ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 หลังการปะทะ (ปรับ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 263
      0
      1 พ.ย. 64

                    ลังการต่อสู้อันดุเดือด กองทหารส่วนใหญ่ก็แทบอยากล้มตัวลงพัก ทว่าไม่อาจทำได้ด้วยภารกิจอีกมากรออยู่ โดยสิ่งแรกคือต้องตรวจสอบการสูญเสีย และจัดกำลังพลใหม่ โจเอลตรวจสอบด้วยตนเอง โดยฝากให้จอร์ชดูแลลูนาร์ที่ยังสลบหลังการใช้เวทมนต์

                    การตรวจสอบผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บลุล่วงในที่สุด ตามด้วยการตรวจนับจำนวนเชลยที่จับได้ แต่เกิดปัญหากระทบกระทั่งเล็กน้อย เมื่อเฮอร์มอ้างสิทธิ์ในตัวยักษ์สีน้ำเงิน ขณะที่อีกฝ่าย เป็นชายวัยสามสิบกว่า ทว่าหน้าตาอันเคร่งเครียดมีรอยยับย่นจนเกินเลยอายุไปหลายปี เขามีนามว่าแบเรียม ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของดารูเกนซ์ เขาติดตามกองทัพในฐานะผู้คุมบัญชีทัพ เขาเป็นคนรูปร่างผอม สูงราวห้าฟุตหกนิ้ว ใบหน้าตอบเรียว เบ้าตาหรุบลึก จมูกโด่งงุ้ม และไว้หนวดเล็ก ๆ เหนือริมฝีปาก

                    ในการทุ่มเถียง แบเรียมพยายามจะยืดตัวให้สูงเพื่อให้ได้เปรียบ แต่กับเฮอร์มที่สูงหกฟุตสี่นิ้ว ความพยายามนี้จึงล้มเหลว กระนั้นก็ยังคงเชิดหน้า วางท่าสูงส่ง เข้ากับชุดที่เฉียบจรดปลายเท้าเสมือนไม่ได้ผ่านการรบมาเลย

                    การโต้เถียงเป็นไปอย่างดุเดือด ข้างฝ่ายแบเรียมอ้างว่ายักษ์ตนนี้เป็นฝีมือหลานชายของเขาที่พิชิตมันลง เฮอร์มจะมาชุบมือเปิบไม่ได้ ขณะที่เฮอร์มก็อ้างว่าดารูเกนซ์ยังไม่ได้เอาชนะเจ้ายักษ์ การต่อสู้ยังก้ำกึ่งกันอยู่ แบเรียมควรจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ที่ช่วยชีวิตหลานชายเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันอยู่เช่นนี้

                    ในที่สุดโจเอลก็ต้องเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย แม้จะไม่อยากแต่การโต้เถียงของทั้งสองคนก็พาให้คนอื่น ๆ ล่าช้าไปด้วย จึงต้องช่วยตัดสินให้เรื่องจบลงโดยไว

                    “ท่านแบเรียม ท่านจะทำเช่นไรต่อ หากได้ยักษ์ตนนี้เป็นเชลย?” โจเอลถามแบเรียมก่อน

                    “ข้าก็จะนำมันกลับไปเพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน ว่าหลานข้าได้พิชิตพวกคนเถื่อนมาแล้ว” แบเรียมตอบด้วยท่าทางหยิ่งยโส

                    “แล้วเจ้าล่ะ เฮอร์ม?” โจเอลหันไปถามเฮอร์มต่อ

                    “ข้าจะนำไปตระเวนออกงาน เก็บเงินเข้ากระเป๋า” เฮอร์มตอบด้วยท่าทางอวดดีไม่แพ้กัน

                    โจเอลรู้สึกเหนื่อยใจกับคำตอบของทั้งสอง ขณะที่มองไปที่แขนของเจ้ายักษ์ข้างที่ถูกมังกรงับจนเป็นแผลสาหัส ขบคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตั้งคำถามกับทั้งคู่ใหม่

                    “ท่านแบเรียม ท่านจะทำอย่างไรกับแผลที่แขนของเจ้ายักษ์?”

                    “ก็คงต้องตัดทิ้ง แล้วหวังว่ามันจะรอด แผลแบบนี้รักษาไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แล้วข้าก็ต้องเก็บยาไว้สำหรับคนของตัวเอง” แบเรียมตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

                    “ฮะฮ่า! ข้าจะรักษามันเอง ของที่ใช้แสดงมันต้องยังมีชีวิตสิ ถึงจะเรียกเงินได้!” เฮอร์มโพล่งออกมา ทั้งที่ยังไม่ถูกถาม ทันทีที่โจเอลถามถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่าต้องชนะการโต้แย้ง เพราะรู้นิสัยโจเอลดีว่ามีความเมตตาต่อผู้อื่น ไม่เว้นกระทั่งศัตรู

                    โจเอลถอนหายใจก่อนจะตัดสิน “เฮอร์ม เจ้าเอาเจ้ายักษ์ไปได้ ดูแลรักษามันด้วย”

