คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 ถ้ำดาราราย
มาโก๊กเดินนำทางคนทั้งหมดอย่างคล่องแคล่วผิดกับร่างกายอันใหญ่โตนั้นมาก อันที่จริงเขาและน้องชายเคยผ่านถ้ำนี้มาไม่กี่ครั้ง ทว่าก็จำเส้นทางได้ขึ้นใจ ด้วยความที่ทั้งโก๊กและมาโก๊กเคยเป็นศัตรูตัวร้ายมาก่อน ทำให้โจเอลและทุกคนยังไม่ไว้วางใจนัก ต่างก็ระมัดระวังกันอย่างเต็มที่ กริ่งเกรงอยู่ว่าอาจมีการดักซุ่มโจมตีเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้
อย่างไรก็ดี การที่โก๊กยักษ์ผู้น้องถูกจับเป็นตัวประกันอยู่กลางขบวนก็ทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง และอากาศที่ถ่ายเทอยู่ตลอดก็พอจะยืนยันคำกล่าวของยักษ์ทั้งสองได้เป็นอย่างดี ว่ามีทางออกอยู่อีกฟากหนึ่ง
สภาพภายในถ้ำนั้นดูงดงามอย่างน่าประหลาดใจ จากที่คาดว่าจะต้องเผชิญกับความมืดทึมภายในถ้ำ กลับกลายเป็นมีแสงสว่างให้เห็นได้พอประมาณ ดูเหมือนว่าแหล่งกำเนิดแสงจะมาจากบนเพดานถ้ำนั่นเอง พวกเขาสังเกตเห็นได้ว่ามีหินที่เรืองแสงวับวาวราวกับแสงดาวฝังตัวบนเพดานอยู่หลายก้อนด้วยกัน แสงนั้นส่องสว่างนำทางได้พอเลาๆ เพื่อจะให้เดินทางได้อย่างปลอดภัย คบไฟจึงยังมีความจำเป็นอยู่ดี แต่แสงที่เห็นก็ช่วยให้รมรื่นใจได้พอสมควร ดีกว่าการเดินไปภายในถ้ำที่มืดทึมไร้สิ่งเจริญใจ
แน่ทีเดียวว่าเฮอร์มและอีกหลายคนอยากจะเก็บหินเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึก แต่พวกมันก็ฝังตัวแน่นอยู่บนเพดานถ้ำ สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง และพวกเขาก็ไม่มีเวลาให้มัวอ้อยอิ่ง เส้นทางเดินทอดต่ำลงเรื่อยๆแต่ก็ไม่สู้จะชันนัก พอให้ม้าและกองเสบียงก้าวไปได้อย่างไม่ลำบากเท่าไหร่
ระหว่างทางโจเอลใช้เวลาไปในการเจรจากับโก๊กเป็นเวลานาน แม้ชายหนุ่มจะไม่คล่องแคล่วกับการใช้ภาษาต่างถิ่นแต่ก็พอให้คุยกันได้รู้เรื่อง ทั้งสองสนทนากันอยู่นานราวกับไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน จากที่ได้พูดคุยกันทำให้โก๊กทราบถึงความตั้งใจเดิมของฝ่ายโจเอลดีขึ้น ทว่าการกล่าวหาว่าชาวการ์กอนเป็นขโมยนั้นเป็นการดูหมิ่นกันอย่างร้ายกาจ และโมเกอร์ผู้เป็นทูตให้กับโจเอลก็ไม่แตกฉานในภาษาพอที่จะเลี่ยงประเด็นอันละเอียดอ่อนนี้
เมื่อโจเอลให้ยักษ์สีน้ำเงินช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ โก๊กก็กลับมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที เขากล่าวว่าเรื่องนี้เห็นทีต้องไปเปลี่ยนความคิดวาคียา เพราะตอนนี้วาคียาคือผู้ถืออาญาสิทธิในการประกาศสงครามกับต่างเผ่า แถมผู้นำทัพการ์กอนคนนี้ยังโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากที่ถูกคนต่างถิ่นรุกรานแย่งยึดหมู่บ้านเอาไป และประกาศไว้ว่าจะฆ่าผู้บุกรุกทั้งหมดเพื่อมิให้ผู้ใดกล้าที่จะย่างกรายมายังดินแดนนี้อีก
คำตอบของโก๊กสร้างความเคร่งเครียดให้กับโจเอลเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มปลีกตัวไปอีกครั้ง บางทีเขาคงต้องการคิดหาทางออกสำหรับอนาคตข้างหน้าก็เป็นได้...
