คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #64 : บทที่ 62 การตัดสินใจของกิเดียน
เสียงแกรกๆของชุดรอกที่ถูกหมุน ดังระรัวเหมือนเสียงกลองศึก ครั้นแล้วก็หยุดลงเมื่อสายเอ็นที่เหนียวและแข็ง ถูกดึงจนสุดและรั้งไว้ด้วยกลไกเหล็ก พลังงานที่ถูกเก็บกักไว้ ก่อให้เกิดแรงตึงเครียดไปทั่วทั้งคันหน้าไม้ยักษ์ เปรียบดังสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนออกไปได้ทุกเมื่อ
ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษหรี่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำเพื่อจับจ้องเป้าหมาย กดนิ้วมือลงไปบนไกอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา เพียงพริบตา พลังทั้งมวลก็ถูกถ่ายทอดสู่ลูกศรที่ยาวเกือบสามฟุต มันพุ่งไปในอากาศด้วยความรวดเร็ว ก่อให้เกิดอำนาจการทำลายที่แม้แต่แผ่นไม้หนาหนึ่งนิ้วครึ่งบุหนังสัตว์และแผ่นเหล็กที่หนาเท่ากับเสื้อเกราะโดยทั่วไปยังทะลุทะลวงอย่างง่ายดาย กระทั่งเป้าที่ตั้งไว้ยังล้มลงเพราะแรงปะทะ มาโลว์วางหน้าไม้ลงแล้วพิจารณาผลงานซึ่งหากเป็นทุกทีแล้วเขาคงพอใจ ทว่าหลังจากที่ได้เผชิญกับเรดและสการ์ มันทำให้เขารู้ว่าพลังทำลายเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
เวลาผ่านมาสามวันแล้ว นับตั้งแต่เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายและแยกทางกับคณะของโจเอล น้อยนักที่มาโลว์จะยอมปล่อยนักเดินทางที่หลงเข้ามาในถิ่นไปง่ายๆ แต่ครั้งนี้เมื่อได้ลั่นวาจาไปแล้วจึงต้องทำตามที่สัญญา นอกจากนี้ยังรู้สึกเกรงใจนักบวชหญิงที่ชื่อลูนาร์ ซึ่งมีส่วนในการเอาชนะสัตว์ร้าย
“เป็นอะไรไปหรือ?” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามาโลว์ไม่ได้แสดงอาการพอใจในพลังทำลายเช่นทุกครา
ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับมาโลว์เป็นคนตัวค่อนข้างสูง มีศีรษะใหญ่ หัวเถิก คางใหญ่ ใบหน้าหักงอ โดยรวมแล้วไม่ใช่คนที่หล่อเหลา แต่เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการสร้างอาวุธ โดยเฉพาะธนูและหน้าไม้ และยังเป็นสหายสนิทกับมาโลว์มาตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่เป็นโจร
“นี่ข้าเสียเวลาปรับแต่งอยู่นานเลยนะ อย่าบอกเชียวว่ายังไม่พอใจ” ชายคนเดิมกล่าวต่อ
“ไม่พอ” มาโลว์ตอบออกมาเรียบๆขณะเดินไปที่เป้าเพื่อดึงลูกศรออกมา
“ควินติน ข้าอยากให้ลูกศรกินเป้าลึกเท่านี้” เขาพูดต่อพร้อมกับใช้นิ้วแตะที่ก้านลูกศร นับจากหัวได้ราวสองฟุต
“นั่นมันเกือบจะสองเท่าจากของเดิมเชียวนะ! ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้น! เจ้าเองก็แทบไม่เคยยิงมันจริงๆสักหน่อย!” ควินตินถึงกับโวยวายออกมาเมื่อเจอกับข้อเรียกร้องขนาดนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วหน้าไม้ที่ใหญ่และมีพลังทำลายสูงขนาดนี้มักไม่ค่อยได้ใช้งานจริงเท่าใดนัก มันมีไว้เพื่อขู่เหยื่อที่ถูกปล้นให้ขวัญหนีดีฝ่อเสียมากกว่า กระนั้นมาโลว์ก็ยังพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เรียกร้อง