                    เฮอร์มทำท่าจะเยาะเย้ยแบเรียม แต่โจเอลรีบกล่าวสำทับเสียก่อน

                    “แต่ว่า...เจ้าต้องจ่ายค่าเสียหายให้ท่านแบเรียมด้วย”

                    “ค่าเสียหาย? สำหรับอะไร?” พรานเฒ่าถามกลับอย่างหัวเสีย

                    “สำหรับการที่เจ้ายื่นมือเข้าไปสอดการต่อสู้ของผู้อื่น โดยที่เจ้าตัวมิได้ร้องขอ ซ้ำยังทำให้มังกรของท่านดารูเกนซ์พลอยสลบไปด้วย” โจเอลอธิบาย

                    “ท่านแบเรียม ท่านเห็นด้วยกับคำตัดสินของข้าหรือไม่?” เขาหันไปถามความเห็นจากแบเรียม เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงถามต่อ “ท่านต้องการค่าเสียหายเป็นเงินเท่าใด?”

                    “ข้าต้องการค่าชดเชย เป็นเงินสามเหรียญ” แบเรียมเอ่ย

                    “สามเหรียญ! บ้าไป...อุ๊บ!” เฮอร์มทำท่าจะแย้ง แต่โจเอลเข้ามาตบหลังแรง ๆ เป็นการเตือนสติ พล่างบุ้ยใบ้ให้พรานเฒ่ามองไปที่ดารูเกนซ์ ซึ่งยังคงยืนกอดอก มองมังกรที่สลบด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

                    “ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เฮอร์ม มีแค่ เอา หรือ ไม่เอา ไม่มีการต่อรอง ถ้าฝ่ายนั้นเรียกร้องให้ใช้การประลองเพื่อยุติเรื่องราว ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว” โจเอลกระซิบบอกลูกบ้านเจ้าปัญหา

                    “สามเหรียญก็สามเหรียญ ! ข้าจะได้ไปทำอย่างอื่นเสียที !” เฮอร์มยินยอมในที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็น่าจะหาเงินจากเจ้ายักษ์ได้มากกว่าสามเหรียญแน่ ๆ

                    “เจ้าควรจะพูด คำว่า ขอบคุณ ด้วยนะ ข้าควรเรียกค่าสินไหมมากกว่านี้ แต่คนบ้านนอกคงไม่มีเงินมากนัก ข้าจึงเมตตาให้” แบเรียมเยาะหยัน เล่นเอาเฮอร์มสติขาดผึง ตั้งท่าจะปรี่เข้าใส่ แต่โจเอลยุดชายเสื้อไว้ เหวี่ยงไปอีกทาง

                    “เจ้ารีบรักษาเจ้ายักษ์นั่นดีกว่า เดี๋ยวจะไม่คุ้มกับเงินที่เสีย” โจเอลพูดกับเฮอร์มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หันไปทางแบเรียม ปรายมือเชื้อเชิญให้เขากลับไปยังทัพตน เพื่อไม่ให้ทั้งสองมีปากเสียงกันมากกว่านี้

                    การปะทะคารมกันครั้งนี้ แม้เฮอร์มจะนับว่าได้กำไร แต่ความไม่ชอบหน้าแบเรียมยังคงพอกพูน รอเวลาแก้เผ็ด...

     

                    หลังจบเรื่องวุ่น ๆ ระหว่างเฮอร์มและแบเรียม โจเอลก็ทำการตรวจสอบกำลังพล รวมทั้งนับจำนวนเชลยจนเสร็จสิ้น คนของฟอร์ทอังเคิลเสียชีวิตในการรบถึงยี่สิบสามคน บาดเจ็บอีกหลายคน แต่แทบไม่สูญเสียทหารม้า นอกจากเขาที่เสียเจ้าพอลลักซ์ไป

                    ทางด้านดไวเซน เขาไม่สูญเสียพลเดินเท้าเลย แต่กลับต้องเสียทหารม้าไปถึงสี่นาย ขณะที่ดารูเกนซ์ มีเพียงผู้บาดเจ็บแต่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ตัวดารูเกนซ์กลับยืนนิ่งกอดอกด้วยความขุ่นเคืองใจ เพราะมังกรพาหนะของเขายังคงสลบจากฤทธิ์ผงมอร์ฟีอุสจากฝีมือของตาเฒ่าเฮอร์ม

                    ความสูญเสียทั้งหมดยังเทียบไม่ได้กับฝ่ายการ์กอน เพราะเมื่อนับจำนวนศพที่กลาดเกลื่อนแล้วมีมากถึงร้อยสามสิบหกศพ ทั้งยังมีที่บาดเจ็บถูกจับเป็นเชลยอีกสามสิบคน ที่หนีไปได้อาจมีไม่ถึงครึ่ง เป็นจำนวนน่าตกใจ แสดงว่าก่อนการปะทะ กำลังของฝ่ายการ์กอนมีมากกว่าพวกเขาราว ๆ เท่าตัว กระนั้นก็ยังพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งทำให้ตำนานด้านความดุร้ายน่ากลัวของชาวการ์กอน เริ่มจะคลายมนต์ขลังลงเสียแล้ว

     

