คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 12 วีรกรรมสุดท้ายของดไวเซน
เช้ามืดอันแสนโกลาหล คงเป็นเวลาราวๆตีสี่เห็นจะได้ บัดนี้พระจันทร์สว่างกลับถูกบดบังด้วยเมฆหมอกอีกครา ไม่นานหิมะสีขาวบริสุทธิ์ก็โปรยปรายลงมาอีก ที่เชิงเขามังกร บริเวณนี้อยู่ภายใต้วงล้อมของพวกการ์กอนเช่นกัน แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การรุกอย่างดุดันของดไวเซนทำให้พวกคนเถื่อนสับสนอย่างหนัก แม้จะมีจำนวนที่น้อยมาก แต่พวกนั้นก็เข้าใจไปว่านั่นเป็นการรุกเพื่อเบิกทางของหน่วยหัวหอก จึงพากันกระจุกตัวในทิศทางที่ดไวเซนบุกด้วยความไม่ประมาท
กระนั้นพวกที่ปิดล้อมทางขึ้นเขาก็ยังนับว่ามีจำนวนพอสมควรอยู่ดีเมื่อเทียบกับกำลังพลที่ฮานส์มี ซ้ำยังยึดเอาชัยภูมิที่ได้เปรียบไว้อย่างเหนียวแน่น ฮานส์ต้องรบรุกบุกบั่นอย่างยากลำบากกว่าที่จะคืบหน้าได้ทีละน้อย
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงประจัญบานกันอย่างดุเดือดนั้นเอง ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นที่หลังแนวของฝ่ายการ์กอน ซึ่งแท้จริงแล้วเกิดจากกลุ่มของโจเอลที่ขึ้นไปบนเขาก่อนหน้านี้ เสียงจากสัญญาณเตือนภัยได้ยินขึ้นไปจนถึงในถ้ำ แต่กว่าที่พวกโจเอลจะลงมาจนถึงเชิงเขา ก็ได้พบกับฮานส์และทหารที่พยายามแย่งยึดเส้นทางแห่งนี้จากพวกการ์กอนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากอาวุธส่วนใหญ่ถูกทำลายลงด้วยอำนาจของพญามังกร ทำให้ทหารของโจเอลต้องใช้การทุ่มทิ้งก้อนหินลงไปใส่ศัตรูเพื่อช่วยเปิดทาง
พวกการ์กอนพยายามยับยั้งความอลหม่านนั้น นักรบกลุ่มหนึ่งบุกขึ้นเขาเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทว่าโจเอลยืนขวางไว้ ยอดดาบดูรันดานาในมือชายหนุ่มกวัดแกว่งไปมาอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่กี่อึดใจนักรบกลุ่มนั้นก็ถูกสังหารจนหมด ศัตรูที่เหลือพยายามส่งกำลังขึ้นมาอีก แต่ก็ต้องเผชิญกับอัศวินในชุดเกราะสีแดงเพลิงที่รุกสวนลงมาโดยมีมังกรสีน้ำเงินเป็นพาหนะ
เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้น ฮานส์จึงคะเนเอาว่าคงสามารถฝ่าวงล้อมขึ้นไปบนเขาได้แน่แล้ว จึงสั่งให้เป่าเขาสัตว์ส่งสัญญาณให้ดไวเซนถอยตามมาทันที
เสียงสัญญาณที่ดังมาจนถึงข้างล่าง ช่วยทำให้ดไวเซนเบาใจว่ามีที่ปลอดภัยรออยู่เบื้องหน้า อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจมากนัก เพราะไม่ต้องการให้สตรีที่ตนรักอยู่ในที่อันตราย จึงได้ถอนตัวก่อนอาณัติที่กำหนด แต่ก็มั่นใจว่านั่นไม่ได้ทำให้แผนการที่วางไว้ล้มเหลว
การคว่ำนักรบชั้นนำติดกันถึงสองคน รวมกับพวกปลายแถวอีกหลายสิบ ทำให้พวกการ์กอนลังเลที่จะไล่ตาม ต่างคิดแต่จะรักษาชีวิตอยู่ประจำที่ของตนเอง รอใครสักคนที่มีอำนาจมากพอมาออกคำสั่ง
เสียงสัญญาณแห่งชัยชนะได้ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้พวกดไวเซนยิ่งนัก เมื่อรวมเข้ากับปฏิกิริยาของพวกการ์กอนด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้เหล่าทหารม้าแห่งเซเลท์รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องจนคลายความระมัดระวังลงไป แต่พอทั้งหมดเข้าสู่หมู่บ้านได้ไม่นาน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...
