คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 ชายผู้หนีจากความมืด (1)
ยุคเมจิ นอกชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น
“ครืน...!” เสียงคลื่นลูกโตถาโถมเข้าใส่กองเรือหุ้มเกราะเหล็กสีดำระลอกแล้วระลอกเล่า แม้นจะเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดแห่งยุค แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ
เรือจักรกลลำโตถูกโยนขึ้นลงอยู่กลางทะเล ราวกับมีมือของยักษ์มาจับเขย่าไปมา บรรดาลูกเรือต่างเข้าประจำที่ พยายามยื้อยุดชะตาชีวิตของตนไว้อย่างเต็มความสามารถ ถึงจะโดนจู่โจมด้วยอำนาจอันไม่อาจต่อกรเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีลำใดยอมพ่ายแพ้โดยมิต่อสู้
ไม่นาน...หนึ่งในกองเรือก็มิอาจแข็งขืนต่อการกระหน่ำของห้วงสมุทรได้อีกต่อไป มันพลิกคว่ำลงอย่างไม่เป็นท่า หลายชีวิตต้องพบกับจุดจบอย่างน่าเวทนา ทว่าบางชีวิตก็กำลังจะได้รับอิสรภาพ...
***************************************************************************
เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมงหลังจากการอับปางของหนึ่งในกองเรือดำ บนชายฝั่ง ลึกเข้าไปภายใต้การโอบอุ้มของขุนเขา มันดูจะปลอดภัยกว่าในท้องทะเลเป็นอย่างมาก กระนั้นฝนและลมที่กระหน่ำอย่างรุนแรงจากพายุก็ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นต้องเก็บตัวอยู่ภายในบ้านเพียงอย่างเดียว ยิ่งในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ด้วยแล้ว ใครที่ไหนจะกล้าออกไปข้างนอก...
“แฮ่ก.. แฮ่ก...” เสียงหอบกระชั้นดังแทรกเสียงลมพายุและฟ้าผ่า ร่างหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อหนีจากอะไรบางอย่าง ไม่ช้าเขาก็มองเห็นที่ซึ่งพอให้ซุ่มซ่อนตัวได้
มันเป็นศาลเจ้าร้างที่ตั้งอยู่บนไหล่เนิน สภาพของมันนั้นเก่าซอมซ่อ หลังคาเว้าแหว่งเต็มที กระนั้นเค้าโครงของมันก็ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่ แม้ออกจะทรุดโทรมไปบ้างก็ตามที
ชายผู้ซึ่งวิ่งฝ่าพายุฝนรีบเร้นหลบเข้าภายในศาลเจ้านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันจะได้พัก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมมืดของศาลเจ้า
“...นายคงมาจากเรือดำสินะ...” เสียงแหบพร่าเย็นเยียบราวกับมิใช่น้ำเสียงมนุษย์ทักทายขึ้น แม้บรรยากาศจะมืดสลัวลาง แต่เขาก็เห็นตัวผู้พูดได้ชัดเจน ผู้มาใหม่นิ่งเงียบด้วยไม่แน่ใจถึงท่าทีของผู้ตั้งคำถาม
“...อย่าห่วงเลย... ฉันไม่ใช่พวกนั้น...” ฝ่ายที่อยู่ก่อนยืนยัน ผู้มาใหม่จึงค่อยเบาใจ เขาทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยอ่อน สายตาทุกคู่เพ่งมองไปยังทิศทางของเสียงทักทาย จากนั้นจึงตอบคำถาม
“ใช่... นายมาจากที่นั่นเหมือนกันสินะ...” เขาขยับร่างกายให้นั่งได้สะดวกขึ้น
“ฉันชื่อโฮตารุ นายชื่ออะไร?” ผู้มาก่อนแนะนำตัว หากแต่คำถามง่ายๆกลับสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ถูกถามเป็นอย่างมาก
“ฉัน... ชื่อ... ฉันชื่อ... โอ๊ย! ฉันชื่อ..” เขาร้องอย่างเจ็บปวด แม้นจะพยายามเค้นจนสมองแทบระเบิดก็ไม่อาจจะนึกชื่อตัวเองได้
