คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16 อาร์คี???
“ซ่า...!!” เสียงผืนน้ำแตกกระจายดึงความสนใจให้ทุกคนมาชุมนุมกันที่ริมสระ ไม่ทันที่ใครจะได้ขยับเขยื้อน ร่างหนึ่งก็โผล่พ้นผิวน้ำ
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคนคือสาวรุ่นที่มีรูปร่างงดงามไร้ที่ติ ทว่าผิวกายนั้นกลับเป็นสีฟ้าซีดเผือดไร้วี่แววของโลหิตไหลเวียน ใบหน้าอันชวนหลงใหลจัดวางทุกสิ่งได้ลงตัวพอดี ทั้งจมูกโด่งที่รับกัน ริมฝีปากอวบอิ่มเชิญชวน หรือดวงตาคู่งามดูคม
ทว่าความงามเหล่านั้นก็แอบแฝงความน่ากลัวไว้ด้วย ดวงตาคมโตสวยแต่กลับไร้แววของชีวิต นัยน์ตาสีเหลืองหม่นดั่งจะดึงดูดเข้าสู่เหวที่ไร้ก้นบึ้ง ริมฝีปากที่อวบอิ่มนั้นก็เป็นสีม่วงหมองคล้ำ ซึ่งหากผู้ใดได้จุมพิตคงถูกกลืนกินวิญญาณไปในทันที เรือนที่ไร้อาภรณ์ส่องประกายระยิบจากหยดน้ำพร่างพราวดูราวกับจะไม่มีวันเหือดแห้ง เมื่อสังเกตให้ดีจะรู้ได้ทันทีว่าผิวกายนั้นไม่เหมือนกับผิวของมนุษย์ มันเรียบลื่นเป็นมันปลาบ ซึ่งหากเทียบแล้วคงใกล้เคียงกับผิวของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเสียมากกว่า
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ร่างนั้นดูผิดแผกไปจากมนุษย์ บนศีรษะของสตรีปริศนานั้นมีบางสิ่งที่ดูคล้ายหมวกหรือมงกุฎ แต่สิ่งนั้นกลับมีชีวิต! สายรยางค์ที่ดูคล้ายหนวดปลาหมึกขยับเขยื้อนไปมาปกปิดร่างเปลือยเปล่าอย่างมิสู้จะมิด มันมีอยู่หลายเส้นด้วยกันทำให้ปิดบังเส้นผมดำขลับไว้จนเกือบหมดและยังมีอีกมากที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำดูน่ากลัว
ร่างอันงามประหลาดนั้นพักกายลงบนโขดหินตรงหน้าจอร์ช มันใช้แขนเพรียวบางยันกายขึ้นพลางจ้องมองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหมดจด จอร์ชนิ่งงันไม่รู้ว่าเพราะถูกดวงตาสีเหลืองหม่นนั้นสะกดไว้หรืออย่างไร แต่ทุกคนในที่นั้นหยุดนิ่งเหมือนกันหมดแทบไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจ
ไม่ช้าริมฝีปากม่วงคล้ำก็ขยับเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมซี่เล็กๆน่าสยดสยอง หญิงสาวร่างสีฟ้าเริ่มส่งเสียงร้องออกมา เป็นเสียงร้องที่เย็นเยียบชวนให้ขนลุกทว่าก็มีเสน่ห์ชวนให้เคลิบเคลิ้ม หลายคนเริ่มทรุดตัวลงทำท่าว่าจะหลับราวกับว่าเสียงนั้นเป็นเพลงกล่อมนอน โจเอลที่เห็นท่าไม่ดีรีบกระชากดาบดูรันดานาออกจากฝัก ไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรต่อไปความอ่อนเพลียก็จู่โจมขึ้นอย่างยากที่จะขัดขืน ในที่สุดก็เข้าสู่ห้วงนิทราเหมือนกับทุกคน พร้อมๆกันนั้นจอร์ชก็สิ้นสติลงเช่นกัน
ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะทิ้งตัวลงถึงพื้น สายรยางค์คู่หนึ่งก็คว้าเอาไว้แล้วนำเข้าสู่อ้อมกอดของหญิงสาวปริศนา นางหัวเราะเสียงเย็นก่อนจะพาชายหนุ่มหน้าตาสะสวยหายลับไปยังต้นน้ำ...
