ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #55 : บทที่ 54 ภัยซ้อนเร้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 151
      0
      13 ก.ย. 51

                    ายในห้องขนาดพอประมาณ ดอาเดินวนไปมาอยู่หลายหนด้วยความกระวนกระวายใจ จนสร้างความวิงเวียนให้กับบิดาที่นั่งครุ่นคิดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

                    “ไดอา เจ้าหยุดเดินสักประเดี๋ยวจะได้ไหม พ่อกำลังใช้ความคิด” แดนเอ็ดด้วยความรำคาญ ส่งผลให้บุตรสาวกลับมานั่งลงข้างๆด้วยหน้าตาบูดบึ้ง แต่เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็ลุกไปชะโงกมองนอกหน้าต่าง เหมือนจะล่วงรู้ความคิดบุตรสาว ผู้เป็นบิดาจึงพูดดักคอล่วงหน้า

                    “ถึงเจ้าโดดลงไปแล้วบังเอิญรอด  ก็ไม่พ้นถูกทหารยามข้างล่างจับตัวอยู่ดี”

                    คำพูดของบิดา ทำให้เด็กสาวกลับมานั่งข้างๆ อีกครั้งด้วยท่าทางกระสับกระส่าย ไดอาเฝ้าคิดกังวลถึงฟิลลิปที่ถูกจับตัวไปอีกที่ซึ่งเธอไม่รู้ ทั้งๆที่อุตส่าห์ได้พบกันแล้ว แต่กลับโชคร้ายถูกกลุ่มคนแปลกหน้าควบคุมตัวไว้ เพราะถูกปิดตามาตลอดทาง เธอจึงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่จากสภาพห้องที่เธออยู่ตอนนี้ก็นับว่าดีกว่าคุกมาก อันที่จริงแล้วดีกว่ากระท่อมที่เธออยู่กับพ่อเสียอีก ถึงกระนั้นเธอก็ยังอดกังวลถึงความปลอดภัยของคนรักไม่ได้

                    “เจ้าเลิกกระวนกระวายสักทีเถิด พ่อคิดว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรง ดูสิ คนพวกนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเราสักนิด”

                    “แล้วฟิลลิปล่ะท่านพ่อ?” ไดอาถามด้วยความเป็นกังวล

                    “อืม... พ่อคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มนั่นโดยตรงนะ เจ้าว่าฟิลเป็นรัชทายาทของที่ไหนนะ?”

                    เด็กสาวนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งเนื่องจากจำไม่ค่อยได้ ทว่ายังมีแหวนที่ฟิลลิปฝากไว้ซึ่งรอดจากการตรวจค้น เธอจึงหยิบขึ้นมาดู

                    “เลโอ... เอ... ข้าจำไม่ค่อยได้น่ะท่านพ่อ”

                    “ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องนั้น ก็อย่างที่พ่อได้เตือนเจ้านั่นแหล่ะ เราไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นเลย...”

                    คำพูดของบิดาทำให้เด็กสาวก้มหน้างุด นึกแย้งในใจ

                    “เจ้าคงไม่ได้รักหมอนั่นไปแล้วหรอกนะ ไดอา เจ้ายังเด็ก ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะตกหลุมรักใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับชายหนุ่มหน้าตาดีและมีฐานะ ทว่าเจ้าไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเขาได้หรอก คนที่มีเงินและอำนาจขนาดนั้น คงจะมองเจ้าเป็นเพียงแค่ดอกไม้ริมทางเท่านั้น ดูอย่างแม่เจ้าสิ...”