ดวงตางดงามของลูนาร์มองไปยังโจเอลอย่างไม่สู้จะพอใจนัก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการวางตัวใกล้ชิดกับพวกการ์กอนเกินไป ในสายตาของเธอคนพวกนี้ยังคงไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี แต่อีกส่วนที่ทำให้เธอไม่พอใจ คงเป็นเพราะ... โจเอลไม่ได้เข้ามาเอาใจใส่กับเธอสักเท่าไหร่... ผิดกับจอร์ชที่เทียวดูอาการเธออยู่เป็นระยะ คอยพูดคุยมิให้เบื่อหน่ายเกินไปนักกับการเดินทาง
ที่จริงข้อเท้าของลูนาร์ก็แทบจะหายดีแล้ว ตอนนี้เธอจึงเปลี่ยนมาขี่ม้าแทนการนอนบนเสลี่ยงเพื่อมิให้ลำบากกับพวกทหารเกินไป แต่เธอก็ยังต้องการให้โจเอลเอาใจใส่อยู่ดี ทำให้ติดจะน้อยใจที่เขาเอาเวลาไปพูดคุยกับคนต่างเผ่าพันธุ์
ตั้งแต่การตายของดไวเซน ลูนาร์ก็เริ่มจะคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา... ระหว่าง... ‘การรัก’ และ ‘การได้รับความรัก’ นั้น อย่างไหนจะสำคัญไปกว่ากัน...?
เธอเคยมีความสุขกับการเป็นฝ่ายรัก ทว่าก็ทุกข์ใจที่ไม่ได้รับการตอบสนอง แล้วคนที่รักเธอล่ะ... เขาจะรู้สึกเช่นนี้หรือเปล่า...?
ในอีกทางหนึ่ง เธอรู้สึกอึดอัดใจในยามเป็นฝ่ายถูกรัก เฉกเช่นผู้ที่ถูกตั้งความหวัง ซึ่งมักหวั่นเกรงที่จะทำให้ผู้ใดต้องผิดหวัง และเธอก็ไม่อาจจะมอบความรู้สึกที่มีให้ได้กับทุกคน ซ้ำยังเกรงใจที่จะรับไมตรีจากผู้อื่นแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือว่าโจเอลอาจจะรู้สึกเช่นนี้ต่อเธอเช่นกัน แล้วจะมีทางใดบ้าง... ที่จะพาให้ความรู้สึกทั้งสองนี้ได้บรรจบพบกัน... หรือว่า... เธอควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนความคิดตัวเอง...
ลูนาร์มิได้ตาบอดหรือไร้เดียงสาเกินไปจนละเลยต่อความรู้สึกที่จอร์ชมีต่อเธอ เพียงแต่จอร์ชเองก็คงรู้ถึงความคิดที่เธอมีต่อโจเอล เขาจึงมิกล้าที่จะแสดงออกมากนัก ทว่ามันก็เพียงพอจะให้เธอรับรู้ได้... แล้วหากว่าลูนาร์ได้เลือกคนที่รักเธอ แทนที่จะเป็นคนที่เธอรักดูล่ะ... บางทีเรื่องราวทั้งหมดอาจจบลงได้อย่างลงตัวพอดี...