“บ้าไปแล้ว! แค่แรงดึงที่มีในตอนนี้ก็สร้างความตึงเครียดให้กับโครงสร้างมากพอแล้ว! หากทำอย่างที่เจ้าว่า ไหนจะต้องเสียเวลาขึ้นสายนานกว่าเดิมอีก...” ควินตินบ่นต่อ แต่แล้วก็เงียบไปเหมือนนึกอะไรออก
“เฮ้ ถ้าเจ้าได้เจอกับสิ่งที่ข้าเจอล่ะก็...” มาโลว์กำลังจะอธิบาย แต่ต้องหยุดลงเมื่อควินตินจุ๊ปากแล้วเอานิ้ววาดไปมาบนอากาศจนวุ่นวายไปหมด
“อืม... พอเป็นไปได้... แต่เรื่องที่ต้องเสียเวลาขึ้นสายนานกว่าเดิมคงต้องทำใจยอมรับล่ะนะ” ควินตินตอบ
มาโลว์พยักหน้ารับ เขาตบบ่าสหายแล้วกล่าว “เห็นไหม ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ จะหาช่างทำหน้าไม้เก่งขนาดนี้ได้ที่ไหนอีก”
“จะขอบคุณมาก ถ้าเปลี่ยนจากคำชมเป็นเงิน” อีกฝ่ายแขวะเข้าให้
“รู้ไหมว่าเวลาที่ชีวิตตกอยู่ในภาวะคับขัน อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด” มาโลว์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก ควินตินไม่ได้กล่าวอะไรเพียงรอให้สหายเอ่ยต่อ
“ความศรัทธายังไงล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเสียศรัทธาในอาวุธคู่มือจนต้องหันไปพึ่งพิงศาสนาให้เป็นเครื่องปลุกปลอบขวัญ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยให้ข้ากลับมาศรัทธาในอาวุธดังเดิม”
“เอาเป็นว่าข้าจะพยายามก็แล้วกัน นี่ถ้าไม่ใช่ว่าสนิทกันล่ะก็ไม่เสียเวลาทำให้หรอกนะ”
มาโลว์หัวเราะแก้ขัดแล้วก็นึกอะไรได้
“จริงสิ ข้าได้เห็นดาบเล่มหนึ่ง สีเขียววับ ดูแล้วเป็นเหล็กเนื้อดีมาก ทั้งยังคมอย่างเหลือเชื่อ เจ้ารู้จักใครที่ตีดาบได้อย่างนี้ไหม?”
“เฮ้ ข้าเป็นช่างไม้นะ เรื่องโลหะน่ะรู้แค่ผิวเผินเท่านั้นเอง ของแบบนั้นเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก” ควินตินย้อนกลับ
“ที่ถามเพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีมนุษย์คนไหนตีดาบได้อย่างนั้น เห็นแล้วทำให้อยากกลับไปยืนอยู่หน้าเตาอีกครั้งเหลือเกิน...” มาโลว์พูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยคล้ายรำพึงกับตัวเอง
“จริงสิ เห็นว่าเสบียงที่ขนมาคราวนี้เสียหายไปจนหมด แบบนี้คงลำบากกันแย่” ควินตินไพล่ไปถามเรื่องอื่น
มาโลว์พยักหน้าแล้วตอบ “ก็ต้องประหยัดกันไปสักพักล่ะนะ แต่เจ้าสัตว์ร้ายก็หนีไปแล้ว ไม่ช้าแถบนี้คงมีกองคาราวานผ่านไปมาคึกคักเหมือนเดิม”
“นั่นคงจะกินเวลาอีกสักระยะกว่าจะกลับเป็นปกติ ป่านนั้นพวกเจ้าไม่อดอยากกันแย่หรือ” ควินตินแย้ง
“ข้าพอมีเงินเก็บอยู่หรอก งวดนี้คงต้องชักมาซื้อเสบียงกักตุนไว้ก่อน” มาโลว์ตอบเสียงอ่อย
“ข้าพอจะมีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น” ควินตินเกริ่น เมื่อเห็นว่าสหายมีท่าทางสนใจจึงค่อยกล่าวต่อ
“เมื่อสัปดาห์ก่อน ข้าได้รับคำสั่งซื้อธนูและหน้าไม้เป็นจำนวนมากพอดู...”
