ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #66 : (ทดลองอ่าน) บทที่ 1 การมาเยือนของผู้แทนองค์จักรพรรดิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 36
      2
      26 ต.ค. 61

                    ...ภาพสับสนอลหม่านของการยุทธ์ พร่าเลือนในหมอกหนาทึบ ข้าสะบัดหัวไล่ความมึนงง ดูเหมือนจะตกอยู่กลางวงล้อมข้าศึก ก้มมองม้าศึกคู่ใจที่บัดนี้สิ้นชีพด้วยคมอาวุธศัตรู สถานการณ์คับขันเต็มที...

                    ...เสียงฝีเท้าข้าศึกกระชับวงล้อมเข้ามา ทหารที่เหลือเคลื่อนเข้ามาคุ้มกันข้าซึ่งเป็นนาย พวกเขาประชิดโล่เป็นกำแพงแกร่งถึงแม้จะมีจำนวนน้อยนิด หวังต้านทานศัตรูที่มีมากมาย มันกระตุ้นให้ข้าหยัดยืน กำดาบมั่นเพื่อสู้รบกับคนของข้าในวาระสุดท้าย...

     

                    ...พวกท่านคงสงสัยว่าข้าคือใคร...กว่าวาระสุดท้ายจะมาถึง ข้าคงมีเวลาเล็กน้อยที่จะเล่าถึงที่มาที่ไป ว่าเหตุใดข้าและคนของข้าจึงได้มาเผชิญสถานการณ์อันคับขันเช่นนี้...

     

                    ข้าคือโจเอล ผู้ปกครองแห่งฟอร์ทอังเคิล หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ปลายแดนทิศตะวันตกของจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ ดินแดนของพวกเราค่อนข้างจะสงบสุขปราศจากศัตรู เว้นก็แต่ฝูงหมาป่าและโจรกลุ่มเล็ก ๆ ที่นานครั้งจะเข้าโจมตี

                    พวกหมาป่าเป็นภัยกับเรามากกว่าพวกโจร เพราะดินแดนแห่งเนินเขาเขียวขจีเหมาะกับการเลี้ยงแกะ ผู้คนส่วนอื่นของจักรวรรดิมองว่าชาวเอรีสว่าเป็นเหมือนแกะ ที่อ่อนแอและต่อสู้ไม่เป็น

                    ข้าขยับสายบังเหียนกระตุ้นเจ้าพอลลักซ์ม้าศึกคู่ใจ ขณะเดียวกันก็กระชับทวนด้ามยาวไว้ใต้แขนเพื่อจะต้อนฝูงแกะให้พร้อมกลับเข้าคอกเพราะใกล้หมดวันเต็มที ทักษะการใช้ทวนยาวเพื่อต้อนแกะเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับชาวเรา ซึ่งข้านับว่าเชี่ยวชาญที่สุดในเหล่าคนของข้า

                    เจ้าพอลลักซ์วิ่งขึ้น-ลงเนินหลายรอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต้อนฝูงแกะที่กระจัดกระจายให้รวมเป้นกลุ่ม พวกชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ปล่อยฝูงแกะให้ออกหากินก็กระทำอย่างเดียวกัน ข้าต้อนฝูงแกะของตัวเองเสร็จแล้วจึงตั้งใจจะช่วยพวกเขา แต่เมื่อมองไปยังเส้นทางหลักของหมู่บ้านก็สะดุดตากับบางสิ่งจนต้องเพ่งมองให้ชัดขึ้น

                    ไม่ผิดแน่แล้ว  ธงทิวและขบวนเกียรติยศที่มองเห็นได้แต่ไกล แสดงว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโต ข้าไม่เสียเวลาไปกับการเดา สั่งผู้ติดตามให้รับช่วงในการต้อนแกะเข้าคอก ส่วนข้ารีบควบม้ากลับสู่ป้อมเพื่อเตรียมการต้อนรับผู้มาเยือน

                    แม้จะใช้เว้นทางลัดและควบเจ้าพอลลักซ์จนสุดฝีเท้า แต่ข้าก็ต้องแปลกใจที่เห็นอัศวินในชุดเกราะเงาวับพร้อมด้วยทหารติดตามห้านายมารอที่ประตูหน้าป้อมปราการ พออัศวินผู้นั้นเห็นข้าก็กล่าวด้วยน้ำเสียงวางอำนาจทันที