จอร์ชนั้นถึงจะเป็นคนลึกลับไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ทว่าก็เป็นหนุ่มรูปงามที่มีลักษณะคล้ายดั่งคนชั้นสูง ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัว สาวๆที่ฟอร์ทอังเคิลก็เอาแต่พูดถึงไม่ขาดปาก หนำซ้ำชายหนุ่มผู้นี้ยังเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความสามารถเหนือคนอื่นๆ แต่ที่ผ่านมาลูนาร์ติดจะไม่ชอบใจชายผู้นี้เท่าไรนัก
ความสัมพันธ์ของเธอกับจอร์ชนั้นเป็นไปในแบบพ่อแง่แม่งอนเสียมากกว่า หลายครั้งที่ลูนาร์แสดงอาการเอาแต่ใจออกมา ซึ่งจอร์ชก็มักจะตั้งแง่เง้างอนเหมือนจะไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน สิ่งนั้นทำให้เธอไม่ชอบใจเอามากๆ ต่างกับโจเอลที่ตามใจเธออยู่บ่อยครั้ง
ไหนจะเรื่องพื้นเพที่มาที่ไปซึ่งจอร์ชไม่ยอมปริปากบอกใครอีก นั่นทำให้เธอหงุดหงิดใจเป็นที่สุด คงไม่มีคนดีๆที่ไหนจะปกปิดอดีตของตัวเองขนาดนี้ การที่ชอบทำตัวลึกลับนี้เห็นจะตรงข้ามกับโจเอลเป็นที่สุด เพราะโจเอลออกจะเป็นคนที่ใจกว้างและเปิดเผย รวมทั้งมีน้ำใจแก่ผู้คนอย่างไม่แบ่งแยก จนทำให้บางครั้งทำให้เธอสงสัยอยู่ว่าโจเอลมีใจให้เธออยู่บ้าง หรือเป็นแค่ไมตรีจิตตามปกติวิสัย
เธอต้องพยายามสลัดความคิดออกไป ทำไมกันนะ? ทั้งๆที่เธอตั้งใจที่จะลองเปิดรับส่วนดีของจอร์ช แต่กลายกลับเป็นการคิดถึงแต่เรื่องของโจเอลแทน ราวกับว่าจะไม่สามารถคิดถึงชายคนอื่นได้นอกจากโจเอล... บางทีเธอควรเริ่มต้นด้วยการกระทำดู เมื่อคิดได้ดังนั้น ไม่ช้าริมฝีปากชมพูระเรื่องดงามได้รูปก็แย้มยิ้มขึ้น ตามติดด้วยการเป็นฝ่ายเชิญสนทนาขึ้นบ้าง
ท่าทีของสาวน้อยจอมเอาแต่ใจทำให้จอร์ชประหลาดใจ ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าลูนาร์ไม่ค่อยลงรอยกับเขาเท่าไหร่ และเพื่อปกปิดความรู้สึกของตัวเอง เขาก็มักจะปั้นปึ่งต่อเธอไม่แพ้กัน ประสบการณ์และการเลี้ยงดูที่ผ่านมาทำให้ชายหนุ่มร่างบอบบางผู้นี้รู้จักการสวมหน้ากากไว้ มากกว่าการเปิดเผยความรู้สึกทั้งหมด แม้แต่กับเรื่องความรัก... มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ทว่าก็โดดเดี่ยว... แต่แล้วรอยยิ้มของสาวงามก็ทำลายหน้ากากที่ชายหนุ่มสวมอยู่ มันทำให้จอร์ชเก็บซ่อนความดีใจไว้ไม่ได้ บางทีหัวใจของเขาอาจพร้อมจะรับความรู้สึกของผู้อื่นขึ้นมาได้บ้าง...
โจเอลมิได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้งสองแต่อย่างใด เพราะเขามีเรื่องให้ให้ต้องขบคิดอยู่มากมายทีเดียว เขาได้ลองประเมินดูในท่าทีและการเจรจา ทำให้วางใจได้ในระดับหนึ่งว่าโก๊กและมาโก๊กนั้นเข้ามาช่วยพวกเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นัยน์ตาสีเหลืองของโก๊กนั้นมิได้หลบสายตาของโจเอลแม้แต่น้อย ซึ่งคนที่โกหกมักจะหลบสายตาหรือส่ออาการอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา แต่โจเอลมิอาจจับพิรุธจากยักษ์ทั้งสองได้แม้แต่น้อย หรือไม่... ทั้งคู่ก็คงจะเป็นจอมหลอกลวงที่เก่งกาจ...