                    ดวงตากลมโตของเด็กสาวฉายแววสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้าย

                    “ท่านแม่มีอะไรหรือ?” เธอพยายามรุกถามเอาความจากบิดา แต่ก็เจอกับการบ่ายเบี่ยง

                    “เรื่องนั้นเจ้าอย่ารู้เลย เชื่อฟังคำเตือนของพ่อก็พอ”

                    เมื่อถูกปิดบังเช่นนั้น เด็กสาวก็ยิ่งดื้อดึงไม่ยอมรับในคำแนะนำของบิดาเข้าไปใหญ่ เธอต้องการจะพิสูจน์ให้รู้ว่าความรักของเธอไม่ใช่เรื่องชั่วพลั้งชั่วเผลอดังคำปรามาส

                    สองพ่อลูก ต่างนิ่งเงียบด้วยความน่าอึดอัดกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออก ไดอาเหลียวมองด้วยความดีใจ แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นเพียงทหารผู้หนึ่งซึ่งยกถาดอาหารมาให้ด้วยกิริยาสุภาพ

                    “ขออภัยที่ต้องให้พวกท่านอยู่ในห้องนี้กันก่อน พวกท่านอาจจะหิวบ้างแล้ว”

                    “ฟิลลิปล่ะ พวกท่านทำอะไรเขาหรือเปล่า?” ไดอารีบถามทันที ทว่าทหารนายนั้นกลับมีสีหน้าฉงนสนเท่ห์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะร้องอ้อเบาๆ

                    “องค์ชายทรงสบายดี ขณะนี้ท่านกำลังหารือกับท่านกิเดียนอยู่ อาหารพวกนี้องค์ชายกำชับให้จัดมา เห็นว่าเสร็จธุระแล้วจะลงมาพบท่านทั้งสอง” กล่าวจบทหารผู้นั้นก็ลาไป ไม่ทันให้ถามอะไรต่อ

                    ไดอามองอาหารที่ถูกจัดมาด้วยความตื่นเต้น ของเหล่านี้ดีกว่าที่เธอเคยกินหลายเท่านัก ชั่วขณะหนึ่ง แดนรู้สึกเหมือนได้เห็นแววตาเย้ยหยันจากบุตรสาว นี่คงเสมือนอาการปีกกล้าขาแข็งของเด็กสาวที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบิดาอีก ในเมื่อหนุ่มคนรักนั้นร่ำรวยและมีทุกอย่างที่เธอต้องการ

                    แดนถอนหายใจและส่ายศีรษะเบาๆ ไม่ได้เหลือบแลสำรับที่ยกมาแม้แต่น้อย

     

                    ห่างไปเพียงไม่กี่ห้อง ชายสองคนกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ต่างนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีแดงสลักลายงดงามคนละตัวหน้าเตาผิงไฟ

                    หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มใบหน้าสวยละม้ายดังสตรีที่ไดอารู้จักในนามฟิลลิป หรือนามที่แท้จริงคือ วิลเลียม เลโอนิคที่2 เอิร์ลแห่งออร์กุสต์ องค์ชายรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเลโอเดน

                    อีกคนนั้นสูงอายุกว่า ราวสามสิบปลายๆ เรือนร่างสูงสง่า ใบหน้ามีเสน่ห์ตามอายุประดับด้วยหนวดงามเหนือริมฝีปาก ผมสีทองออกน้ำตาลสว่างหยักศกถูกมัดรวบไว้ด้านหลังดูเรียบร้อย เขาคือ กิเดียน รอธแธม ผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุลาขององค์ชาย และเป็นหนึ่งในขุนนางที่ตามเสด็จไปในราชการสงครามของพระราชาแห่งเลโอเดนเพื่อทำการรบกับพวกไรบัน ทว่าเมื่อองค์ราชาทรงสิ้นพระชนม์ กองทัพทั้งหมดก็เร่งรีบกลับสู่เลโอเดนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิด มีเพียงกิเดียนและทหารในบัญชาเพียงไม่กี่ร้อยนายเท่านั้น ที่กลับเดินทางไปยังไลบราลิคด้วยเหตุผลว่าต้องการแสวงบุญ แต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เขาและองค์ชายได้นัดแนะกันไว้ก่อนหน้านี้

                    “พระบิดาทรงสิ้นแล้วหรอกหรือ...” องค์รัชทายาททรงรำพึงออกมา ทว่าดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมองแน่วนิ่วไปยังกองไฟหาได้ปรากฏแววโศกเศร้าแต่อย่างใด มันกลับเต็มไปด้วยความครุ่นคิดถึงก้าวย่างต่อไปเสียมากกว่า

