ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 10 ความในใจของอัศวินหนุ่ม

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 50


                    ระจันทร์ในคืนนี้ดูงดงามยิ่งนัก ทั้งเต็มดวงและกระจ่างชัด แสงสีเงินสว่างจ้าสาดส่องจนเห็นทุกสิ่งได้ราวกับเป็นกลางวัน ทว่าในค่ำคืนนี้ยังมีอีกหลายคน ที่ไม่มีแก่ใจจะมาอภิรมย์กับภาพเบื้องหน้า

                    ลมหายใจหนักๆที่ผ่อนออกมา แทบจะเป็นสัญญาณเดียวที่บ่งบอก ว่าชายในชุดเกราะสีแดงไม่ใช่รูปปั้น แม้จะดูนิ่งสงบขนาดนั้น แต่ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้ได้โดยพลัน ว่าอัศวินผู้นี้เต็มไปด้วยความคับข้อง

    สำหรับดารูเกนซ์แล้ว ตลอดเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมา นี่เป็นวิธีเดียวที่เขารู้จักในการแสดงความไม่พอใจออกมา ในใจของเขากำลังประหวั่นถึงสถานภาพระหว่างตนและลาร์ซมังกรพาหนะ ธรรมดาแล้วอัศวินจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพาหนะ ยามสู้ศึกจึงจะเปล่งอานุภาพสูงสุด ทว่าตั้งแต่มังกรตัวนั้นปรากฏตัว ลาร์ซก็ดูจะเปลี่ยนไป นั่นทำให้ดารูเกนซ์ทดท้อใจที่แม้ว่าจะเติบโตร่วมกันมา แต่สายเลือดของเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ยังคงเหนียวแน่น

                    ด้วยการเลี้ยงดูที่เข้มงวดและเย็นชาตามแบบของขุนนาง ทั้งการกีดกันเหยียดหยามจากการที่เขาเป็นบุตรนอกสมรส ลาร์ซจึงเป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์พาหนะในยามสงคราม หากแต่ยังเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นที่พักพิงใจ การที่มังกรของเขาเลือกที่จะปลีกตัวไปเจรจากับมังกรอีกตัวตามลำพังเช่นนี้ จึงสร้างความรู้สึกเคว้งคว้างในจิตใจของอัศวินผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

                    อีกด้านหนึ่ง โจเอลก็กำลังพักผ่อนจากผลกระทบต่อการใช้เวทรักษาโดยมีจอร์ชคอยดูแล ทหารถูกแบ่งให้อยู่ยามกันเป็นกะ คืนนี้พวกเขาจะต้องค้างคืนบนภูเขา เพราะการแบ่งทหารลงไปยังหมู่บ้านในยามวิกาลเช่นนี้อาจเป็นอันตรายได้ และพวกเขาก็ยังต้องเฝ้าปากถ้ำไว้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องสงสัยเล็ดรอดไปได้

                    เฮอร์มกับบุตรทั้งสองต่างก็หามุมสงบพักผ่อนกันเอง โดยเว้นระยะออกไปไม่ห่างนัก ตาเฒ่าดูจะไม่จู้จี้เรื่องการกินการนอนเท่าไหร่ แม้ไม่ต้องใช้ผ้ารองนอน เฮอร์มก็หลับได้โดยไม่กังวลถึงความเย็นจากพื้นดิน ซ้ำยังหลับเอาจริงๆ โดยฝากภาระการอยู่ยามทั้งหมดไว้กับพวกทหาร

                    ถึงอย่างนั้นประสาทการรับรู้ของพรานเฒ่าก็ยังเฉียบคม เพราะเขาเป็นคนแรกที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวจากในถ้ำ เฮอร์มผุดลุกขึ้นนั่งหลังตรงแหนวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อาราริคจะเยื้องกรายพ้นปากถ้ำเสียอีก ท่าทางของตาเฒ่าเหมือนจะยังเกรงในอำนาจของพญามังกรอยู่ไม่น้อย

                    อาราริคเดินออกมาจากถ้ำ ด้วยร่างของชายวัยสี่สิบปลายๆที่ดูมีสง่าราศีราวกับกษัตริย์จากแว่นแคว้นใด แม้จะมักคุ้นกันในระดับหนึ่ง ทว่าพวกทหารก็ยังคงระแวดระวังอยู่ดี ดวงตาสีทับทิมมองดูท่าทีกล้าๆกลัวๆของคนพวกนั้นอย่างนึกขัน แต่เมื่อเหลียวไปยังชายหนุ่มรูปงามที่หลับใหล สายตานั้นก็กลับฉายแววแห่งความอาลัยต่อสหายต่างเผ่าพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง

                    ท่านอาราริค ท่านกำลังจะไปจากที่นี่หรือ?จอร์ชตรงเข้ามาถามด้วยท่าทางอันแสนสุภาพ เมื่อชายร่างสูงพยักหน้ารับ อีกฝ่ายจึงกล่าวต่อออกจะเป็นการรบกวนท่านไปสักหน่อย แต่พวกเรามีภารกิจอันยากยิ่ง หากว่าไม่ขัดข้อง...