แต่ถึงโจเอลจะทายใจยักษ์แฝดได้ก็เป็นความสบายใจเพียงครึ่งเดียว เพราะบางทีทั้งคู่อาจจะไม่รู้ถึงแผนการณ์ของพวกการ์กอนด้วยกัน จะอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องระวังให้มากในท้องที่อันไม่คุ้นชินเช่นนี้
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะแม้ว่าทั้งหมดจะผ่านอุโมงค์แห่งนี้ไปด้วยดีตามคำของยักษ์สองพี่น้อง ทว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากนั้น? ถึงจะได้แหล่งพักพิงที่ดีและมีเสบียงอันเพียบพร้อม ทุกคนก็ยังคงตกอยู่ในวงล้อมอยู่ดี ซ้ำร้ายยังอยู่ห่างจากฟอร์ทอังเคิลมากกว่าเดิม... ทั้งหมดนี้นับเป็นเรื่องที่น่าหนักใจยิ่ง ที่ชายหนุ่มอายุเพียง17ปีจะต้องแบกรับชะตากรรมของตนและคนเกือบร้อยไว้บนบ่า แต่สิ่งทำให้โจเอลกังวลใจเป็นอย่างมากก็คือลูนาร์ เขาต้องคุ้มครองเธอให้ปลอดภัยที่สุด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนก็ตาม...
ทั้งหมดเดินทางต่อไปเรื่อยๆในอุโมงค์ที่ยืดยาวจนน่าประหลาดใจ เมื่อมองจากภายนอก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องเดินทางนานถึงเพียงนี้ ซึ่งถัดจากทางที่ลาดลงก็พบกับพื้นที่อยู่ในระดับเดียวกัน นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาได้ลงมาจนถึงจุดที่ต่ำที่สุดแล้ว อุโมงค์กว้างขึ้นและมีแสงสว่างสีเงินยวงรออยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกคนพากันดีใจเพราะคิดว่านั่นคือทางออก แต่โก๊กได้บอกแก่โจเอลว่า พวกเขายังไปได้แค่เพียงครึ่งหนึ่งของระยะทางเท่านั้น จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะใกล้ถึงทางออก
เมื่อไปถึงแสงสว่างดังกล่าวก็พบว่าจริงดังคำพูดของโก๊ก มันมิใช่ทางออกอย่างที่ทุกคนหวัง หากแต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือห้องโถงที่สรรสร้างโดยธรรมชาติ กินเนื้อที่กว้างขวางราวสองร้อยหลา
แสงสว่างที่เห็นนั้นมาจากก้อนผลึกขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่กึ่งกลางเพดานเสมือนตัวแทนของดวงจันทร์ในยามราตรี มันมีขนาดราวสองฟุต แสงสีเงินที่สาดส่องออกมานั้นสว่างพอที่จะมองเห็นพื้นที่รอบๆได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคบไฟ บนเพดานที่สูงขึ้นไปกว่าร้อยฟุตนั้น ยังมีผลึกมีหลายชิ้นส่องแสงอยู่กล่นเกลื่อน ต่างมีขนาดลดหลั่นอวดแข่งรัศมีความงามแก่กัน ทว่าไม่มีชิ้นใดจะเทียบกับชิ้นที่อยู่ตรงกลางได้แม้แต่น้อย
เมื่อกะเกณฑ์จากที่พวกเขาเดินทางอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ทั้งหมดคงกินเวลาไปราวๆหกชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ภายนอกน่าจะเป็นช่วงสองทุ่ม ต่างก็พักเป็นระยะมาตลอดทาง แต่ก็ไม่ใช่การหยุดพักอย่างจริงๆจังๆ คงเหมาะทีเดียวหากพวกเขาจะพักพลลงที่นี่