                    “ทรงสิ้นพระชนม์ได้เกินกว่าสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ “นางแม่มด” คงเตรียมสถาปนาบุตรของมันให้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ใหม่อย่างแน่นอน...” กิเดียนเว้นน้ำเสียง ชำเลืองมององค์รัชทายาทซึ่งยังคงจับจ้องไปที่กองไฟแล้วจึงพูดต่อ

                    “องค์ชาย ถ้าท่านไม่ทรงเร่งรีบเปิดเผยตัว เป็นได้เข้าแผนการของนางแม่มดแน่ ถึงแม้ว่าการตั้งราชบุตรองค์รองขึ้นเป็นกษัตริย์จะผิดราชประเพณีไปบ้าง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเชื่อว่าท่านหายสาบสูญไปแล้ว เช่นนี้ขุนนางในเลโอเดนย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกไปจากการถวายความภักดีต่อราชบุตรองค์น้อย” สีหน้าของกิเดียนแฝงความวิตก สถานภาพของเขาในยามนี้นับว่าแขวนบนเส้นด้าย ในบรรดาผู้ครองแว่นแคว้นในเลโอเดน มีเขาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่ารัชทายาทอันดับหนึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ นั่นเพราะองค์ชายไม่ไว้วางพระทัยผู้ใดเลย นอกจากกิเดียนซึ่งเป็นเชษฐาของพระมารดา ส่วนผู้ที่กิเดียนเรียกว่า นางแม่มดก็คือราชินีพระองค์ใหม่ที่มีเชื้อสายดราโกเนีย ซึ่งกิเดียนมิได้ทำใจยอมรับให้เป็นราชินีที่แท้จริง

                    วิลเลียมละสายตาจากกองไฟมองมาทางพระญาติแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ “หึๆ ท่านลุง ท่านไม่เห็นหรอกหรือ ว่าก่อนที่พระบิดาจะสิ้นพระชนม์ นางแม่มดก็ได้ซื้อขุนนางทั้งหมดไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงได้เลือกที่จะหลบลี้หนีหน้าผู้คน ดีกว่าจะอยู่เป็นเป้าของศัตรู...”

                    กิเดียนมองผู้เป็นหลานด้วยสายตาที่เห็นใจในความทุกข์ยาก “ข้ารู้สึกผิดนัก ที่ปล่อยให้ทายาทของน้องข้าไปตกระกำลำบาก ถ้าองค์ชายมาขอหลบซ่อนในแคว้นของข้าแต่แรกก็คงไม่ต้องได้ยากถึงเพียงนี้...”

                    “แต่หากข้าทำเช่นนั้น เราทั้งสองก็คงตกที่นั่งลำบากด้วยกันทั้งคู่ ป้อมปราการของท่านลุงอาจจะแข็งแรงดีอยู่หรอก แต่ไม่อาจป้องกันภัยที่มองไม่เห็นได้...”

                    “เจ้าหมายถึง...”

                    “ข้าขอกล่าวกับท่านลุงตามตรง นับแต่ที่ข้าถูกสหายที่เติบโตร่วมกันมาหักหลัง ข้าก็ไม่คิดจะวางใจผู้ใดอีก เว้นแต่ท่านลุง แต่ที่ข้าไม่ไปพำนักที่ปราสาทของท่าน ก็เพราะนี่นั่นย่อมตกอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของศัตรูอย่างแน่นอน ความระแวงครั้งนี้มิได้เกินเลยแต่อย่างใด เพราะข้าได้เผชิญหน้ากับมือสังหารจากปราการมรกตมาแล้ว...”

