ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9 ราชามนุษย์และพญามังกร (ปรับ)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 225
      0
      5 พ.ย. 64

                    เจ้าไม่ใช่โอรูธานหรอกหรือ ?” เจ้ามังกรในร่างมนุษย์จำแลงถามขึ้นมา ทำเอาโจเอลงันไป ตั้งตัวไม่ถูกเมื่อเจอคำถามที่ไม่ทันคาดคิด

                    “...ขอโทษที ข้าดันลืมไปว่ามนุษย์ไม่อาจมีอายุยืนยาวปานนั้น ต่อให้เป็นราชามนุษย์ก็เถิด แต่ถ้าเขายังอยู่...บางที...เขาอาจเป็นสหายคนสุดท้ายของข้า...” มันกล่าวต่อด้วยท่าทางซึมเศร้า

                    “ท่านมังกร...” โจเอลต้องการเอ่ยอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความเงียบ แต่กลับกลายเป็นสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่าย

                    “เสียมารยาท !” ดวงตาสีทับทิมของเจ้ามังกรเพ่งมาอย่างตำหนิ “เวลาเจรจากับผู้อื่น เจ้าเรียกเขาว่า มนุษย์ หรือเปล่า ! ขอทีเถิด ช่วยเรียกให้มันเจาะจงสักหน่อยได้ไหม ข้าจะได้รู้ว่าเจ้ากำลังคุยกับข้าอยู่ อย่างแย่ที่สุดเจ้าก็ควรจะเรียกข้าว่า พญามังกร มาเรียกว่า มังกร แบบนี้ มันทำให้ข้าหงุดหงิดมากรู้ไหม !” มันตำหนิออกมาอย่างรุนแรงจนโจเอลรู้สึกตกใจ ด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเคร่งเครียดกับสรรพนามถึงเพียงนี้

                    “ข้าต้องขออภัย...” ชายหนุ่มแสดงอาการสำนึก

                    “ช่างเถิด เจ้าคงจะเพิ่งเคยเจรจากับมังกรเป็นครั้งแรก ข้าเองก็ไม่ได้ชอบนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ของแบบนี้มันติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่เกิด...” เสียงของพญามังกรเบาลงอีกครั้ง ท่าทางหม่นเศร้า แต่แล้วก็เปล่งขึ้นมาอย่างแจ่มใส “เอาอย่างนี้ เจ้าแจ้งชื่อของเจ้า ข้าจะแจ้งชื่อของข้า เราจะได้เรียกชื่อกันและกัน เจ้าว่ายุติธรรมดีไหม เอ...จะว่าไปนี่มันเป็นธรรมเนียมพื้นฐานของพวกมนุษย์ไม่ใช่หรือไงนะ...” ประโยคท้ายมันส่งเสียงงึมงำคล้ายบ่นกับตัวเอง

                    “ข้าชื่อโจเอล เอนฮาร์ท มาจากฟอร์ทอังเคิล” ชายหนุ่มค้อมกายแนะนำตัว

                    “ข้าชื่ออาลาริค พญามังกรผู้พเนจร” อีกฝ่ายค้อมกายตอบ โจเอลรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับภาพวันเวลาเก่าก่อนได้ถูกรื้อฟื้น...หรืออาจเป็นชื่อของอาลาริค ที่ทำให้เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลา

                    “ต้องขออภัย...” จอร์ชกล่าวแทรก ขยับเข้ามาใกล้โจเอลแล้วพูดต่อ “ข้ามีนามว่าจอร์ช สหายพเนจรของโจเอล”

                    อาลาริคเหลียวมองชายที่เพิ่งแนะนำตัว ผิวพรรณหน้าตาและรูปร่างบอบบาง ดูขัดกับที่เรียกตัวเองว่าชายพเนจร เมื่อเห็นว่าอาลาริคไม่ได้เอ่ยอะไร จอร์ชจึงกล่าวต่อ

                    “หากเรื่องเข้าใจผิดผ่านพ้นไปแล้ว พวกข้าต้องขออนุญาตลาไปทำธุระที่ค้างคา...”