“ว่าต่อไปสิ” มาโลว์เร่งด้วยความรู้สึกสนใจ
“เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่มันไม่ใช่คำสั่งซื้อจากทางการนี่สิ คนที่จ้างวานข้าได้จ่ายเงินครึ่งแรกก่อนพร้อมกับกำชับให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าตรงไหนกัน?” มาโลว์ทำท่าว่าจะเลิกสนใจแต่ก็ถูกควินตินจับมาสุมหัวกันใกล้ยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าคนที่ว่าจ้างมันรู้ว่าข้าคบกับเจ้าน่ะสิ มันอยากให้ข้าติดต่อกับเจ้าเพราะอยากได้กลุ่มคนที่ชำนาญการใช้อาวุธ ให้ตายสิ! นี้ถ้าทางการรู้ว่าข้าคบค้ากับโจรมีหวังถูกจับเข้าตะแลงแกง” ควินตินเริ่มจะออกอาการประสาท มาโลว์ชะโงกศีรษะมองไปรอบๆด้วยท่าทางระแวดระวัง เขาเกิดลืมตัวไปชั่วขณะว่าตอนนี้ตนได้อยู่ใจกลางหุบเขาอันเป็นที่ซ่อนที่ปลอดภัย เมื่อนึกขึ้นได้จึงกลับมาผ่อนคลายตามเดิมแต่ก็ไม่วายเอ็ดสหาย
“นี่คงไม่ได้มีคนสะกดรอยตามหรอกนะ”
“ไม่ๆ” ควินตินปัดมือวุ่นวาย “พอเรื่องนี้รั่วไหลข้าก็ระวังตัวมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า ข้าบอกกับเจ้านั่นไปว่าจะขอติดต่อกลับไปเอง”
“อืม... แบบนี้ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ไปมันต้องตามรอยมาที่นี่เองแน่นอน” มาโลว์ลูบเคราพลางครุ่นคิด “แล้วข้าจะติดต่อเจ้านั่นได้อย่างไร?”
“เจ้านั่นพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมบัตเตอร์ฟลายฮันเตอร์” ควินตินหยุดพูดเพื่อหยิบของสิ่งหนึ่งยื่นให้สหาย มันเป็นสมุดเล่มเล็กๆ มาโลว์รับมาแล้วลองเปิดดูจึงเห็นว่าข้างในมีผีเสื้อครึ่งตัวถูกทับไว้
“ยื่นสิ่งนี้ให้เจ้าของโรงเตี๊ยม บอกไปว่าวันนี้จับผีเสื้อมาได้ครึ่งตัว” ควินตินอธิบาย
“อืม” มาโลว์ครางในลำคอพร้อมพยักหน้า ดวงตาวาวเมื่อได้ยินชื่อโรงเตี๊ยมบัตเตอร์ฟลายฮันเตอร์ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมันอยู่บ้าง แต่ไม่เคยคิดจะแวะเข้าไปที่อโคจรแบบนั้น เขาหยิบผีเสื้อที่อยู่ในสมุดขึ้นมาดูอีกครั้ง มันมีสีเทาเช่นผีเสื้อราตรีทั่วไป แต่เมื่อขยับดูจึงเห็นสีแดงเสมือนเลือดเหลื่อมอยู่ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าของผีเสื้อตัวนี้จะเป็นคนแบบไหนกัน? แล้วงานแบบไหนที่กำลังรออยู่กันแน่?