                    “มือสังหารจากปราการมรกต! นางแม่มดนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว!” กิเดียนอุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อของกลุ่มนักฆ่าซึ่งเป็นที่หวาดหวั่น สีหน้าแสดงความยุ่งยากใจอย่างเห็นได้ชัด

                    องค์รัชทายาทยังคงเงียบเฉย มีเพียงสายตาที่ฉายแววพลุ่งพล่านภายใน

                    “เช่นนั้นลำพังเราสองคนจะเพียงพอต่อกรอีกฝ่ายหรือ?” กิเดียนกล่าวด้วยความกังวล

                    “ฮะๆ ด้วยเหตุนั้นข้าจึงนัดพบท่านที่ไลบราลิคอันเป็นดินแดนแห่งศาสนจักร ซึ่งอำนาจขององค์จักรพรรดิไม่อาจแทรกแซงได้อย่างไรล่ะ ท่านลุงดูจะวิตกจนลืมบทเรียนที่ได้สอนข้าไปแล้วหรือ ที่ว่าสงครามคือความชอบธรรม ผู้ใดมีความชอบธรรมมากกว่าย่อมกุมชัยชนะในท้ายที่สุดอย่างไรล่ะ อย่าลืมสิว่า ในแง่ของการสืบทอดบัลลังก์แล้ว ข้ามีความชอบธรรมกว่าอีกฝ่ายหลายเท่านัก” องค์ชายหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนมิได้ทุกข์ร้อนต่อสถานะที่เสียเปรียบในด้านกำลังแต่อย่างใด

                    “แต่ความชอบธรรมก็หาใช่ตัวแปรทั้งหมด ตราบใดที่กำลังฝ่ายเราด้อยกว่า ซ้ำไม่อาจช่วงชิงจังหวะที่ได้เปรียบ ก็ยากที่จะเอาชนะได้” ชายที่สูงวัยกว่ายังคงแย้งด้วยเหตุผล

                    “วางใจเถิด แผนการนั้นข้ามีอยู่ เพียงแต่ช่วงนี้ต้องปล่อยให้ศัตรูคะนองใจไปก่อนจะได้ติดบ่วงเราโดยง่าย ท่านลุงก็ถือว่าเป็นบัณฑิตผู้รู้หลักกฎหมายและราชประเพณี น่าจะพอเดาใจข้าออกกระมัง ว่ามีหนทางที่เราสามารถยึดกุมความได้เปรียบอยู่อีก...” วิลเลียมเอ่ยพร้อมกับเติมฟืนให้เป็นเชื้อไฟ ไม่ช้ากองไฟที่กำลังมอดก็สว่างโชติช่วงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทั้งสองเงยหน้าขึ้นสบตากันพักหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเผยยิ้มให้แก่กันอย่างรู้ใจ

                    “เช่นนั้นข้าจะรอให้ถึงหมากตาสำคัญที่ว่า” กิเดียนเอ่ย พลางไล้เรียวหนวดอย่างสบอารมณ์ ก่อนจะเป็นฝ่ายขอตัวเดินจากไป

     

                    วิลเลียมได้พบแดนและไดอาในห้องที่รับรองทั้งสองในช่วงบ่าย เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเหตุผลที่ต้องปิดบังฐานะให้ทั้งสองเข้าใจ ส่วนสถานที่ซึ่งพวกเขาถูกเชิญมานี้ คือคฤหาสน์ของคหบดีที่เป็นสหายสนิทของกิเดียน ซึ่งไว้เนื้อเชื่อใจได้พอสมควร

                    “ฟิล... หรือข้าควรจะเรียกว่าองค์ชายดี... อย่างไรก็ตามเถิด ในเมื่อท่านปลอดภัยดีแล้วก็ควรจะปล่อยเราสองพ่อลูกกลับบ้านได้แล้ว ข้าไม่คิดว่ามีเหตุอันใดให้เราต้องข้องแวะกันอีก” แดนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจนจบ โดยไม่สนใจต่อสายตาคัดค้านของบุตรสาว

                    “อย่าเพิ่งตัดรอนสิ ในเมื่อท่านเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ก็ขอให้ข้าได้ตอบแทนสักหน่อยเถิด เอ่อ... อย่างน้อยๆก็ร่วมทานมื้อเย็นสักมื้อ” ชายหนุ่มใบหน้าสวยพยายามยื้อเอาไว้