“ไม่เป็นไร นายไม่ต้องรีบร้อนก็ได้” คนที่ชื่อโอตารุปลอบ “คืนนี้เราพักกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดกันอีกที” จากนั้นเจ้าตัวจึงเอนหลังลงพิงกำแพง ส่วนชายไร้นามยังไม่รู้สึกปลอดภัยนัก เขาจึงพาสังขารอันอ่อนล้าขึ้นไปบนขื่อ นั่นค่อยทำให้เขาหลับตาลงได้
“...นายจะทำยังไงต่อไป?...” เขาถามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพักผ่อน แต่ไม่มีคำตอบใดกลับมา ชายที่ชื่อโฮตารุคงหลับไปแล้ว เพราะแสงสีเขียวสว่างเรืองจากดวงตาของคนผู้นั้นได้ดับมอดลงไปแล้ว “...นายจะคิดอะไรฉันไม่รู้หรอกนะ.. แต่ฉันจะกลับบ้าน...” ชายไร้นามกล่าวต่อ
ถึงแม้จะไม่อาจจำชื่อของตนเองได้ แต่เขายังคงจำได้ถึงครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่รออยู่ รอยยิ้มอันแสนงดงามของภรรยา ลูกชายตัวน้อยในวัยกำลังน่ารัก น่าแปลกที่ความทรงจำเหล่านั้นทั้งแจ่มชัดและพร่าเลือนจนไม่อาจแน่ใจ แต่อย่างไรเสียเขาก็เลือกที่จะกลับไปตามความทรงจำที่สวยงาม หากมันจะเป็นเรื่องเท็จก็ให้รู้กันไป...
“เปล่าประโยชน์...” เสียงดังมาจากชายที่คิดว่าหลับไปแล้ว คำปรามาสนั้นทำเอาชายนิรนามหันขวับ “คิดหรือว่าพวกเขาจะต้อนรับพวกเรา...” ชายคนเดิมกล่าวต่อ
“แล้วนายจะให้ฉันทำอย่างไร จะให้ฉันไปไหน จะให้อยู่อย่างไร! ในเมื่อเราต่างก็ไม่อาจมั่นใจอะไรได้สักอย่าง ถ้าฉันจะเลือกทางที่คิดว่ามีความสุขแล้วมันผิดตรงไหน?” ชายนิรนามโต้กลับอย่างเดือดดาลเมื่อถูกหมิ่นในความคิด ปกติเขาเป็นคนเรียบร้อย แต่พักหลังมานี้กลับรู้สึกว่าอารมณ์แปรปรวนอย่างบอกไม่ถูก
ชายที่ชื่อโฮตารุหันมามองที่เขา ดวงตากลมโตมีแสงสีเขียวสว่างวาบอีกคราดูน่าขนลุก ฟ้าที่แลบลงมากะทันหันทำให้ชายนิรนามต้องรีบหยีตาไม่ให้พร่ามัว ดวงตาของเขารับแสงมากเกินไปจนเห็นภาพได้พร่าเลือน การรับรู้ที่จำกัดทำให้ทำให้เริ่มหวาดระแวง คู่สนทนาของเขายังคงอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม แต่ผลกระทบจากแสงฟ้าแลบทำให้มองเห็นได้เพียงเค้าลางเท่านั้น
คนผู้นั้นมีร่างกายที่ใหญ่โต โดยเฉพาะเมื่อเทียบคนญี่ปุ่น จากที่นั่งอยู่หากว่ายืนขึ้นแล้ว ร่างนั้นคงจะสูงได้เกือบ 190 ซ.ม. เป็นแน่ เรือนกายนั้นดูหนาและตันหากมิใช่ความอ้วน ผิวกายหลายส่วนปริแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อขยับทีหนึ่ง หมอกสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นตามรอยแยกเหล่านั้น
“นายจะคิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง โดยไม่คิดว่าเขาจะรับได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ?... อย่าลืมสิ ว่าพวกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว คิดหรือว่าจะมีใครยอมรับสิ่งนี้ได้...” โฮตารุตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย เหมือนกับว่าได้เตรียมใจสภาพที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
ชายนิรนามนิ่งไป เขาแค่พยายามหนีให้พ้นจากฝันร้าย ไม่เคยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากนั้น แต่ให้ตัดใจจากความทรงจำดีๆที่ใกล้แค่เอื้อมมือแบบนี้ มันดูจะทรมานเกินไปนักสำหรับเขา
ทั้งสองเงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย ต่างฝ่ายต้องพักผ่อนด้วยความอ่อนล้า ปล่อยให้เสียงลมฝนจากพายุขับกล่อมไปตลอดช่วงรัตติกาลที่เหลืออยู่...
.
ความคิดเห็น