    เมื่อพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร พญามังกรผู้ทรงศักดาจึงยกมือขึ้นปรามแล้วกล่าว ไม่ล่ะ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับกิจของมนุษย์อีก ข้าเคยได้รับบทเรียนมาพอแล้วสำหรับเรื่องนี้ พวกท่านควรจะพึ่งพาตัวเองดีกว่า ฝากบอกโจเอลด้วยว่าให้เขารักษาตัวให้ดี เพราะข้าคงจะไม่ได้พบเขาอีกแล้ว ดวงตาสีแดงเปลี่ยนเป็นแววละห้อยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปยังชายในชุดเกราะสีแดงเพลิง

                    พ่อหนุ่ม... ท่านชื่อดารูเกนซ์สินะ น้ำเสียงทรงอำนาจดังมา นั่นทำให้ผู้ที่ถูกเรียกยอมขยับเขยื้อน ดารูเกนซ์ค้อมศีรษะเล็กน้อยให้กับผู้ที่เรียกตน อาราริคจ้องมองอัศวินผู้นั้น เข้าใจดีถึงความคับข้องที่มีต่อตน จึงหัวเราะแล้วกล่าวเพียงสั้นๆ

                    ฮะฮะฮะ ดารูเกนซ์... อย่าอนาทรร้อนใจไป นางรอท่านอยู่ข้างในถ้ำ... เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังงงๆอยู่ อาราริคจึงประกาศเสียงดังให้ทุกคนฟังเอาล่ะ ข้าอนุญาตให้ดารูเกนซ์เท่านั้นที่เข้าไปในถ้ำ ที่เหลือหากดารูเกนซ์ยังไม่กลับออกมาจงอย่าเข้าไปเป็นอันขาด!”

                    แน่นอนทีเดียว ไม่มีใครกล้าขัดต่อคำสั่งนั้น อัศวินหนุ่มเดินตรงไปยังปากถ้ำทั้งที่ยังไม่เข้าใจนัก พญามังกรยิ้มอย่างพอใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนต้องการ

                    ข้าต้องไปสักทีล่ะ... อาราริคกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนอากาศ สูงเกินกว่าที่มนุษย์ผู้ใดจะกระโดดได้ สักพักแสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้นจากร่างนั้น เมื่อแสงจางลง พญามังกรผู้มีเขาทองคำทั้งแปดและเกล็ดที่เป็นเพชรวาววับก็ปรากฏขึ้นแทนที่ ปีกแบบปีกค้างคาวพัดโบกโบย พาร่างอันมโหฬารหายลับไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว

     

                    ภายในถ้ำซึ่งไร้สรรพเสียงใดๆ ดารูเกนซ์เดินเข้ามาในถ้ำอย่างไม่แน่ใจนัก ทำไมพญามังกรถึงอยากให้เขาเข้ามาในถ้ำคนเดียว... แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเข้ามา เพราะลาร์ซยังอยู่ในถ้ำนี้ เมื่อคิดดังนั้นเขาจึงก้าวเดินอย่างมั่นใจมากขึ้น ภายในนี้ยังคงมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆได้ดีพอสมควร ดวงตาสีฟ้าเข้มกวาดไปรอบๆเพื่อมองหาพาหนะคู่ใจตน การเคลื่อนไหวหนึ่งดึงความสนใจของชายหนุ่ม ที่ด้านหลังของผลึกแท่งใหญ่ตรงมุมถ้ำ มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่

                    ลาร์ซ... น้ำเสียงทรงเสน่ห์ร้องเรียกชื่อมังกรของตน ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ ดารูเกนซ์จึงรีบก้าวเข้าไปหาสิ่งที่อยู่หลังแท่งผลึก เมื่อเข้าไปใกล้ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็ทำเอาอัศวินหนุ่มแทบหยุดหายใจ...

                    แท่งผลึกธรรมชาติใสเหมือนน้ำในลำธาร ขนาดของมันสูงใหญ่กว่าร่างกายมนุษย์สักสามสี่เท่า และยาวออกมาคล้ายกำแพง ความใสของมันทำให้เห็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน นั่นคือร่างของสตรีวัยประมาณ 16-17 ปี ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดกาย!