                    “เจ้าจงรีบไปแจ้งผู้ดูแลป้อมแห่งนี้ให้ลงมาต้อนรับท่านผู้แทนพระองค์โดยทันที อย่าได้ชักช้า”

                    พอได้ยินว่าผู้แทนพระองค์คือแขกผู้มาเยือน ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ครามครัน รีบตอบกลับไป

                    “ข้าคือโจเอล ผู้พิทักษ์ฟอร์ทอังเคิล ต้องขออภัยที่ไม่ทันได้เตรียมการต้อนรับ”

                    อัศวินผู้นั้นหยุดนิ่งด้วยความแปลกใจ เปิดกระบังหมวกเผยโฉมหน้าคมคาย เขาใช้สายตาสำรวจข้าอย่างดูแคลนก่อนจะตั้งคำถาม

                    “เจ้าน่ะหรือผู้ดูแลป้อมปราการ ?”

                    พอได้ยินคำถาม ข้าจึงรู้สึกตัวว่าอัศวินผู้นี้คงตัดสินจากชุดที่สวม จึงคิดว่าข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

                    “ต้องขออภัย ข้าเพิ่งออกไปต้อนฝูงแกะ ชุดที่สวมจึงออกจะไม่เรียบร้อย” ข้าพยายามอธิบาย

                    “ต้อนฝูงแกะ !” อัศวินผู้นั้นส่งเสียงดัง “เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ป้อมแบบไหนถึงต้องทำงานของชาวบ้าน ช่างไม่รักษาเกียรติเอาเสียเลย หรือว่าเจ้าไม่มีข้ารับใช้ ?”

                    ข้าออกจะโมโหกับคำถามนั้น ไม่คิดว่าการออกไปต้อนแกะจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร แต่ไม่ทันโต้แย้งนักบวชที่อาศัยในอาศรมใกล้ ๆ ก็ได้ปรากฏตัว อัศวินจากต่างแดนรีบลงจากหลังม้าเมื่อเห็นนักบวช แสดงความเคารพด้วยกิริยานอบน้อมผิดกับที่แสดงต่อข้าอย่างลิบลับ ท่าทางเหมือนผู้มีศรัทธาในศาสนาอย่างมาก

                    นักบวชคารวะตอบด้วยอาการสำรวม พวกเขามาด้วยกันสองคน สวมเสื้อคลุมยาวสีทึมมีฮู๊ดปกปิดมิดชิด คนหนึ่งถอดฮู๊ดออกแล้วเสวนากับข้าด้วยความคุ้นเคย

                    “ท่านโจเอล แขกเหล่านี้เป็นใครกันหรือ ?”

                    “หลวงพ่อฟีบัส พวกเราเพิ่งจะได้สนทนากัน จึงยังไม่รู้รายละเอียด” ข้าตอบออกไป

                    “ท่านนักบวช พวกข้าเป็นอัศวินติดตามผู้แทนองค์จักรพรรดิ จึงได้ล่วงหน้ามาก่อนเพื่อแจ้งแก่ผู้ดูแลป้อม ซึ่งอีกสักครู่ท่านผู้แทนองค์จักรพรรดิคงจะมาถึง” อัศวินหนุ่มหันไปตอบหลวงพ่อฟีบัส เขาแอบสังเกตนักบวชอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย ซึ่งแม้จะสวมเสื้อคลุมมิดชิด แต่เรือนร่างบอบบางและกลิ่นหอมจาง ๆ ก็ทำให้อดสงสัยมิได้ คางเรียวมนพอจะเผยออกมาให้เห็นผ่านฮู๊ดที่คลุมมิดชิด ยิ่งสร้างความใคร่รู้แก่อัศวินหนุ่ม