ที่เมืองรีมัส ภายในห้องรับรองเล็กๆของคฤหาสน์แอร์โน เด็กสาววัยเพียง12ปีเอาแต่นอนนิ่งแทบไม่ไหวติงอยู่บนเตียงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
เธอเคยคิดว่าการอยู่ในคฤหาสน์ที่หรูหราและการได้ทานอาหารรสเลิศจะทำให้มีความสุข ทว่าตอนนี้เธอกลับไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้นเลย เด็กสาวกลับหวนนึกถึงแต่กระท่อมน้อยกลางป่า มันคือที่ซึ่งเธอเรียกว่าบ้าน แม้จะอัตคัดขัดสน แต่เธอก็มีความสุขตามอัตภาพร่วมกับบิดา เมื่อนึกถึงบิดาขึ้นมา เธอก็เริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง
นับตั้งแต่บิดาของเธอเสียชีวิต เวลาก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว เด็กสาวยังคงร้องไห้แทบจะทุกคราที่นึกถึงบิดา ไดอารู้สึกราวกับโลกทั้งใบมืดมิดลงทันใด เมื่อครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมีได้จากไปตลอดกาล
ครั้งแรกที่ได้รับทราบข่าวร้ายนี้ เธอถึงกับมืดตื้อทำอะไรไม่ถูก รู้เพียงว่าจะต้องจัดการกับศพของบิดาตามประเพณี ทว่าก็ไร้ทรัพย์และกำลังที่จะจัดการให้ลุล่วง โชคดีที่กิเดียนได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยให้เหตุผลว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบร่วมกันกับหลานชาย
นอกจากจะช่วยจัดการงานศพให้ลุล่วงแล้ว กิเดียนยังคอยดูแลเด็กสาวในหลายๆเรื่อง และมักจะเข้าสอบถามถึงสารทุกข์สุกดิบรวมทั้งความต้องการต่างๆด้วยตนเอง แต่ไดอาก็แปลกใจที่การสนทนาแทบทุกครั้ง กิเดียนมักเลี่ยงที่จะสบตาเธอ เมื่อเธอเอ่ยปากว่าต้องการกลับบ้าน กิเดียนก็จะคอยหว่านล้อมให้เธออยู่ที่นี่ไปสักระยะ โดยยกว่าหากวิลเลียม(หรือชายที่เธอและพ่อรู้สึกในชื่อฟิลลิป)ยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมจะตามหาเธอแน่นอน ฉะนั้นหากเธอรออยู่ที่นี่จะทำให้เจอกันได้ง่ายกว่า
ถึงตอนนี้ไดอาไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าเธอคิดอย่างไรกับฟิลลิป เมื่อระลึกถึงคำกล่าวของบิดาที่ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา และอาจนำพาเรื่องร้ายมาให้ มันทำให้คิดไปว่าบิดาของเธอต้องมาตายก็เพราะฟิลลิป...
...แต่ถึงอย่างไรเธอก็อยากจะพบกับเขาอีกสักครั้ง เพื่อจะถามให้รู้แน่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
ไดอาล้วงหยิบแหวนที่ซุกซ่อนในกระเป๋า นี่เป็นสิ่งเดียวที่พอจะใช้ระลึกถึงฟิลลิป เธอคิดจะปามันทิ้งหลายครั้งที่นึกเคืองโกรธฟิลลิป ทว่าก็เปลี่ยนใจและเก็บมันไว้เสียทุกครั้ง
เด็กสาวหยิบแหวนหยิบแหวนขึ้นมาดูใกล้ๆอีกครั้ง แล้วก็กลับกำมันแน่นไว้ในมือ ก่อนจะผล็อยหลับไป
อีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไป ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงสง่า ไว้หนวดเรียวงามมีเสน่ห์ กำลังรู้สึกสับสนร้อนรุ่มใจ ขณะแนบสายตามองผ่านช่องลับบนผนัง
เรือนร่างของเด็กสาวที่หลับอยู่อีกฟากของห้อง ได้ปลุกเร้าจิตใจของเขาให้รู้สึกเร่าร้อนปั่นป่วน
“สมบูรณ์แบบเหลือเกิน” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง ภาพเด็กสาวหลับใหลไปด้วยความเศร้าตรม ช่างงดงามน่าทะนุถนอม เหมือนดอกไม้อันบอบบางซึ่งจะแหลกสลายหากแตะต้อง ซึ่งเขาจะไม่ทำเช่นนั้น...