คำสั่งให้หยุดพักนั้นตรงกับความต้องการของทุกคน กระโจมที่พักถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทั้งหมดก็พากันพักผ่อนกันตามอัธยาศัย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์เบื้องหน้ามากกว่า
นอกจากผลึกบนเพดานถ้ำที่คล้ายจะเลียนแบบหมู่มวลดาราบนท้องนภาแล้ว ยังปรากฏลวดลายคล้ายกลุ่มเมฆอยู่บนนั้นอีกด้วย ซ้ำมันยังเคลื่อนที่ได้ราวกับว่าเป็นเมฆของจริง สิ่งนั้นทำให้ทุกคนพิศวงว่าเวทมนต์ใดหนอที่สรรสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
ที่ด้านหนึ่งของถ้ำเป็นน้ำตกขนาดย่อมๆที่ไหลลงสู่สระขนาดใหญ่ กระแสน้ำที่ไหลเอื่อยๆแสดงให้รู้ว่าสระนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของธารน้ำใต้ดินที่ไหลออกไปยังหมู่บ้านคูอูล โจเอลคิดจะนำน้ำเหล่านี้มาเติมเสบียงจึงถามแก่โก๊ก ยักษ์ผู้มีผิวเป็นสีน้ำเงินพยักหน้าตอบ แต่ก็กำชับไว้ว่าให้ตักในครั้งเดียวและอย่าเทคืน รวมถึงห้ามทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปเป็นอันขาด ชายหนุ่มรับคำและสั่งให้ทหารผู้หนึ่งไปตักน้ำโดยสั่งความตามที่โก๊กบอกให้รู้โดยทั่วกัน
ยักษ์ผู้น้องยังบอกอีกว่า ชาวการ์กอนได้เรียกถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำดาราราย อันเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาจะมาทำพิธีศักดิสิทธิ์กันในสี่ปีครั้ง นอกจากนั้นแล้วจะไม่มีใครกล้าเข้ามาเพ่นพ่านในที่แห่งนี้เป็นอันขาด
“นั่นคือหินแทนตัวของเมยานาร์ มารดาแห่งเผ่าการ์กอน*” มาโก๊กเข้ามาผสมโรงด้วยน้องชาย พลางชี้มืออันใหญ่โตไปยังผลึกที่ใจกลางห้อง
“ส่วนหินก้อนอื่นๆคือตัวแทนบุตรแห่งเมยานาร์*” ยักษ์ผู้น้องเสริม เขาชี้ไปยังผลึกที่สุกสกาวสองชิ้นที่อยู่ติดกันแล้วกล่าวต่อ “นั่นคือหินของเราสองพี่น้อง*”
โจเอลมองตามทิศทางที่ทั้งสองชี้ พลันให้สะดุดใจกับผลึกชิ้นที่ส่องแสงระยิบระยับโดดเด่นกว่าชิ้นอื่นๆ จะเป็นรองก็เพียงแค่ชิ้นที่อยู่ใจกลางห้อง เขาจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“แล้วชิ้นนั้นล่ะ?*”
“นั่นคือตัวแทนของวาคียา*” มาโก๊กตอบ โจเอลสงสัยถึงลำดับความสำคัญหรือความสว่างนั้นว่ามีกฎเกณฑ์ใดหรือไม่ ทว่าไม่ทันได้ถามอะไรต่อเฮอร์มก็เข้ามาแทรกเสียก่อน
“ดูท่านจะสนุกกับการใช้ภาษาต่างถิ่นเสียจริงนะ ท่านโจเอล..” ตาเฒ่าขัดจังหวะขึ้น
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเฮอร์ม” โจเอลซักกลับ บางครั้งเขาก็รู้สึกหน่ายใจกับการพูดโยกโย้ไม่เข้าประเด็นของเฮอร์มเต็มที ตาแก่ขยับยิ้มขึ้นทีหนึ่งก่อนจะเข้าเรื่อง
“ข้าพบร่องรอยคนคนหนึ่ง ท่าทางเพิ่งผ่านมาที่นี่ได้ไม่นานนัก จะใช่คนที่ท่านต้องการตัวหรือเปล่า?” เฮอร์มหยิบขนาดเท่าหัวแม่มือที่เพิ่งพบมาให้ดูเป็นหลักฐาน โจเอลรับมันมาดูอย่างพิเคราะห์ แล้วพรานเฒ่าก็เสริมขึ้นอีก
“ข้าว่ามันชอบกลอยู่นา เศษขนมปังชิ้นใหญ่ขนาดนี้นี่... มันเหมือนจงใจทิ้งไว้ชัดๆ...”