                    แดนทำท่าจะปฏิเสธ แต่หนนี้บุตรสาวได้ยุดชายเสื้อไว้อย่างแรง ทำให้ชายร่างใหญ่ต้องถอนหายใจก่อนจะตอบ

                    “ได้ แต่พรุ่งนี้ข้าและลูกสาวจะขอตัวกลับแต่เช้า ถึงตอนนั้นก็อย่าได้เหนี่ยวรั้งเราไว้อีก”

                    “ขอบคุณที่ให้เกียรติข้า โปรดวางใจ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่ง” วิลเลียมกล่าว เขาแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรไดอาก็จะต้องจากไปในตอนเช้าอยู่ดี

                    วิลเลียมขอตัวไปเพื่อทำธุระของตนอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกอึดอัดต่อท่าทีของแดน จึงปล่อยให้สองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง

     

                    เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หญิงรับใช้สองคนจึงนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ เป็นชุดผู้ชายชุดหนึ่งสำหรับแดน และชุดผู้หญิงสำหรับไดอา

                    แดนทิ้งชุดที่นำมามอบให้ไว้มิได้สนใจ และออกไปเดินเล่นด้านนอก ปล่อยให้หญิงรับใช้ช่วยกันแต่งตัวให้บุตรสาวทั้งที่ใจยังรู้สึกเป็นห่วง เกรงว่าเธอจะเสียนิสัยหากปล่อยให้แต่งกายและดื่มกินด้วยของราคาแพง ซึ่งเมื่อกลับบ้านแล้วก็คงไม่มีโอกาสแตะต้องของเหล่านั้นอีก ทว่าใจหนึ่งก็อยากจะตามใจเธอบ้าง เขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว การได้เห็นเธอดีใจ เขาก็ย่อมจะพลอยดีใจไปด้วย จึงคิดว่ายอมปล่อยให้ไดอาได้ใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันสักวัน

     

                    เมื่อถึงเวลาเย็น เด็กสาวได้เยื้องย่างออกจากห้องด้วยท่าทีเอียงอาย ตกประหม่าต่อรูปโฉมที่ได้รับการปรุงแต่ง เหมือนการก้าวเข้าสู่สถานะใหม่ จากการเป็นเด็กเข้าสู่วัยสาว จากลูกเป็ดขี้เหร่เป็นหงส์ที่งามสง่า ตลอดเวลาเธอไม่เคยได้รับคำชมเชยในรูปร่างหน้าตามาก่อน แต่บัดนี้เธอเห็นมันอย่างเด่นชัดจากแววตาของบรรดาทหารที่ยืนตามรายทาง ซึ่งทำให้เธอค่อยๆเดินอย่างมั่นใจในทุกย่างก้าว กระทั่งไม่เหลือเค้าของเด็กสาวกระโดกกระเดกคนเดิมอีกแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนรอบข้าง มีเพียงสายตาของบุพการีเท่านั้นที่เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง

     

                    สองพ่อลูกมาถึงห้องรับประทานอาหารโดยมีคนรับใช้คอยนำทางและดูแลอย่างใกล้ชิด วิลเลียมที่รออยู่ก่อนแล้วได้ลุกขึ้นเชื้อเชิญ พร้อมแนะนำให้รู้จักกับกิเดียนผู้เป็นพระญาติ และบอร์โนคหบดีเจ้าของสถานที่ เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างออกท้วม แต่มีกิริยาท่าทางกระฉับกระเฉง สีหน้าค่อนข้างจะเคร่งเครียด แต่ก็เป็นผู้ฟังที่ดี

                    อาหารมื้อนั้นล้วนหรูหราอย่างที่แดนและไดอาไม่เคยแม้แต่นึกฝันว่าจะได้ลิ้มรสมาก่อน จนเด็กสาวได้แต่นั่งนิ่งตกประหม่า เกรงว่าแสดงกิริยาไม่สมควรออกไป ซึ่งวิลเลียมพอจะเข้าใจปัญหานี้ จึงคอยแนะนำอย่างใกล้ชิด จนเธอคลายวิตกได้บ้าง ขณะที่แดนก็ทานแต่น้อย หากมิใช่เพราะกังวลในเรื่องมารยาท แต่เป็นด้วยเหตุผลอื่นมากกว่า