นักรบหมู่หนึ่งราวสามสิบคนกำลังวิ่งตามกลุ่มของดไวเซนมาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เพราะขนาดม้าที่ควบเต็มฝีเท้าก็ยังถูกไล่ตามอย่างกระชั้นเข้ามาทุกขณะ
พวกนี้คือกลุ่มนักรบที่ชื่อว่าโมอาร์ ซึ่งเป็นพวกหัวกระทิที่มักถูกใช้ในหน้าที่อันสำคัญ พวกโมอาร์ไม่นุ่งห่มเสื้อผ้า แต่จะพอกตัวไว้ด้วยโคลนสีดำ ร่างกายที่ผอมเพรียวสามารถวิ่งได้เร็วกว่ากวางป่า และมักจะพกแต่อาวุธที่มีขนาดเบาเท่านั้น
เมื่อไล่ตามจนถึงระยะที่เห็นตัวได้ชัด พวกโมอาร์ก็ซัดอาวุธเข้าใส่ขาม้า มันเป็นเชือกยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนที่มีตุ้มถ่วงน้ำหนักไว้ที่ปลายทั้งสองข้าง เมื่อมันกระทบเป้า ตุ้มที่อยู่ตรงปลายก็สะบัดรัดเข้าหากันตามแรง นั่นทำให้ม้าที่โดนอาวุธถูกพันธนาการอย่างกะทันหัน ม้าสามตัวที่รั้งท้ายอยู่ถูกอาวุธนั้นจนล้มลงอย่างแรง พวกโมอาร์ที่ตามมาก็เข้ากลุ้มรุมแทงทหารที่ตกจากหลังม้า ดไวเซนเห็นเช่นนั้นก็ชักม้ากลับฟันเอาพวกที่รายล้อมเพื่อช่วยทหารทั้งสามนาย ทว่าก็ช้าเกินไป ทหารนายหนึ่งคอหักตอนที่ตกจากหลังม้า อีกคนถูกแทงผ่านเกราะเข้าที่สำคัญ ส่วนอีกคนขอเท้าหักพอประคองตัวขึ้นได้
อัศวินหนุ่มต้องสั่งให้ทหารที่เหลือปักหลักเพื่อป้องกันการโจมตี ต่างรวมกลุ่มเข้าเป็นวงกลมหันหน้าเข้าสู้ศึก ลูกตุ้มอีกหลายอันถูกขว้างเข้าใส่ขาม้า ทว่าส่วนใหญ่ถูกสกัดไว้ได้ ม้าตัวหนึ่งถูกรัดไว้ด้วยอาวุธนั้นทำให้ไม่สามารถจะวิ่งได้
พวกโมอาร์เห็นว่าอาวุธของตนไม่ประสบผลจึงชักมีดสั้นขึ้นเตรียมสู้รบในระยะประชิด แม้จะมีจำนวนมากกว่าและเป็นฝ่ายรุมล้อมไว้ แต่ด้วยอาวุธและเครื่องป้องกันที่น้อยกว่า ทำให้พวกโมอาร์ไม่กล้าผลีผลาม และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะเพียงตรึงเจ้าพวกสี่ขานี้ไว้ได้ ไม่ช้าพรรคพวกที่เหลือก็จะตามมาทันในที่สุด
ทั้งสองฝ่ายต่างจดๆจ้องๆกันอยู่ ดไวเซนรับรู้ถึงความเสียเปรียบของตนได้เป็นอย่างดี เขาปรายตามองกลุ่มชนที่รุมล้อมไว้ ลำพังคนเพียงแค่นี้คงไม่คณามือนัก ทว่าพวกนี้มีฝีมือพอตัวอยู่ กว่าจะจัดการได้ทั้งหมด พวกการ์กอนที่เหลือก็คงจะตามมาทันพอดี และการหันหลังหนีเจ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ และไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ อัศวินหนุ่มเหลียวไปมองหนทางสู่ยอดเขาที่เปิดโล่งด้วยความหงุดหงิดใจ ระยะทางเพียงแค่นี้ ด้วยฝีเท้าของคาคาโน เขาเชื่อว่าจะสลัดการติดตามของคนพวกนี้ได้อย่างแน่นอน หากแต่การบรรทุกคนถึงสองคนทำให้ม้าศึกตัวเก่งเร่งฝีเท้าได้ไม่เต็มที่ เมื่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ดไวเซนจึงลงมือทำอะไรบางอย่าง
