ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #49 : บทที่ 48 การแสดงแสนพิสดาร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 171
      0
      11 พ.ค. 51

    ศักราชที่ 412* เดือนพฤศจิกายน วันที่ 25

     

                    ลังจากการเจรจาสงบศึกกับวาคียาแล้ว จอร์ชก็นำกองทัพที่เหลือมุ่งสู่ฟอร์ทอังเคิลอย่างราบรื่น แม้ว่าในบางครั้งจะพบกับชาวการ์กอนที่มามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นแต่อย่างใด

                    พวกเขาใช้เวลาเดินทางกันราวหนึ่งสัปดาห์ก็มาถึงหมู่บ้านคูอูล อันเท่ากับว่าได้กลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง และด้วยเหตุที่มาถึงที่นี่กันในเวลาเย็นมากแล้ว เฮอร์มจึงได้แนะนำให้ตั้งค่ายพักกันที่หมู่บ้านนี้ก่อน เพราะการเดินทางหรือตั้งค่ายในป่าแห่งหมอกเวลากลางคืน ค่อนข้างจะอันตรายเป็นอย่างมาก จอร์ชจึงเลือกที่จะตั้งค่ายห่างจากหมู่บ้านคูอูล ด้วยยังไม่วางใจในพวกการ์กอนนัก

                    บรรดาทหารจากฟอร์ทอังเคิลดูจะมีขวัญกำลังในดีทีเดียว เมื่อคิดว่าอีกไม่นานพวกตนจะได้กลับบ้าน ขณะที่ทหารที่เหลือของดารูเกนซ์นั้น กลับรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในชะตาข้างหน้า เพราะไม่มีนายให้พึ่งพา และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับบ้านหรือไม่

     

                    ช่วงเวลาที่ผันผ่านระหว่างเดินทางนั้น ทำให้จอร์ชกระวนกระวายใจมากตามไปด้วย นั่นเพราะเวลาที่เสียไป ย่อมเท่ากับเวลาของโจเอลที่ถดถอยน้อยลงเช่นกัน นับจากนี้ก็คงจะเหลืออีกแค่เดือนกว่าเท่านั้น ที่จะสามารถชุบชีวิตโจเอลให้กลับคืนมา แม้ว่าจูเหลียงจะใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาสภาพร่างกายของโจเอลไว้ จนดูราวกับว่าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้เพียงหลับไปเท่านั้น แต่ความหวังในการจะค้นหายาแก้พิษก็ดูจะริบหรี่เลือนรางเหลือเกิน

                    สำหรับยาสองขวดที่ได้มาจากเจ้ามือสังหารนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นยาถอนพิษเพียงขวดเดียว ทว่าคุณสมบัติของมันก็ถูกทำลายลงไปเนื่องจากความร้อนของเปลวเพลิง กระนั้นจูเหลียงก็ยังกล่าวให้กำลังใจว่า หากสามารถหาส่วนประกอบของมันจากตัวอย่างได้ ก็อาจจะสามารถสร้างยาถอนพิษขึ้นมาได้ใหม่

                    อาการของโจเอลนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเป็นห่วงให้กับจอร์ชเพียงเท่านั้น แต่ทุกคนก็พากันเป็นกังวล หากแต่พวกเขาไม่รู้จะทำประการใดที่จะช่วยได้ ซึ่งลูนาร์เองก็ใช้เวลาในการสวดมนต์มากขึ้น และเฝ้าภาวนาให้กับโจเอล

     

                    ในช่วงกลางคืนที่ยั้งทัพอยู่ใกล้หมู่บ้านคูอูลนั้น จอร์ชก็ได้เรียกประชุมเพื่อบอกสาเหตุแห่งความกังวลอีกประการหนึ่งให้ทราบ

                    ทุกท่าน ฟอร์ทอังเคิลอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว หากไม่มี อุปสรรค อันใด วันพรุ่งนี้พวกเราก็น่าจะกลับไปถึง จอร์ชกล่าว ทั้งฮานส์ เฮอร์ม โก๊ก มาโก๊ก และจูเหลียง ต่างก็นิ่งฟังต่อไป เพราะการเรียกประชุมครั้งนี้ ย่อมหมายความว่าจะต้องมีอุปสรรค เป็นแน่

                เมื่อเห็นว่าที่ประชุมต่างรอฟังอยู่ จอร์ชจึงกล่าวต่อไป

                    ก่อนหน้านี้ โจเอลได้ปรารภกับข้า ถึงการที่บารอนเคอร์เบน...

                    เฮอะ! เจ้าหมูตอนนั่นน่ะรึ!” เพียงได้ยินชื่อบารอนเคอร์เบน เฮอร์มก็ชิงแทรกขึ้นมาด้วยรู้สึกไม่ชอบหน้า ขณะที่จูเหลียงและยักษ์สองพี่น้องยังคงนิ่งตั้งใจฟัง นั่นเพราะพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบารอนที่ว่านี่เลย ฮานส์จำต้องกระแอมกระไอขึ้นมาเพื่อให้พรานเฒ่าหุบปากและฟังต่อไป

                    การที่บารอนเคอร์เบนนำกองทัพมาประจำ ณ ฟอร์ทอังเคิล เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ว่ามาเพื่อสนับสนุนพวกเรา (ถึงตอนนี้เฮอร์มก็แค่นหัวเราะขึ้นอีกทีหนึ่ง) แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ... บารอนเคอร์เบนตั้งใจจะขัดขวางไม่ให้พวกเรากลับสู่ฟอร์ทอังเคิล... จอร์ชกล่าวจนจบ

                    เดี๋ยวก่อนนะ ถึงข้าจะไม่ชอบหน้าเจ้านั่น แต่เหตุผลใดกันรึ ที่เจ้านั่นจะต้องมานั่งเมื่อยคอยขัดขวางพวกเราไม่ให้กลับบ้าน? เฮอร์มแย้ง พรานเฒ่ายิ่งรู้สึกแปลกใจเข้าไปอีก เมื่อคนอื่นๆไม่มีวี่แววว่าจะตั้งคำถามต่อเรื่องนี้เลย นี่ต้องมีลับลมคมในอะไรกันแน่ๆ...