                    สาวสวยร่างเพรียวบาง ผมของนางเป็นสีฟ้าหยักศกยาวถึงเข่า ดวงตาสีแดงดูงดงามอย่างน่าประหลาด จ้องกลับมายังอัศวินหนุ่มอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ ฟันขาวราวไข่มุกขบเม้มริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อไว้ ดั่งกลัวว่าจะเอื้อนเอ่ยวจีใดออกมา นิ้วมือเรียวงามวางไว้เคียงคู่คอระหง โดยปล่อยให้ท่อนแขนปิดบังปทุมถันของสาวสะพรั่ง

                    ดูเหมือนนางจะตกประหม่าหรือขวยอาย เพราะแก้มนวลนั้นเริ่มเจือสี ลมหายใจแรงขึ้นจนเห็นกายสั่นไหวช้าๆ ในยามที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ จึงเห็นเป็นหมอกไอเข้าจับแท่งผลึกให้พร่ามัว คล้ายภาพของความฝัน

                    มิผิดกันนัก อัศวินหนุ่มก็เกิดจริตเขินอายขึ้นด้วย ใบหน้าคมคายกลายเป็นสีแดงจนแทบจะกลืนกับสีของชุดเกราะ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของอิสตรี หรือว่าบางทีนี่อาจเป็นนางฟ้า...

                    ข... ขอโทษด้วย ที่ข้าเสียมารยาทต่อแม่หญิง... น้ำเสียงทรงเสน่ห์กล่าวเลิ่กลั่ก ดารูเกนซ์รีบหันหลังให้กับภาพที่ยากจะลืมทันที ใจนึกละอายที่ได้ผิดกฎของอัศวิน ที่ห้ามมิให้ล่วงละเมิดต่อสตรีที่มีใช่ภรรยา ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา หรือ... จิตใจ...

                    ...ดา... สาวสวยร้องขึ้นเบาๆเมื่อเห็นว่าอัศวินหนุ่มกำลังจะก้าวจากไป น้ำเสียงนั้นหวานหูทว่าฟังดูแปร่ง เธอทำท่าว่าจะก้าวตามแต่กลับล้มลงเหมือนไม่คุ้นเคยกับการเดินสองเท้า นั่นทำให้อัศวินหนุ่มหยุดกึกด้วยความลังเล ทว่าไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจหนักแล้วก้าวเดินไป

                    ...ข้าจะอยู่ที่ปากถ้ำนี่ แม่หญิงสบายใจเถิด ข้าจะมิให้ผู้ใดเข้ามากล้ำกราย... ดารูเกนซ์กล่าว เขารีบเดินไปยังปากถ้ำให้เร็วที่สุด ความรู้สึกของชายหนุ่มนั้นคล้ายกับคนจมน้ำที่ต้องรีบโผล่พ้นน้ำเพื่อหายใจ ใบหน้าร้อนผ่าวจิตใจสับสนไปหมด ไยจึงมีสตรีอยู่ในถ้ำแห่งนี้... หรือจะเป็นเล่ห์กลของเจ้ามังกรนั่น... แล้วลาร์ซล่ะ...

                    เมื่อคิดถึงพาหนะของตน ชายหนุ่มก็ตั้งท่าว่าจะหันกลับ แต่มิอาจผิดต่อคำมั่นสัญญาของตนจึงยับยั้งไว้ เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ เขาจึงคุกเข่าลงแล้วประสานมือเพื่อสวดมนต์ หวังจะไล่ความคิดที่สับสนออกไป เผื่อว่าถ้านางเป็นปิศาจที่มาล่อลวงให้เขาต้องเสียศีลสัตย์แล้วก็คงจะหนีหายไปเอง แต่หากว่านางเป็นนางฟ้า...

                    ดารูเกนซ์ไม่อยากคิดต่อไป เขาหันเหความคิดมาเป็นความห่วงพะวงต่อลาร์ซ และเพ่งสมาธิต่อบทสวด ปล่อยให้หญิงสาวนั่งอยู่ลำพัง ในระยะเพียงได้ยินเสียงพูด...

     

                    ห่างไกลออกไป ณ หมู่บ้านคูอูล อัศวินอีกผู้หนึ่งก็กำลังวุ่นวายใจไม่แพ้กัน ดไวเซนก้าวเดินไปมาอยู่หลายรอบในที่พักของตน แม้การเข้าสนามรบครั้งแรกก็ไม่ทำให้เขากระวนกระวายได้ถึงเพียงนี้

                    นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ขอบคุณต่อสตรีที่ได้รักษาเขา หากยังมีคนอื่นอย่างโจเอลหรือจอร์ชอยู่ คงจะเป็นการยากที่จะกล้าเข้าหานาง เขาจำได้ดีถึงนามของสตรีผู้นั้น ...ลูนาร์... นามนั้นช่างเพราะพริ้งสนิทอยู่ในดวงกมลของอัศวินหนุ่ม

                    เขาควรจะรีบแสดงความสำนึกต่อผู้มีคุณ แต่อีกทางหนึ่ง ดไวเซนนั้นรู้ดีว่านี่เป็นยามวิกาล มิควรที่บุรุษจะพบเจอกับสตรีโดยลำพังในที่รโหฐาน เพราะนั่นมีแต่จะทำให้เกียรติของฝ่ายหญิงต้องหมองหมาง อันขัดต่อกฎของอัศวินที่จะต้องปกป้องชื่อเสียงของสตรี...