“โอรูธา... โจเอล...” น้ำเสียงทรงอำนาจฟังดูคุ้นเคยดังแว่วมา โจเอลลืมตาขึ้นมองไปรอบๆกาย เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะมีแต่หมอกมัวเต็มไปหมดจนมองเห็นได้แค่ไม่กี่ช่วงตัว ไม่ช้าร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม ร่างนั้นเป็นบุรุษประมาณสี่สิบปลายๆ สูงสง่าและสวมมงกุฎทองคำ
“ท่านอาราริค!” โจเอลร้องเรียกด้วยความดีใจ เขาจำผู้ที่กำลังเดินมาหาได้ทันที ฝ่ายที่อาวุโสกว่าพยักหน้าให้เป็นเชิงรับแล้วรีบกล่าวกับชายหนุ่มทันที
“โจเอล นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะมานอนเล่นนะ”
“นี่... ข้าอยู่ที่ไหนกัน?” โจเอลร้องถาม เขาขมวดคิ้วสีน้ำตาลอ่อนพยายามจับต้นชนปลาย
“ในฝัน” อาราริคตอบสั้นๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนาเจือไปด้วยความสงสัยจึงอธิบายต่อ “ฮะๆ อย่างที่ข้าเคยบอกนั่นแหละ มังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเป็นนามธรรมมาก พวกเราสามารถเข้าออกความฝันได้ เพราะเป็นช่วงที่มนุษย์ปล่อยจิตให้เป็นอิสระ อืม... ท่านน่ะโดนเวทมนต์ของพวกอาร์คีเข้าไป ดีที่ตอนนี้ข้ากำลังหลับอยู่เหมือนกันจึงเข้ามาช่วยท่านโดยผ่านทางความฝันได้”
“อาร์คี?” โจเอลย้ำคำ เขารู้สึกสงสัยต่อคำๆนี้มาก อาราริคเงียบไปเหมือนไม่อยากจะเล่า
“ก่อนที่มนุษย์จะครองพื้นพิภพ และก่อนยุคของมังกร อาร์คีคือพวกที่มีอำนาจสูงสุด” พญามังกรกล่าวออกมาในที่สุด ก่อนจะเนรมิตม้านั่งเรียบๆขึ้นสองตัว แล้วจึงเชื้อเชิญให้สหายผู้ต่างทั้งวัยและเผ่าพันธุ์นั่งลง โจเอลนั่งตามคำเชิญเพราะดูเหมือนว่าอาราริคจะอธิบายเรื่องนี้อย่างยืดยาวทีเดียว
“ในยุคที่แผ่นดินยังร้างผู้คน, สัตว์นานาชนิด หรือแม้แต่มังกร อาร์คีคือพวกแรกที่แผ่อิทธิพลบนพื้นปฐพี เอ่อ... ถ้าไม่นับพวกต้นไม้น่ะนะ... จนเมื่อมังกรได้ถือกำเนิดขึ้นและเริ่มเรืองอำนาจ สองเผ่าพันธุ์จึงทำสงครามแห่งการแย่งชิงอำนาจกัน สงครามดังกล่าวกินเวลาเนิ่นนานนับโกฏิปี อืม... ข้าไม่แน่ใจว่าท่านจะเข้าใจถึงความยาวนานนี้หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่ามันยาวนานมากแล้วกัน” อาราริคหยุดพักนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“จนเมื่อมนุษย์กำเนิดขึ้น ....มนุษย์และมังกรจึงได้ร่วมมือกันกำจัดอาร์เคียนส์...” พญามังกรจบเรื่องเล่าของตนเองอย่างรวดเร็วผิดกับที่คาด โจเอลรู้สึกได้ว่าอาราริคมีปิดบังอะไรไว้อยู่ทว่าไม่อยากรบเร้า
“...ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์สักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ดูจะคาบเกี่ยวกับข้าอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจะเสนอความช่วยเหลือเล็กน้อยๆให้แก่ท่าน...” อาราริคยืดตัวขึ้นลูบเคราขึ้นทีหนึ่งก่อนจะกล่าว “อืม... อาวุธของพวกมนุษย์นั้นไม่สามารถฆ่าพวกอาร์คีได้... แต่ดาบดูรันดานาที่อยู่ในมือท่านสามารถจะฆ่ามันได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่ข้าจะช่วยท่านก็เพียงแค่... ปลุกท่านจากมนต์สะกด...” พูดจบพญามังกรก็ดีดนิ้ว พริบตาภาพที่อยู่รอบๆตัวโจเอลก็หายวับ ชายหนุ่มรู้สึกหล่นวูบลงสู่หุบเหวลึก...