                    เอ่อ... จอร์ชอ้ำอึ้งอยู่นาน ด้วยความลังเลที่จะเล่าต้นสายปลายเหตุให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ฟัง แต่การจะโกหกนักแกะรอยมือฉมังก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงยอมบอกเรื่องราวไปตามจริง

     

                    ฮะฮะฮะ เฮอร์มหัวเราะเสียยกใหญ่เมื่อฟังเรื่องที่จอร์ชเล่าไปจนจบ

                    เจ้าชายตกยาก? นี่มันนิยายประโลมโลกหรือไงนี่? พรานเฒ่าล้อเลียน ทำท่าโค้งคารวะด้วยอาการแดกดัน แล้วก็ลงไปหัวร่องอหาย

                    เจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้? จอร์ชถามกลับ สีหน้าแสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของอีกฝ่าย

                    ก็... ไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะไม่เชื่อ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าหน้าบากนี่เชื่อ ข้าก็เชื่อบ้างแล้วกัน ฝ่าบาท... เฮอร์มล้อเลียนในตอนท้าย

                    ประเด็นสำคัญก็คือ... หากบารอนเคอร์เบนมาด้วยวัตถุประสงค์ก็เพื่อคอยเล่นงานท่านจริงก็คงจะเป็นการลำบากอย่างยิ่ง พวกเราในยามนี้ไม่มีความพร้อมเอาเสียเลย ฮานส์จำต้องแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าการล้อเลียนของเฮอร์มชักกจะทำให้จอร์ชไม่พอใจหนักขึ้นทุกที

                    ฝ่ายเรานับรวมกันแล้วมีอยู่เพียงแค่ 34 คนเท่านั้น ซ้ำเกือบครึ่งยังบาดเจ็บ ข้างบารอนเดอร์เบนน่าจะมีอย่างน้อยๆก็ร้อยคนกระมัง ไหนจะตั้งอยู่ในที่มั่นอันดีอีก... จอร์ชลองประเมินคร่าวๆ ซึ่งหากเป็นดังว่า สถานการณ์ของพวกเขาก็นับว่าคับขันไม่ต่างจากครั้งที่อยู่ที่หมู่บ้านเซกิ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

                    ในที่ประชุมต่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มใบหน้าสวยชำเลืองมองจูเหลียง หวังว่าจะได้รับความเห็นที่ดี ทว่ามนุษย์ภูตก็ยังคงนิ่งอยู่มิได้เอ่ยอันใด

                    ข้าว่า... เฮอร์มเอ่ยออกมาเป็นรายแรก สายตาทุกคู่จึงพากันจับจ้องมายังพรานเฒ่าวัยเกือบห้าสิบ เล่นเอาเจ้าตัวขัดเขินจนต้องกระแอมกระไอแล้วเริ่มต้นใหม่

                    ข้าคิดว่า... เรายังไม่รู้กันจริงๆสักหน่อย ว่าเจ้าหมูตอนนั่นมีวัตถุประสงค์ใด แล้วนำทหารมาด้วยเท่าไหร่กันแน่ จะมานั่งเดาตอนนี้ก็เครียดกันไปเปล่าๆ

                    ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่จะต้องยกกันไปในวันพรุ่งนี้สินะ ถึงจะรู้แน่ ฮานส์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

                    ข้าไม่เห็นด้วย แบบนี้ก็เท่ากับต้องไปเสี่ยงทั้งหมด น่าจะส่งใครสักคนไปสอดแนม จอร์ชแย้ง

                    อย่างนั้น ข้าไปเอง ฮานส์อาสา

                    ลองเจ้าไป มีหวังได้ปะทะกันแหงๆ ข้าไปเองเรื่องน่าจะง่ายกว่าเยอะ เฮอร์มไม่เห็นด้วย พร้อมเสนอตัวแทน

                    จอร์ชมองพรานเฒ่าด้วยความฉงน ปกติแล้วเฮอร์มเป็นคนที่ไม่ยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย เว้นแต่ว่าจะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง... การอาสาในครั้งนี้ออกจะน่าเคลือบแคลงไม่น้อย...

                    เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจอร์ช เฮอร์มจึงชิงกล่าว เฮ้ย วางใจน่า ข้าแค่ไม่อยากเสียหนี้ก้อนใหญ่ที่ท่านโจเอลติดไว้เท่านั้นเอง

                    แล้ว... หากบารอนเคอร์เบนเป็นศัตรูดังที่ว่าจริง ท่านคนเดียวจะเข้าไปในป้อมด้วยวิธีใด? จูเหลียงเอ่ยออกมาในที่ประชุมเป็นครั้งแรก ซึ่งพลอยทำให้เฮอร์มสะดุ้งไปด้วย แม้ว่าจะเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการมาพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ชายผู้ถูกสำคัญเอาว่าเป็นเอลฟ์ก็ยังถูกมองอย่างหวาดระแวงจากคนอื่นๆ ไม่เว้นกระทั่งเฮอร์มที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหลวไหล

                    จะว่าไปแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จูเหลียงเผชิญการตอบสนองเช่นนี้จากผู้อื่น ทั้งจากชาวการ์กอน หรือกระทั่งเมื่อครั้งเรียนอยู่ในสำนัก เขามักถูกมองอย่างแปลกแยก และเป็นที่หวาดกลัวของผู้อื่นเสมอ

                    เอ่อ... เพราะอย่างนั้นแหละ ข้าถึงเหมาะที่จะไป หากเป็นจริงดังที่องค์ชายว่า ข้าจะบอกว่าหนีรอดมาได้เพียงคนเดียวก็แล้วกัน ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น ว่าข้าน่ะเก่งที่สุดเรื่องเอาตัวรอด เฮอร์มใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะยอมสนทนากับมนุษย์ภูต ความรู้สึกคร้ามเกรงเมื่อครั้งเผชิญกับพญามังกรอาราริค ยังติดอยู่ในใจพรานเฒ่าไม่หาย และเขาก็มีความรู้สึกว่าท่านอาราริค กับเจ้าเอลฟ์ตนี้ มีอะไรบางอย่าง คล้ายกัน...

                    จูเหลียงหัวเราะอย่างพอใจในคำตอบที่ได้ คิดว่าคนผู้นี้คงใช้การได้แน่ จากนั้นจึงซักถามไปถึงเรื่องอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเกลลาร์ และชาวการ์กอน ด้วยรู้สึกว่าตนและยักษ์ฝาแฝดมักถูกมองด้วยความหวาดกลัวเสมอ

                    หลังจากที่ได้ซักไซ้จนเป็นที่พอใจแล้ว ชายผู้มีใบหูชี้แหลมก็หัวเราะอีกครั้งแล้วกล่าว

                    ฮะฮะฮะ ข้าคิดว่า แม้นฟอร์ทอังเคิลจะถูกยึด แต่ข้ามีวิธีจะชิงมาโดยไม่เสียไพร่พลแม้แต่คนเดียวแล้ว

                คำพูดของจูเหลียงสร้างความแปลกใจให้ที่ประชุม ชิงฟอร์ทอังเคิลโดยไม่เสียไพร่พล? การณ์จะง่ายดายปานนั้นเชียวหรือ?

                    ประหนึ่งนายโรงละครผู้ชาญฉลาด หลังจากที่ได้เกริ่นเป็นการเบิกโรงเรียกน้ำย่อยแล้ว จูเหลียงจึงเริ่มเล่าถึงแผนการอันเป็นใจความหลักของละครโรงนี้ ซึ่งผู้ฟังต่างก็คล้อยตามไปจนถึงฉากสุดท้าย

                    บารอนเคอร์เบนจะหลงกลที่ว่านี้จริงๆหรือ? จอร์ชตั้งคำถาม แม้จะมีใจเชื่ออยู่ไม่น้อย ทว่าก็ยังมีส่วนที่คลางแคลงใจอยู่บ้างเหมือนกัน

                    เชื่อซี เจ้าหมูตอนนั่น พุงใหญ่แต่ใจเล็กเท่าเม็ดถั่วเท่านั้นเอง ฮะฮะฮะ เฮอร์มตอบให้เสร็จสรรพ พลางหัวเราะด้วยความพอใจ ก็เขาได้รับบทเป็นตัวเอกของละครเรื่องนี้นี่เล่า

                    ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแต่งองค์ทรงเครื่องให้ตัวละครเอกของเราสักหน่อยล่ะ จูเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงเรียกเด็กสาวผู้ติดตามให้ไปหยิบอุปกรณ์มา เพื่อจัดการเสริมแต่งภาพลักษณ์ของเฮอร์มให้เข้ากับบทบาทที่ได้รับ

     

                    รุ่งเช้า ณ ประตูบานยักษ์ตรงช่องเขาสุดแดนซึ่งถูกทิ้งร้างมานานปี มาบัดนี้ได้มีทหารราวสามสิบคนในสังกัดของบารอนเคอร์เบน ตั้งค่ายเฝ้าอยู่ด้วยความหวาดระแวง

                    ทหารชั้นล่างพวกนี้ไม่รู้หรอกว่าทำไมพวกตนต้องมานั่งทำอะไรที่นี่ กระทั่งบารอนเคอร์เบนก็ไม่รู้อะไรมากนัก ก็เหมือนกับแบเรียมที่ถูกหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ และพยายามจะทำอะไรก็ได้ที่เป็นการเอาใจองค์จักรพรรดิ ทั้งนี้ก็หวังว่าจะได้ถีบฐานะตัวเองขึ้นมาได้บ้าง แต่บารอนเคอร์เบนยังมีแรงจูงใจอื่นอีก เขาไม่ค่อยพอใจนักที่โจเอลได้รับความนิยมมากกว่า ทั้งที่เป็นเพียงนายบ้านเล็กซึ่งเป็นวัซซัล (ข้าที่ดิน) ของเขาอีกที ความเข้มแข็งของโจเอลก็เหมือนกับเป็นหอกข้างแคร่ ฉะนั้นหากมีโอกาสจะกำจัดเจ้าบ้านนอกนั่นได้ก็ย่อมจะเป็นการดี จากนั้นค่อยตั้งวัซซัลคนใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ที่มอบของกำนัลที่น่าพอใจให้