“แม่หญิงลูนาร์ โปรดเก็บสิ่งนี้ไว้ด้วย” อัศวินหนุ่มกล่าว พร้อมยื่นสิ่งหนึ่งให้กับหญิงสาว มันคือแหวนประจำตัวที่สลักรูปดาบห้าเล่มเรียงกันล้อมรอบหัวสิงห์ไว้ ลูนาร์รับแหวนวงนั้นไว้ด้วยความงุนงง โดยมิพักให้ต้องซักถาม ชายหนุ่มรีบกล่าวสำทับทันที
“หากแม่หญิงมีโอกาสได้พบพานกับคนในตระกูลวอเร็นการ์ดแล้วไซร้ โปรดมอบแหวนวงนี้ให้กับพวกเขา แล้วเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาสุดท้ายของข้า” หญิงสาวร่างบอบบางตกใจต่อคำกล่าวนั้น จ้องไปยังดวงตาสีฟ้าหาแววแห่งความล้อเล่น ทว่าไม่ปรากฏแม้แต่น้อย... ใบหน้าคมเข้มยังคงจริงจังไม่เปลี่ยนแปลง ลูนาร์รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกที่อก มิรู้ที่จะกล่าวประการใดได้ ดไวเซนละสายตาจากหญิงสาว หันไปสั่งความกับอาชาคู่ใจตน
“เจ้าจงนำพาสตรีผู้นี้ไปส่งยังที่หมาย เร่งควบให้สุดฝีเท้า หาไม่แล้วก็จงสิ้นสุดความเป็นข้าและเจ้ากันเพียงเท่านี้ อย่าได้มีไมตรีแก่กันอีก!” เจ้าอาชาเอี้ยวหันมามองผู้เป็นนาย ต่างจ้องเข้าไปในดวงตาของกันและกัน มันร้องขึ้นรับเหมือนกับจะรู้ความ ทว่าสตรีที่ได้รับการคุ้มกันกลับเอาแต่ก้มหน้า ส่ายศีรษะไปมาแสดงความแข็งขืนต่อการตัดสินใจนั้น
“ไปเถิดแม่หญิง... ไปหาผู้ที่ท่านได้ฝากใจหมั้นหมาย... แต่หากจะกรุณาต่อชายผู้อับโชค... ขอจงโปรดยิ้มแย้มให้ข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายจะได้หรือไม่...” อัศวินผู้มีใบหน้าคมสันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่สุด หญิงสาวเงยหน้าขึ้น พยายามจะยิ้มให้ได้อย่างที่ต้องการ แต่มันก็เป็นไปอย่างยากเย็นเต็มที เธอยื่นมือเรียวงามขึ้นสัมผัสแก้มของชายหนุ่ม ดไวเซนจับมือข้างนั้นแล้วจุมพิตอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาใส่ใจกับข้าศึกที่รายล้อมอยู่ เขาจะมัวอ้อยอิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้ พวกการ์กอนกำลังกระชับวงล้อมเข้ามาทุกที
มือของดไวเซนกระชับดาบมั่นขึ้นอีกครา สายตาคมกล้าเขม่นมองศัตรูที่ขวางทางสู่เขามังกร ด้วยความเร็วของม้าศึกชั้นเลิศ อัศวินหนุ่มปรี่เข้าฟันข้าศึกที่ล้อมเส้นทางนั้นทำท่าว่าจะหนีไปได้