                    “เอ๊ะ จะรีบไปไหนกัน ? เพิ่งจะทำความรู้จักกันแท้ ๆ” อาลาริครีบทักท้วง

                    “พวกเรามีภารกิจที่ต้องเร่งรีบจริง ๆ “ โจเอลอธิบาย

                    อาลาริคเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นข้อเสนอ

                    “ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน โจเอล ท่านอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าที่นี่ก่อน ส่วนที่เหลือก็ไปทำธุระกันตามสบาย ขาดเจ้าไปสักคนคงไม่เป็นไรกระมัง”

                    โจเอลและคนอื่น ๆ มองหน้าหารือกัน พญามังกรจึงกล่าวเสริม

                    “วันนี้ข้าต้องเจอเรื่องแย่ ๆ เพราะพวกเจ้าแท้ ๆ เลยนะ จะเอาใจข้าบ้างไม่ได้เลยเชียวหรือ”

                    เมื่อเห็นพญามังกรผู้ทรงศักดาทำสีหน้าท่าทางน้อยใจ ผู้ปกครองแห่งฟอร์ทอังเคิลก็แอบนึกขันอยู่ในใจ ตอบออกไป

                    “ถ้าเช่นนั้น พวกข้าต้องขออนุญาตสำรวจถ้ำแห่งนี้”

                    อาลาริคหรี่ตา ลูบเคราด้วยอาการครุ่นคิด “ที่จริงถ้ำแห่งนี้ก็ไม่ได้เป็นของข้า ข้าแค่มาอาศัยเพียงชั่วคราว และคงต้องจากไปเร็ว ๆ นี้ หากพวกเจ้าต้องการเข้าไปสำรวจ ข้าขอเตือนเอาไว้ว่าอย่าได้เดินทางเข้าไปลึกนัก...ข้ารู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่เก่าแก่และลึกลับ...ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งนี้...”

                    น้ำเสียงที่จริงจัง ทำเอาทุกคนรู้สึกขนลุกกับคำเตือนของพญามังกร

                    “พวกข้ากำลังตามหาหัวขโมยกันอยู่ ไม่ทราบว่าท่านพอจะเห็นคนอื่นผ่านเข้ามาอีกหรือไม่ ?” โจเอลสอบถามเผื่อจะได้เบาะแส

                    อาลาริคนิ่งคิด รำพันออกมา “...ก่อนเจอพวกเจ้า...ข้าเจอคนอีกกลุ่มที่แต่งตัวคล้าย ๆ กัน...พอขู่ไปเจ้าคนหน้าบากก็ดันวิ่งมาฟันใส่ข้า ฮึ่ม ! ดูสิยังฝากรอยไว้บนเกล็ดอีกต่างหาก ข้าเลยบินไล่พวกนั้นให้พ้นถ้ำ...แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ...อืม...”

                    “อ้อ !” อาลาริคโพล่งออกมา “ก่อนหน้านั้นมีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนี้ ข้าตื่นขึ้นเพราะเจ้านั่นนี่แหละ แต่มันวิ่งเร็วมากจนมองไม่ถนัด พอจะไล่ตามก็เจอคนหน้าบากเข้าเสียก่อน ว่าแต่เจ้าหน้าบากนั่นใช่พวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า หรือเป็นหัวขโมยที่เจ้าพูดถึง ?”

                    “เขาเป็นพวกเราเอง” จอร์ชตอบ

                    อาลาริคลูบเคราด้วยอาการครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มืออีกข้างเลื่อนไปยังเพชรที่ประดับบนเสื้อคลุมที่มีรอยบิ่นจากคมดาบ

                    “เจ้าหน้าบากมีชื่อว่ากระไร ?” พญามังกรเอ่ยปากถาม

                    “เขามีนามว่าฮานส์ เป็นทหารของข้าเอง” โจเอลออกรับ

                    “ช่างเถิด...เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้าจะเข้าไปข้างในถ้ำก็ระวังตัวกันหน่อยแล้วกัน” อาลาริคย้ำเตือนอีกครั้ง ระหว่างนั้นเอง มังกรพาหนะของดารูเกนซ์ก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา อาลาริคหันไปมองด้วยสีหน้าอ่อนโยน ยิ้มให้แล้วกล่าว

                    “ข้ารู้แล้ว...สาวน้อย เราทั้งสองมีเรื่องต้องคุยกัน แต่ตอนนี้ข้าขอสนทนากับสหายเก่าแก่สักหน่อยนะ”

                    ลาร์ซผงกหัวรับ ดารูเกนซ์มองมังกรของตนด้วยความรู้สึกที่แปลกไป เขาไม่เคยเห็นมันมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธ์จะมีส่วนทำให้ลาร์ซมีท่าทีแปลกไป จนอาจทำให้เขาสูญเสียการควบคุมในสัตว์พาหนะในที่สุด