                    บรรดาทหารที่ถูกส่งมาเฝ้ายังประตูโบราณแห่งนี้ ต่างก็มองออกไปยังป่าทึบที่อยู่นอกดินแดนจักรวรรดิด้วยความรู้สึกระคนกัน ด้านหนึ่งนั้นแสนจะเบื่อหน่าย พวกเขาต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่นานกว่าเดือนแล้ว โดยที่ไม่พบกับเป้าหมายที่ถูกส่งมาให้ปฏิบัติภารกิจ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกคร้ามเกรงจากนิทานที่เคยฟังมาแต่น้อย เกี่ยวกับพวกการ์กอนที่ดุร้ายป่าเถื่อน ทั้งถลกหนังและกินเนื้อคนทั้งยังเป็นๆ แล้วนี่นับจากที่ตั้งไปไม่กี่หลาก็นับเป็นแดนของพวกป่าเถื่อนแล้ว ซ้ำเจ้าป่าทึบที่อยู่เบื้องหน้าก็ยิ่งชวนให้ไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ป่านั้นหรือว่าแน่นทึบอยู่แล้ว นี่ยังมีหมอกลงจัดเสียอีก มองไปราวกับว่าจะมีอสูรกายในตำนานโผล่มาได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว ผู้คนที่นี่ยังเล่ากันว่าในตอนกลางคืนจะมีเสียงแว่วมาจากป่า คอยล่อลวงเหยื่อไปเป็นอาหารอีกด้วย...

                    ช่วยด้วย... ช่วยด้วย...

                    เสียงของใครหรืออะไรบางอย่างดังแว่วมาจากป่าแห่งหมอก กระตุ้นพวกทหารให้คลายจากความเบื่อหน่าย ต่างพากันลุกพรึ่บพรั่บทั่วทั้งค่าย คอยสดับฟังว่านี่มิใช่เสียงแว่วหลอน

                    ช่วยด้วย...

                    เสียงนั้นยังคงดังอีกครั้ง และใกล้เข้ามา ดวงตาทุกคู่จึงพากันจับจ้องสิ่งที่กำลังจะปรากฏ ขณะที่มือต่างพากันกระชับอาวุธมั่น

                    ไม่ช้าร่างหนึ่งก็โผล่ออกม้าพ้นแนวป่า เป็นชายวัยประมาณห้าสิบ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดเกรอะกรังโทรมกาย ตัวสั่นเทาราวกับลูกนก

                    เฮอร์ม... ชาวบ้านในฟอร์ทอังเคิลที่ถูกส่งมาร่วมในกองทัพทักขึ้นด้วยจำได้ ทว่าผู้หมู่ในนั้นก็ยังไม่วางใจ จึงตะโกนถามออกไป

                    จ... เจ้าเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่?

                    ข้าชื่อเฮอร์ม... เป็น... ชาวบ้านที่นี่ แฮ่ก... แฮ่ก... ห... ให้ข้าเข้าไปก่อนเถอะ ข้าหนีพวกคนเถื่อนมา... อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

                    เมื่อเห็นว่ามีผู้ยืนยัน ว่าผู้ที่ปรากฏตัวเป็นคนในหมู่บ้านจริง และสถานการณ์ก็ฉุกละหุก ผู้บังคับหมู่จึงอนุญาตให้คนผู้นั้นเข้ามา

                    ทันทีที่ถูกนำเข้าสู่ค่าย เฮอร์มก็กล่าวละล่ำละลัก

                    พ... พาข้าไปหาโมเกอร์ที... แฮ่ก... ข้าต้องไปแจ้งเรื่องของท่านโจเอล...

                    พวกทหารที่เป็นยามคอยเหตุต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก ในที่สุดจึงจัดคนขี่ม้านำเฮอร์มไปยังป้อม

     

                    ด้วยเวลาเพียงไม่นาน เฮอร์มก็ถูกพามาถึงป้อมอันเคยเป็นที่พำนักของโจเอล พรานเฒ่าถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องรับประทานอาหารอยู่นานพอควร กระทั่งชายร่างอ้วนกลมเดินมา พร้อมด้วยทหารแวดล้อมอีกห้า - หกนาย

                    อ้อ เฮอร์ม เจ้าเองรึ เกิดอะไรขึ้นล่ะ ถึงได้ยับเยินขนาดนี้ ฝ่ายที่เพิ่งมาถึงทักด้วยความคุ้นเคย นั่นเพราะเฮอร์มมักจะนำของป่าหายาก เช่นนกที่มีสีสันสวยงามไปขายให้บารอนเคอร์เบนเสมอ แต่นอกจากเงินแล้วก็ไม่มีอะไรในตัวบารอนคนนี้ที่เฮอร์มจะชอบสักอย่าง ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ภายนอก กิริยาท่าทาง หรือนิสัยใจคอ

                    พรานเฒ่าโค้งคาราวะขุนนางตรงหน้าทั้งที่ไม่อยาก ก่อนจะตอบออกไป

                    ข... ข้าเพิ่งหนีมาจากพวกนั้น นี่โมเกอร์ไปไหนเสียเล่า ข้าต้องแจ้งเรื่องของท่านโจเอลให้ผู้ดูแลป้อมรับทราบ

                    บารอนเคอร์เบน ดูจะสนใจทันทีที่ได้ยินชื่อของโจเอล จึงรีบกล่าว

                    อ้อ เจ้าค่อมนั่นน่ะหรือ ข้าสั่งให้คุมขังไว้ ข้อหาที่ไม่ให้ความร่วมมือ เจ้ามีอะไรก็บอกกับข้านี่แหละ

                แม้จะพยายามเก็บอาการให้ดูเป็นปกติ แต่เฮอร์มก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นกับข่าวที่เขานำมา ไอ้การหายใจแรงเวลาที่สนใจอะไรมากๆจนส่งเสียงดังฟืดฟาดนี่แหล่ะ ที่ทำให้พรานเฒ่าได้เปรียบเสมอเวลาต่อรองราคา