พวกโมอาร์ไม่ยอมทิ้งเหยื่อของตนรีบแบ่งกำลังเข้าติดตาม แต่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่ออัศวินทิ้งตัวลงจากหลังม้ากลับหลังเข้ารับศึกอย่างรวดเร็ว นักรบที่วิ่งไล่ตามไม่อาจยับยั้งความเร็วได้ทัน สามคนในนั้นถูกฟันตายลงในดาบเดียว พวกที่เหลือรีบตีวงห่างจากคู่ต่อกรที่มีฤทธิ์ร้าย มุ่งความสนใจไปที่การติดตามสตรีที่กำลังหลบหนี ดไวเซนก้มลงคว้าลูกตุ้มที่อยู่บนพื้นขว้างเข้าใส่คนที่ติดตามลูนาร์ทันที นักรบผู้หนึ่งถูกอาวุธรัดเข้าที่ขาสะดุดล้มลงอย่างแรง แต่การโจมตีครั้งนี้ทำให้สิงห์หนุ่มเปิดช่องว่าง และเป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มนักรบชั้นยอดจะไม่ฉกฉวยโอกาสที่ว่า หนึ่งในนั้นพุ่งตัวเข้าแทงมีดใส่หมายดับลมหายใจ แต่นั่นยังช้าไป... บ่าวผู้ภักดีควบม้าเข้าโจมแทงเหล่าปัจจามิตร ช่วยผู้เป็นนายไว้ได้อย่างหวุดหวิด
“เจ้า! จงเร่งตามไปปกป้องแม่หญิงลูนาร์!” ดไวเซนออกคำสั่งไปยังทหารนายนั้นทันที แม้จะเป็นการยากที่จะทอดทิ้งผู้เป็นนาย แต่ทหารนายนั้นก็ทำตามคำสั่งโดยไม่บิดพลิ้ว ที่เร็วเทียมกันคือกลุ่มนักรบโมอาร์ซึ่งแบ่งกำลังไล่ตามไปอีก
ดั่งประตูเหล็กกล้าที่ลงดาลแน่นหนา ไม่มีศัตรูคนใดสามารถหักผ่าน เมื่อสิงห์หนุ่มกวัดแกว่งอาวุธแห่งตน ก็มีเพียงเศษเนื้อเท่านั้นที่จะเล็ดลอดไปได้ กลุ่มศัตรูที่พยายามไล่ตามสตรีที่กำลังหนีต่างหัวขาดตัวขาดลงกลาดเกลื่อนพื้น เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นป้ายเปื้อนตัดกับหิมะขาวบริสุทธิ์ที่ถมทวี
ราชสีห์แม้นเข้าที่ลำบาก หากสุนัขมิอาจกัดกินได้ดั่งใจนึก พวกมันต่างล้อมกรอบส่งเสียงเข้าขู่ไม่กล้าผจญกับคมอาวุธที่ส่องประกาย สิงห์หนุ่มเหลียวมองผู้ร่วมศึก ทหารที่ขาหักแต่ยังยืนสู้ด้วยความอุตสาหะกำลังถูกรุมทำร้าย มือที่กุมดาบพยายามป่ายปัดการโจมตีอย่างสิ้นหวัง สิงห์หนุ่มเห็นดังนั้นรีบกระโจนเข้าช่วย ฉีกกระชากพวกสุนัขลงไม่เป็นชิ้นดี แล้วจึงประกาศด้วยเสียงอันดัง
“ทหารแห่งเซเลท์จงฟัง! จงอย่าได้ลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้แก่ข้าและบิดาของข้า ว่าจะมอบชีวีเข้ารับใช้ ร่วมศึกไปจนกว่าชีวีจะหาไม่! พวกเจ้าได้แสดงคำมั่นนั้นให้ประจักษ์แล้ว จงอย่าได้หวั่นเกรงความตาย! วันนี้พวกเจ้ามิใช่บ่าวผู้รับใช้ หากแต่เป็นสหายร่วมศึกที่มีเกียรติเทียมกัน! สู้!!”