                    เมื่อได้รับอนุญาต คณะที่เหลือจึงตรงเข้าไปสำรวจด้วยความระมัดระวังตามคำเตือน ปล่อยให้โจเอลอยู่สนทนากับพญามังกรต่อไป

                    “เราคงมีเรื่องสนทนากันมากโข ฉะนั้นควรจะหาที่นั่งคุยกันเหมาะ ๆ” พญามังกรในร่างจำแลงเอ่ยขึ้น ก่อนจะปรายมือ มีละอองบางอย่างสะท้อนแสงระยิบระยับลอยล่อง พริบตาม้านั่งหินสองตัวก็ปรากฏ

                    “ว้า...หน้าตาเรียบ ๆ ไปหน่อยแฮะ เจ้าคงไม่ถือสาใช่ไหม...อุ๊บ !” อาลาริคร้องขึ้นมา ท่าทางเจ็บปวด โจเอลพลอยตกใจไปด้วย เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน แสดงว่าไม่ได้ล้อเล่น

                    “ท่านเป็นอะไรไปหรือ ?” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

                    “อืม...ฝีมือเจ้าหนูนั่น...ข้าคงแก่ไปแล้วจริง ๆ...” ผู้อาวุโสกว่าตอบ โจเอลเดาว่า “เจ้าหนู” ที่เอ่ยถึง คงหมายถึงมังกรสีแดงที่ชื่อโวลเกีย

                    “ข้าขออนุญาตดูบาดแผลของท่านสักหน่อยได้หรือไม่ ?” โจเอลขออนุญาต อีกฝ่ายหันมองชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า อาล่ริคยืดตัวขึ้น ปลดผ้าคลุมเผยให้เห็นไหล่ด้านซ้านที่มีแผลพุพอง

                    “ข้ามีสมุนไพรรักษาแผลอยู่ อาจจะช่วยท่านได้” โจเอลทำท่าจะหยิบสมุนไพร ทว่ากลับถูกปฏิเสธ

                    “ขอบใจเจ้ามาก แต่สมุนไพรพวกนี้มีผลกับพญามังกรแบบข้าน้อยมาก ใช้ไปก็เปลืองเปล่า ๆ แต่ถ้าเป็นเวทมนต์จะช่วยได้มมากกว่า”

                    คำตอบของพญามังกรทำเอาโจเอลผุดรอยยิ้ม กล่าวออกไป “เช่นนั้นคงเป็นโชคชะตาของเราทั้งสอง ข้าพอจะใช้เวทรักษาได้ คงจะช่วยท่านได้”

                    อาลาริคมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะถามกลับไป “...ถ้าข้าจะกลับเป็นอีกร่างหนึ่ง เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

                    “ตามแต่ท่านจะสะดวก” โจเอลค้อมรับ อีกฝ่ายค้อมตอบ ก่อนจะมีแสงสว่างเจิดจ้าออกมาจากร่างสูงสง่า เมื่อแสงสว่างจางลง ร่างมหึมาของพญามังกรก็ปรากฏขึ้นแทนที่

                    โจเอลรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเข้าใกล้ร่างอันใหญ่โต พญามังกรยอบกายเพื่อให้ชายหนุ่มรักษาได้สะดวก ทว่าเกล็ดที่ทอประกายระยิบก็ทำให้มองหาแผลได้ยาก จนโจเอลเผลอไปแตะเข้า ทำเอาอาลาริคสะดุ้งด้วยความรู้สึกเจ็บ

                    “ขออภัยด้วย” โจเอลกล่าวคำขอโทษ อาลาริคไม่ได้ตอบอะไร ชายหนุ่มจึงเริ่มร่ายเวทรักษา ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างการรักษาดำเนินไป กระทั่งโจเอลรู้สึกเหนื่อยอ่อนจึงขอพักสักครู่