                    เฮอร์มนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                    ฮือ... ท... ทุกคนตายหมดแล้ว ถูกพวกคนเถื่อนตัดหัวแล้วเคี้ยวทั้งเป็น ข้าเองก็ยังแทบไม่รอดทีเดียว พูดจบตาเฒ่าก็ทรุดกายลง เอามือปิดหน้าเหมือนเพิ่งพบเจอภาพอันสยดสยอง

                    ต... ตายหมดทุกคนเลยหรือ?  บารอนเคอร์เบนถามย้ำ น้ำเสียงตื่นเต้น แทนที่จะเป็นความตระหนกหรือ เศร้าสลดใจ

                    “ยัง...” พรานเฒ่ากล่าวทั้งที่ยังปิดหน้าอยู่ “ลูกข้าทั้งสองคนถูกจับเป็นตัวประกันไว้ ข้าจะมาขอยืมเงินโมเกอร์เพื่อไปไถ่ถอนชีวิตลูกข้านี่แหล่ะ ได้โปรดเถิดท่านบารอน โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”

                    พูดจบ มืออันหยาบกร้านของเฮอร์มก็คว้าเข้าที่ชายกางเกงของบารอนเคอร์เบน เขย่าจนพุงของท่านขุนนางสั่นกระเพื่อม เซแซดๆทำท่าว่าจะล้ม จนท่านบารอนตัดสินใจผลักเฮอร์ม แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรำคาญ

                    เมื่อเห็นว่าบารอนเคอร์เบนเดินลับไปแล้ว พรานเฒ่าก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ดูท่าเหยื่อจะหลงกลเข้าแล้ว

                    “จ้างข้าให้ไปช่วยลูกชายท่านไหมเล่า?”

                    เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาเฮอร์มสะดุ้งขึ้นสุดตัว ครั้นเหลียวไปก็พบกับชายร่างสูงโปร่ง สวมชุดดำ ฉีกยิ้มกว้างรออยู่

                    ฟ... ฟ... ฟรีแลนซ์!” พรานเฒ่าร้องด้วยความตกใจ

                    ตกใจอะไรนักหนา ข้าไม่ใช่ผีสักหน่อย ชายร่างสูงตำหนิกลับมา

                    ถึงจะกล่าวเช่นนั้น เฮอร์มกลับคิดว่าคนผู้นี้ถึงไม่ใช่ผีก็เหมือนผี ห้องนี้มีประตูทางเข้าแค่ทางเดียว แล้วเจ้านี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

                    ว่าอย่างไรล่ะ ข้ากำลังว่างอยู่พอดี จะคิดให้ถูกๆก็แล้วกัน ฟรีแลนซ์กระเซ้าถาม

                    จ... จ... เจ้าอยู่ข้างไหนกันแน่นี่? เฮอร์มยังรู้สึกไม่ไว้ใจ เกรงอยู่ว่าแผนจะแตกเพราะคนประหลาดผู้นี้

                    ข้างเงินตรา ฟรีแลนซ์ตอบพลางขยับปีกหมวก เฮ้อ! ทำไมต้องถามเรื่องฝักฝ่ายด้วยนะ ตัวข้านั้นเป็นเสรีชน ไม่ขึ้นแก่ใครทั้งนั้น เขากล่าวต่อ ทว่าเฮอร์มก็ยังเงียบอยู่

                    แล้วนี่ไม่มีใครรอดเลยจริงๆรึ? ชายหนุ่มร่างสูงยังคงเซ้าซี้

                    ช... ใช่แล้ว เหลือแต่ข้านี้แหล่ะ เฮอร์มพยายามพูดให้น้อยที่สุด ด้วยกลัวจะถูกจับโกหกได้

                    กับลูกของท่าน ฟรีแลนซ์เสริมให้ เมื่อเห็นพรานเฒ่ายังคงก้มหน้างุด เขาจึงยิ้มด้วยเลศนัย แล้วกล่าวต่อ

                    เอาเถอะ ยังไงข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว สัญญากับเจ้าแบล๊คชัคด้วยสิ ว่าจะไปเที่ยวแถบเหนือกันดูบ้าง พูดจบฟรีแลนซ์ก็ขยับปีกหมวกให้เข้าที่ ก่อนจะเดินลับไป

                    เฮอร์มต้องรออยู่นานจนแน่ใจว่าเจ้าคนลึกลับนั่นไปแล้วจริงๆ จนเมื่อมั่นใจแล้วจึงรีบไปดำเนินแผนการที่เหลือต่อ ด้วยระแวงว่าอาจจะถูกเปิดโปงเอาเมื่อใดก็เป็นได้

     

                    กลางป่าแห่งหมอก บรรยากาศเริ่มจะคึกคักเป็นพิเศษ ดูไปก็คล้ายกับช่วงเวลาก่อนเริ่ม การแสดงใหญ่ของคณะละคร ที่บรรดาตัวประกอบต่างวิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น อะไรๆก็ดูจะไม่พร้อมเอาเสียเลย เมื่อการแสดงจริงใกล้เข้า

                    ด้านหนึ่งนั้น จอร์ชและทหารอีกส่วนหนึ่งต่างเร่งมือช่วยจูเหลียงทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างขะมักเขม้น

                    นี่มันจะสำเร็จจริงๆหรือ? จอร์ชแสดงความกังวล ครั้งได้เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ และพิชัยสงคราม เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่ามีวิธียึดที่มั่นข้าศึกโดยไม่ต้องรบด้วยวิธีพิลึกพิลั่นเช่นนี้

                    จูเหลียงไม่ตอบความอันใด เพียงหัวเราะเบาๆพลางลูบเคราด้วยอิริยาบถสบายๆ จากนั้นจึงเรียกโก๊กมากระซิบความบางอย่าง