                    เสียงแตรจากกองเกียรติยศที่ดังมาแต่ไกล กระตุ้นให้ข้าและอัศวินหนุ่มต้องรีบเตรียมการต้อนรับ ข้ารู้สึกตกประหม่าขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าชุดที่สวมอยู่ค่อนข้างไม่เหมาะสม แต่ก็ฉุกละหุกเกินกว่าจะทันเปลี่ยน ได้แต่สั่งให้ทหารในป้อมให้จัดเตรียมต้อนรับ ไม่นานนักขบวนของผู้แทนองค์จักรพรรดิก็มาถึง ขบวนยาวเหยียดประกอบด้วยทหารม้าและเหล่าองครักษ์ มีรถม้าและกองเกวียนติดตาม รถม้าคันงามที่สุดขับมาจอดหน้าป้อมปราการ มหาดเล็กสองคนรีบนำบันไดเล็ก ๆ มาเทียบข้าง อัศวินที่เดินทางมาล่วงหน้าคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อมข้าจึงทำตาม เฝ้านึกสงสัยไปว่าผู้แทนองค์จักรพรรดิจะมีหน้าตาเช่นไร

                    ข้าได้ยินเสียงประตูรถม้าเปิด เสียงก้าวลงบันได เห็นรองเท้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตหยุดอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกฟังดูสุขุมเอ่ยขึ้น

                    “ขอปราทนโทษเถิด คนที่นี่ทานมื้อเย็นกันตอนไหนหรือ ? ข้าเดินทางมานานจนชักจะหิวแล้วสิ”

                    ...นั่นเป็นคำพูดแรกที่ข้าได้ยินจากผู้แทนพระองค์ ฯ...

     

                    เพียงไม่นานหลังจากผู้แทนองค์จักรพรรดิปรากฏ ทั้งฟอร์ทอังเคิลก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย คณะผู้ติดตามส่วนใหญ่ต้องตั้งกระโจมกันภายนอกป้อมเพราะพื้นที่มีจำกัด เหล่าพ่อครัวของข้าพากันสติแตก โต้เถียงกันเรื่องการจัดอาหารต้อนรับ ไม่เคยมีแขกที่มีเกียรติขนาดนี้มาเยี่ยมเยียนฟอร์ทอังเคิลมาก่อน ทำให้แต่ละคนปฏิบัติตัวไม่ถูก การโต้เถียงคงจะยืดเยื้อต่อไปอีกนานหากหัวหน้าพ่อครัวจากคณะผู้ติดตามไม่เข้ามาควบคุมและจัดการเสียเอง

                    โถงกลางซึ่งใช้ต้อนรับแขกนั้นออกจะวุ่นวายน้อยกว่า ข้าให้คนรับใช้ทำความสะอาดโต๊ะยาวและม้านั่งที่ไม่ได้ใช้งานมานาน จนสะอาดดีแล้วจึงได้เชื้อเชิญแขกผู้สูงศักดิ์ ผู้ติดตามรีบนำโต๊ะและเก้าอี้ส่วนตัวมาตั้งให้ผู้แทนพระองค์ แต่ท่านก็โบกมือไล่ไปเสีย คงไม่อยากให้มากพิธีรีตองนัก

                    ข้านั่งข้างผู้แทนองค์จักรพรรดิในฐานะเจ้าบ้าน ยังคงสวมชุดเดิมที่เก่ามอซอ ความฉุกละหุกทำให้ไม่มีโอกาสได้ผลัดเปลี่ยนชุดที่ดีกว่านี้ แต่ท่านผู้แทนพระองค์ก็ไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด ความไม่ถือตัวของท่านแม้จะมีตำแหน่งสูงส่งทำให้ข้าประทับใจ

                    ท่านผู้แทนพระองค์มีนามว่า เฟเดอริกซ์ เสตอร์น เป็นชายสูงวัย ผมกลายเป็นสีดอกเลา ทว่ายังคงกระฉับกระเฉง และมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ท่านเป็นชาวดราโกเนียร์เช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิ ท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาประจำราชอาณาจักรดราโกเนียร์ และเป็นผู้แทนองค์จักรพรรดิในการออกตรวราชการในจักรวรรดิ ซึ่งคงจะเป้นสาเหตให้ต้องเดินทางมายังฟอร์ทอังเคิล ดินแดนที่อยู่สุดชายแดนด้านตะวันออกของโฮลี่เอ็มไพร์