                    หลังการขานชื่อเพื่อตรวจกำลังพล โจเอลก็เริ่มทำการแจกจ่ายเสบียงอาหาร ซึ่งเป็นเพียงขนมปังแข็ง ๆ และเนื้อแห้ง เป็นมื้อง่าย ๆ เพราะพวกเขาคงจะต้องเร่งเดินทางในไม่ช้า แต่ก็ดูจะเป็นอาหารที่แสนวิเศษสำหรับเหล่าทหารที่เหน็ดเหนื่อยและหิวโหย จึงพากันรับประทานอย่างรวดเร็ว

                    โจเอลนำเสบียงมามอบให้จอร์ชที่ยังนั่งเฝ้าลูนาร์ด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวสลบไสลจากการใช้เวท ดวงตางามหลับสนิทมาพักใหญ่ สีหน้าของเธอก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งคงจะหายดีในไม่ช้า

                    โจเอลมองจอร์ชที่นั่งทานอาหาร มีคำถามในใจมากมายทว่ามิได้เอ่ยออกมา จอร์ชเงยหน้าขึ้นสบตาสหายหนุ่มอยู่พักหนึ่ง

                    “ให้ทหารก่อไฟเถิด” จอร์ชกล่าว โจเอลทำหน้าฉงนสนเท่ห์

                    “ข้ารู้ว่าท่านกังวลที่เพิ่งขับไล่พวกคนเถื่อนไปไม่นาน จึงเกรงที่จะก่อกองไฟ แต่เราควรจะบำรุงขวัญทหารบ้าง ไหนจะคนเจ็บที่ต้องดูแล อีกอย่าง ลูนาร์จะได้มีเวลาพักเพิ่มขึ้น ข้าจะนำทหารม้าออกไปลาดตระเวนรอบ ๆ ท่านจะได้เบาใจ ฝากดูแลลูนาร์ด้วย” อธิบายจบ จอร์ชก็นำม้าและเรียกทหารม้าอีกห้านายติดตามไปเพื่อลาดตระเวน

                    โจเอลถอนหายใจพลางเอนหลัง เขาคิดว่าจอร์ชน่าจะรู้ว่าเขาตั้งใจจะถามถึงสาเหตุที่เปลี่ยนใจตามมาแต่อาจจงใจเลี่ยงไม่ตอบคำถาม

                    โจเอลเลิกคิดถึงเรื่องของสหาย เพราะเขาก็ไม่ชอบซักไซ้ไล่เลียงหรือบังคับผู้ใด ชายหนุ่มผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลเปลี่ยนอิริยาบถเป็นโน้มกายมาทางด้านหน้า ใช้มือเท้าคางมองลูนาร์ที่หลับสนิทด้วยความสนใจ เขาสามารถจ้องมองใบหน้างดงามนี้ได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ แต่ตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไรกับเธอดี ? ใจหนึ่งนึกชื่นชมที่เธอกล้าต่อกรกับเจ้ายักษ์กลางสนามรบ แต่อีกใจก็นึกกังวล เกรงว่าเธอจะได้รับอันตราย เพราะไม่แน่ว่าหนทางข้างหน้าจะพบเจอสิ่งใดอีก การส่งเธอกลับบ้านจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด...เพียงแต่มันคงไม่ง่ายดายนัก

                    ขณะที่โจเอลยังคงเฝ้ามอง อยู่ ๆ ลูนาร์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ทั้งยังผวากอดเขาอีกด้วย ทำเอาโจเอลหน้าแดงซ่าน

                    “โจเอล...ท่านไม่เป็นอะไรนะ...” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน คล้ายเกรงกลัวบางสิ่ง

                    “เอ่อ...ข้าไม่เป็นอะไร...” ชายหนุ่มตอบตะกุกตะกัก รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของสหายตั้งแต่เยาว์วัย “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” โจเอลถามต่อด้วยความสงสัย

                    ลูนาร์หรุบสายตาลงต่ำ ตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบา

                    “ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “การมาของผู้แทนพระองค์...และภารกิจที่ท่านจะได้รับ...ข้าทราบล่วงหน้าผ่านนิมิตหลายวันแล้ว ทีแรกข้าคิดว่ามันเป็นเพียงความฝันธรรมดา จนเมื่อขบวนของผู้แทนพระองค์มาถึงจริง ๆ ...ตอนที่ท่านบอกข้าว่าได้รับภารกิจ มันทำให้ข้ารู้สึกใจหาย...ได้โปรดเถิดโจเอล...ได้โปรดให้ติดตามท่านด้วย” ลูนาร์ยุดแขนเสื้อโจเอล พร้อมส่งสายตาวิงวอน ดวงตาสีฟ้าใสของเธอพลันเศร้าอย่างประหลาด ทำให้ชายหนุ่มลำบากใจที่จะปฏิเสธ

                    ขณะที่โจเอลนิ่งคิดด้วยความหนักใจ เสียงกระแอมกระไอก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงได้รู้ว่าเป็นจอร์ช