                    ที่มุมหนึ่ง ทหารที่เหลือกำลังช่วยกันตกแต่งหน้าตาและเครื่องประดับเพื่อเตรียมพร้อมในการแสดง บางคนก็ซักซ้อมบทบาทจนมั่นใจ

                    ขณะที่คนร่วมยี่สิบคนกำลังขะมักเขม้นอยู่นั้น ยักษ์สีน้ำเงินก็ส่งเสียงร้องดัง มุ่งตรงมาด้วยท่าทางดุดัน ส่งผลให้ฝูงชนแตกฮือ บ้างจะวิ่งไปหยิบอาวุธ จนจอร์ชต้องออกมาห้ามปราม และอธิบายว่านี่เป็นเพียงการซักซ้อมบทบาทเท่านั้น และเมื่อหันกลับไปมองจูเหลียง ก็พบว่าเขากำลังยักคิ้วให้อย่างกวนในอารมณ์ เป็นอันว่าจอร์ช สิ้นข้อสงสัยในแผนการแล้ว

                    เอ้า! พร้อมจะเริ่มการแสดงหรือยังทุกคน เสียงแหบพร่าดังขึ้น เป็นเฮอร์มนั่นเองที่เพิ่งจะกลับมาจากฟอร์ทอังเคิล

                    ฮะฮะ ประเดี๋ยวสิ ให้แดดอ่อนแสงกว่านี้สักหน่อย สักช่วงสนธยาน่าจะกำลังเหมาะ จูเหลียงตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมามอง เหตุว่ากำลังเร่งมือสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากอันสำคัญ

                    เจ้ากลับมาได้ด้วยวิธีใดกันนี่? จอร์ชถามด้วยความสงสัย

                    อ้อ! ก็บอกว่าต้องมาไถ่ชีวิตลูกชายน่ะสิ พรานเฒ่าตบไปที่กระเป๋า ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง

                    หึ! เจ้าก็เลยถือโอกาสหากำไรโดยการเรี่ยไรจากบารอนเคอร์เบนสินะ พวกนั้นเชื่อเรื่องที่ชาวการ์กอนจับคนเรียกค่าไถ่ได้ยังไงกันนี่ จอร์ชยังคงสงสัย ว่าทำไมแผนการตื้นๆเช่นนี้จึงสำเร็จได้

                แหม่! ข้าว่าก่อนหน้าที่จะเดินทางสู่แดนการ์กอน ท่านก็คงจะเชื่อเหมือนกับคนอื่นๆนั่นแหล่ะ หลอกคนด้วยสิ่งที่เขาไม่รู้นี่ล่ะง่ายนัก ส่วนนี่น่ะ(เฮอร์มตบไปที่ถุงเงิน) ข้าขอมาจากพวกทหารคนละนิดคนละหน่อย จากไอ้เจ้าหมูตอนน่ะรึ?  ฝันไปเถอะ เจ้านั่นขี้ตืดจะตาย นี่ข้าไม่ได้แค่หากำไรอย่างเดียวหรอกนะ แต่ถือโอกาสใช้ความสงสารนี่แหละ ปล่อยข่าวลือโดยที่ไม่มีใครสงสัย เว้นก็แต่...

                    ใคร?จอร์ชเร่งถามด้วยความร้อนใจ

                    ฟรีแลนซ์ เฮอร์มตอบ

                    เจ้านั่นยังอยู่อีกหรือ? จอร์ชบ่นพึมพำกับตัวเอง

                    เป็นอันว่าทุกคนเชื่อข่าวลือแล้ว? จูเหลียงถามโดยมิได้ละสายตาจากงานตรงหน้า และมิได้ใส่ใจในคนที่ชื่อฟรีแลนซ์

                    อันนั้นข้ารับรอง มองจากแววตาก็รู้แล้วว่าแต่ละคนกลัวกันใหญ่เลยเชียว เฮอร์มกล่าวยืนยัน

                    แล้วเจ้าพบกับโมเกอร์หรือเปล่า? ฮานส์แทรกถามขึ้น

                    ข้าไม่พบหรอก เห็นว่าถูกคุมขังอยู่ แต่จากที่ลอบถามไถ่ดู น่าจะไม่บุบสลายกระมัง เฮอร์มตอบไปตามที่ได้ยินมา

                    เอาล่ะ อีกราวชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงจะสิ้นแดดแล้ว ข้าจะไปตรวจดูความเรียบร้อยสักหน่อย จูเหลียงกล่าวพลางลุกขึ้นเมื่อผลงานชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้น เขาต้องการดูภาพรวมทั้งหมด ก่อนที่การแสดงจริงจะเริ่มต้น

     

                    ณ ประตูโบราณ ทหารใต้อาณัติของบารอนเคอร์เบนที่ถูกส่งมาตั้งค่ายคอยสังเกตการณ์ ต่างก็มองออกไปทางป่าแห่งหมอกด้วยความกระวนกระวายยิ่งขึ้น

                    ข่าวลือว่าที่ป้อมตอนนี้ ท่านบารอนเริ่มเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้านแล้ว ดูเหมือนว่าภารกิจที่ได้รับมาจะเรียบร้อยดี แต่มันคืออะไรนั้น พวกเขาก็ยังไม่รู้ เพราะตั้งแต่มาที่นี่ก็เห็นได้แต่นั่งๆนอนๆ ใช้เวลาไปกับการเฝ้ามองไปยังแดนอาถรรพ์นั่น หรือว่าหน้าที่ของพวกเขาคือการเฝ้าระวังฟอร์ทอังเคิลในช่วงที่ผู้บังคับป้อมไม่อยู่กันแน่? แต่ก็น่าแปลก... ได้ยินมาว่า โจเอลผู้ดูแลป้อมแห่งนี้ถูกส่งไปยังดินแดนของคนเถื่อนด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างทว่าจากคำบอกเล่าของคนที่ชื่อเฮอร์ม เห็นว่ากองทัพที่ยกไปได้ถูกสังหาร... อย่างโหดเหี้ยมจนหมด... เช่นนั้นพวกเขาควรจะเฝ้าระวังมากยิ่งขึ้นมิใช่หรือ?