“แค๊รง!!” เสียงของโลหะสีเขียวปีแมลงทับที่หลุดลงจากมือชายหนุ่มตกกระทบกับพื้นหิน ปลุกผู้เป็นเจ้าของให้ตื่นจากภวังค์
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลียวมองไปรอบๆตัว หมอกสลัวรางและพญามังกรหายไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในถ้ำดาราราย ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมสถานอันงามประหลาด รอบกายของโจเอลคือบรรดาทหารที่ที่หลับใหลด้วยมนต์สะกด
นี่คงไม่ใช่เล่ห์กลของยักษ์ฝาแฝดชาวการ์กอนที่ลวงพวกเขาเข้าสู่กับดัก เพราะทั้งสองก็ทิ้งกายลงพักผ่อนเช่นทุกคน โจเอลสังเกตดูรอบๆว่ามีใครตื่นขึ้นมาเช่นเขาบ้าง แต่เมื่อยืนขึ้นผ้าห่มที่คลุมตัวเขาไว้ก็เลื่อนหลุดลง นั่นทำให้ชายหนุ่มสงสัย ใครเป็นคนห่มผ้าให้เขา?
ทหารทั้งหมดยังคงหลับสนิท เฮอร?มกับบุตรทั้งสองก็เช่นกัน ฮานส์นั้นถึงจะอยู่ในท่าคุกเข่าโดยชันขาข้างหนึ่งขึ้น มือทั้งสองกุมเข้าหากันด้วยท่าทางประหลาดคล้ายกับสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้สติ แล้วลูนาร์ล่ะ... เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ที่นี่...
เมื่อรู้ว่าลูนาร์หายตัวไปโจเอลก็ร้อนใจขึ้นทันที ‘หรือว่าเธอถูกจับตัวไป?’ ชายหนุ่มคิดกังวล ทั้งๆที่ตั้งใจจะปกป้องลูนาร์ไว้ให้ได้แต่ก็ยังล้มเหลว ยังดีที่เขามีสติพอจะสังเกตที่พื้น ตะไคร่บางๆที่จับอยู่บนพื้นหินปรากฏรอยเท้าของหญิงสาวอย่างชัดเจน รอยดังกล่าวตรงไปยังทางเดินเล็กๆริมสระซึ่งดูเหมือนจะพาไปสู่ต้นน้ำ นั่นพอจะทำให้โล่งใจได้อยู่อย่างว่าเธอไม่ได้ถูกจับตัวไป ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอหายไปไหนกัน? หรือว่าเธอกำลังจะไปตามหาจอร์ช? โจเอละครุ่นคิดพลางเดินตามรอยของหญิงสาวไปด้วยความเร่งรีบ
แพงขนตางอนสวยค่อยๆเผยอขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้างามหมดจด ทันทีที่ลืมตา ภาพแรกที่จอร์ชเห็นก็คือใบหน้าชวนหลงใหลของหญิงสาวผู้เป็นปริศนา แม้จะดูงดงามทว่าก็มีความน่ากลัวแฝงอยู่ เธอคร่อมอยู่เหนือร่างเขา มือเรียวทาบไว้ที่อกชายหนุ่มโดยยันตัวให้อยู่สูงกว่า นัยน์ตาสีเหลืองหม่นจ้องมองกลับมายังชายหนุ่มอย่างสเน่หา ไม่ยอมกระพริบตาหรือขยับเขยื้อนไปไหน