กิเดียนรู้สึกชอบใจกับการเฝ้าดูมากกว่าจะล่วงล้ำก้ำเกิน เขาไล่สายตามองเด็กสาวที่หลับไปโดยไม่ระวังตัว ร่างกายที่ยังไม่เติบโตเต็มวัย เป็นความงามที่กิเดียนชมชอบเหนืออื่นใด เพราะมันสื่อถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่ว่าจะมองส่วนไหนในตัวเด็กสาว ต่างชวนให้หลงใหลไปเสียทั้งหมด ทั้งเส้นผมและดวงตาสีเงินดูแปลกตา หรือผิวที่ขาวนวล ตัดกับชุดลูกไม้สีดำฟูฟ่อง ซึ่งกิเดียนได้ใช้เวลาเลือกให้เด็กสาวอย่างพิถีพิถันและสนุกสนานราวกับเลือกชุดแต่งตัวให้กับตุ๊กตาตัวน้อย อา... ใช่แล้ว... แม่ตุ๊กตาตัวน้อยๆของฉัน... ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
เขาไม่รู้ว่าเริ่มชมชอบการแอบมองตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นตั้งแต่วัยเยาว์ ที่บิดาได้พาเขาท่องไปในทางเดินลับของปราสาทเพื่อให้รู้ทางหนีทีไล่ แต่หลายครั้งที่บิดากลับชวนให้เขาเดินตามไปในทางลับที่มืดมิด เพียงเพื่อจะแอบดูเรื่องน่าอายของผู้คน
ขณะที่กิเดียนยังคงแอบมองและพร่ำเพ้อในความงามของเด็กสาว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเพื่อจะแจ้งว่าโต๊ะอาหารได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กิเดียนจึงละสายตาจากช่องลับ เพราะเขามีเรื่องต้องหารือกับบอร์โนระหว่างอาหารมื้อนี้
หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหารวิลเลียม กิเดียนก็กินแหนงแคลงใจบอร์โนอยู่ไม่น้อย ทั้งสองจึงแทบไม่ได้ทานอาหารร่วมกันด้วยความสนิทสนมเช่นเคย แม้บอร์โนจะทำการสอบสวนเรื่องราวด้วยความเที่ยงตรง โดยยอมลงโทษกระทั่งคนเก่าแก่และยอมให้กิเดียนนำทหารของเขาเข้ามาพักในคฤหาสน์เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจแล้วก็ตาม แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นได้ผ่านมาร่วมเดือน วันนี้ทั้งสองก็ได้มานั่งเสวนาร่วมกันอีกครั้ง มิใช่เพราะทั้งสองต้องการจะสานสัมพันธ์ แต่เป็นเพราะข่าวสารจากแดนไกลซึ่งพวกเขาจำต้องหารือกัน
“ราชินีฮิลด้าได้แต่งตั้งผู้ช่วยซึ่งจะมาพบท่านในเร็วๆนี้อย่างนั้นหรือ?” ชายร่างท้วมเจ้าของคฤหาสน์เอ่ยออกมาหลังอ่านสาสน์จากราชินีแห่งเลโอเดน
“ใช่” กิเดียนออกความเห็นเพียงสั้นๆ เขามีท่าทีอึดอัดใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมพูดต่อ
“ท่านคงรู้ ว่าเหตุผลหนึ่งที่ข้าใช้เป็นข้ออ้างในการเดินทางมารีมัส ก็คือการเข้าเฝ้าพระสังฆราชเพื่อทูลขอนักบวชให้เข้าร่วมในพิธีพระบรมศพ ด้วยตำแหน่งเจ้ากรมราชพิธี ข้ออ้างนี้ย่อมไม่เป็นที่สงสัย และคงเป็นสิ่งที่นางราชินีแม่มดรอคอยเช่นกัน หากพระสังฆราชทรงประทานนักบวชให้เข้าร่วมพิธี และเป็นพยานการขึ้นครองบัลลังก์ของบุตรนาง นั่นย่อมจะสร้างความชอบธรรมซึ่งจำเป็นในการครองราชย์ เดิมทีข้าตั้งใจจะใช้โอกาสในการเข้าเฝ้าพระสังฆราชพาวิลเลียมเข้าเฝ้าด้วย เพื่อจะขอให้พระสังฆราชมอบสาสน์สนับสนุนการครองบัลลังก์ของวิลเลียม ซึ่งจะส่งผลต่อแผนการขั้นถัดไป ทว่าถึงตอนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว...”