                    ใจของอัศวินหนุ่มว้าวุ่นไปหมด เขาควรจะทำตามใจตน... หรือยึดมั่นในกฎและหลักเกียรติยศ...

                    ดไวเซนเดินไปมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ก้มลงเพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่างในหีบสัมภาระส่วนตัว เขาหยิบเอากล่องใบเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือออกมา กล่องใบนั้นทำจากไม้โอ๊คแกะลวดลายวิจิต ภายในบรรจุไปด้วยไม้หอมอย่างดีเอาไว้จุดในยามสวดมนต์

                ชายหนุ่มถือกล่องไม้ไว้ด้วยความลังเลใจ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีขาทั้งสองก็พาเอาผู้เป็นนายออกมายืนอยู่นอกที่พักเสียแล้ว ดไวเซนจึงลองเดินไปเลียบเคียงยังเรือนพักของสตรีผู้มีคุณดูสักหน่อย แอบหวังในใจว่านางอาจจะอยู่ตรงหน้าต่างพอให้สบหน้ากันได้

                    นั่นใคร!” น้ำเสียงดุดังขึ้นตรงหน้า ดไวเซนสะดุ้งเล็กน้อยต่อเสียงนั้น เขามองไปยังผู้ร้องทัก ใบหน้าเหี้ยมเกรียมมีแผลเป็นที่แก้มซ้ายดูคุ้นเคย ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่น่าจะชื่อฮานส์กระมัง ดไวเซนคิด

                    ท่านมาด้วยประการใด? ฮานส์ยิงคำถามเข้าใส่อีก รู้สึกแปลกใจที่อัศวินผู้นี้มาเดินอยู่หน้าที่พักของลูนาร์ แม้จะยิ้มให้เป็นไมตรี ทว่าอีกฝ่ายกลับคิดว่าเป็นการข่มขู่ ดไวเซนอ้ำอึ้งอยู่ กำลังคิดที่จะตอบไปว่ามาเดินเล่นอยู่แล้ว หากแต่มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา

                    ฮานส์ มีอะไรหรือ? น้ำเสียงหวานใสดังมาจากในกระท่อมที่พัก แน่ทีเดียว อัศวินหนุ่มระลึกถึงเจ้าของเสียงนั้นได้โดยทันที เพียงแค่ได้ยินก็พาให้หัวใจของเขาสั่นไหว รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต

                    ท่านดไวเซนผ่านมาทางนี้ขอรับ ...เข้าใจว่าคงมาเดินเล่น ชายหน้าเหี้ยมตอบโดยเอาคำที่อัศวินหนุ่มคิดจะอ้างมาใช้เสร็จสรรพ เรื่องดูเหมือนจะยุติลงแล้ว ทว่าดไวเซนรีบกล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

                    ...เอ่อ... ข้าอยากจะมาขอบคุณท่านนักบวชสักหน่อย... แล้วก็... ข้าอยากจะมาเยี่ยมอาการท่าน... ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง ไม่นานผู้ที่อยู่ในกระท่อมก็ตอบออกมาด้วยเสียงอันไพเราะ

    ...เช่นนั้นเชิญท่านอัศวินเข้ามาเถิดเมื่อได้ยินเช่นนั้นฮานส์จึงหลีกทางให้ แต่ก็ไม่วายที่จะยิ้มให้ดไวเซนอีกครั้งหนึ่ง อัศวินหนุ่มฝืนยิ้มรับรอยยิ้มแสนน่ากลัวนั้นอย่างยากเย็น ก่อนจะเดินตามเสียงเชื้อเชิญหวานหูด้วยฤทัยที่เบิกบาน

     

                    ภายในกระท่อมหลังน้อย ลูนาร์กำลังเพลิดเพลินกับการดอมดมดอกไม้นานาพันธุ์ที่ตกแต่ง เธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล อันเป็นผลจากการใช้เวทติดต่อกันมากเกินไป การตื่นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่าในยามดึกเช่นนี้ สร้างความรู้สึกเบื่อหน่ายให้เธออยู่บ้าง เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยียน เธอจึงยิ้มให้แล้วกล่าว

                    ท่านอัศวินมีธุระอันใดกับข้าหรือ? ดไวเซนนิ่งไปพักหนึ่ง รอยยิ้มและน้ำเสียงอันเพราะพริ้ง ได้เปลี่ยนนักรบผู้ห้าวหาญให้กลายเป็นท่อนไม้ไปเสียแล้ว