     

                    หลังรับประทานอาหารเสร็จ วิลเลียมยังคงชวนเสวนาอยู่เนิ่นนาน เพราะรู้ดีว่าพรุ่งนี้ไดอาต้องจากไปแต่เช้า จึงหวังจะเหนี่ยวรั้งไว้ให้นานที่สุด

                    กิเดียนได้ชวนพูดคุยด้วยท่าทีผ่อนคลาย แม้จะเป็นชนชั้นสูง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแขกทั้งสองเลย ด้วยอุปนิสัยของผู้ที่มีใจรักในการศึกษา เขาจึงรู้สึกสนุกที่ได้สนทนากับผู้ที่มีวิถีชีวิตต่างออกไป จนดูเหมือนว่าเขาจะเข้ากับแดนได้ดีกว่าวิลเลียมเสียอีก ส่วนบอร์โนนั้นแม้จะพูดคุยเพียงเล็กน้อย แต่ก็ตั้งใจฟังเรื่องราวต่างๆอย่างดี

                    เวลาผ่านไปจนดึกดื่น กิเดียนและบอร์โนต้องขอตัวพักผ่อน กระทั่งเวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน ไดอาก็แข็งขืนต่อความง่วงที่รุมเร้าไม่ไหว แม้จะรู้ว่าหลังจากที่เธอเข้านอนและตื่นมาในตอนเช้า เธออาจไม่มีโอกาสได้เจอกับชายหนุ่มที่เธอมีใจให้อีก แต่ก็ทนฝืนความง่วงต่อไปอีกไม่ไหวจึงฟุบหลับไปด้วยความง่วง ดูน่าขันคล้ายกับเด็กเล็กๆที่หลับได้อย่างปัจจุบันทันด่วน วิลเลียมอมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ขณะที่แดนส่ายศีรษะด้วยความระอา

                    “ขอบคุณสำหรับอาหาร พวกข้าต้องขอตัวก่อน” ชายสูงวัยขยับกายลุกขึ้นจากที่ เตรียมอุ้มบุตรสาวไปพักผ่อน ทว่าอีกฝ่ายได้กล่าวแทรกออกมา

                    “เอ่อ... ข้ามีเรื่องอยากจะพูด”

                    แดนหลับตา ถอนหายใจก่อนจะตอบ “ให้ข้าพาลูกสาวเข้านอนก่อนก็แล้วกัน” กล่าวเสร็จก็อุ้มบุตรสาวเดินจากไป

     

                    กลางดึกบนระเบียงด้านนอกคฤหาสน์ ชายสองคนยืนพูดคุยกันท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงัด วิลเลียมนิ่งงันอยู่นาน ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มสนทนา

                    “ข้า... เอ่อ... ถ้าพรุ่งนี้พวกท่านจะยังไม่กลับไปจะได้ไหม?”

                    “ข้าไม่อยากทิ้งบ้านไปนานๆ คนหาเช้ากินค่ำอย่างเราหยุดนานนักไม่ได้หรอกนะ” ชายร่างใหญ่ปฏิเสธ

                    “คือ... ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ท่านก็รู้อยู่ว่าบุตรสาวท่านชอบพอกับข้า” ชายหนุ่มใบหน้าสวยไม่ยอมลดละ

                    “นางยังเด็กเกินกว่าจะรู้จักความรัก...” แดนเว้นจังหวะ หรี่ตามองอีกฝ่าย “ท่านก็ด้วย”