                    ระหว่างที่โจเอลหยุดพัก อาลาริคก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตนเพื่อฆ่าเวลา โจเอลได้ฟังเรื่องราวอันน่าทึ่งว่าพญามังกรตนนี้มีอายุยาวนานถึง 872 ปีแล้ว ในช่วงสองร้อยปีมานี้อาลาริคได้เร่ร่อนไปตามเทือกเขาโอรูธาน ข้ามไปทั้งสองฟากฝั่งทั้งเกลแลนด์และการ์กอน จนมาพำนักในถ้ำแห่งนี้ได้ราวปีกว่า อาริคเล่าถึงสาเหตุที่ต้องร่อนเร่ ว่าเป็นเพราะถูกเหล่ามังกรขับไล่ หนึ่งในนั้นคือโวลเกีย มังกรแดงที่ทุกคนได้พบเจอ โวลเกียเป็นมังกรที่มีอายุราวสามร้อยปี แม้จะมีอายุน้อยกว่าอาลาริคมาก แต่ก็มีฝีมือร้ายกาจกว่ามังกรรุ่นราวคราวเดียวกัน โวลเกียเกลียดชังอาลาริคมากจนอยากจะสังหาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่มังกรจะเข่นฆ่ากันเอง เพราะเผ่าพันธุ์มังกรเหลืออยู่ไม่มากนัก ยิ่งในยุคหลังที่มนุษย์รบกวนการวางไข่ ทำให้เผ่าพันธุ์มังกรลดลงอย่างรวดเร็ว...พอเล่าถึงตรงนี้อาลาริคก็เงียบไป เหมือนไม่อยากเอ่ยถึง เปลี่ยนมาจับจ้องโจเอลด้วยความสนใจแทน

                    “เจ้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” อาลาริคเปรยขึ้น โจเอลรู้สึกฉงนเมื่อพญามังกรพูดราวกับว่าเคยรู้จักเขามาก่อน กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่พญามังกรจะเป็นฝ่ายกล่าวต่อ

                    “เฮ้อ เจ้านี่ปากหนัก ไม่ชอบถามใครอยู่เหมือนเดิม ต่อให้มีเรื่องสงสัยอยู่เต็มอกแต่กลับไม่ยอมเอ่ยปากถาม...อยู่กับเจ้าแล้วอึดอัดชะมัด”

                    “ต้องขออภัย...เพียงแต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่าหากจะเอ่ยถาม อีกประการ...เอ่อ...ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ทราบว่ามังกรพูดภาษามนุษย์...”

                    “ภาษามนุษย์ !?!” อาลาริคร้องเสียงหลง น้ำเสียงเหมือนจะขุ่นเคือง หากนัยน์ตากลับแฝงแววขบขัน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

                    “ฮะ ฮะ ฮะ เออ ความหลงตัวเองเป็นคุณลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์เจ้าอยู่แล้วนี่นะ...ภาษามนุษย์อย่างนั้นหรือ ? อืม...ช่างเป็นคำพูดตามแบบฉบับของมนุษย์แท้ ๆ เลยเชียว” พญามังกรกล่าวเย้ยหยัน หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าท่านไม่รู้จริง ๆ ก็อาจจะเข้าใจผิด ไม่มีภาษามนุษย์อะไรทั้งนั้น ที่พวกเจ้าใช้พูดกันอยู่ทุกวันนี้ พวกเราเผ่าพันธุ์มังกรเป็นผู้ใช้มาก่อน แล้วก่อนหน้านั้นก็...เอ้อ...ช่างเถิด...แม้แต่รูปลักษณ์ของพวกเจ้าก็ลอกเลียนจากผู้อื่นอีกที ข้าต้องอธิบายไว้ก่อน...เผื่อเจ้าจะทึกทักว่าข้าชอบแปลงกายเป็นมนุษย์”

                    โจเอลนิ่งอึ้งไป รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่ได้ยิน คู่สนทนาชำเลืองมอง ขยับยิ้มแล้วตั้งคำถาม

                    “แต่การใช้ภาษาของพวกเราก็มีข้อแตกต่างจากมนุษย์อยู่บ้าง...เจ้าสังเกตหรือไม่ ?”

                    “...ท่านไม่ได้ขยับปากเลย” ชายหนุ่มตอบไปตามที่สังเกต ตลอดเวลาที่พูดคุยกัน เขาไม่เห็นพญามังกรขยับปาก ทว่ากลับได้ยินเสียงพูด

                    “ใช่ ไหนเจ้าลองพูดโดยไม่ขยับปากดูสิ” พญามังกรเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายลองดู เมื่อโจเอลพยายามทดลองก็ทำได้เพียงเสียงฮึมฮัม ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปใหญ่ ว่าอาลาริคสร้างคำพูดด้วยวิธีการนี้ได้อย่างไร

                    “เผ่าพันธุ์มังกรอย่างเรามีภาษาดั้งเดิมที่ใช้สื่อสารกันง่าย ๆ ซึ่งเจ้าคงจะเคยได้ยินจากพวกสเลน” อาลาริคอธิบาย หากโจเอลถามแทรกด้วยความสงสัย

                    “พวกสเลน ?”