                    ...ข้า... เอ่อ... ชายหนุ่มเริ่มกล่าวอะไรขึ้นมาบ้าง เพราะคิดว่าความเงียบนั้นดูจะไม่เข้าท่านัก ข้าต้องขอโทษด้วยที่เข้ามารบกวนท่านนักบวชในยามวิกาลข้าอยากจะมาขอบคุณที่ท่านได้รักษาข้าเมื่อตอนกลางวันเอ้อ!ข้าเปิดประตูทิ้งไว้เช่นนี้น่าจะดีกว่าจะได้ไม่มีคำครหาว่าท่านนักบวชอยู่ในที่รโหฐานกับข้าเพียงลำพัง เขาพูดออกมาเร็วปรื๋อโดยไม่หยุดหายใจแม้แต่น้อย อากัปกิริยาของอัศวินทำเอาลูนาร์หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

                    ฮะ ฮะ ตามสบายเถิดนะท่านอัศวิน มารยาทเล็กๆน้อยๆเช่นนั้นชาวเราไม่ถือสานักหรอก ท่านจะเปิดไว้อย่างนั้นก็ตามทีเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังมีฮานส์เฝ้าอยู่ด้านนอก เธอเดินไปยังช่องผนังที่เปิดไว้เป็นหน้าต่าง แล้วกล่าวต่ออีกอย่าง ข้ายังไม่ได้เข้าพิธีเป็นนักบวช ช่วยเรียกข้าว่าลูนาร์เถิดนะ ท่านดไวเซน ลูนาร์เน้นเสียงในตอนท้ายอย่างล้อเลียน

                    อัศวินหนุ่มมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ดูเธอช่างร่าเริงมีชีวิตชีวา ต่างจากสตรีในเมืองนัก ทั้งยังกล่าวตอบโต้เขาอย่างฉะฉานไม่กลัวคน แต่อีกด้านก็ดูสูงส่งไว้ตัวเช่นนักบวช... ว่าที่นักบวช นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกชื่นชมและหลงรักสตรีตรงหน้าอย่างยากจะถอนตัว ใจเริ่มคิดเข้าข้างตัวเอง ถึงการที่นางยอมโอภาปราศรัยเป็นการส่วนตัว ทั้งยังให้เรียกชื่อดูเป็นการใกล้ชิดกันยิ่งนัก ชายหนุ่มสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะยื่นกล่องไม้ในมือให้กับหญิงสาว

                    ข... ข้านำของมามอบให้เป็นการขอบคุณ ที่ท่านได้ช่วยรักษาข้า

    คราวนี้เริ่มดีขึ้น เขาเริ่มจะพูดเป็นจังหวะจะโคนขึ้นบ้าง แต่ยังคงตะกุกตะกักอยู่ดี ลูนาร์ยื่นมือมารับกล่องไม้นั้นไว้ ก็พอดีให้มือของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ ดไวเซนสะดุ้งขึ้นรีบชักมือกลับ รู้สึกเหมือนมีสายฟ้าต้องร่าง หน้านั้นแดงก่ำจนถึงใบหู

                    ข ข... ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดจะล่วงเกิน ชายหนุ่มรีบกล่าวขอโทษ

    อีกฝ่ายแอบหัวเราะขึ้นในใจ ใช่ว่าเธอจะไม่เคยพบพานกับการเกี้ยวพาของบุรุษ แต่ด้วยฐานะที่เป็นนักบวชฝึกหัด ทำให้ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะรุกหนัก ส่วนพวกที่กล้านักก็เห็นจะเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ เดือดร้อนให้ต้องอาศัยรอยยิ้มมัจจุราชของฮานส์อยู่บางที

                    เธอเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ว่าพวกหนุ่มๆในเมืองเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ โดยเฉพาะพวกขุนน้ำขุนนาง ยิ่งต้องระวังให้ดีเป็นพิเศษ แต่กับชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้น ดูเขาช่างใสซื่อเหมือนเด็กน้อย ใบหน้าหรือก็ออกจะหล่อเหลา รูปร่างก็ผึ่งผาย ไฉนจึงขลาดเสียจริง กับแค่คุยกับสตรีที่ไร้พิษภัยเช่นเธอ แล้วยังเรื่องถือมารยาทเล็กๆน้อยราวกับเป็นนักบวชเสียเอง เห็นแล้วในใจให้นึกเอ็นดูอยู่ นั่นทำให้เธอรู้สึกสนุกที่จะได้ดูพฤติกรรมแปลกๆของชายผู้นี้อีกสักหน่อย

                    ดีทีเดียวที่ได้มีเพื่อนคุยอยู่บ้าง ถ้าไม่เป็นการรบกวนท่านดไวเซนจนเกินไป เพราะดูท่าว่าข้าจะหลับไปมากจนนอนต่อไม่ไหวแล้ว ลูนาร์แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงที่หวานยิ่งกว่าเดิม พร้อมปรายมือเชื้อเชิญอัศวินหนุ่มให้นั่งยังขอนไม้ที่ถูกใช้แทนเก้าอี้ เมื่อนั่งแล้วหญิงสาวก็เปิดกล่องนั้นดูจึงได้พบกิ่งไม้เล็กๆ