“สู้!!” ทหารในที่นั้นขานรับด้วยความฮึกเหิม ต่างกุมอาวุธเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่คิดชีวิต โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็น ศัตรูที่รายล้อมล้มตายลงเป็นศพแล้วศพเล่า แต่ก็เหมือนกับการฟาดฟันลงไปบนผืนน้ำ เพราะพวกการ์กอนที่เหลือต่างเข้าแทนพวกที่ตาย ไม่ช้าอัศวินและทหารร่วมใจก็ถูกกลืนหายไปกับเงาของศัตรูที่เคลื่อนเข้ามาจนมืดฟ้ามัวดิน
เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังระรัวจากม้าศึกชั้นดีที่ควบเร่งเต็มฝีเท้า สุภาพสตรีร่างบอบบางในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวนั่งอยู่บนหลังของม้าตัวนั้น ผมสีบลอนด์ปลิวสยายพัดพลิ้วไปตามการเคลื่อนที่ตัดฝ่าอากาศ เธอเอาแต่เหลียวมองไปข้างหลังเพื่อเพ่งหาชายที่ช่วยให้หนีรอด หวังใจให้เขาติดตามมาได้ ทว่าไม่พบเห็นสิ่งใดในความมืดที่ปกคลุม
คาคาโนเร่งห้อให้ถึงที่หมายตามคำสั่งของผู้เป็นนาย รีดเค้นพลังเท่าที่มีอย่างเต็มแรง เกือกกระทบพื้นจนไฟแลบแปลบปลาบ ลมหายใจร้อนดั่งเพลิงสุม มันเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต โดยหารู้ไม่ว่าได้มีเงาดำกำลังไล่ล่าอย่างไม่ลดละ
พวกโมอาร์แม้จะมีฝีเท้าดีเพียงไรก็ไม่อาจเทียบได้กับม้าศึกชั้นยอด แต่สิ่งที่คนพวกนี้มีคือความเจนจัดในภูมิประเทศและการข้ามสิ่งกีดขวาง และพวกเขาก็ใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ในการติดตาม นักรบห้าคนกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ข้ามแต่ละอาคารไปด้วยความรวดเร็ว โดยอาศัยเส้นทางลัดนี้ ไม่ช้าพวกโมอาร์ก็ไล่ติดตามหญิงสาวได้ทัน ซ้ำพวกที่ปิดเส้นทางด้านภูเขาก็ช่วยขวางด้วยอีก ต่างชูคมหอกขึ้นเป็นแผงไม่ให้อาชาสีดำปลอดข้ามผ่านไปได้ โมอาร์คนหนึ่งตัดสินใจกระโดดเข้ารวบตัวลูนาร์ ทว่ายังช้าไป...
ฉึก!
ลูกธนูที่แม่นราวจับวางดอกหนึ่งปักทะลุขมับนักรบผู้นั้นทันที มันถูกยิงมาจากบนภูเขา ด้วยระยะที่เกินแรงน้าวคันศรของคนทั่วไปและความแม่นยำอย่างน่ากลัวนั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่เป็นฝีมือของจอร์ชอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะเดียวกันแถวของพวกการ์กอนที่ปิดกั้นเส้นทางอยู่ก็ทำท่าว่าจะแตกฮือ เมื่อบุรุษผู้หนึ่งควบม้าบุกตะลุยลงมาจากบนเขาควงหอกในมือเข้าโถมแทงผู้ที่ขวางทาง ชายผู้มีร่างอันสมส่วน ผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนส่งเสียงตะโกนเรียกสตรีที่อยู่อีกฟากของวงล้อม
“ลูนาร์!! เจ้าปลอดภัยหรือไม่?” เสียงทุ้มทว่าอ่อนนุ่มอย่างที่คุ้นเคย ทำให้หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที
“โจเอล! ข้าอยู่นี่!” เธอตอบกลับด้วยความยินดี ทว่าประดาข้าศึกก็พยายามจะแยกทั้งสองไม่ให้บรรจบพบกันได้ หากแต่นั่นไม่อาจขัดขวางโจเอลไว้ เขาควบม้าเข้าใส่อย่างรวดเร็ว พวกการ์กอนใช้หอกตั้งยันเตรียมรับการปะทะอย่างเต็มที่ ทว่าไม่เป็นอย่างที่คิด...