                    “โจเอล เจ้าหนุ่มมากสำหรับตำแหน่งผู้ปกครอง อายุเท่าไหร่กันนะ สิบหกงั้นหรือ ?” ท่านผู้แทนพระองค์ถามข้าอย่างเป็นกันเอง

                    “สิบเจ็ดขอรับ ข้าขึ้นปกครองฟอร์ทอังเคิลตั้งแต่อายุสิบห้า ต่อจากบิดาที่เสียชีวิตในการรบ” ข้าตอบท่านด้วยความสุภาพ

                    “โอ...เสียใจด้วย ได้ยินว่าบิดาเจ้าเป็นคนกล้าหาญมาก ได้อาสาไปรบในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยใช่หรือไม่ ?”

                    “ขอรับ” ข้าตอบสั้น ๆ เพราะเกรงจะเผลอพูดไปถึงแรงจูงใจที่แท้จริงที่บิดาต้องออกไปรบถึงต่างแดน ก็เพื่อค่าจ้างที่มาจ่ายภาษีให้บารอนเคอร์เบน

                    “เช่นนั้นบิดาเจ้าคงได้พบกับพระเจ้าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าเองก็ขึ้นปกครองแฟงคลินตนเองตั้งแต่อายุสิบเอ็ด ที่นั่นกว้างใหญ่ แต่ก็วุ่นวายกว่าที่นี่เยอะ เทียบกันแล้วข้าคิดว่าฟอร์ทอังเคิลยังน่าอยู่กว่าหลายเท่า” ท่านผู้แทนพระองค์เล่าเรื่องของตนเองบ้าง ทำให้รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น ข้าภูมิใจที่ได้รับการชมว่าดินแดนในปกครองของข้าน่าอยู่

                    ครู่หนึ่งอาหารก็พร้อมนำมาเสิร์ฟ มีมากมายหลายชนิด ทว่าพ่อครัวคงลืมไปว่าโต๊ะที่มีไม่ได้กว้างพอสำหรับอาหารทั้งหมด คนรับใช้จึงต้องคอยยืนถือถาดอาหารคอยสับเปลี่ยน ถึงตอนนี้นักบวชทั้งสองซึ่งถูกเชิญมาร่วมรับประทานอาหารก็ได้สวดนำด้วยอาการสำรวม เสียงหวานใสของนักบวชอีกคนทำให้อัศวินหนุ่มที่เผชิญหน้ากับข้าถึงกับตะลึงงัน เขาทำหน้าที่ยืนอารักชาอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ด้านตรงข้ามมีอัศวินอีกคนในชุดเกราะสีแดงเพลิงยืนนิ่งดุจรูปปั้นเช่นกัน

                    เมื่อบทสวดจบลงทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหาร ข้าแปลกใจกับรสชาติอาหารหลายจานที่คุ้นเคย หัวหน้าพ่อครัวของคณะผู้ติดตามสามารถเปลี่ยนแปลงพวกมันให้ดูน่าตื่นเต้นและเอร็ดอร่อยมากขึ้น อาหารจำนวนมากถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ทำให้ไม่มีโอกาสชิมซ้ำ ครั้นจะเอ่ยออกมาก็ไม่กล้าเพราะต้องพยายามรักษาอาการให้สำรวม เกรงจะถูกมองว่าเป็นชาวบ้านนอก ท่านผู้แทนพระองค์ชิมอาหารแต่ละจานแต่เพียงเล็กน้อย ขณะที่นักบวชทั้งสองทานเฉพาะขนมปังกับซุป และแทบไม่แตะอาหารอื่นเกินจำเป็น

                    หลังกินดื่มกันอย่างอิ่มหนำ ท่านผู้แทนพระองค์เอนหลังอิงพนักด้วยความผ่อนคลาย หันไปเสวนากับนักบวชทั้งสองบ้าง

                    “...ท่านคือหลวงพ่อฟีบัสใช่หรือไม่ ข้าเคยได้ยินเรื่องของท่าน”