                    “ให้นางไปด้วยเถิด โจเอล” ชายหนุ่มใบหน้างดงามดังสตรีเอ่ย โจเอลมองกลับอย่างนึกค้าน ทว่าจอร์ชก็รีบสำทับเสียก่อน

                    “ข้าทราบดี ว่าท่านกังวลในความปลอดภัยของนาง ข้าก็เช่นกัน แต่ข้าก็ทำได้เพียงปกป้องนางให้พ้นอันตรายเท่านั้น”

                    เมื่อเห็นว่าโจเอลยังคงกังวล จอร์ชจึงรีบกล่าวต่อ

                    “หากท่านคิดจะขัดนาง ขอบอกไว้เลยว่าข้าได้ลองแล้วตอนที่พบกันในป่า แต่ท่านควรจะทราบว่าผู้ชายเราไม่สามารถเอาชนะผู้หญิงในการโต้แย้ง และถึงจะห้ามปราม ท่านก็ลองดูเถิดว่านางยังลอบตามมาจนได้ และหากเกิดอันตรายกับนางระหว่างนั้นคงไม่พ้นเป็นความผิดของพวกเรา”

                    โจเอลนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

                    “เอาเถิด ในเมื่อห้ามเจ้าไม่ได้ ข้าก็คงต้องขอให้เจ้าช่วยเหลือบางสิ่ง...โปรดตามข้ามา...” กล่าวจบโจเอลก็ส่งมือให้ลูนาร์ประคองตัวลุกขึ้น แล้วจึงเดินนำหน้าสหายทั้งสอง

     

                    ทั้งจอร์ชและลูนาร์ เดินตามโจเอลไปจนถึงจุดที่รวบรวมศพ โดยแบ่งเป็นสองหลุมใหญ่ ๆ คือหลุมของชาวเกลลาร์ และหลุมของชาวการ์กอน ทั้งสองหลุมมีป้ายขนาดใหญ่ทำไว้ คอยเพียงการทำพิธีและกลบฝังจึงจะปักไว้เพื่อเป็นหมาย

                    “ลูนาร์ เจ้าช่วยทำพิธีให้กับศพเหล่านี้ด้วย” โจเอลขอร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                    ลูนาร์พอจะทราบอยู่แล้ว ตั้งแต่โจเอลพามายังหลุมศพ และเธอก็ตั้งใจว่าเมื่อตามมาแล้ว ก็จะขอทำประโยชน์ให้มากที่สุด เธอเริ่มสวดทำพิธีแด่ผู้วายชนม์ เพื่อให้วิญญาณเดินทางสู่ห้วงสัมปรายภพด้วยความสงบ และคงช่วยให้ผู้ที่ยังอยู่ได้มีขวัญกำลังใจ ว่าแม้จะต้องสิ้นชีพในต่างแดน แต่วิญญาณของพวกเขาจะไม่หลงทางเป็นผีเร่ร่อน

                    “ขอบใจเจ้ามาก นี่คงทำให้วิญญาณพวกเขาจากไปอย่างสงบ”

                    โจเอลแสดงความขอบใจหลังเสร็จพิธี แล้วจึงเดินต่อไปยังศพของพอลลักซ์ ม้าคู่ใจที่สิ้นชีพในการรบ เลื่อนมือลูบไปบนร่างไร้วิญญาณด้วยความเศร้า นึกถึงเมื่อครั้งที่เคยฝ่าอันตรายด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลงมือกลบฝังมันด้วยตนเอง โดยมีจอร์ชและลูนาร์ให้การช่วยเหลือ

     

                    หลังทำพิธีศพให้ผู้วายชนม์ โจเอลและสหายทั้งสองก็เดินตรวจตรากองทัพเพื่อสำรวจความพร้อมก่อนออกเดินทาง แต่เพราะมีผู้บาดเจ็บหลายคน พวกเขาจึงตัดสินใจจะพักกันอีกสักครู่

                    โจเอลเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บด้วยความห่วงใย ทหารส่วนใหญ่ต่างรักษากันเองด้วยสมุนไพรที่ติดตัว แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอ หรือทำห่อยาตกหายระหว่างการสู้รบ จึงต้องซื้อหาจากเฮอร์มซึ่งพกยามามากมายเพราะคาดไว้แล้วว่าจะมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ก็แน่นอนที่ตาเฒ่าจะพยายามหากำไรให้มากที่สุด โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงก่นด่า

                    ในบรรดาผู้ที่บาดเจ็บและไม่มียารักษา แต่ไม่ยอมอ้อนวอนงอนง้อแก่เฮอร์มก็ยังมีอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือฮานส์ซึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้กับยักษ์เผ่าการ์กอน จนห่อยาที่พกติดตัวหล่นหาย แต่ก็ยอมทนเจ็บหรือแม้กระทั่งอาจจะพิการ ดีกว่าถูกขูดรีดจากคู่ปรับอย่างเฮอร์ม แต่การเสียทหารมือดีไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นสิ่งที่โจเอลไม่ต้องการให้เกิด จึงเจียดยาให้กับฮานส์ทว่ากลับถูกปฏิเสธ