                    “ใจเย็นก่อน ข้ากำลังจะอธิบาย” พญามังกรปราม ครั้นเมื่อเห็นท่าทางสำนึกผิดจากชายหนุ่มที่แทรกถาม จึงพูดเป็นเชิงปลบใจ “แต่ที่เจ้าถามก็แสดงว่าสนใจในสิ่งที่ข้าเล่า แต่จงรอก่อน เอ...ข้าเล่าไปถึงไหนแล้วนะ อ้อ...นอกจากภาษาดั้งเดิมแล้ว ก็ยังมีภาษาชั้นสูงที่เราใช้พูดคุยกันอยู่นี่ และยังมีภาษาที่สูงขึ้นไปกว่านั้นที่ใช้เพื่อหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ หรือที่พวกเจ้าเรียกว่าเวทมนต์อย่างไรล่ะ” อาลาริคหยุดพักเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ หยิบแท่งพลึกมาเคี้ยวเล่นแล้วพูดต่อ

                    “แม้ว่ามังกรจะแบ่งภาษาเป็นสามระดับ แต่แท้ที่จริงพื้นฐานล้วนมาจากการเปล่งจากลำคอแบบเดียวกับภาษาดั้งเดิม สิ่งที่ต่างออกไปก็คือพวกเราใช้จิตควบคุมเสียงให้กลายเป็นภาษาชั้นสูงขึ้นไป ขณะที่มนุษย์ใช้ริมฝีปากและลิ้นในการสร้างคำ อันที่จริงด้วยสรีระที่พวกเจ้าใช้ก็ช่วยให้พูดคุยได้สะดวกดีอยู่หรอก แต่มันก็มีอุปสรรคอยู่บางประการ เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไร ?”

                    “มันคือการใช้เวทมนต์ใช่ไหม ท่านอาลาริค” โจเอลตอบ คู่สนทนาหันมายิ้มทั้งที่ยังเคี้ยวแท่งผลึก

                    “ใช่แล้ว แรกเริ่มมนุษย์นั้นอ่อนแอและโง่เขลา พวกเขาเห็นเผ่าพันธุ์มังกรใช้เวทมนต์อันทรงอำนาจจึงพยายามเลียนแบบ ด้วยรูปลักษณ์ทำให้มนุษย์เลียนแบบภาษาพูดจนใช้ได้ดีเกินหน้าเผ่าพันธุ์มังกร แต่การพึ่งพารูปกายก็ทำให้พวกเขาใช้เวทมนต์ได้เพียงน้อยนิด เวทมนต์ที่พวกมนุษย์ใช้ ส่วนใหญ่จะได้ผลกับสิ่งมีชีวิตด้วยกัน แต่ไม่สามารถสื่อสารกับธรรมชาติ เพราะมีหลายคำที่ลิ้นมนุษย์ไม่อาจเปล่งออกมา ซึ่งอาจจะเป็นการดีก็ได้ ถ้าหากมนุษย์ใช้เวทมนต์ได้ตามอำเภอใจ โลกคงแตกดับไปนานแล้ว เฮ้อ...เจ้ารู้ไหมว่ามีมังกรไม่กี่ตัวหรอกนะ ที่จะพูดได้เจื้อยแจ้วแบบข้า เพราะการใช้จิตบังคับเสียงเป็นเรื่องที่เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยนะ” อาลาริคเสไปพูดคุยเรื่องอื่นในช่วงท้าย คล้ายต้องการลดทอนความอึดอัด

                    บรรยากาศเงียบสงัดไปพักหนึ่ง อาลาริคคงต้องการพักสมองจากการใช้จิตบังคับการพูด โจเอลที่รู้สึกว่ากำลังฟื้นคืนบ้างแล้วลุกขึ้นเพื่อทำการรักษาให้พญามังกรต่อ ชายหนุ่มทดลองใช้วิธีที่พญามังกรบอก คือเปล่งเสียงจากลำคอแล้วพยายามใช้จิตบังคับให้เป็นบทสวดรักษา ทว่าก็ไม่เป็นอะไรไปมากกว่าเสียงฮึมฮัม อาลาริคหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูในความพยายาม โจเอลทำการรักษาต่อไปได้สักครู่แล้วจึงหยุดพักอีกครั้ง