                    นักบวชที่ถูกทักถอดฮู๊ดเผยให้เห็นใบหน้าของชายสูงวัยที่ซูบผอม

                    “ท่านเคยได้ยินมาอย่างไรบ้างหรือ” หลวงพ่อฟีบัสถามกลับไปด้วยอาการสำรวม

                    “ข้าได้ยินมาว่าท่านเกือบจะได้เป็นอาร์คบิชอป แต่กลับสละสิทธิ์เสียก่อน”

                    สิ่งที่ได้ยินทำให้ข้าแปลกใจ เพราะแม้หลวงพ่อฟีบัสจะอาศัยที่ฟอร์ทอังเคิลมานาน แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านเกือบจะได้รับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนั้น จนอดคิดไม่ได้ว่าท่านผู้แทนพระองค์ดูจะรอบรู้ข้อมูลต่าง ๆ ในดินแดนนี้ดีกว่าข้าที่เป็นผู้ปกครองเสียอีก

                    “พ่อมีความจำเป็นที่ไม่อาจรับตำแหน่งนั้นได้ และพ่อก็คิดว่าการได้ออกมาช่วยเหลือผู้คนในดินแดนที่ห่างไกลดูจะเป็นประโยชน์มากกว่า”

                    “แล้วนักบวชอีกท่าน ?” ผู้แทนพระองค์ถามถึงนักบวชอีกคน นักบวชท่านนั้นจึงเปิดฮู๊ดคลุมศีรษะซึ่งเหมือนกับการปัดเมฆให้พ้นดวงจันทร์ ใบหน้างามแฉล้มเผยออกมาสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็น แม้จะมีผ้าคลุมปิดบังเส้นผมมิดชิด แต่เพียงเฉพาะใบหน้างามเด่นก็พอจะสะกดผู้คน

                    ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบพื้น หันไปก็เห็นอัศวินหนุ่มคนนั้นทำทวนตก เขารีบลนลานคว้ามันแล้วกลับมายืนนิ่งอย่างเดิม พยายามซ่อนอากัปกิริยาอันน่าอายของตนเอาไว้

                    “เธอชื่อว่าลูนาร์ เป็นหลานสาวของพ่อเอง เพราะไม่มีญาติสนิทเหลือเลย พ่อจึงต้องเป้นคนดูแล เลยคิดว่าคงไม่สะดวกหากต้องรับตำแหน่งอาร์คิบิชอปทั้งที่ยังมีห่วง”

                    คำตอบของหวงพ่อฟีบัสทำให้ข้าแปลกใจ เพราะไม่เคยทราบถึงเหตุผลและที่มาที่ไปมาก่อน คนที่ฟอร์ทอังเคิลไม่ได้สนใจว่าบาทหลวงฟีบัสมีหลานสาวติดตามมาด้วย พวกเรารู้เพียงว่าท่านเป็นนักบวชที่ดี คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตา

                    “แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ส่งนางไปอยู่สำนักนางชีเล่า พวกแม่ชีคงดูแลนางได้ดีกว่า” ท่านผู้แทนพระองค์เสนอแนะ

                    “พ่ออยากให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างเสรี เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมจึงจะให้นางเลือกด้วยตนเอง ว่าจะบวชหรือไม่ หากนางต้องการจะบวช พ่อก็จะฝากฝังแก่สำนักนางชี แต่ในตอนนี้นางยังเป็นเพียงผู้ศึกษาคัมภีร์เท่านั้น” หลวงพ่อฟีบัสตอบ

                    “เอาเถิด ข้าเองก็ไม่ได้แก่วัดพอจะออกความเห็น และก็ไม่ได้เดินทางมาด้วยสาเหตุนี้” ท่านผู้แทนพระองค์ส่ายหัว ละความสนใจจากเรื่องที่พูดคุยกับนักบวช จากนั้นก็ชวนพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ซักถามข้าถึงเรื่องราวในฟอร์ทอังเคิล ข้าจึงรายงานไปเท่าที่สามารถรายงานได้