จอร์ชมองกลับอย่างสงสัย ไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ร่างเปลือยเปล่าของสตรีก็พาให้รู้สึกสะเทิ้นอายจนต้องเปลี่ยนไปมองรอบๆตัวแทน
ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในถ้ำอีกแห่งหนึ่ง กว้างราวยี่สิบฟุต ภายในสว่างอำไพไปด้วยแสงประหลาด คล้ายแสงจากตัวหิงห้อยทว่าใหญ่กว่าหลายเท่า ผนังถ้ำสะท้อนแสงเรืองรองดั่งทองคำซึ่งบางทีอาจเป็นทองคำจริงๆ มีอักขระประหลาดเขียนไว้อยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงน้ำไหลรินดังแว่วมาอีกด้วย แสดงว่ามีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆนี่เอง
เมื่อจอร์ชทำท่าว่าจะยันกายลุกขึ้น สายรยางค์คล้ายหนวดปลาหมึกก็รั้งร่างเขาไว้
“~~~ ~~” สตรีลึกลับกล่าวออกมา ชายหนุ่มไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่ก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับภาษาของพวกการ์กอน
“...ท่านเป็นใครกัน?” จอร์ชทำใจดีไว้ก่อนด้วยการถามกลับไป แต่คำพูดของเขาดูจะสร้างความขุ่นข้องให้กับฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก ใบหน้างดงามปรากฏรอยยับย่น คิ้วบางแทบจะชนติดกัน
“แค่ก... แค่ก.. เจ้าพูดภาษามังกร!? เจ้าไม่ใช่ชาวการ์กอน!?” เธออุทาน น้ำเสียงเหมือนสำรากของเน่าเสียยังไงยังงั้น จอร์ชแปลกใจที่สตรีผู้นั้นพูดภาษาของเขาได้ เธอไม่กล่าวอะไรต่อแต่ใช้นิ้วมือเรียวงามไล้ไปตามเส้นผมสีบลอนด์อ่อนๆยาวสลวยของจอร์ช ใช้มือสางมันแล้วก็ดึงขึ้นมาดอมดม
“อืม... พวกเกลลาร์... ทาสรับใช้มังกรรึ...” หญิงสาวพึมพำ น้ำเสียงฟังดูดีขึ้น จากนั้นก็หันมาจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่วางตาอีกครั้ง ไม่ทันที่จอร์ชจะได้ระวังตัว สตรีลึกลับก็คว้ามือของเขาขึ้นมาแล้วกัดเข้าที่ปลายนิ้วชี้!
...ฟันอันแหลมคมชำแรกผ่านเนื้อหนังลงไป ถึงจะไม่ลึกนักแต่ก็เพียงพอจะให้เลือดไหลรินออกมา ปลายลิ้นเย็นเฉียบดูดดุนนิ้วนั้น กำซาบรสชาติที่หลั่งออกมา...