                    น... นั่นเป็นกิ่งไม้หอมหายากจากไรบันใช้สำหรับจุดเวลาสวดมนต์คิดว่าคงจะเหมาะกับท่าน ดไวเซนอธิบายเร็วปรื๋อ

                    พวกอวดมั่งอวดมีรึ? ลูนาร์คิด เธอเคยเจอคนประเภทนี้อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกมีอายุ การที่ถูกสั่งสอนมาในเส้นทางของของนักบวช ทำให้เธอมิได้ยินดีต่อทรัพย์ศฤงคารสักเท่าไหร่

                    บทสนทนาของหญิงสาวและชายหนุ่มเป็นไปอย่างฝืดเคืองอยู่พักหนึ่ง ลูนาร์นั้นเฝ้าดูอยู่ว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรออกมา ขณะที่สมองของดไวเซนก็ต้องทำงานอย่างหนัก เขาไม่รู้ว่าควรจะนำเรื่องใดมาคุยกับหญิงสาวดี ทั้งยังไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ ยิ่งถ้าสบตาแล้วยิ่งยากใหญ่ สายตาของชายหนุ่มจึงมองกระจัดกระจายไปทั่วห้อง หรือไม่ก็ชำเลืองอยู่แค่ปลายเท้าของแม่หญิงที่อยู่ตรงหน้า

                    พระจันทร์คืนนี้ดูสวยทีเดียว ท่านว่าไหม? ลูนาร์เป็นฝ่ายเปรยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความน่าอึดอัด ก่อนจะส่งสายตากลับมามองชายหนุ่มดั่งจะขอความเห็น เผอิญให้เป็นจังหวะเดียวกับที่อัศวินหนุ่มได้มองไปนอกหน้าต่างเพื่อจะแลดูดวงจันทร์ตามคำเชื้อเชิญ สายตาของเขาจึงต้องจ้องมองยังสตรีที่อยู่ริมหน้าต่างนั้นด้วย พลันให้สายตาทั้งคู่ได้สบประสานกัน...

                    ดังสายฟ้าแล่นปลาบเข้ากลางใจ ดไวเซนจ้องมองภาพตรงหน้าไม่กระพริบตา ใบหน้าของหญิงสาวเมื่อกระทบแสงจันทร์ช่างงดงามจับจิตจับใจยิ่งนัก เส้นผมอันยาวสลวยสั่นไหวไปตามลมที่พัดเอื่อยสะท้อนกับแสงสีเงินดูวิบวับราวกับประดับไว้ด้วยรัตนะชาติ ชายหนุ่มนิ่งมองอยู่อย่างนั้น ดั่งมองภาพเขียนของจิตรกรฝีมือเอก โดยมีหน้าต่างประหนึ่งกรอบรูป เก็บภาพนั้นไว้ไม่ให้ลบเลือนไปไหน

                    เอ่อ... ท่านดไวเซน ถ้าไม่รังเกียจท่านช่วยเล่าเรื่องของท่านให้ฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่...? ลูนาร์ถามออกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของชายหนุ่ม เพราะรู้สึกหวั่นไหวที่ถูกจ้องมองไม่วางตา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม คมดุจนัยน์ตาเหยี่ยว แต่แฝงแววใสซื่อของเด็กน้อย ทำเอาจิตใจของเธอเริ่มจะไม่เป็นปกติ

                    ดไวเซนเล่าเรื่องราวของตนตามคำร้องขอของหญิงสาว เขาเล่าถึงตระกูลของตนด้วยความภาคภูมิใจ วอเร็นการ์ดเป็นตระกูลขุนศึกอันเก่าแก่ โดยมีความสำคัญในฐานะผู้ค้ำบัลลังก์กษัตริย์แห่งเลโอเดน ด้วยเหตุนี้ภาคเหนือทั้งหมดของเลโอเดนจึงอยู่ในอำนาจของวอเร็นการ์ด ตัวของดไวเซนได้ปกครองเซเลท์ ดินแดนแห่งนี้แม้นจะไม่กว้างใหญ่ทว่าสำคัญอยู่พอควร

                    เมื่อเล่าถึงเกียรติภูมิของตน อัศวินหนุ่มก็กลับมามั่นใจในตนเองอีกครั้ง คำพูดที่เคยตะกุกตะกักก็กลับมาฉะฉาน ไหล่ที่ห่อลู่กลับมายืดตรงผึ่งผายดังเดิม ผิดกับลูนาร์ที่เริ่มจะออกอาการเลิ่กลั่ก เพราะถูกแววตาคมกล้าจับจ้อง