                    พวกเราพูดคุยกันสักพักหนึ่ง ท่านผู้แทนพระองค์คงจะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป จึงปรบมือเรียกนักกวีที่ติดตามให้มาบรรเลงเพลงขับกล่อม ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับข้าแต่งตัวกรุยกราย ถือพิณเล็กที่เรียกว่าไลร์ ใช้นิ้วเรียวไล่ไปตามสาย บรรเลงบทเพลงเพราะพริ้งจนแทบลืมหายใจ เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าดำดิ่งไปกับเสียงเพลง เผลอร้องออกไปอย่างลืมตัว

    โอรูธาน โอรูธาน

    สิ่งที่ข้าได้กระทำ

    เพื่อจะโลดแล่นในตำนาน

    ให้ผู้คนได้ขับขาน

    ว่าข้าคือวีรชนคนกล้า

    โอรูธาน โอรูธาน

                    เสียงพิณหยุดชะงัก ท่านผู้แทนพระองค์มองข้าด้วยความแปลกใจ

                    “เจ้าเคยได้ยินเพลงนี้จากที่ไหนงั้นหรือ ?”

                    ข้าอึกอัก คิดอยู่สักพักก่อนจะตอบ

                    “ต้องขออภัย ข้าจำไม่ได้จริง ๆ อาจจะเคยฟังตั้งแต่ยังเด็ก หรืออยู่ในหนังสือสักเล่ม พอได้ยินเสียงเพลง อยู่ ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวจนเผลอร้องออกไป ต้องขออภัยที่ข้าเสียมารยาท”

                    ท่านผู้แทนพระองค์หัวเราะเบา ๆ ไม่ได้กล่าวอะไร โบกมือให้บรรเลงเพลงต่อ นักกวีขับขานบทเพลงที่เกี่ยวกับอัศวินผู้กล้าในตำนาน บางเรื่องข้าเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่บางเรื่องก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าสังเกตว่าท่านผู้แทนพระองค์เหมือนมีเรื่องสักอย่างที่อยากพูดออกมา ทว่าก็เก็บเงียบไว้ ไม่ได้เอ่ยออกมา

     

                    หลังงานเลี้ยง ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบ บาทหลวงฟีบัสและหลานสาวเดินทางกลับอาศรม ข้ายกห้องตนเองให้ท่านผู้แทนพระองค์เพราะเป็นห้องที่ดีที่สุด ส่วนตัวเองไปนอนที่ห้องหนังสือ ที่จริงข้าชอบห้องนี้มากกว่าห้องนอนเสียอีก บางครั้งข้าก็จะอ่านหนังสือจนเผลอหลับไป ทำให้โมเกอร์ต้องเอาผ้ามาห่มให้

                    โมเกอร์เป็นเสมือนคนในครอบครัวสำหรับข้า เขาเป็นชาวการ์กอนที่ติดตามปู่ข้าตั้งแต่ตอนที่ท่านยังหนุ่ม สมัยนั้นปู่ข้าได้ติดตามอัศวินผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเข้าไปยังการ์กอน ดินแดนทางตะวันออกที่พ้นจากโฮลี่เอ็มไพร์ มีเรื่องเล่าขานกันว่าดินแดนแห่งนั้นเต็มไปด้วยคำสาปและอสูรกายจึงไม่มีผู้ใดกล้ากล่ำกลาย มีเพียงปู่ข้าที่กลับมาพร้อมกับโมเกอร์ ส่วนอัศวินที่ปู่ข้าติดตามได้หายสาบสูญไปในดินแดนนั้น หลังจากนั้นปู่ข้าก็ได้บูรณะฟอร์ทอังเคิลที่เคยเป็นป้อมร้าง ปกครองสืบมาจนถึงตัวข้า