ความเห็นของเฮอร์มทำเอาคิ้วเข้มสีน้ำตาลของชายหนุ่มขมวดปมขึ้นทันที หากเป็นเช่นนั้น... หมายความว่าเจ้าหัวขโมยนั่นต้องการให้ตามไปถูกอย่างนั้นรึ? แล้วหัวขโมยที่ไหนจะอยากให้ถูกตามกันนะ? เรื่องนี้บางทีเขาอาจต้องการความเห็นของจอร์ชสักหน่อย สหายผู้นี้แม้จะทำตัวลึกลับ แต่บ่อยครั้งที่เขาดูจะรู้อะไรดีๆอยู่มากมายทีเดียว ไม่แน่ว่าครั้งนี้เขาอาจพอรู้เบาะแสอะไรบางอย่าง
เมื่อกวาดตามองหาสหายผู้ลึกลับ เขาก็พบว่าจอร์ชกำลังยืนอยู่กับลูนาร์ที่ริมสระ ดูเหมือนโจเอลจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากจนลืมที่จะใส่ใจต่อลูนาร์ไป เขาจึงคิว่าควรจะเดินไปหาทั้งคู่สักหน่อยเพื่อจะได้คุยกับลูนาร์บ้าง หวังเพียงว่าเธอจะไม่น้อยใจเขาไปเสียก่อน
ดวงตาสีฟ้าสดใสของหญิงสาวลอบชำเลืองไปด้านหลัง เธอรู้อยู่แล้วว่าโจเอลกำลังเดินมาหา ทว่ากลับทำเป็นไม่สนใจด้วยความเง้างอนตามประสา อีกเหตุผลหนึ่งนั้นเพราะสายตาของเธอจับจ้องในสิ่งหนึ่งอยู่
ไม่ไกลจากที่ที่ลูนาร์และจอร์ชยืน ดอกไม้ดอกหนึ่งชูช่ออวดความงามล้อแสงจันทร์จำแลงอยู่กลางสระ หญิงสาวยืนมองมันอยู่นานโดยไม่รู้เบื่อ จอร์ชชำเลืองมองลูนาร์แล้วก็ยิ้มขึ้น ไม่แปลกอะไรที่หญิงสาวจะควรคู่กับดอกไม้ เหมือนอะไรบางอย่างดลใจ จอร์ชขยับตัวแล้วกล่าว
“ข้าจะเด็ดมันมาให้เจ้านะ..” โดยไม่ทันฟังคำทัดทานใดๆ ร่างเพรียวบางของชายหนุ่มก็กระโจนจากชายฝั่งไปยังโขดหินที่อยู่ใกล้ๆ สร้างความประหลาดใจระคนตกใจแก่หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่
“จอร์ช! ท่านทำอะไรน่ะ!? รีบกลับมาเถอะ ข้าแค่อยากมองมันเท่านั้น!” ลูนาร์พยายามเรียกให้จอร์ชกลับมา ทว่าเขาก็ปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ข้าใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ เจ้าจะได้ดูมันใกล้ๆไง” จอร์ชกล่าวพลางกระโดดไปยังโขดหินที่อยู่ถัดไป
โจเอลซึ่งบัดนี้มายืนอยู่ข้างๆลูนาร์ก็รู้สึกตกใจไม่แพ้เธอ เขาไม่เคยเห็นจอร์ชกระทำตนโดยไร้สติมาก่อน และเขาก็ทราบถึงข้อห้ามที่โก๊กได้บอกไว้ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสหายของเขากันแน่?
“จอร์ช! ท่านรีบกลับมาเถอะ ท่านกำลังรบกวนสถานที่แห่งนี้อยู่นะ!” โจเอลร้องเตือน
“อย่ากังวลไปเลยโจเอล ข้าแค่กระโดดข้ามไปบนโขดหินเท่านั้น ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนหรอก” จอร์ชตอบ ตอนนี้เขาไปได้ครึ่งทางแล้ว โขดหินที่โผล่พ้นน้ำอยู่เป็นระยะทำให้ร่างอันประเปรียวเคลื่อนเข้าหาเป้าหมายได้โดยไม่สัมผัสกับผืนน้ำ จนดูเหมือนกับเส้นทางนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อเชื้อเชิญให้ใครก็ตามเข้าไปเด็ดดอกไม้นั้นได้ หรือจอร์ชจะมองเห็นเส้นทางนี้อยู่แล้วจึงกล้าที่จะเสี่ยงลงไป?
หลายคนเริ่มมายืนมุงดูการกระทำของจอร์ชกันมากขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มร่างสะโอดสะองได้ไปถึงที่หมายแล้ว ดอกไม้นั้นยังคงชูช่อท้าทายต่อการเด็ดดึงอยู่ ทว่า..ทันทีที่นิ้วมือเรียวงามเอื้อมถึงมัน ผืนน้ำตรงหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง...
“ซ่า...!!” เสียงน้ำแตกกระเซ็นดึงความสนใจของทุกคนในที่นั้น พร้อมกับร่างหนึ่งที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา...
* เป็นภาษาการ์กอน
ความคิดเห็น