                    แม่หญิงลูนาร์... ดไวเซนกล่าว สีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนไป ทั้งน้ำเสียงนั้นแม้นจะมีความทะนงองอาจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล ...ธรรมดาบุรุษเกิดมาเป็นชาติอัศวินแล้วไซร้ เขาจักยอมสละชีพเพื่อสามสิ่ง หนึ่งคือเกียรติในหน้าที่ซึ่งได้กระทำการสาบานต่อผู้เป็นเจ้า หนึ่งคือศรัทธาที่ได้ยึดมั่นต่อศาสนา อันจะชี้นำแสงสว่างในชีวิต และอีกหนึ่งซึ่งยังคงว่างเปล่าในใจข้า... อัศวินหนุ่มลงมานั่งคุกเข่าที่พื้นแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่กำลังงุนงง ก่อนจะกล่าวต่อ

                    อีกสิ่งที่ข้ายังขาดอยู่ นั่นคือการยอมตายเพื่อสตรีที่ข้าจะได้มอบใจรักภักดีให้... โปรดเถิดแม่หญิง... ตัวข้านั้นออกจะเป็นคนหยาบกระด้างนัก ข้าจะไม่มีวันเป็นชายที่สมบูรณ์ได้เลย หากไร้ซึ่งความอ่อนโยนของแม่หญิงเข้ากล่อมเกลา ...หากแม่หญิงปราณีแก่ข้าแล้ว... โปรดทิ้งสิ่งของที่ระลึกไว้เป็นสำคัญแก่ข้าด้วย... ดไวเซนกล่าววิงวอน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังงุนงงต่อการกระทำของตน ดูท่าว่าความกลัวและความอายที่ประดังเข้ามา กลับกลายเป็นการจุดความปรารถนาในใจให้ส่องประกายออกมา หากเป็นในเวลาปกติแล้วเขาคงไม่กล้าที่จะพูดออกไป แต่เมื่อพูดไปแล้วก็มีแต่จะต้องรอคอยคำตอบด้วยใจประหวั่น...

                    ลูนาร์มองชายหนุ่มที่คุกเข่าตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ใบหน้าของหญิงสาวแดงเรื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นครั้งแรกที่เธอได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ และเป็นครั้งแรกด้วยที่เธอได้พูดคุยกับชายผู้นี้ ลูนาร์นิ่งไปนานเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

                    เวลาแห่งความเงียบอันแสนอึดอัดผ่านไปนานเท่าไหร่ ทั้งสองก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดดไวเซนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

                    ...หากว่าแม่หญิงมีผู้ใดที่ได้ฝากใจรักไว้ก่อนแล้ว... ข้าคงต้องขออภัยด้วย... ถึงกระนั้นข้าก็จะขอมอบดวงใจภักดีนี้ให้แก่แม่หญิง โดยมิร้องขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทน... ดวงตาคมกล้าของอัศวินหนุ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย ลูนาร์มองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างหลากอารมณ์ ความรู้สึกผิดเล็กๆที่เกาะกุม ทำให้เธออยากจะปลอบประโลมชายผู้นี้บ้าง มือเรียวสวยของหญิงสาวยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่ม ดไวเซนเอื้อมมือเข้ารับไว้อย่างแผ่วเบา แล้วจุมพิตที่หลังมือของหญิงสาวด้วยความทะนุถนอม

                    ...ข้าคงรบกวนแม่หญิงมากพอควรแล้ว คงต้องขอตัวก่อน แม่หญิงจะได้พักผ่อนให้เต็มที่... ดไวเซนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ลูนาร์พูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต อัศวินหนุ่มจึงโค้งให้ก่อนเดินพ้นประตูไป แม้จะพยายามแสดงออกอย่างเป็นปกติ แต่ไหล่ที่เคยพึ่งผายก็ห่อลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด ลูนาร์มองแผ่นหลังของชายผู้พลาดหวังด้วยความสงสาร รู้สึกผิดที่ไม่อาจพูดเพื่อปลอบโยนใดๆได้ เพราะในเวลานี้จิตใจของเธอก็สับสนจนไม่อาจจะกล่าวอะไรออกมาได้...

     

                    ท้องฟ้าในคืนนี้เริ่มมีเมฆหม่นมัวปรากฏ ดไวเซนเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์อันสวยงาม ทว่าเริ่มเลือนรางด้วยถูกกลุ่มเมฆบดบัง นั่นยิ่งทำให้มันดูไกลจนเกินเอื้อม...

                    ใจหนึ่งนั้นรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้บอกกล่าวความรู้สึกที่มีออกไป การได้ปฏิญาณมอบชีวีให้กับสตรีที่หมายปอง ทำให้เขาเพียบพร้อมขึ้นมาในฐานะของอัศวิน แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องแข็งขืนต่อความปรารถนา ที่จะได้ครอบครองในสิ่งที่สูงค่า

                    หิมะสีขาวบริสุทธิ์เริ่มโปรยปรายลงมา อันเป็นสัญญาณแรกของฤดูหนาว ทว่าชายผู้หนึ่งกลับยืนนิ่งไม่ยอมหาที่กำบัง เหมือนจะให้หิมะนั้นชะล้างความเศร้าให้คลายไป อัศวินหนุ่มเงยหน้าขยับริมฝีปากครวญบทกลอนขึ้นปลอบประโลมใจ

    ...หมายชาติราชสีห์ผู้มีศักดิ์ นางไม่รักมิหักหาญรำคาญใจ...