                    ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของโมเกอร์ เขาเป็นชายตัวเล็กที่มีขนปกคลุมทั้งตัวจนดูคล้ายลูกหมี บางคนว่าเขามีรูปลักษณ์เช่นนี้ตั้งแต่สมัยที่กลับมาพร้อมปู่ข้า และแม้จนทุกวันนี้ก็ยังคงกระฉับกระเฉง ไม่มีเค้าของความแก่ชรา หรือบางทีชาวการ์กอนอาจเป็นเช่นนี้ทุกคน...ซึ่งข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ข้าชอบฟังเรื่องราวต่าง ๆ ในดินแดนการ์กอนที่โมเกอร์เล่าให้ฟัง รู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดามากกว่าเผ่าพันธุ์ต้องคำสาปในนิทานของทางฝั่งเรา ข้ายังได้เรียนภาษาการ์กอนจากโมเกอร์จนพอจะเข้าใจถ้อยคำง่าย ๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับโมเกอร์ที่เป็นชาวการ์กอน ตำนานและมายาคติที่มีมายาวนานทำให้หลายคนเลี่ยงจะพบโมเกอร์รวมทั้งกำชับลูกหลาน แม้แต่หลวงพ่อฟีบัสเมื่อคราวย้ายมาครั้งแรกก็ยังตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก โมเกอร์จึงมักตัดปัญหาด้วยการหลบลี้ผู้คน โดยเฉพาะเมื่อมีแขกต่างถิ่นมาเยือน

                    ข้าเข้าไปในห้องหนังสือ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตัวชาวาบ เพราะโมเกอร์กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้นโดยมีอัศวินหนุ่มผู้คุ้มกันผู้แทนพระองค์ถือดาบคอยควบคุม ท่านผู้แทนพระองค์นั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดของข้า จ้องมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                    “เจ้ามาพอดี ข้าเห็นเจ้าปีศาจทำลับ ๆ ล่อ ๆ เลยควบคุมตัวเอาไว้” อัศวินหนุ่มบอกกับข้า

                    “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ !” ข้าพูดอย่างลืมตัวด้วยความเหลืออด หลงลืมไปว่ากำลังอยู่ต่อหน้าท่านผู้แทนพระองค์

                    ท่านผู้แทนพระองค์หันไปสบตาอัศวินหนุ่ม พยักหน้าให้เขาทำตามคำสั่งข้า โมเกอร์รีบหลบมาอยู่ข้างหลัง ข้าสำรวจดูว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจึงค่อยคลายใจ

                    “เขาเป็นคนของเจ้าหรือ โจเอล ผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิล” ท่านผู้แทนพระองค์เรียกข้าด้วยน้ำเสียงและสรรพนามที่เป็นทางการ

                    “ขอรับ เขาติดตามมาตั้งแต่สมัยปู่ข้า” ข้ากลับมาใช้น้ำเสียงที่เหมาะสมกับท่านผู้แทนพระองค์ หลังจากเห็นว่าโมเกอร์ปลอดภัยดี

                    “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขออภัยกับความเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ” ท่านผู้แทนพระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                    “โจเอล เจ้าคิดไหมว่าดินแดนเล็ก ๆ ของเจ้าออกจะมีความลับมากมายเกินไป...” ท่านผู้แทนพระองค์กล่าวต่อ ปรายมือไปยังเก้าอี้อีกตัวเหมือนเป็นการเชื้อเชิญ ขณะที่อัศวินหนุ่มเก็บดาบเข้าฝัก ข้าจึงหันไปบอกโมเกอร์ให้กลับไปยังที่พักและระวังตัวให้ดี แล้วจึงเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามท่านผู้แทนพระองค์

                    ข้านั่งมองท่านผู้แทนพระองค์โดยไม่พูดอะไร กระทั่งผู้ติดตามท่านผู้แทนพระองค์เดินเข้ามาในห้องพร้อมถ้วยใส่เครื่องดื่มร้อน ๆ สองใบ ชายผู้มากด้วยยศศักดิ์หยิบขึ้นมาใบหนึ่งพยัดเพยิดให้ข้าหยิบอีกใบหนึ่ง ผู้ติดตามจึงค่อยเดินออกไปจากห้อง ข้ามองเครื่องดื่มในมือด้วยความลังเล สีของมันคล้ายกับน้ำโคลนแต่ก็มีกลิ่นหอม

                    “เครื่องดื่มจากแดนใต้น่ะ ไม่ใช่ยาพิษหรอก มันช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับสบาย” ท่านผู้แทนพระองค์กล่าวอธิบายทั้งสัพยอกเพราะเห็นท่าทางลังเลของงข้า ท่านจิบให้ดูก่อนข้าจึงจิบบ้าง รสชาติของมันออกขมแต่ก็อร่อยทีเดียว