                    “ท่านยังไม่ได้เล่าเรื่องของสเลนเลย” ชายหนุ่มถามระหว่างที่นั่งพัก ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมากขึ้นจนกล้าถามกลับไปบ้าง

                    “สเลน...อืม...ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องนี้ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สเลน, มังกร และพญามังกร เสียก่อน พวกที่มีศักดิ์ต่ำกว่ามังกร เช่น เวอร์ม หรือ ไวเวิร์น เราก็จัดให้เป็นพวกสเลนเหมือนกัน” อาลาริคเกริ่นนำ เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “สำหรับมนุษย์ที่อุปโลกน์ยศถาบรรดาศักดิ์เอาเองอาจจะไม่เข้าใจ เพราะสำหรับมังกรแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายแต่อย่างใด พวกเราชาวมังกรมีความตระหนักในสถานภาพของตนดีอยู่แล้ว ซึ่งมันแสดงออกให้เห็นเด่นชัดผ่านการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หาได้เกิดจากการอวยยศโดยผู้อื่นหรือแต่งตั้งเอาเอง”

                    อาลาริคมองโจเอลที่มีสีหน้าขบคิด ให้ขยับยิ้มแล้วพูดต่อ “โดยปกติมังกรอย่างพวกเราเมื่อเกิดมาก็ย่อมจะเป็นมังกรอยู่แล้ว...เจ้าฟังแล้วงงหรือเปล่า ? ช่างเถิด...เอาเป็นว่ามีมังกรเพียงน้อยนิดที่จะสามารถเติบโตเป็นพญามังกร เพราะการจะกลายเป็นพญามังกรจะต้องบำเพ็ญจิตให้ถึงพร้อมจึงจะเป็นได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแนะนำหรือสั่งสอนกันได้โดยง่าย ดูอย่างเจ้าโวลเกียนั่นปะไร จิตใจที่มีแต่ความขึ้งโกรธ ทำให้เด็กคนนั้นไม่สามารถพัฒนาขึ้นเป็นพญามังกร ทั้งที่เติบโตมาจนถึงขั้นนี้แล้ว...” อาลาริคเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

                    “แต่ก็...ยังมีพวกที่มีชะตากรรมเลวร้ายกว่านั้น เช่น มังกรที่กินมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ลูกหลานของพวกเขาจะถือกำเนิดเป็นสิ่งที่ต่ำชั้นลงไป นั่นคือสเลน”

                    “มังกรกินมนุษย์จริง ๆ หรือ ?” โจเอลอุทานแทรกขึ้นมา การได้พูดคุยกับอาลาริค ทำให้เขาคิดว่าเรื่องที่มังกรกินมนุษย์เป็นเพียงเรื่องเล่าลือในตำนาน

                    “จริงสิ ! แต่มีแค่มังกรโง่งมที่จะทำแบบนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างก็มีไพ่สำคัญไว้ต่อกรนักล่าที่เหนือกว่า สิ่งมีชีวิตชั้นสูงบางชนิด รวมทั้งมนุษยก็มีสิ่งหนึ่ง...มันเรียกว่าอะไรนะ...ความแค้นเคือง...ความพยาบาท...ไม่สิ...มันไม่ใช่ของที่มีทุกคน...เอ้อ...มันน่าจะเรียกว่าคำสาปกระมัง...ถ้าเป็นมนุษย์ที่ใช้เวทได้ หรือเป็นผู้ที่มีความอาฆาตพยาบาทรุนแรง การกินมนุษย์ประเภทนั้นจะส่งผลร้ายต่อมังกร...อย่างเจ้านี่...รับรองว่าไม่มีมังกรตนไหนอยากกินแน่นอน”

                    โจเอลฟังแล้วทำหน้าเจื่อน ไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือเปล่า

                    “เนื่องจากมังกรมีความเป็นนามธรรมสูง ฉะนั้นสิ่งที่เป็นนามธรรมจึงมีผลต่อพวกเรามากกว่ามนุษย์ที่มีความเป็นรูปธรรม หรือหากจะให้พูดอีกอย่างก็คือมนุษย์เป็นพวกที่มีจิตใจหยาบกระด้างเกินไป จนไม่รู้สึกรู้สมกับการกระทำของตน สมัยก่อนพวกเจ้ายังเคยสวดสรรเสริญพวกเรา ทำให้เผ่าพันธุ์มังกรมีอำนาจ...เอ๊ะ ! ข้าบ่นนอกเรื่องอีกแล้ว...” อาลาริคเงียบไป เหมือนจะเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อมนุษย์ เขาหยิบแท่งผลึกมาเคี้ยวต่อ บางทีอาจจะเป็นวิธีที่ช่วยให้สงบลง