     

                    ริมหน้าต่างบานน้อย หญิงสาวร่างบางเฝ้าทอดถอนหายใจด้วยความว้าวุ่น คำพูดของอัศวินหนุ่มทำให้เธอเก็บเอามาคิดอย่างมิรู้ที่จะหาคำตอบ...

    ...หากว่าแม่หญิงมีผู้ใดที่ได้ฝากใจรักไว้ก่อนแล้ว...

                    รัก... หรือ? เธอแทบจะไม่เคยคิดถึงคำๆนี้มาก่อนเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเธอกำลังจะเข้าพิธีเป็นนักบวชในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเธอจะรักผู้หนึ่งผู้ใดในเชิงชู้สาวไม่ได้ ...แต่หากว่าใครคนนั้นเข้ามาวิงวอนต่อเธอเช่นนี้... ไม่สิ... เป็นไปไม่ได้... ความผูกพันในวัยเด็กนั้นหรือ ที่จะกลายเป็นความรักของชายหนุ่มหญิงสาวไปได้... ลูนาร์พยายามสลัดความคิดนั้นออกไป แต่ไม่วายที่ใบหน้านวลนั้นจะปรากฏสีแดงจากเลือดที่ฝาด

                    โจเอล... ท่านรู้สึกกับข้าเช่นไร...? คำถามนั้นหลุดลอยจากริมฝีปากบางสวย ไม่ช้ามันก็ถูกทับถมไปกับหิมะที่โปรยปราย เหมือนกับจะบอกว่าเธอนั้นคงไม่มีวันได้รับรู้ในคำเฉลย...

     

                    บนเขามังกร หิมะที่เริ่มโรยตัวทำให้พวกโจเอลต้องเข้าไปหลบในถ้ำ ทว่าดารูเกนซ์กลับเข้ามาขวางไว้

                    มีอะไรหรือ ท่านดารูเกนซ์? จอร์ชถามด้วยความรู้สึกสงสัยต่อการกระทำของอัศวินมังกร

    ผู้ถูกถามไม่ตอบอะไร ปกติแล้วเขาเองก็ไม่ใคร่จะเจรจากับผู้อื่นอยู่แล้ว มาคราวนี้ยิ่งไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร ถ้าบอกว่ามีสตรีเปลือยเปล่าอยู่ในถ้ำก็เห็นจะไปกันใหญ่ สองฝ่ายจึงยืนประจัญกันด้วยความอึดอัดอยู่พักหนึ่ง กระทั่งมีเสียงดังขัดขึ้นมาจากในถ้ำ

                    กรรร...

    ดารูเกนซ์รีบหันไปตามเสียงที่คุ้นเคย เพราะนั่นคือเสียงของลาร์ซมังกรพาหนะของเขานั่นเอง เจ้ามังกรเดินออกมาจากในถ้ำท่าทางเซื่องซึม ผู้เป็นนายเข้าไปลูบหัวมันเพื่อปลอบประโลม ด้วยความลืมตัวเขาเหลือบไปมองบริเวณแท่งผลึกยักษ์ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่ไม่ปรากฏร่างของสตรีผู้มีนัยน์ตาสีแดง แม้จะเหลียวมองจนรอบถ้ำก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของของหญิงสาวปริศนา

                    เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านดารูเกนซ์? โจเอลถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าอัศวินมังกรเงียบไปนาน

                    ...ม... ไม่มีอะไร... เชิญพวกท่านเถิด... ดารูเกนซ์ตอบอย่างง่ายๆเพื่อตัดปัญหา ทว่าในใจยังคงสงสัยว่าหญิงสาวลึกลับหายไปไหนกันแน่? หรือว่านางจะเป็นปิศาจจริงๆ... อัศวินหนุ่มตั้งข้อกังขาไว้อย่างค้างคา

                    เมื่อดูเหมือนว่าจะยุติข้อขัดแย้งได้แล้ว โจเอลและคนอื่นๆจึงพากันเข้าไปหลบหิมะและความหนาวยังในถ้ำ ดารูเกนซ์ไม่ได้พูดถึงเรื่องของสตรีลึกลับ และก็ไม่มีใครพบเห็นนางแต่อย่างใด

     

                    ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืน หลายคนพักผ่อนอย่างสบายภายใต้อากาศอันหนาวเหน็บ ใครเลยจะรู้ว่าเงาทะมึนนับไม่ถ้วน กำลังเคลื่อนตัวจากป่าเข้าห้อมล้อมหมู่บ้านคูอูลไว้อย่างเงียบเชียบ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×