                    “เล่นหมากรุกสักเกมไหม ?” ท่านผู้แทนพระองค์กล่าวชวน ผายมือยังกระดานหมากรุกบนโต๊ะซึ่งกั้นระหว่างเราทั้งสอง ที่ข้าเคยเล่นค้างไว้ก่อนหน้านี้

                    “ข้าสงสัยอยู่ว่าใครเป็นคนเล่นหมากตานี้ เจ้ากับคนรับใช้ขนดกนั่นหรือ ?” ท่านผู้แทนพระองค์ตั้งคำถาม ข้าตั้งใจจะตอบไปตามจริง แต่อะไรบางอย่างทำให้ข้าเลือกที่จะโกหกออกไป

                    “ขอรับ” ข้าตอบเพียงสั้น ๆ

                    “เช่นนั้นเจ้าคงเล่นเก่งไม่เบา” ท่านผู้แทนพระองค์ตั้งข้อสังเกต เพราะหมากสีขาวบนกระดานตกเป็นรองอยู่หลายขุม ขณะที่หมากสีดำวางกลได้อย่างแยบคาย ยากจะตีโต้

                    “มิได้ขอรับ ข้าเป็นฝ่ายเดินหมากสีขาว” ข้าตอบออกไป เห็นแววแปลกใจในดวงตาของท่านผู้แทนพระองค์

                    “น่าแปลก...ข้าไม่ยักรู้ว่าพวกคนต้องสาปจะมีสติปัญญามากพอ” ท่านผู้แทนพระองค์รำพึงขณะจัดวางหมากสำหรับเริ่มเกมใหม่ จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเริ่มเดินก่อนด้วยหมากสีดำ

                    เราเล่นหมากรุกด้วยกันพักใหญ่ และจบลงที่ชัยชนะของท่านผู้แทนพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเหมือนสหายที่เล่นค้างไว้ก่อนหน้านี้ หรือท่านผู้แทนพระองค์อาจจะออมมือ เพราะข้าไม่รู้ตัวเลยว่าระหว่างเกมได้ถูกสังเกตอากัปกิริยา

                    “เป็นเกมที่น่าพอใจ” ท่านเอ่ยชม ดื่มเครื่องดื่มในถ้วยจนหมด ก่อนจะเอนหลังกับพนักพิง หันไปจ้องมองเปลวไฟในเตาผิงที่กำลังมอด ท่าทางครุ่นคิดอย่างหนักจนเหมือนว่าอายุได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                    คนรับใช้นำฟืนเข้ามาเติม ใช้เหล็กเขี่ยจนเปลวไปลามเลีย เต้นเร่าขึ้นมาอีกหน ส่งให้ประกายในตาของท่านผู้แทนพระองค์วาววามขึ้นมา เมื่อคนรับใช้ออกไปจากห้อง อัศวินผู้ติดตามก็เดินไปเฝ้าที่ทางออก กุมดาบไว้ด้วยอาการระแวดระวัง ท่านผู้แทนพระองค์ถอนหายใจเหมือนมีเรื่องต้องตรองหนัก ก่อนจะเอ่ยขึ้น

                    “โจเอล...ที่ข้าเดินทางมาถึงที่นี่ หาใช่เพียงเพื่อตรวจตราราชการเท่านั้น แต่ขณะนี้จักรวรรดิเกิดเรื่องร้ายแรงจนอาจจะฉีกแผ่นดินออกเป็นหลายส่วน นั่นหมายความว่าเราอาจกลับไปสู่ยุคที่แต่ละอาณาจักรต่างชิงดีชิงเด่น รบพุ่งกันไม่หยุดหย่อน โจเอล...ข้าได้ประเมินแล้ว และคิดว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะรับภารกิจนี้ ภารกิจอันสำคัญเพื่อรักษาจักรวรรดิเอาไว้...”

                    คำพูดของท่านผู้แทนพระองค์ทำให้ข้าตัวแข็งทื่อ หนักอึ้งที่ไหล่ทั้งสองข้างเหมือนถูกฝ่ามือยักษ์กดทับลงมา เมื่อคิดว่าจะต้องรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่เกินตัวโดยไม่อาจบิดพลิ้ว...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×