                    “ด้วยเหตุผลที่ข้าเล่ามา มังกรที่กินมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตขั้นสูงจะได้รับคำสาป ซึ่งส่งผลไปสู่ลูกหลานให้มีกำเนิดต่ำชั้นลงกว่ามังกร ซึ่งก็คือสเลนที่เจ้าสงสัย แต่ก็ยังมีหนทางที่จะถอนคำสาป ขึ้นอยู่กับที่มาของมัน ส่วนมากมักมาจากการกินมนุษย์เข้าไป ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงมีมังกรที่ทำอะไรโง่ ๆ เยอะนัก พวกสเลนที่ถือกำเนิดจากการกินมนุษย์มักถูกคำสาปให้ตกเป็นทาสมนุษย์ไม่รู้กี่ชั่วรุ่นจึงจะพ้นคำสาป เราจึงเรียกพวกเขาว่าสเลนเพื่อแบ่งแยกจากมังกร...ที่น่าสงสารก็คือมนุษย์มักนำสเลนมารับใช้ในการศึก...จึงยิ่งทำให้จิตใจมัวหมองจนไม่อาจไถ่ถอนจากคำสาป...เอ้อ...นี่ข้าชักจะพล่ามเกินไปสักหน่อยแล้ว...”

                    “ท่านอาลาริค ข้ามีความสงสัย ท่านใช่คนเดียวกับอาลาริค อัศวินคู่ใจขององค์ปฐมจักรพรรดิหรือเปล่า ?” โจเอลถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง สงสัยในนามที่ขับขานจนเป็นตำนาน

                    อาลาริคนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายรำลึกถึงความหลัง ก่อนจะตอบออกมาช้า ๆ “ใช่ ข้าคืออาลาริคผู้รบเคียงข้างโอรูธาน หรือองค์ปฐมจักรพรรดิอย่างที่เจ้าเรียก”

                    โจเอลแทบเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ บุคคลที่เขาเคยได้ยินเรื่องราวตั้งแต่ยังเยาว์ บัดนี้อยู่ตรงหน้านี่เอง เมื่อเห็นพลังอำนาจของพญามังกรก็ทำให้สิ้นสงสัยในตำนานที่เล่าลือ ทั้งการสังหารสัตว์ร้าย หรือการต่อสู้กับศัตรูนับพัน

                    “แล้ว...ทำไมท่านจึงเรียกข้าว่าราชามนุษย์ ?” โจเอลถามในอีกข้อสงสัย ครั้งนี้อาลาริคเงียบไปนาน ก่อนจะตอบ

                    “...มันอาจเป็นความเลอะเลือนของคนแก่เช่นข้า ที่จำคนผิด หรือเจ้าอาจจะไม่ใช่คนที่ตัวเองคิด...เอาเถิด ดีแล้วที่เจ้าไม่ใช่โอรูธาน เพราะข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะกล้าเจอหน้าเขา...” น้ำเสียงอาลาริคหม่นเศร้าในช่วงท้าย พญามังกรยันกายลุกขึ้น มองดูบาดแผลที่ได้รับการรักษาด้วยความพึงพอใจ

                    “ขอบใจสำหรับมนต์รักษา เอาล่ะ เจ้ายื่นมือมาสิ ข้ามีสิ่งตอบแทนจะมอบให้” อาลาริคเอ่ย ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมกับยื่นมืออกไป ครู่หนึ่งพญามังกรก็โก่งคอคายบางสิ่งออกมา มันร่วงสู่มือโจเอลซึ่งรับได้อย่างแม่นยำ เจ้าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นแท่งยาวมีด้ามจับ ทว่าถูกเคลือบด้วยเมือกลื่นจนมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง

                    โจเอลเพ่งมองของขวัญในมือ ไม่นานเมือกที่ปกคลุมก็เริ่มสลาย บางส่วนซึมเข้าสู่มือทำให้โจเอลรู้สึกเย็นกำซาบ รูปร่างของสิ่งที่อยู่ในมือเริ่มปรากฏชัด มันคือดาบเล่มงาม เนื้อเหล็กแกมสีเขียวปีกแมลงทับทว่าไร้คม กลางใบมีอักขระโบราณจารึกไว้

                    “...ดูรองดาล...” โจเอลพึมดำออกมา

                    อาลาริคเบิกตากว้าง ถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าอ่านออก ?”