                    “แล้วท่านรู้หรือ เอ่อ... ขออภัย... ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านจึงนัดดูตัวให้นาง นางเคยเล่าให้ฟังว่าท่านต้องการหาใครสักคนที่จะดูแลนางมิใช่หรือ หรือท่านคิดว่าข้าไม่เหมาะสมกัน?” วิลเลี่ยมพยายามโต้แย้งและโน้มน้าว รู้สึกคับข้องใจที่แม้ว่าตนจะมีฐานะพอเลี้ยงดูไดอา หรือควรจะเรียกว่าเกินพอด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงยังถูกปฏิเสธ

                    “มันไม่ใช่แค่เรื่องของฐานะ ข้าพูดถึงการดูแล หมายถึงการอยู่ดูแลกันตลอดไป ไม่ใช่แค่ชั่วพลั้งชั่วเผลอ” แดนอธิบาย

                    “ท่านคิดว่าข้าไม่ได้รักบุตรสาวท่านจริงหรือ” น้ำเสียงของวิลเลียมคล้ายจะตัดพ้อมากกว่าจะตั้งคำถาม ขณะที่อีกฝ่ายเพียงจ้องมองแน่วนิ่ว มิได้ตอบคำถาม

                    “แล้วบุตรสาวท่านล่ะ ไม่คิดจะฟังความเห็นนางสักหน่อยหรือ?” ชายหนุ่มยังคงไม่ลดละ

                    “นางเพียงแค่หลงไปเท่านั้น ไม่นานนางจะลืมได้เอง” คำตอบของชายสูงวัยยังคงไร้เยื่อใยดังเดิม

                    วิลเลียมรู้สึกอัดอั้น ไม่รู้จะหาหนทางใดมาโน้มน้าวชายที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้ ทำไมเขาถึงต้องพ่ายแพ้ในเรื่องความรักทุกครั้งไป ไม่สิ... ครั้งนี้เขาจะยอมแพ้ไม่ได้

                    ชายหนุ่มใบหน้าสวยขยับปากทำท่าว่าจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่ากลับต้องชะงักด้วยรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

                    ทั้งวิลเลียมและแดนเหลียวไปมองยังปลายทางของระเบียงทั้งสองด้าน ซึ่งบัดนี้มีชายฉกรรจ์เดินตรงมาฝากละสามคน ต่างล้วนถือมีดสั้นสะท้อนแสงวาววับ มือสังหารความคิดวาบเข้ามาในหัวชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ แต่ทำไมพวกมันจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้? หรือว่าผู้เป็นลุงได้คิดคดทรยศต่อเขา...

                    วิลเลียมตั้งสติ พยายามหาวิธีรับมือ แต่เขามีเพียงมีดสั้นที่พกติดตัว ขณะที่ศัตรูนั้นมีจำนวนมากกว่าและล้อมกรอบเอาไว้ทั้งสองด้าน เขาควรจะตะโกนเรียกทหารดีหรือไม่ แต่ถ้าลุงของเขารู้เห็นเป็นใจด้วยกับคนพวกนี้ สถานการณ์จะไม่ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิมหรือ...

                เขาไม่มีเวลาให้คิดมากไปกว่านี้ เมื่อคนร้ายได้บุกจู่โจมเข้ามาพร้อมกันทั้งสองด้าน วิลเลียมชักมีดออกมาตอบโต้ เฉือนถูกข้อมือคนร้ายรายแรก พร้อมทั้งปัดป้องและหลบหลีกจากมีดอีกสองเล่มที่โจมตีในเวลาไล่เลี่ยกันได้ มือสังหารพวกนี้ดูเหมือนจะมีฝีมือไม่เท่าไหร่ แต่พวกมันก็ยังมีอีกสามคนซึ่งได้พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง...