                    ในบรรดาทหารระดับล่างต่างมีความหวั่นเกรงกันอยู่ ว่าพวกคนเถื่อนอาจเข้าโจมตีเร็วๆนี้ ก็ผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลดันไปแหย่หมีหลับเข้านี่สิ นึกยังไงถึงได้ยกกองทัพล่วงแดนเข้าไป เอาเข้าจริงในที่นี้ก็คงไม่มีใครอยากอยู่รอต่อรบด้วยพวกการ์กอนหรอก ให้สู้กับมนุษย์ด้วยกันก็ว่าไปอย่าง แต่ให้สู้กับอสูรกายพวกนั้นนี่สิ ใจหรืออยากจะวิ่งหนีให้พ้นๆไป ยิ่งได้ฟังเจ้าคนที่ชื่อเฮอร์มเล่าด้วยแล้ว ทำให้เห็นภาพความโหดร้ายป่าเถื่อนของเจ้าพวกนั้นได้ชัดเจนทีเดียว คิดไปแล้วก็สงสารตาเฒ่านั่น ทั้งที่หลายคนอุตส่าห์ห้ามปรามไม่ให้หวนกลับไป แต่ตาเฒ่าก็ยังเสี่ยงที่จะกลับไปเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย ช่างเป็นพ่อที่ประเสริฐจริงหนอ

                    บรรดาทหารยังคงจ้องมองไปยังทิศทางป่าแห่งหมอก ขณะที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำลงทุกที

                    หลายคนครั่นเนื้อครั่นตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางอย่างในวันนี้ แล้วก็จริงดังคาด... ที่ด้านล่าง เงาสอง - สามร่างกำลังวิ่งตรงมาทางประตู นั่นเจ้าคนที่เพิ่งโผล่มาเมื่อตอนเช้านี่นา หรือว่าหมอนั่นจะช่วยลูกชายสำเร็จ?

                    เฮอร์มและบุตรชายทั้งสองวิ่งต่อไป ทว่าพอร้องให้ช่วยได้คำหนึ่งก็ล้มลง มองจากบนประตูเห็นได้ว่ามีธนูปักกลางหลังทั้งสาม เพียงอึดใจ ร่างหลายสิบร่างก็ปรากฏพ้นแนวป่า ผิวพรรณและการแต่งกายล้วนประหลาด พวกมันพากันส่งเสียงโห่ร้อง ชวนสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

                    ภาพที่ปรากฏต่อไปยิ่งเพิ่มความขนพองสยองเกล้าขึ้นไปอีก เมื่อผีป่าพวกนั้นตรงเข้ามาลากศพทั้งสาม จับโยนลงหม้อใบใหญ่ พวกมันติดไฟแล้วก็ล้อมวงกันเข้ามาเหมือนมีงานเลี้ยง พักหนึ่งก็หยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆออกมาจากหม้อ พอจะเดาได้ว่าเป็นแขน, ขา และส่วนอื่นๆของสามพ่อลูก จากนั้นก็รุมแทะกันอย่างเอร็ดอร่อย ดูแล้วชวนให้คลื่นเหียน เจ้าคนเถื่อนพวกนั้นกินเนื้อคนเกือบจะดิบๆกันเลย!

                    พวกทหารยามยืนนิ่งขึงไม่กล้าไหวติง ขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับ คบไฟสักอันกลับยังไม่ได้จุด เพราะมัวมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสยองแสยงใจ พวกคนเถื่อนดูเหมือนจะเสร็จจากมื้อเรียกน้ำย่อยแล้ว ต่างลุกขึ้นจ้องมองมายังประตูโบราณ นัยว่าอาหารมื้อต่อไปอยู่หลังประตูบานนั้น จากนั้นก็เสียงร้องอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทำท่าว่าจะเตรียมบุกทุกเมื่อ เจ้ายักษ์ใหญ่ร่างกำยำสองตนในนั้นเดินลับเข้าไปในป่าไม่รู้ด้วยเหตุใด แต่ไม่ช้าก็เห็นยอดไม้หลายต้นสั่นไหวอย่างน่ากลัว หรือว่ามันจะมีพวกมาเพิ่มอีก? เจ้าพวกคนเถื่อนนี่มีกันกี่คนแน่? ยังมีที่ร่างกายใหญ่โตกว่าเจ้ายักษ์สองตนนั่นหรือเปล่า? พวกทหารต่างตั้งคำถามกันอย่างสับสนระคนตื่นกลัว

                    ขณะที่ยังคงมองภาพอันน่าตระหนกเบื้องหน้าอยู่นั้น พวกคนเถื่อนราวยี่สิบคนก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับเหวี่ยงลูกตุ้มหรืออะไรสักอย่างลอยมาตกลงที่หน้าประตู ด้วยความอยากรู้ ทหารคนหนึ่งจึงจุดคบเพลิงขึ้นเพื่อเพ่งมองว่ามันคืออะไรกันแน่... เมื่อแสงไฟสาดกระทบ พวกเขาจึงได้เห็นว่ามันไม่ใช่ลูกตุ้ม มันคือหัวคน! เพียงเท่านั้นพวกทหารยามที่ถูกส่งมาเฝ้าประตูโบราณก็พากันกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง

               

                    ที่ป่าเบื้องล่าง เฮอร์มนั่งจ่อมอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ขึ้นรูปจากไม้ ทำรูปทรงให้ดูคล้ายหม้อแค่พอมองเห็นจากไกลๆเท่านั้น พรานเฒ่าคอยส่งแขนและขาปลอมที่วางอยู่ในภาชนะให้คนอื่นๆ ซึ่งต่างก็แต่งตัวบ้าบอดูไม่จืดกันเลยทีเดียว

                    ท่าทางพวกนั้นคงเผ่นหนีกันหมดแล้วกระมัง จอร์ชเอ่ย ขณะเพ่งสายตาคมกริบไปยังประตูโบราณ

                    ทหารสองนายถูกส่งไปดูลาดเลา และกลับมาบอกว่าศัตรูได้หนีไปกันหมดแล้ว จูเหลียงจึงร้องบอกให้โก๊กและมาโก๊กซึ่งสนุกกับการโย้เชือกที่ผูกไว้กับยอดไม้ให้วางมือ จากนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้าต่อไปยังฟอร์ทอังเคิล

     

                    ทางด้านบารอนเคอร์เบน ทันทีที่ได้รับรายงานจากกองทหารที่ถอยร่นมาจากประตูโบราณก็ตัดสินใจเก็บข้าวของกลับปราสาทของตนไปในทันที

                    นายท่าน ทำไมจึงเร่งรีบนัก? กัมม่า อัศวินในบังคับของท่านบารอนท้วงติง

                    เจ้าจะอยู่รอให้พวกคนเถื่อนมาฉีกทึ้งเนื้อเล่นรึ! ถอยเสียตั้งแต่ตอนนี้แหล่ะดีแล้ว ท่านบารอนเอ็ด

                    แต่ป้อมที่ฟอร์ทอังเคิลค่อนข้างมั่นคง เราน่าจะยันไว้ก่อน รอจนเช้าได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไรค่อยคิดอ่าน เอ่อ... ข้าคิดว่าเรายังไม่ควรถอยโดยที่ไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด กัมม่ายังคงแย้ง

                สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ เราจะตายกันหมดก่อนเช้านั่นแหล่ะ เจ้าโง่! พวกทหารที่ประตูบอกว่ามันมากันเป็นพัน นี่ไม่รู้หรือไร ว่าตอนกลางคืนน่ะ พวกผีร้ายจะมีอำนาจน่ากลัวที่สุด ไอ้ป้อมสับปะรังเคนั่นจะทนได้สักกี่น้ำกันเชียว! ถอยกลับไปตั้งหลักที่ปราสาทนี่ล่ะดีที่สุดแล้ว!” ท่านบารอนรู้สึกฉุนเฉียวที่ถูกทักท้วง

                    แล้วพวกชาวบ้านเล่า? กัมม่าเริ่มเสียงอ่อย

                    ช่างปะไร เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ เจ้าโง่!” ท่านบารอนยังคงสบถไม่หยุด

                    เอ่อ... ในฐานะที่เป็นอัศวิน ข้ารู้สึกละอาย ที่ต้องถอยหนีทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวข้าศึก ข้าขอทหารติดตามกลับไปดูให้รู้แน่ ดีร้ายจะรีบกลับมารายงานขอรับนายท่าน กัมม่าเสนอ เขายังคิดอยู่ว่าบางทีพวกทหารยามอาจหวาดกลัวจนรายงานเกินจริง และในฐานะอัศวิน เขาก็อยากจะลองเผชิญกับพวกการ์กอนดูสักครั้ง

                    บารอนเคอร์เบนครุ่นคิดถึงข้อเสนอนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอนุญาตไปอย่างเสียไม่ได้

                    อย่างนั้นเอาทหารม้าไปยี่สิบไม่สิ สิบนายก็พอ รีบไปรีบมาล่ะ

                    กัมม่ารับคำสั่งแล้วขับม้าแยกออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ขบวนของท่านบารอนรีบมุ่งหน้ากลับไปยังปราสาทของตนด้วยความลนลาน

     

                    กัมม่าควบม้าเต็มกำลังมุ่งสู่ฟอร์ทอังเคิลมาได้ครึ่งทาง ซึ่งหากพบกับกองทัพการ์กอนกำมะลอ จอร์ชและคนอื่นๆก็คงจะประสบความยุ่งยากมากทีเดียว ด้วยยังไม่ได้พักผ่อนกันเลย หนำซ้าม้าศึกที่ไว้ใช้ต่อกรกับทหารม้าด้วยกันก็แทบจะไม่มีเหลือ

                    แต่แล้วตัวแปรที่ไม่ได้คาดคิดก็พลันปรากฏ ขณะที่กัมม่าเร่งฮ่อม้า เงาดำหนึ่งก็พุ่งสวนมาอย่างรวดเร็ว เพียงวูบเดียวที่ปรากฏ กัมม่าก็ถูกแทงตกจากหลังม้าสิ้นใจตาย พวกทหารม้าที่ติดตามเห็นดังนั้นก็แตกหนีกระจัดกระจายไปในชั่วพริบตา

                    ท่านโจเอล... งานนี้ข้าไม่คิดเงินก็แล้วกัน ถือว่าเราหายกันแล้วนะเงาดำที่จู่โจมเอ่ย ขณะหยุดอยู่เหนือศพกัมม่า มันหันหน้าไปทางฟอร์ทอังเคิล ขยับหมวกปีกกว้างด้วยอาการคารวะ ก่อนจะลับหายไปในความมืด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×