อาชาในบังคับก้าวกระโจนข้ามคมหอกที่ตั้งรับไปอย่างฉิวเฉียด โดยอาศัยความสูงของเชิงเขาให้เป็นประโยชน์ ชายหนุ่มมองไปยังหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง การที่เธอต้องมาเผชิญอันตรายเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจให้อภัยตนเองได้เลย ขณะที่ลูนาร์นั้นใจเต้นระรัว รู้สึกสึกถึงความอบอุ่นปลอดภัยทันทีที่ได้อยู่ใกล้ชายผู้นี้
ทว่าทั้งสองยังไม่เข้าใกล้ความปลอดภัยเท่าใดนัก ศัตรูที่หนุนเนื่องเข้ามาทำให้ทางรอดดูริบหรี่ ความร้อนรนที่จะมาช่วยลูนาร์ พาโจเอลให้เข้าที่ลำบาก เขาเร่งร้อนจนไม่รอที่จะจัดกำลังมาสนับสนุน หรือสั่งการแก่ใครไว้ ชายหนุ่มชักม้าเข้าบังหญิงสาวร่างบางไว้จากศัตรู เขาแทงหอกเข้าใส่ศัตรูผู้หนึ่งซึ่งใจเด็ดยิ่งนัก แทนที่จะล้มไปเปล่าๆ เจ้าตัวร้ายกลับดึกหอกนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย โจเอลต้องตัดใจจากอาวุธชิ้นนั้นแล้วชักดาบออกรับศึกแทน ยอดดาบดูรันดานาช่างทรงพลานุภาพยิ่งนัก เพียงกวัดแกว่งเบาๆก็ลิดเอาปลายหอกที่จ่ออยู่จนเหี้ยน ทำเอาพวกการ์กอนตกใจพากันถอยกรูดไปหน่อยหนึ่ง แต่นั่นอาจเป็นเพียงกลอุบาย เพราะหลังจากที่ถอยห่างออกไป การโจมตีระลอกใหม่ก็เริ่มขึ้น พวกนั้นไม่กล้าต่อกรกับคมของดูรันดานาจึงขว้างปาก้อนหินเข้าใส่แทน
โจเอลใช้ดาบในมือปัดการโจมตีทั้งหมดให้กับลูนาร์ ส่วนตนเองนั้นพึ่งพาเอากับการป้องกันของชุดเกราะ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวที่บอบบางจึงไม่ได้รับอันตรายแม้แต่รอยขีดข่วน ผิดกับชายหนุ่มที่บาดเจ็บจากการโจมตีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากชุดเกราะที่สวมใส่ส่วนใหญ่เป็นเกราะอ่อนที่ไม่ได้มิดชิดนัก ทำให้ยังได้รับอาการฟกช้ำอยู่บ้าง
เขาไม่อาจแน่ใจว่าจะสามารถคุ้มครองลูนาร์ได้ดีพอ จึงถอดหมวกเกราะสวมให้เธอไว้แทน นั่นทำให้หินบางก้อนกระแทกเข้าที่เหนือคิ้วของโจเอลจนถึงกับเลือดอาบ เขารีบเอามือป้ายไม่ให้เลือดเข้าตาซึ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลงทันที
พวกศัตรูยิ้มเยาะต่อบาดแผลที่พบเห็น รู้สึกถึงความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ต่างรีบหาสิ่งของเข้าขว้างปาอีกเพื่อจะได้เผด็จศึกโดยเร็ว
ลูนาร์มองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ เธอน่าจะเชื่อโจเอลตั้งแต่แรก ถ้าหากไม่ดื้อดึงตามมาคงไม่ทำให้หลายคนเดือดร้อนที่ต้องคอยช่วยเธอไว้ ไม่คิดว่าความอวดดีของเธอจะทำร้ายใคร รวมถึงคนที่เธอรัก... ยิ่งเห็นเขาบาดเจ็บเพื่อช่วยเธอไว้ยิ่งทำให้ปวดใจ ในที่สุดหยาดน้ำตาใสๆก็ร่วงพรูไม่อาจเก็บกั้นไว้ได้อีก เธอรีบละล่ำละลักท่องมนต์รักษาให้กับคนที่เธอรักทั้งๆที่ยังสะอึกสะอื้น
โจเอลหันมามอง ยิ้มให้น้อยๆแล้วส่ายศีรษะ เขายื่นนิ้วมือมาแตะที่ริมฝีปากหญิงสาวเบาๆเป็นเชิงห้าม เลือดที่ติดบนถุงมือฉาบริมฝีปากงามได้รูปนั้นให้แดงสด เขาไม่ต้องการให้ลูนาร์ใช้เวทย์รักษาอีก เพราะรู้ว่าการโจมตีจะมีมาอย่างต่อเนื่อง และรู้อีกว่าหญิงสาวผู้ดื้อรั้นคนนี้มักจะทำอะไรเกินตัว หากเธอสลบลงในเวลานี้เหตุการณ์อาจเลวร้ายลงไปอีก
บนเขามังกรที่ยังมีการสู้รบกันอย่างชุลมุนนั้น จอร์ชเองก็แทบไม่มีสมาธิที่จะจับเป้าหมายสำคัญได้อีก ใจพะว้าพะวังกลัวสหายทั้งสองจะเป็นอะไรไปเสียก่อน พวกการ์กอนที่พยายามบุกขึ้นมาบนเขา ทำให้เขาคลาดกับโจเอลที่ใจร้อนขึ้นม้าฝ่าวงล้อมไปเพียงลำพัง หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่กล้าพอที่จะทำอะไรบ้าบิ่นเช่นนั้น แม้จะเพื่อช่วยคนที่สำคัญที่สุด...