                    “...มิได้...เพียงแต่อยู่ ๆ นามนี้ก็ผุดเข้ามาในหัว ต้องขออภัย ข้าไม่คิดว่าจะคู่ควรกับของขวัญล้ำค่าขนาดนี้” โจเอลตอบพร้อมกับยื่นดาบส่งคืนให้ อาลาริคหัวเราะลั่น กล่าวออกมา

                    “ฮะ ฮะ ฮะ เจ้ารับไปเถิด พวกเราชาวมังกรถือกันมากว่าเมื่อมอบของขวัญให้ผู้ใดแล้วจะไม่รับคืน อีกอย่าง...ข้าเคยปฏิญาณว่าจะใช้ดาบเล่มนี้เพื่อเจ้า...เอ้อ...ข้าหมายถึงโอรูธาน...เมื่อบัดนี้สิ้นโอรูธานไปแล้ว ส่วนข้าก็กำลังจะจากจร เก็บไว้ก็คงไม่มีประโยชน์ เอาสิ เจ้าลองกวัดแกว่งมันดูสักหน่อย”

                    เมื่อถูกคะยั้นคะยอ โจเอลจึงทดลองควงดาบเล่มนั้นตามคำเชื้อเชิญ เขารู้สึกได้ทันทีว่าดาบเล่มนี้มีน้ำหนักที่สมดุล เมื่อกวัดแกว่งแล้วเสมือนดาบโบยบินได้เอง เพียงใช้กำลังเล็กน้อยก็สามารถควบคุมทิศทางได้ง่ายดาย ติดเพียงแค่ใบดาบยังไร้คม

                    “ที่นี้เจ้าลองฟันไปที่หินก้อนนั้นดู” พญามังกรแนะนำราวกับล่วงรู้ความคิด

                    โจเอลทำตามคำแนะนำอย่างไม่สู้จะมั่นใจนัก จึงออกแรงแค่ครึ่ง แต่เพียงเท่านั้นหินก็สะบั้นเป็นสองส่วน สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

                    “ดาบเล่มนี้ ยิ่งใช้กลับยิ่งคม แต่จงจำไว้ว่าหากเมื่อใดเจ้าขาดสติ ดาบก็จะไม่รับใช้เจ้าอีกต่อไป เอาล่ะ ข้ามีของขวัญอีกอย่างจะมอบให้” กล่าวแล้วพญามังกรก็ดึงเกล็ดชิ้นหนึ่งส่งให้ “วันข้างหน้าหากได้รับอันตราย สิ่งนี้อาจจะช่วยเจ้าได้”

                    โจเอลค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ รับเกล็ดชิ้นนั้นมาเก็บไว้อย่างดี ไม่ช้านานคณะสำรวจก็กลับออกมา ชายหนุ่มจึงขอตัว ตรงเข้าไปหาจอร์ชเพื่อไต่ถาม

                    “พวกท่านพบอะไรบ้างหรือเปล่า ?”

                    ชายหนุ่มใบหน้างามส่ายหน้า ตอบกลับไป “เรายังไม่พบอะไร เห็นว่าหากไปกันนานนักคงไม่เป็นการดีจึงกลับออกมา รอให้ฟ้าสางแล้วจึงค่อยรวมกำลังกับพวกที่อยู่ในหมู่บ้านแล้วค่อยสำรวจกันอีกที”

                    ขณะที่กลุ่มของโจเอลพูดคุยกัน อาลาริคก็กระแอมกระไอ พูดขึ้น “ดูเหมือนพวกเจ้าจะมีธุระที่นี่กันอีกสักพัก ส่วนข้าก็กำลังจะจากไป แต่ก่อนจะจากลา ข้าขอเวลาคุยกับสเลน...เอ่อ...มังกรตัวนั้นเป็นการส่วนตัวสักครู่จะได้หรือไม่”

                    พูดจบ พญามังกรก็เพ่งนัยน์ตาสีทับทิมไปยังลาร์ซ พาหนะศึกของดไวเซน ขณะที่อัศวินหนุ่มยังคงยืนขวาง เหมือนจะไม่ใส่ใจต่อคำพูดของอีกฝ่าย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×