                    “นายท่านเก็บยาไว้เถิดขอรับ ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น หากวันหน้านายท่านบาดเจ็บต้องการยาขึ้นมาจะลำบาก” ฮานส์พยายามกัดฟันตอบให้ดูเป็นปกติ เพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายต้องห่วง

                    โจเอลส่ายหน้า ระอากับความดื้อดึงของบ่าว แต่ก็ยังมีอีกวิธีที่พอจะช่วยได้ เขายื่นมือขวาไปเหนือบาดแผลของฮานส์ หลับตาแล้วท่องบทสวด พลันบังเกิดแสงสว่างอันอบอุ่นที่ฝ่ามือ นี่คือเวทรักษาขั้นพื้นฐานที่บาทหลวงฟีบัส บิดาของลูนาร์ได้เคยสอนให้เพื่อใช้ในยามจำเป็น

                    บาดแผลของฮานส์ค่อยทุเลาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหายดี แสงสว่างบนมือของโจเอลก็เลือนหาย เนื่องจากไม่ได้ฝึกมาในเส้นทางของนักบวช การใช้เวทของเขาจึงทำได้จำกัด

                    “ให้ข้ารักษาต่อเถิด ท่านเสียเวลากับการดูแลข้านานพอควรแล้ว ยังมีงานอีกมากรอท่านอยู่” ลูนาร์กล่าว และเข้ามาร่ายเวทรักษาให้กับฮานส์แทน ไม่รู้ว่าเพราะต้องการแบ่งเบาภาระ หรือชังกับการหากำไรจากผู้บาดเจ็บของเฮอร์ม เพราะสาวน้อยได้ส่งสายตาท้าทายไปยังพรานเฒ่า ซึ่งถูกตอบโต้ด้วยการเขม้นตามองเอาเรื่อง

                    โจเอลมองการกระทำของทั้งสองอย่างนึกหน่าย แต่ก็ยากจะห้ามปราม

                    “เจ้าเพิ่งจะฟื้นตัว อย่าหักโหมเกินไปนัก จอร์ช...ท่านช่วยดูแลนางด้วย” โจเอลทำได้เพียงเตือนด้วยความเป็นห่วง ฝากฝังให้จอร์ชช่วยดูแลก่อนจะแยกตัวไปเพื่อสั่งการทหารให้เตรียมพร้อมเดินทัพ

                    ลูนาร์มองดูโจเอลที่เดินจากไป การที่ฮานส์ยังบาดเจ็บทำให้ผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงกลับมาเพ่งสมาธิ สวดมนต์รักษาฮานส์ให้หายโดยเร็ว เพื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระให้โจเอล เธออยากทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์แก่เขา และเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เห็นในนิมิต...เรื่องการตายของโจเอล...

                    ภาพการตายของโจเอลในนิมิต...เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจเชื่อได้ กระนั้นก็ยังหวั่นใจยิ่ง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอดื้อรั้นแอบติดตามมา เพื่อจะทำทุกทางไม่ให้ภาพนิมิตเป็นจริง แต่ก็เป็นเหตุผลที่เธอไม่อาจบอกใคร เพราะเกรงจะสร้างความกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด

     

                    หลังสวดมนต์รักษาให้ฮานส์ รวมทั้งผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ลูนาร์ก็นั่งพักเพื่อฟื้นกำลัง การใช้เวทเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ แม้แต่เวทพื้นฐานอย่างเวทรักษา ผู้ที่ฝึกฝนในช่วงแรก ๆ จะสามารถใช้ได้เพียงวันละไม่กี่ครั้ง สลับกับการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย

                    จอร์ชที่คอยดูแลใกล้ ๆ ยื่นกระติกน้ำให้หญิงสาวคอยจิบเป็นครั้งคราว ระหว่างที่กำลังพัก ทหารภายใต้สังกัดของดไวเซนก็เดินตรงมาหา ค้อมกายแสดงความเคารพแล้วกล่าว

                    “ท่านนักบวชหญิง ข้าอยากขอร้องให้ท่านสวดมนต์รักษาให้นายข้า ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนเกินไปหรือไม่?”

                    “ลูนาร์ เจ้าน่าจะพักสักหน่อย” จอร์ชรีบกล่าวกับลูนาร์ หวังจะปฏิเสธคำขอร้อง

                    “ไม่เป็นไร ข้าพักมาพอสมควรแล้ว” ลูนาร์ตอบ ก่อนจะหันไปกล่าวกับทหารของดไวเซน “ช่วยนำทางด้วย”

                    ทหารนายนั้นค้อมกายแล้วเดินนำไปยังที่ตั้งทัพ จอร์ชส่ายศีรษะในความดื้อรั้นของหญิงสาว ก่อนจะรีบตามไปเพื่อคอยช่วยเหลือ

     