                    อึดใจนั้นเอง แดนก็ชักมีดที่พกไว้ขึ้นป้องกันตัวเช่นกัน นายพรานร่างใหญ่มีฝีมือพอตัว เขาใช้มีดปัดป้องการโจมตีของมือสังหารคนแรก เมื่อคนที่สองพุ่งเข้าหา แดนก็ใช้กำปั้นชกเข้าใส่เพื่อสกัดกั้น แต่ก็ไม่วายเสียท่าถูกมีดของคนร้ายอีกคนที่ต้นแขนจนเป็นแผล

                    มือสังหารทั้งหกถอยมาตั้งหลักชั่วครู่เพื่อประเมินเหยื่อของตนใหม่ เพราะไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มร่างบอบบางจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ และชายร่างใหญ่อีกคนที่อยู่ด้วยก็ผิดไปจากแผนการที่วางไว้

                    วิลเลียมและแดนหันหลังชนกันเพื่อรับศึกจากสองด้าน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่น้อย ต่างครุ่นคิดถึงวิธีที่จะพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ ด้วยรู้ดีว่าคงยันไว้ได้ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น วิลเลียมชำเลืองมองคนร้ายที่เขาเชือดข้อมือ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก คงเพราะมีถุงมือหนังป้องกันไว้

                    หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มร่างเพรียวบางก็คิดว่าหนทางที่ดีที่สุดในยามนี้ก็คือการหลบหนี คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ริมน้ำ ซึ่งถ้าหากโดดลงไปในแม่น้ำและใช้ความมืดเป็นฉากกำบังก็น่าจะหนีรอดได้ไม่ยาก

                    “โดดลงไปในแม่น้ำ!” วิลเลียมร้องบอกแดน พร้อมกับตั้งท่าจะกระโจนข้ามระเบียงลงไป ทว่ามันกลับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด...

                    เพียงแค่ยื่นศีรษะไปพ้นขอบระเบียง พลันวัตถุชนิดหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วจนเกือบถึงตัววิลเลียม หากแดนไม่ยื่นมือมาบังไว้

                    วัตถุดังกล่าวเสียบทะลุมือแดนไปเกือบครึ่งความยาวของมัน ซึ่งมันคือศรที่ยิงมาจากหน้าไม้ เหล่านักฆ่ามิได้ประมาท พวกมันได้ประเมินทางหนีทีไล่ไว้แล้ว จึงได้ซุ่มมือฉมังหน้าไม้เผื่อเอาไว้

                    วิลเลียมชะงักงันที่หนทางหนีถูกสกัดขัดขวาง ทว่าแดนกลับตวาดเร่ง

                    “ไปเดี๋ยวนี้! ก่อนที่มันจะขึ้นสายได้ใหม่!

                    ชายหนุ่มยังคงลังเลใจ แม้จะเห็นคนที่ซุ่มยิงกำลังขึ้นสายหน้าไม้ และมือสังหารทั้งหกได้ปราดเข้ามาเพื่อเร่งจัดการไม่ให้เหยื่อหนีไปได้ จนแดนอดรนทนไม่ไหว เหวี่ยงวิลเลียมลงไปด้วยแขนข้างที่ยังใช้การได้

                    ไป!  ชายร่างใหญ่ร้องออกมาเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะถูกมีดทั้งหกเล่มเสียบร่างแทบจะพร้อมกัน

     

                    วิลเลียมตกลงไปในแม่น้ำอย่างปลอดภัย เขาไม่เข้าใจการกระทำของแดน เหตุใดจึงต้องยอมทิ้งชีวิตเพื่อช่วยคนที่แทบไม่รู้จักกันเช่นนี้

                    ขณะที่เขาลอยคอครุ่นคิดในการกระทำที่แปลกประหลาด ลูกศรจากมือฉมังหน้าไม้ก็พุ่งเข้าปักที่อกจนได้รับบาดแผลลึก แต่ก็ฝืนดำลงไปใต้น้ำเพราะอาจมีมือสังหารซุ่มอยู่อีก กระทั่งทนไม่ไหวจึงได้โผล่พ้นน้ำอีกรอบ ครั้งนี้ไม่มีการโจมตีเข้ามาอีก กระนั้นเขาก็บาดเจ็บเกินกว่าจะว่ายเข้าหาฝั่ง ได้แต่พยุงตัวให้ลอยคอไหลไปตามสายน้ำ ขณะที่หูแว่วยินเสียงผู้คนอึกทึกมาจากทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์ ทว่ามันก็เลือนลางและไกลห่างออกไปทุกขณะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×