“ท่านเองก็ไม่เคยบอกว่าศัตรูที่แท้จริงคือองค์จักรพรรดิ” บอร์โนตอบโต้ด้วยอารมณ์ เมื่อรู้สึกว่ากิเดียนกำลังจะตำหนิเขา ชายทั้งสองลุกขึ้นยืนจ้องมองกันอย่างเอาเรื่อง ต่างจ้องตากันเนิ่นนานโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา จนในที่สุดบอร์โนก็เป็นฝ่ายนั่งลงก่อน
“ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เต็มใจช่วยเหลือท่านหรอกนะ แต่กับศัตรูที่เป็นถึงองค์จักรพรรดิ ข้าคงไม่อาจช่วยท่านไหว...”
กิเดียนหย่อนกายลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง แหงนหน้าเหม่อมองอย่างไม่มีจุดหมาย เมื่อรู้สึกว่าทางเดินของตนช่างตีบตันเต็มที ความหวังที่จะหนุนหลังวิลเลียมให้ขึ้นครองบัลลังก์ดูจะเลือนรางยิ่งนัก ครั้งจะหันมารับใช้องค์ราชินีก็เป็นสิ่งที่ฝืนใจเกินทน และการใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของนางคงไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัย เขารู้ดีว่าตนนั้นถูกจับตามองด้วยความระวังระไว หาไม่แล้วองค์ราชินีคงไม่แต่งตั้งผู้ช่วยให้มาดูแลเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อนึกถึงผู้ช่วยที่กำลังเดินทางมาพบ กิเดียนก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาของเขาเหลือน้อยลงเต็มที
“กิเดียน ข้ากับท่านคบหากันมาแต่น้อย ตัวข้านั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อท่าน การกลับเลโอเดนอาจมีอันตรายรออยู่ กระนั้นการอยู่ที่นี่ต่อไปก็เหมือนกับอยู่ไปวันๆโดยไร้จุดหมาย” บอร์โนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟัง เขาจึงพูดต่อ
“กับวิลเลียมนั้น แม้จะเป็นญาติสนิทของท่านก็เถิด แต่การที่ท่านจะช่วยเหลือให้เขาขึ้นครองบัลลังก์นั้น หนทางมันยากเย็นและอันตรายเกินไป แล้วท่านเองก็คงจะรู้ดีว่าวิลเลียมเป็นคนขี้ระแวงเพียงใด การจะยึดเป็นที่พึ่งพิงในระยะยาวย่อมไม่ใช่เรื่องดี”
กิเดียนจ้องมองสหายอย่างไม่ชอบใจนักที่แนะนำให้เขาละทิ้งญาติสนิท แต่เมื่อตรองดูก็เห็นจริงดังคำ
“...ถ้าอย่างนั้น ข้า... ควรทำเช่นไร?” เขาเอ่ยออกมาอย่างสิ้นหวัง
“นึกถึงตัวเองเป็นอันดับแรก ตรองดูดีๆ ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว”
กิเดียนเงยหน้าขึ้นมองสหายอีกครั้ง และหลบสายตาด้วยความลังเลใจก่อนจะตอบ
“ข้า... ขอทบทวนดูก่อน...” แล้วเขาก็ลุกขึ้นและเดินจากไปเงียบๆ
กิเดียนกลับมาถึงห้องรับรองเพื่อพักผ่อน เขานั่งตรงเก้าอี้บุนวมแทนที่จะนอนลงบนเตียง ทั้งนี้ก็เพื่อจะครุ่นคิดในสิ่งที่ตัดสินใจได้ยากยิ่ง
เขากำลังหวนนึกถึงบ้านเกิด ปราสาทและผู้คนที่คุ้นเคย ภรรยาที่แม้จะแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่ก็อยู่กินกันมากว่าสิบปี ทั้งหมดนี้เขาอาจไม่มีโอกาสได้กลับไปพบเห็นอีก หากว่าได้ตัดสินใจบางอย่างลงไป...
ความรู้สึกอ่อนล้าเข้าเกาะกุมจิตใจของกิเดียนเมื่อต้องเผชิญกับทางที่แสนจะยากเย็น สายตาที่เลื่อนลอยเฝ้ามองไล่ไปตามฝาผนัง และหยุดลงที่ช่องมองลับ...
ที่อีกห้องหนึ่ง เด็กสาวยังคงหลับใหลทั้งใจระทมทุกข์ ขณะเดียวกัน เจ้าของดวงตาที่มองผ่านช่องลับกำลังบอกกับตัวเอง เขารู้แล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ความคิดเห็น