                    ลูนาร์และจอร์ช ถูกเชิญมายังที่ตั้งทัพดไวเซนซึ่งอยู่ไม่ห่าง ทหารของดไวเซนส่วนใหญ่สาละวนกับการตระเตรียมข้าวของพร้อมเดินทัพ อีกส่วนห้อมล้อมนายทัพด้วยความเป็นห่วง ซึ่งตัวดไวเซนอัศวินหนุ่มเลือดร้อน บัดนี้ได้แต่นอนเจ็บบนพื้น โดยมีผ้าแพรสีเลือดหมูปูรองนอน เมื่อบรรดาทหารเห็นลูนาร์ ก็แสดงอาการเคารพ ชายสูงวัยที่ดูแลข้าง ๆ ดไวเซน ค้อมศีรษะให้ แนะนำตัว

                    “ท่านนักบวชหญิง ข้ามีนามว่าวิล ติดตามท่านดไวเซนมาในฐานะแพทย์สนาม ข้าได้รักษาท่านดไวเซน ด้วยยาและดามกระดูกที่หักแล้ว แต่กว่าจะหายคงใช้เวลาราวหนึ่งอาทิตย์ หากท่านนักบวชช่วยสวดมนต์รักษา ก็คงจะช่วยได้มาก”

                    ลูนาร์พยักหน้ารับ ก่อนจะตอบด้วยความถ่อมตน

                    “อย่าได้เกรงใจไปเลย การแสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจของนักบวชอยู่แล้ว ข้าเองยังเป็นเพียงนักบวชฝึกหัด อาจช่วยได้ไม่มากนัก แต่จะพยายามเท่าที่ทำได้”

                    หญิงสาวย่อกายลงข้าง ๆ คนเจ็บ ยื่นฝ่ามือเรียวงามเหนือชายโครงที่หัก แล้วเริ่มสวดมนต์รักษา ดไวเซนมีท่าทีอึกอัก พยายามสะกดความเขินอาย เพียงแวบแรกที่ได้เจอก็รู้สึกหวั่นไหวในใจ ยามนี้เมื่อนักบวชหญิงอยู่ใกล้จึงยิ่งวางตัวไม่ถูก

                    ในความรู้สึกของดไวเซน ช่วงเวลาขณะนั้นราวกับหยุดนิ่ง สรรพสำเนียงรอบกายเลือนหายไปหมด มีเพียงเสียงสวดมนต์...น้ำเสียงกังวานใส เยือกเย็น รัดรึงจิตใจอัศวินหนุ่ม อาการของเขาเริ่มทุเลาลงเป็นลำดับ กระทั่งเสียงสวดมนต์เงียบลง

                    การรักษายังไม่เสร็จสิ้น ทว่าลูนาร์ได้หมดแรงล้มฟุบจากการใช้เวทมนต์ติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้ร่างกายทนไม่ไหว ดวงหน้างดงามซบลงบนแผ่นอกกว้างของอัศวินหนุ่ม จนเจ้าตัวรู้สึกร้อนผ่านไปทั้งทรวง

                    ดไวเซนเอื้อมมือจะประคองร่างหญิงสาว แต่ก็ช้าเกินไป มีคนประคองร่างนางเสียแล้ว...

                    “ลูนาร์” จอร์ชเรียกชื่อด้วยความเป็นห่วง พลางรั้งร่างหญิงสาวขึ้นประคองในวงแขน

                    ดไวเซนซึ่งอาการทุเลาลงบ้างแล้วพยุงกายลุกขึ้น ก่อนจะถามด้วยความห่วงใย

                    “ท่านนักบวชเป็นอะไรไปหรือ?”

                    “นางแค่อ่อนเพลียเท่านั้น ท่านอย่ากังวลไปเลย” จอร์ชตอบโดยไม่หันมามอง เพราะมัววุ่นอยู่กับการดูแลลูนาร์

                    “ให้นางนอนตรงนี้สักครู่เถิด” อัศวินหนุ่มผายมือไปทางพื้นที่เขาเคยนอน พร้อมขยับผ้าปูนอนมิให้ยับย่นจนน่าเกลียด

                    จอร์ชวางร่างหญิงสาวลงด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะหันมากล่าว

                    “รบกวนท่าน ช่วยส่งคนไปแจ้งแก่โจเอลด้วย” เขากล่าวสั้น ๆ ก่อนจะเพ่งความสนใจมาที่การดูแลหญิงสาวต่อ

                    ดไวเซนรีบส่งทหารไปตามที่ร้องขอ ไม่นานผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลก็มาถึงด้วยอาการร้อนรน

                    “ขอโทษด้วย ข้าพยายามเตือนแล้ว...แต่นางก็ยังใช้เวทจนเกินตัว...” จอร์ชอธิบายต่อสหาย

                    “ท่านอย่าโทษตัวเองไปเลย ข้าก็พอเดาได้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรได้” โจเอลพูดเพื่อไม่ให้ทั้งจอร์ชและดไวเซนรู้สึกผิดมากนัก เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ก็ไม่สามารถปรามลูนาร์ได้

                    ครู่หนึ่งทหารของโจเอลก็มาพร้อมกับเปลสนาม โจเอลจึงอุ้มลูนาร์ขึ้นวางบนเปล

                    “ท่านจะไม่ให้นางพักจนฟื้นหรอกหรือ?” ดไวเซนท้วงขึ้นทันใด

                    “คงทำเช่นนั้นไม่ได้ ท่านก็รู้มิใช่หรือ ว่ายังมีภารกิจที่เราต้องรีบกระทำ และสถานที่แห่งนี้ก็ยังมิใช่ที่มั่นที่ปลอดภัย หากว่าท่านพร้อมแล้ว เราก็ควรจะเดินทางกันทันที” โจเอลอธิบาย

