ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rider Zero

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 ชายผู้หนีจากความมืด (1)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 49


    ยุคเมจิ นอกชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น

     

    ครืน...!”  เสียงคลื่นลูกโตถาโถมเข้าใส่กองเรือหุ้มเกราะเหล็กสีดำระลอกแล้วระลอกเล่า  แม้นจะเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดแห่งยุค  แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ

    เรือจักรกลลำโตถูกโยนขึ้นลงอยู่กลางทะเล  ราวกับมีมือของยักษ์มาจับเขย่าไปมา  บรรดาลูกเรือต่างเข้าประจำที่  พยายามยื้อยุดชะตาชีวิตของตนไว้อย่างเต็มความสามารถ  ถึงจะโดนจู่โจมด้วยอำนาจอันไม่อาจต่อกรเช่นนี้  แต่ก็ไม่มีลำใดยอมพ่ายแพ้โดยมิต่อสู้

    ไม่นาน...หนึ่งในกองเรือก็มิอาจแข็งขืนต่อการกระหน่ำของห้วงสมุทรได้อีกต่อไป  มันพลิกคว่ำลงอย่างไม่เป็นท่า  หลายชีวิตต้องพบกับจุดจบอย่างน่าเวทนา  ทว่าบางชีวิตก็กำลังจะได้รับอิสรภาพ... 

     

    ***************************************************************************

     

                    เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมงหลังจากการอับปางของหนึ่งในกองเรือดำ  บนชายฝั่ง  ลึกเข้าไปภายใต้การโอบอุ้มของขุนเขา  มันดูจะปลอดภัยกว่าในท้องทะเลเป็นอย่างมาก  กระนั้นฝนและลมที่กระหน่ำอย่างรุนแรงจากพายุก็ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นต้องเก็บตัวอยู่ภายในบ้านเพียงอย่างเดียว  ยิ่งในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ด้วยแล้ว  ใครที่ไหนจะกล้าออกไปข้างนอก...

                    แฮ่ก..  แฮ่ก...  เสียงหอบกระชั้นดังแทรกเสียงลมพายุและฟ้าผ่า  ร่างหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อหนีจากอะไรบางอย่าง  ไม่ช้าเขาก็มองเห็นที่ซึ่งพอให้ซุ่มซ่อนตัวได้

                    มันเป็นศาลเจ้าร้างที่ตั้งอยู่บนไหล่เนิน  สภาพของมันนั้นเก่าซอมซ่อ  หลังคาเว้าแหว่งเต็มที  กระนั้นเค้าโครงของมันก็ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่  แม้ออกจะทรุดโทรมไปบ้างก็ตามที

                    ชายผู้ซึ่งวิ่งฝ่าพายุฝนรีบเร้นหลบเข้าภายในศาลเจ้านั้นอย่างรวดเร็ว  แต่ไม่ทันจะได้พัก  เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมมืดของศาลเจ้า

                    ...นายคงมาจากเรือดำสินะ...  เสียงแหบพร่าเย็นเยียบราวกับมิใช่น้ำเสียงมนุษย์ทักทายขึ้น  แม้บรรยากาศจะมืดสลัวลาง  แต่เขาก็เห็นตัวผู้พูดได้ชัดเจน  ผู้มาใหม่นิ่งเงียบด้วยไม่แน่ใจถึงท่าทีของผู้ตั้งคำถาม

                    ...อย่าห่วงเลย...  ฉันไม่ใช่พวกนั้น...  ฝ่ายที่อยู่ก่อนยืนยัน  ผู้มาใหม่จึงค่อยเบาใจ  เขาทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยอ่อน  สายตาทุกคู่เพ่งมองไปยังทิศทางของเสียงทักทาย  จากนั้นจึงตอบคำถาม

                    ใช่...  นายมาจากที่นั่นเหมือนกันสินะ...  เขาขยับร่างกายให้นั่งได้สะดวกขึ้น

                    ฉันชื่อโฮตารุ  นายชื่ออะไร?  ผู้มาก่อนแนะนำตัว  หากแต่คำถามง่ายๆกลับสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ถูกถามเป็นอย่างมาก

                    ฉัน...  ชื่อ...  ฉันชื่อ...  โอ๊ย!  ฉันชื่อ..  เขาร้องอย่างเจ็บปวด  แม้นจะพยายามเค้นจนสมองแทบระเบิดก็ไม่อาจจะนึกชื่อตัวเองได้