“~~~~ ~~” หญิงสาวถอนนิ้วออกจากริมฝีปากอันอวบอิ่ม พร่ำเพ้อด้วยภาษาการ์กอนอีกครั้ง ดวงหน้างามล้ำหงายแหงนนัยน์ตาหรี่ปรือด้วยความพึงพอใจ ลิ้นบางแลบเลียริมฝีปากที่ฉาบไปด้วยโลหิตที่เปรอะเปื้อน ดั่งจะคืนชีวิตให้กับร่างกายที่ซีดเผือดนั้นอีกครา
“...วิเศษ ...เป็นของสังเวยที่วิเศษนัก สายเลือดเจ้าไม่ธรรมดา... ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าพวกนั้นจะหาเหยื่อที่ล้ำค่าขนาดนี้มาให้กับข้าได้...” เธอกล่าว น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“...ชีวิต... อา... ดีจริงๆ...” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง เธอคว้าเอามือของจอร์ชมาสัมผัสกับแก้มนวลเนียนทว่าไร้ชีวิต ดูว่าจะชอบใจกับความอบอุ่นที่ได้จากร่างกายของชายหนุ่มยิ่งนัก จอร์ชรู้สึกประหลาด เพราะสิ่งที่มือของเขาได้สัมผัสนั้นทั้งลื่นและเย็นเฉียบผิดกับเนื้อหนังของมนุษย์
“...ท่านเป็นใครกัน?...” ชายหนุ่มพยายามจะถามต่อ หรือจะเรียกว่าเพ้อก็ไม่ผิดนัก เพราะน้ำเสียงนั้นฟังดูเลื่อนลอยดั่งต้องมนต์สะกด สตรีลึกลับหัวเราะเสียงเย็นก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูเขา
“ข้าคือสิ่งที่พวกมนุษย์เช่นเจ้าเคยร่วมมือกับพวกมังกรในการกำจัดยังไงล่ะ... พ่อหนุ่มน้อย...” พูดจบเธอก็ขบเบาๆที่หูของของจอร์ชแล้วลากลิ้นเย็นเฉียบไปตามคอระหงของชายหนุ่ม จอร์ชทำได้เพียงนอนนิ่งๆ ไม่แน่ใจในชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับตน เขาอาจถูกฆ่า หรือว่า...
“อา... ไม่นึกเลยว่าข้าจะต้องใช้ภาษาอันน่ารังเกียจของพวกมังกรอีก เอาเถอะ ข้าจะสำรอกมันออกมาเพราะเจ้าคงฟังรู้เรื่องแค่ภาษาเดียว ของสังเวยที่น่ารักของข้า...” สตรีลึกลับยันกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงสะโพกผายเท่านั้นที่กดทับร่างของจอร์ชไว้ ทว่าชายหนุ่มก็มิได้ดิ้นรนขัดขืน
“นานมาแล้ว... ที่พวกข้าได้สั่งสอนและนำพาความเจริญมาให้แก่เผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า... ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือที่อยู่อาศัย อาร์คีล้วนถ่ายทอดให้แก่พวกเจ้าทั้งสิ้น...” น้ำเสียงของหญิงสาวร่างซีดเผือดเจือไปด้วยความการุณย์ ราวกับมารดาที่เอ็นดูต่อบุตรตัวน้อย จอร์ชสงสัยถึงคำว่าอาร์คีที่หญิงสาวกล่าวทว่ามิได้ปริปาก ดั่งจะล่วงรู้เข้าไปในความคิด ดวงตาสีเหลืองหม่นเพ่งมายังดวงตาสีฟ้าใสของชายหนุ่ม หญิงสาวหัวเราะขึ้นเบาๆแล้วกล่าวต่อ
“หึ หึ หึ เจ้าคงจะไม่รู้จักพวกอาร์คีสินะ แน่ล่ะ... คนทรยศที่ไหนจะสั่งสอนให้ลูกหลานจดจำคนที่พวกเขาทรยศกันล่ะ...” น้ำเสียงหวานแต่ฟังดูเยือกเย็นเงียบลงไปอีก ทว่าเป็นความเงียบที่น่ากลัวยิ่งนัก เพราะไม่นานเจ้าของน้ำเสียงนั้นก็ตะคอกกลับออกมาด้วยโทสะ