                    “ข้าพร้อมแล้ว...ท่านช่วยดูแลนางด้วย...” ดไวเซนตอบ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปด้วยท่าทางอ่อนแรง โจเอลรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของอัศวินผู้หยิ่งทะนง แต่ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ

     

                    หลังพักกันพอสมควร กองทัพทั้งหมดก็พร้อมเดินทางอีกครั้ง ฮานส์ที่อาการทุเลาลงมาก รีบกลับมาทำหน้าที่ช่วยควบคุมเชลย เช่นเดียวกับดไวเซน ที่กลับมานำทัพตนอีกครั้ง ขณะที่ผู้บาดเจ็บที่เหลือหากยังพอเดินไหวก็ช่วยกันพยุงไป ที่เจ็บหนักก็หามไปบนเปล

                    ขณะที่ทัพของโจเอลและดไวเซนพร้อมออกเดินทาง ทหารของดารูเกนซ์ก็ตรงมายังขบวนของโจเอล นำคำพูดของผู้เป็นนายมาถ่ายทอด

                    “ท่านโจเอล นายข้าฝากมาแจ้ง ว่าขอให้พวกท่านล่วงหน้าไปก่อน ท่านดารูเกนซ์จะอยู่รั้งเส้นทาง หากพบปัญหาข้างหน้า ท่านดารูเกนซ์จะรีบตามไปช่วยในทันที”

                    กล่าวจบ ทหารนายนั้นก็ขอตัวเพื่อไปแจ้งเช่นเดียวกันนี้กับดไวเซน โจเอลหันไปมองทางทัพดารูเกนซ์ คงเพราะมังกรที่เป็นสัตว์พาหนะยังสลบอยู่ ทำให้ดารูเกนซ์ไม่อยากเดินทางต่อ ซึ่งโจเอลก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด เพราะยังไม่ทราบถึงอุปสรรคข้างหน้า การมีคนระวังเส้นทางด้านหลังก็อาจจะเป็นการดี

                    เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว โจเอลจึงออกคำสั่งให้ทั้งหมดเคลื่อนทัพ แต่เพียงแค่สั่งการ เสียงเอะอะที่ท้ายขบวนก็ดังขึ้นจนทุกคนเหลียวไปมอง เสียงนั้นมาจากเฮอร์มที่กำลังตะโกนสั่งทหารจำนวนหนึ่ง ให้ช่วยกันยกแคร่ที่รองร่างยักษ์ชาวการ์กอน เมื่อเห็นดังนั้น โจเอลจึงขับม้าตรงไปหา

                    “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เขาตั้งคำถาม

                    “ข้ากำลังเคลื่อนย้ายเชลยของข้าน่ะสิ” พรานเฒ่าตอบ

                    “เรื่องนั้นเจ้าต้องจัดการเอาเอง ข้าไม่อนุญาตให้นำกำลังทหารไปใช้ในเรื่องส่วนตัว” โจเอลกล่าวเสียงดัง ก่อนจะหันไปสั่งทหารที่ยืนละล้าละลัง

                    “พวกเจ้ากลับไปประจำที่ได้แล้ว”

                    ได้ยินเช่นนั้น ทหารที่มาช่วยเฮอร์มก็รีบวางมือ และกลับไปประจำที่ทันที แม้จะเสียดายกับค่าจ้างที่พรานเฒ่าจ่าย

                    “แต่ข้าจ่ายเงินให้นะ เอ๊ะ หรือว่าต้องจ่ายให้ท่าน?” เฮอร์มยังไม่ละความพยายาม

                    “เก็บเงินของเจ้าเสีย ข้าต้องการจะรักษาวินัยทัพ และสงวนกำลังทหารเผื่อมีเหตุจำเป็น” โจเอลปฏิเสธ พร้อมอธิบายเหตุผล

                    การโต้เถียงของทั้งสองเป็นที่สนใจของคนอื่น ๆ รวมถึงแบเรียมซึ่งเคยขัดแย้งกับเฮอร์มในการอ้างสิทธิ์เหนือยักษ์การ์กอน เมื่อเห็นพรานเฒ่าเข้าตาจนในเรื่องนี้จึงแสดงอาการยิ้มเยาะให้เห็น ทำเอาเฮอร์มฉุนกึกจนพลั้งปาก

                    “ฮึ ถ้าไม่ยอมเคลื่อนย้ายเชลยให้ เส้นทางที่เหลือก็ไปต่อกันเองเถิด”

                    ทันทีที่กล่าวจบ ปลายดาบของฮานส์ก็ตวัดมาจ่อที่คอหอยพรานเฒ่า

                    “จะผิดสัญญาหรือ...”