                    ไม่เป็นไร  นายไม่ต้องรีบร้อนก็ได้  คนที่ชื่อโอตารุปลอบ  คืนนี้เราพักกันก่อน  พรุ่งนี้ค่อยคิดกันอีกที  จากนั้นเจ้าตัวจึงเอนหลังลงพิงกำแพง  ส่วนชายไร้นามยังไม่รู้สึกปลอดภัยนัก  เขาจึงพาสังขารอันอ่อนล้าขึ้นไปบนขื่อ  นั่นค่อยทำให้เขาหลับตาลงได้

                    ...นายจะทำยังไงต่อไป?...  เขาถามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพักผ่อน  แต่ไม่มีคำตอบใดกลับมา  ชายที่ชื่อโฮตารุคงหลับไปแล้ว  เพราะแสงสีเขียวสว่างเรืองจากดวงตาของคนผู้นั้นได้ดับมอดลงไปแล้ว  ...นายจะคิดอะไรฉันไม่รู้หรอกนะ..  แต่ฉันจะกลับบ้าน...  ชายไร้นามกล่าวต่อ

                    ถึงแม้จะไม่อาจจำชื่อของตนเองได้  แต่เขายังคงจำได้ถึงครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่รออยู่  รอยยิ้มอันแสนงดงามของภรรยา  ลูกชายตัวน้อยในวัยกำลังน่ารัก  น่าแปลกที่ความทรงจำเหล่านั้นทั้งแจ่มชัดและพร่าเลือนจนไม่อาจแน่ใจ  แต่อย่างไรเสียเขาก็เลือกที่จะกลับไปตามความทรงจำที่สวยงาม  หากมันจะเป็นเรื่องเท็จก็ให้รู้กันไป...

    เปล่าประโยชน์...  เสียงดังมาจากชายที่คิดว่าหลับไปแล้ว  คำปรามาสนั้นทำเอาชายนิรนามหันขวับ  คิดหรือว่าพวกเขาจะต้อนรับพวกเรา...  ชายคนเดิมกล่าวต่อ

    แล้วนายจะให้ฉันทำอย่างไร  จะให้ฉันไปไหน  จะให้อยู่อย่างไร!  ในเมื่อเราต่างก็ไม่อาจมั่นใจอะไรได้สักอย่าง  ถ้าฉันจะเลือกทางที่คิดว่ามีความสุขแล้วมันผิดตรงไหน?  ชายนิรนามโต้กลับอย่างเดือดดาลเมื่อถูกหมิ่นในความคิด  ปกติเขาเป็นคนเรียบร้อย  แต่พักหลังมานี้กลับรู้สึกว่าอารมณ์แปรปรวนอย่างบอกไม่ถูก

    ชายที่ชื่อโฮตารุหันมามองที่เขา  ดวงตากลมโตมีแสงสีเขียวสว่างวาบอีกคราดูน่าขนลุก  ฟ้าที่แลบลงมากะทันหันทำให้ชายนิรนามต้องรีบหยีตาไม่ให้พร่ามัว  ดวงตาของเขารับแสงมากเกินไปจนเห็นภาพได้พร่าเลือน  การรับรู้ที่จำกัดทำให้ทำให้เริ่มหวาดระแวง  คู่สนทนาของเขายังคงอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม  แต่ผลกระทบจากแสงฟ้าแลบทำให้มองเห็นได้เพียงเค้าลางเท่านั้น

    คนผู้นั้นมีร่างกายที่ใหญ่โต  โดยเฉพาะเมื่อเทียบคนญี่ปุ่น  จากที่นั่งอยู่หากว่ายืนขึ้นแล้ว  ร่างนั้นคงจะสูงได้เกือบ 190 ซ.ม. เป็นแน่  เรือนกายนั้นดูหนาและตันหากมิใช่ความอ้วน  ผิวกายหลายส่วนปริแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อขยับทีหนึ่ง  หมอกสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นตามรอยแยกเหล่านั้น

    นายจะคิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง  โดยไม่คิดว่าเขาจะรับได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ?...  อย่าลืมสิ  ว่าพวกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  คิดหรือว่าจะมีใครยอมรับสิ่งนี้ได้...  โฮตารุตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย  เหมือนกับว่าได้เตรียมใจสภาพที่เกิดขึ้นมานานแล้ว

    ชายนิรนามนิ่งไป  เขาแค่พยายามหนีให้พ้นจากฝันร้าย  ไม่เคยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากนั้น  แต่ให้ตัดใจจากความทรงจำดีๆที่ใกล้แค่เอื้อมมือแบบนี้  มันดูจะทรมานเกินไปนักสำหรับเขา

    ทั้งสองเงียบไป  ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย  ต่างฝ่ายต้องพักผ่อนด้วยความอ่อนล้า  ปล่อยให้เสียงลมฝนจากพายุขับกล่อมไปตลอดช่วงรัตติกาลที่เหลืออยู่...

     

    ……….

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×