“เจ้าพวกคนตะวันตกกลับกลอกเลี้ยงไม่เชื่อง! บังอาจร่วมมือกับพวกมังกรทำลายเผ่าพันธุ์เราจนเกือบสิ้นสูญ ทำให้ข้าต้องหนีมายังฝั่งตะวันออก เร้นกายใต้ถ้ำอันมืดมิด!” หญิงสาวปริศนาเงียบไปอีกครั้ง ร่างงามสั้นระริกจากการหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่โชคยังดี... ผู้คนที่นี่ซื่อและบริสุทธิ์มิได้กลับกลอกเช่นพวกเจ้า และพวกเจ้าก็ช่างแสนดีเสียจริง หึๆ เพราะดูเหมือนว่าพวกมังกรเองก็จะถูกหักหลังจนอ่อนแอไม่สามารถจะมายุ่งย่ามใดๆได้อีก...” เธอเว้นจังหวะ นัยน์ตาหรี่มองชายหนุ่มที่ถูกกดทับไว้ด้านล่าง คลี่ยิ้มรัญจวนจิต มือเรียวไล้ไปตามเรือนร่างแล้วหยุดลงที่ท้องน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“...ที่นี่ข้าคือเมยานาร์ ผู้ก่อกำเนิด... มาสิ.. ของสังเวยที่น่ารักของข้า... เจ้าถูกเลือกให้มาสืบพงศ์พันธุ์ให้กับอาร์คี หึๆ น่าขันยิ่งนัก.. ลูกหลานของพวกที่ต้องการทำลายพวกเรากลับมาช่วยข้าผลิตลูกหลาน ฮะ ฮะ ฮะ” หญิงสาวที่เรียกตนว่าเมยานาร์หัวเราะสำราญอารมณ์ก่อนจะทิ้งกายลงก่ายกอดร่างของชายหนุ่ม บดเบียดริมฝีปากอวบอิ่มเข้าใส่ จอร์ชได้แต่นอนนิ่งใบหน้าแดงก่ำ เขาเข้าใจในสิ่งที่เมยานาร์กล่าวออกมา
แม้ว่าเรือนร่างนั้นจะน่าลุ่มหลง แต่มันก็ซีดเย็นและน่ากลัวเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะร่วมอภิรมย์ และที่สำคัญ... เขายังไม่แน่ใจต่อสถานการณ์ จอร์ชยังคงใคร่ครวญถึงบทเรียนหนึ่งที่มิให้ทำในสิ่งที่ศัตรูมุ่งหวัง เพราะตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เขาก็ยังคงมีอำนาจต่อรองในระดับระดับหนึ่ง เมยานาร์ยันกายขึ้น แปลกใจที่เห็นว่าเหยื่อสังเวยของตนนอนนิ่งมิได้ตอบสนอง
“อา... จริงสินะ... ของสังเวยยังขาดไปอีกหนึ่ง... เจ้าคงสมัครจะร่วมสมสู่กับเผ่าพันธุ์เดียวกันมากกว่า...” ไม่ทันจะกล่าวจนจบดี ร่างสีฟ้าก็ลุกพรวดขึ้นคล้ายสำเหนียกถึงบางสิ่ง สักพักนางก็หัวเราะด้วยความเบิกบานใจ “ฮะ ฮะ ฮะ ดีจริง... อีกหนึ่งที่ว่านั้นกำลังมาที่นี่แล้ว...” กล่าวจบเธอก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันประหลาด จอร์ชพยายามยันกายลุกขึ้นก็ได้พบกับภาพที่ชวนให้แปลกใจ...
บนพื้น... หินกลมมนหลายก้อนกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง แต่เมื่อเพ่งดูให้ดีๆพวกมันกลับไม่ใช่ก้อนหิน! มันคือ... กะโหลกมนุษย์!!
กะโหลกมนุษย์หลายหัวคืบคลานไปตามพื้นสู่ทางออกด้านหนึ่ง พวกมันนำพาตัวเองไปด้วยสายรยางค์คล้ายหนวดปลาหมึกเช่นเดียวกับของเมยานาร์ นั่นทำให้จอร์ชสงสัยเป็นอย่างมาก พวกมันกำลังเดินทางไปไหนกัน? แล้วเหยื่ออีกคนของเมยานาร์คือใครกัน...?
