้ๆกับกองซากศพ คือสิ่งของมีค่าต่างๆที่ถูกทับถมกันจนท่วมสูง ส่วนใหญ่เป็นอัญมณีและลูกปัดหลากสี แต่ที่สะดุดตาเขามากที่สุด... คือมงกุฎที่ทำจากทองคำนั่นเอง!
มงกุฎทองคำสลักลวดลายวิจิตรงดงาม ทั้งยังฝังอัญมณีที่แตกต่างกันไว้ถึง 12 ชนิด แค่ดูเผินๆก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือช่างชาวเกลลิคแน่ จอร์ชมองมันด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา เขาเคยเห็นมันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว... เมื่อครั้งที่เขายังอยู่กับ... เสด็จพ่อ... ว่าแต่... ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่? หรือว่านี่คือสิ่งที่องค์จักรพรรดิทรงต้องการให้ค้นหา?
ไม่ทันที่จอร์ชจะได้คิดอะไรต่อ เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นเมื่อมีเสียงแหวกผืนน้ำดังมาจากทางเข้า ชายหนุ่มรีบวางมงกุฎที่ไว้ที่เดิม พยายามเพ่งมองว่าสิ่งใดที่เคลื่อนที่เข้ามา ไม่ช้าร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันมีรูปร่างคล้ายกลุ่มก้อนของหัวกะโหลกที่รวมกันเข้าเป็นคนตัวโตๆ
ร่างนั้นเดินฝ่าผืนน้ำเข้ามาในถ้ำอย่างช้าๆ บนบ่าของงมันมีสตรีในชุดคลุมยาวพาดอยู่ เพียงเห็นผู้ที่ถูกจับมาแค่แวบเดียว จอร์ชก็ถึงกับอุทานออกมา
“ลูนาร์!!!”
* เป็นภาษาการ์กอน
ความคิดเห็น