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยพยายามดึงสติกลับมายังคันศรอย่างยากเย็น ถึงจะรู้ดีว่ามีเพียงธนูแต่ละดอกจากตนเท่านั้น ที่จะช่วยสหายทั้งสองได้ดีที่สุดในขณะนี้ ทว่าความว้าวุ่นในจิตใจก็ทำให้เขาจับเป้าหมายพลาดไปหลายครั้ง จอร์ชเหลียวมองไปรอบๆว่าพอจะฝากความหวังไว้กับใครได้หรือไม่ แต่ดูจะเปล่าประโยชน์ เพราะยังมิอาจสถาปนาที่มั่นได้อย่างสมบูรณ์ ทุกคนในที่นั้นจึงต้องรับศึกกันตึงมือ
บางทีเขาควรจะลงไปช่วยโจเอลและลูนาร์ด้วยตัวเอง จอร์ชจับดาบซึ่งคาดไว้ที่เอวอย่างสองจิตสองใจ หากใช้เพลงดาบของตน เขาอาจช่วยคนทั้งสองได้ดีกว่านี้...
‘ไม่ได้... ถ้าใช้เพลงดาบ... เราจะเปิดเผยตัวตน... เราทำแบบนั้นไม่ได้... ยิ่งมีคนขององค์จักรพรรดิด้วยแล้ว... แต่...’
ระหว่างที่ชายเจ้าของใบหน้าสวยยังคงนิ่งงันด้วยความว้าวุ่นใจอยู่นั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งผ่านไปจากด้านหลัง...
อัศวินในชุดเกราะสีแดงเพลิงพร้อมพาหนะคู่ใจพุ่งเข้าหาแนวของข้าศึก อาวุธรูปร่างประหลาดในมือถูกเล็งไปข้างหน้าอย่างองอาจเพื่อเปิดแนว มังกรในบังคับส่งเสียงคำรามขู่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เพียงไม่นาน หนึ่งอัศวินหนึ่งมังกรก็พุ่งทะลวงผ่านหมู่ปัจจามิตรกว่าร้อยคนไปง่ายดาย ราวกับมีดร้อนๆที่ตัดผ่านเนย
ดั่งที่เคยปรากฏมาแล้ว อาวุธธรรมดาของพวกการ์กอนไม่อาจทำอันตรายอัศวินและพาหนะได้เลย ซ้ำทหารม้าของดารูเกนซ์ก็โหมบุกตามผู้เป็นนายลงไป ทำให้พวกการ์กอนแตกออกเป็นทาง
เมื่อเห็นดังนั้นจอร์ชก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางสวยขยับยิ้มที่มุมปาก นิ้วมือเรียวงามเหนี่ยวสายธนูขึ้นอีกหน โดยจับเอาอัศวินในชุดเกราะแดงเป็นเป้าหมาย!?
‘...ยังก่อน... ให้โจเอลกับลูนาร์ปลอดภัยเสียก่อน...’
นัยน์ตาสวยแฝงประกายความน่ากลัวหรุบหรี่ลงชั่วขณะก่อนจะแผลงศรออกไป... ใส่นักรบการ์กอนชะตาขาดที่กำลังจะซัดหอกเข้าใส่โจเอล..
ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ดารูเกนซ์และลาร์ซก็มาปรากฏเบื้องหน้าโจเอลและลูนาร์ในสภาพที่โชกเลือด แน่ทีเดียวว่านั่นมิใช่เลือดของอัศวินและมังกรพาหนะ หากแต่เป็นของพวกการ์กอนที่บังอาจเข้ามาขวางทาง
“โจเอล ท่านปลอดภัยหรือไม่?” อัศวินในชุดเกราะแดงเปิดกระบังหมวกขึ้น แล้วถามพอเป็นพิธีตามแบบฉบับตัว โดยไม่หวังการสนทนาโต้ตอบ
“ข้าไม่เป็นอะไรมาก... รีบถอยกลับขึ้นเขาก่อนเถิด...” โจเอลตอบกลับ เร่งเร้าให้ดารูเกนซ์ถอยเพราะต้องการพาลูนาร์ไปยังที่ปลอดภัย
ระหว่างกำลังจะถอยอยู่นั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งควบม้ามาจากในหมู่บ้าน ลูนาร์เหลียวหันกลับไปมองร่างนั้น นัยน์ตางดงามของหญิงสาวส่องประกายขึ้นทันที ‘ดไวเซน...’ เธอคาดหวังให้เป็นเขา
ทว่าเมื่อร่างนั้นเข้ามาใกล้ สิ่งที่คาดหวังก็พังทลายในที่สุด ชายผู้นั้นมาถึงในสภาพที่ทรุดโทรมมองดูคล้ายผ้าขี้ริ้วเก่าๆทีเดียว หมวกเกราะบุบลงหลายแห่ง เสื้อถูกเฉือนจนเป็นริ้วๆ ลูกธนูดอกหนึ่งปักคาอยู่ที่ไหล่ซ้าย เขาคือทหารม้าที่ดไวเซนสั่งให้ตามมาคุ้มกันลูนาร์นั่นเอง ดารูเกนซ์ออกฟันศัตรูที่ขวางทางอยู่ เพื่อให้ชายผู้บาดเจ็บเข้ามาในวงคุ้มกันทันที
“แฮ่ก... แฮ่ก... ...อภัยด้วยแม่หญิง แฮ่ก... ข้าต้องสู้รบกับพวกคนเถื่อนนั่นตามรายทาง ...ทำให้มาอารักขาท่านไม่ทัน แม่หญิงปลอดภัยหรือไม่?” ทหารม้านายนั้นกล่าวด้วยความเหนื่อยล้า
หญิงสาวขมวดคิ้วขึ้นทันที ก่อนจะย้อนถามถึงสิ่งที่อยากรู้อยู่คับอก “ดไวเซนล่ะ? เขาอยู่ไหน? ทำไมเขาถึงไม่ตามมาด้วย?” น้ำเสียงใสแฝงความกังวลอย่างเต็มปรี่ ผู้ถูกถามก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ ลูนาร์จึงหันมาขอร้องโจเอลแทน
“ได้โปรดเถิดโจเอล... ท่านต้องช่วยดไวเซนนะ... เขายังติดอยู่ในวงล้อม... ท่านจะไม่ทิ้งเขาไว้ใช่ไหม?” ลูนาร์ยุดแขนเสื้อโจเอลไว้ ส่งสายตาวิงวอน น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ชายหนุ่มเพ่งดวงตาสีน้ำตาลไปยังเส้นทางสู่หมู่บ้านที่ทอดยาว ศัตรูต่างรอที่ประหัตประหารผู้ที่จะล่วงเข้าแดนอย่างไม่ต้องสงสัย คำขอร้องของลูนาร์นั้นดูจะเอาแต่ใจเสียจนไม่อาจจะตอบสนองได้
“...พวกเจ้าคุ้มกันท่านโจเอลกลับไปด้วย...” น้ำเสียงทรงเสน่ห์กล่าวขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
ก่อนที่โจเอลจะได้ทราบความหมายของคำพูดนั้น อัศวินเจ้าของคำพูดก็ปิดกระบังหมวกลงแล้วพามังกรคู่ใจเข้าสู่เส้นทางในหมู่บ้านอย่างไม่หวั่นเกรงต่อศัตรูมากมายนับพัน ลูนาร์หันไปมองชายในชุดเกราะแดงอย่างมีความหวัง ทว่าใจหนึ่งก็นึกหวั่นหากความเอาแต่ใจของเธอนั้นจะทำให้อัศวินผู้นี้มิได้กลับมาอีก
เหล่าทหารม้าของดารูเกนซ์พยักหน้ารับคำสั่งของผู้เป็นนายเบาๆ แล้วพากันคุ้มกันโจเอลและลูนาร์ถอยขึ้นสู่ภูเขาโดยไม่ได้รับอันตราย เมื่อลูนาร์เหลียวกลับมา อัศวินและมังกรคู่ใจก็กลืนหายไปกับข้าศึกที่มากมาย มีเพียงเลือดที่สาดกระเซ็นเป็นทางซึ่งโผล่พ้นเลยหัวของพวกการ์กอนเท่านั้น ที่พอจะมองเห็นได้...
ความคิดเห็น