อีกด้านหนึ่งของถ้ำ ชายหนุ่มรูปงามใบหน้าคมคายกำลังเร่งฝีเท้าด้วยจิตใจอันว้าวุ่น เขาไม่พบร่องรอยของหญิงสาวที่ตามหามาได้พักหนึ่งแล้ว เพราะพื้นนั้นเป็นหินแข็งทำให้เบาะแสได้ยากยิ่ง และแสงสว่างที่น้อยกว่าโถงใหญ่ทำให้เกรงว่าจะคลาดกับเป้าหมาย
เส้นทางที่โจเอลเดินตามมาถึงนั้นห่างไกลจากสระใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีเสียงน้ำตกดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่ไกลๆ หนทางค่อนข้างมืดโชคดีที่โจเอลนำเอาคบเพลิงมาด้วยจึงสามารถมองเห็นเส้นทาง
ในความกังวลนั้น เบาะแสหนึ่งก็เผยขึ้นทันการณ์พอดี เสียงหวีดร้องแหลมสูงดังสะท้อนหลืบถ้ำ ทำให้โจเอลต้องรีบติดตามไปด้วยความกังวล เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวที่เขากำลังตามหาไปเสียก่อน
เพียงไม่นานโจเอลพบกับเป้าหมายที่เขาตามหา ลูนาร์ยืนอยู่ข้างหน้าไม่ห่างไปจากเขาเท่าไหร่ เธอถือขวดน้ำมนต์ไว้ในมือที่สั่นเทาด้วยความกลัว เพราะห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว ร่างร่างหนึ่งกำลังละลายลงดั่งขี้ผึ้งลนไฟ!
ร่างที่ว่านั้นมีลักษณะคล้ายกะโหลกมนุษย์ ทว่ามีสายรยางค์คล้ายหนวดปลาหมึกอยู่หลายคู่แตกแขนงออกมาจากกะโหลกอันนั้น และหนวดดังกล่าวก็สะบัดไปมาด้วยอาการทุรนทุรายก่อนที่ทั้งร่างจะสูญสลายลงไปจนหมด
“ลูนารน์!” โจเอลร้องเรียกด้วยความดีใจที่เห็นนางไม่ได้รับอันตราย แต่หญิงสาวมิได้ตอบสนอง เธอยังคงสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก ไม่ช้าลูนาร์ก็ทำท่าว่าจะเข่าอ่อนโจเอลจึงรีบเข้าไปประคองไว้
“...โจเอล...” หญิงสาวทักกลับ ดูเธอจะได้สติแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงออกมาคนเดียวอย่างนี้?” โจเอลตำหนิ ทว่าน้ำเสียงยังคงแฝงความเป็นห่วง
“ก็... ทุกคนถูกมนต์สะกดกันหมด... ข้าไม่รู้วิธีแก้ไข... จะรอก็กลัวจะไม่ทันการณ์ กลัวจอร์ชจะเป็นอะไรไปเสียก่อน ก็เลย...” ลูนาร์ตอบท่า ท่าทางของเธอเหมือนกับเด็กๆที่กลัวว่าจะถูกพ่อแม่ตำหนิ เธอรู้ดีว่าทำให้โจเอลต้องเป็นกังวล ทว่ามันก็จำเป็น ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้ว่าสิ่งที่ลูนาร์ทำนั้นมีเหตุผลอยู่ เพราะเขาเองก็เป็นห่วงในชะตากรรมของจอร์ชเช่นกัน
“อืม... ช่างเถอะ... เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว” โจเอลยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนจะกล่าวต่อ “น่าแปลก... ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกมนต์สะกดกันล่ะ...”
“...โจเอล... ข้าคิดว่า...คราวนี้เราคงไม่ได้เจอแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาแล้วล่ะ... บางที... พวกมันอาจเป็นปิศาจก็ได้...” ลูนาร์ชี้ไปยังตัวประหลาดที่เพิ่งจะสลายไปจนหมดแล้วตั้งข้อสังเกต “อย่างเจ้านี่... ข้ายังไม่เคยเห็นอะไรที่ละลายไปเพราะน้ำมนต์แบบนี้เลย... อาจเป็นได้ว่ามนต์สะกดของพวกมันไม่อาจทำอะไรข้าที่เป็นนักบวชฝึกหัดก็ได้...”