                    น้ำเสียงและท่าทางชวนขนลุกของฮานส์ ทำให้เฮอร์มต้องหันไปมองโจเอลเพื่อขอให้ช่วยห้ามปราม

                    “การผิดสัญญาในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่ากันตามอัยการศึก โทษประหารดูจะเหมาะสมอยู่ เฮอร์ม เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?” จอร์ชเดินเข้ามาพร้อมกล่าวเสริม ขณะที่แววตาของโจเอลยังคงเย็นเยียบ

                    “เฮ้ย! ข้าแค่พูดเล่น รับเงินมาแล้ว ไม่ทำงานให้เสร็จได้ไง ฮะฮะ” เฮอร์มแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน

                    เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจเอลจึงพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ฮานส์ลดดาบลง

                    “เฮ้อ...น่าเสียดายจริง ๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องฆ่าเจ้ายักษ์นี่ เลาะกะโหลกมันแล้วเอาไปตระเวนออกงาน คงจะพอได้ราคาอยู่” พรานเฒ่าโจมตีที่ความใจอ่อนของโจเอล ซึ่งคงไม่ยอมให้สังหารเชลยที่ไร้ทางสู้

                    “ตามใจเจ้า หวังว่ามันจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เจ้าลงทุนไป” จอร์ชจู่โจมกลับที่ความงกของเฮอร์ม ทำเอาพรานเฒ่าถึงกับสะอึก ก่อนจะเค้นเสียงเครียด

                    “ท่านโจเอล...ได้โปรดเถิด จะให้ข้าทิ้งตัวทำเงินไปเปล่า ๆ ได้อย่างไร ช่วยข้าด้วยเถิดนะ”

                    “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า...เจ้าจะรับปากข้าเรื่องหนึ่งหรือไม่” โจเอลแย้มพราย

                    “เรื่องอะไร?” เฮอร์มถามเสียงหลง กลัวจะเจอเงื่อนไขที่ไม่เข้าท่า

                    “เรื่องดี...” ชายหนุ่มขยับยิ้ม ก่อนจะเฉลย “ข้าจะให้เจ้าช่วยเป็นแพทย์ประจำกองทัพ”

                    ผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลผุดความคิดนี้ หลังจากได้เห็นกองทัพต่างแดน ทั้งดไวเซนและดารูเกนซ์ ต่างก็มีแพทย์สนามติดตามมา ขณะที่ทหารของเขาต้องลำบากกับการรักษาตัวเอง ซ้ำยังถูกโก่งราคายาจากเฮอร์ม นี่จึงอาจเป็นทางออกที่ดี แม้ว่าสำหรับผู้ปกครองดินแดนเล็ก ๆ เช่นเขา มันอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกินตัว เขาจึงหวังว่าจะใช้โอกาสนี้ต่อรองให้เฮอร์มรับปากด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสม

                    “แพทย์ประจำกองทัพนี่นะ? ข้ารักษาคนเป็นเสียที่ไหน?” พรานเฒ่ายังไม่สิ้นกังขา

                    “ไม่ต้องกังวล เจ้าก็แค่...คอยแจกจ่ายสมุนไพรให้กับทหาร” โจเอลอธิบาย

                    “แจก! แปลว่าข้าจะไม่ได้เงิน!” เฮอร์มร้องเสียงหลง คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเจอเงื่อนไขที่ไม่เข้าท่า

                    “ได้สิ เจ้าจะได้ค่ารักษาจากข้าอีกที แต่ว่า...ข้าจะเป็นคนกำหนดราคา” โจเอลขยับยิ้ม พร้อมอธิบายอย่างใจเย็น

                    เฮอร์มนิ่งคิดต่อข้อเสนอที่ได้ยิน หากเขาตกลงรับคำ ก็จะไม่สามารถตั้งราคายาได้ตามใจชอบ

                    “ข้าให้ราคายุติธรรมพอน่า หรือไม่เจ้าจะกลับไปเสียตอนนี้ตอนนี้ก็ได้ ข้าอนุญาต แต่เจ้าต้องขนเชลยกลับไปเอง หวังว่าเจ้าคงจะรู้นะ ว่ามันจะตื่นเมื่อไหร่...” โจเอลทำท่าเหมือนจะเลิกสนใจเรื่องนี้แล้วเดินทัพต่อไป

                    “เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว!” เฮอร์มร้องเสียงหลง เมื่อคิดได้ว่าการขายสมุนไพรก็เป็นแค่รายได้เสริม แต่การร่วมเดินทางไปกับกองทัพ เขาอาจพบตัวทำเงินมากกว่านี้

                    “ก็ได้ ข้าตกลง ว่าแต่...ท่านจะช่วยเคลื่อนย้ายเจ้ายักษ์ให้ข้าแน่นะ” พรานเฒ่าตอบรับในที่สุด โดยไม่ลืมทวงถามการช่วยเหลือ

                    “แน่สิ แพทย์ประจำกองทัพขอมาทั้งทีนี่นา” โจเอลตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชักม้ากลับเข้าขบวนอีกครั้ง จากนั้นทหารจำนวนหนึ่งก็ถูกส่งมาช่วยหามเชลยของเฮอร์ม กองทัพทั้งหมดจึงออกเดินทางกันต่อ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×