โจเอลได้ฟังแล้วก็นิ่งไป เขากำลังนึกถึงคำพูดของอาราริค หรือว่าพวกอาร์คีก็คือสิ่งที่พวกเขารู้กันในนามของปิศาจ? จะอย่างไรก็แล้วแต่ เขาไม่อาจยอมให้ลูนาร์ไปเสี่ยงกับอันตรายเด็ดขาด
“ข้าจะไปช่วยจอร์ชเอง เจ้ากลับไปรวมกับคนอื่นเถิด” โจเอลกล่าวด้วยความเป็นห่วง แต่หญิงสาวยังคงดึงดัน
“ไม่เอาล่ะ ข้าจะไปด้วย ยิ่งถ้าพวกนั้นเป็นปิศาจแล้วล่ะก็ ยิ่งจำเป็นที่ท่านจะต้องให้ข้าไปด้วย”
คำตอบของลูนาร์ทำเอาคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน คำพูดของหญิงสาวนั้นมีเหตุผลอยู่ แต่ครานี้เขาไม่มั่นใจว่าจะคุ้มครองเธอได้ การให้ลูนาร์กลับไปจึงน่าจะเป็นการดีที่สุด
“เจ้ากลับไปเถิด ข้ารับปากว่าจะพาจอร์ชกลับมาให้ได้” โจเอลย้ำ
“ไม่มีทาง ยังไงข้าก็ต้องไปช่วยจอร์ชให้ได้” ลูนาร์ยังคงไม่ยอม เธอทำท่าว่าจะหนีไปโดยไม่นำพาต่อคำทัดทาน โจเอลไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นจึงยุดข้อมือน้อยๆเอาไว้
“เจ้า... เป็นห่วงจอร์ชมากนักหรือ...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง จ้องมองไปในดวงตาสีฟ้าใสของหญิงสาว
“...ใช่...” เธอตอบ “...เพราะเขาให้ความสำคัญกับข้า ซึ่งต่างกับท่าน... ข้าไม่อยากให้เขาตายเหมือนกับดไวเซน ข้าไม่อยากให้คนที่รักข้าต้องมาตายอีก...” น้ำเสียงของลูนาร์สั่นเครือ เธอพยายามสะบัดข้อมือเพื่อเดินหนี แต่โจเอลยังคงเกาะกุมมันไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตาสีน้ำตาลนั้นนิ่งสนิท พยายามทำความเข้าใจในทุกคำที่ได้ยิน ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมาด้วยเสียงที่นุ่มนวล
“...เจ้า... อย่าไปเลย... ข้า... เป็นห่วงเจ้า...” ‘เป็นห่วง’ รึ? นั้นอยากจะใช้คำอื่นมากกว่า หากแต่ยังไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป กระนั้นคำพูดนั้นก็เพียงพอที่จะฉุดรั้งลูนาร์เอาไว้ หญิงสาวนิ่งไป แม้ว่าคำนั้นจะเป็นเพียงแค่คำธรรมดาๆ หากแต่ความนัยน์ของมันกลับส่งผลให้หัวใจเธอแช่มชื่น ทั้งสองต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่ง...
“ระวัง!” โจเอลร้อง รีบคว้าร่างบางให้พ้นจากอันตราย
วัตถุหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนทั้งสอง โชคดีที่โจเอลคว้าตัวลูนาร์ให้หลบได้ทัน เมื่อตั้งหลักได้จึงเห็นว่าสิ่งที่พุ่งเข้าจู่โจมพวกเขานั้นรูปร่างไม่ต่างไปจากเจ้าตัวที่เพิ่งตายไปด้วยน้ำมนต์เลย
“กิ๊ซ!” เสียงดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง โจเอลหันไปมองตาม สักพักก็มีเสียงดังมาจากอีกทางและดังรับกันเรื่อยๆ ในที่สุดตัวประหลาดหลายสิบตัวก็ค่อยๆคืบคลานเข้าล้อมคนทั้งสองไว้...
ความคิดเห็น