ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #45 : บทที่ 44 การโจมตีในคืนพระจันทร์เต็มดวง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 181
      0
      17 ก.พ. 51

                    ารูเกนซ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากช่วงงีบสั้นๆ เหตุก็เพราะเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างผิดปกติ

                    ลาร์ซส่งเสียงครืดคราดในลำคอคล้ายกับหายใจได้ลำบาก สิ่งนั้นทำให้ดารูเกนซ์เข้ามาดูแลมังกรของตนด้วยความเป็นห่วง ตลอดช่วงสองสามสัปดาห์มานี้ อาการของลาร์ซเป็นสิ่งที่เขากังวลมาโดยตลอด ตามปกติแล้ว ภายหลังจากการจำศีลของมังกร จะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก นอกไปจากการกินอาหารเพื่อชดเชย แต่คราวนี้กลับมีหลายสิ่งที่ต่างออกไป

                    คงเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ที่ทำให้ลาร์ซเข้าสู่สภาวะจำศีลก่อนกำหนด เพื่อจะซ่อมแซมร่างกายของตนเอง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่ได้สนใจอาหารที่อัศวินหนุ่มพยายามจะป้อนให้เลย

                    ดารูเกนซ์มองลึกลงไปยังนัยน์ตาสีแดงคู่โตเพื่อจะทราบความต้องการ ไม่ช้าเขาก็ร้องเรียกให้ทหารตักน้ำมา ลาร์ซดื่มน้ำไปถังแล้วถังเล่าด้วยความกระหาย กระนั้นมันก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด

                    ความพะวักพะวงใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อเสียงโห่หอนอันน่าสยองแสยงดังระงมมาแต่ภายนอก มันฟังดูน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นเสียงของมนุษย์ ต่อให้เป็นพวกการ์กอนก็ตาม พวกมันมีมากกว่าหนึ่ง และกำลังใกล้เข้ามา

     

                    ที่หมู่บ้านเซกิ เสียงร้องที่กรีดผ่านความมืดมิด ทำให้หลายต่อหลายคนขึ้นมาสังเกตการณ์บนเชิงเทิน ต่างเพ่งมองไปยังเบื้องล่างด้วยหัวใจเย็นเยียบสั่นสะท้าน แม้เสียงพวกนั้นจะคล้ายดั่งการแจ้งเตือน แต่ทว่ามันก็ได้ข่มขวัญทุกผู้นามที่ได้สดับ

                    ไม่ช้าเสียงโห่หอนก็หยุดลง กลับกลายให้เกิดความเงียบที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เพราะต่างมัวเงี่ยหูฟัง จนไม่กล้าก่อให้เกิดสรรพสำเนียงใด

                    ความเงียบอันน่าอึดอัดดำรงอยู่เพียงไม่นาน ที่เบื้องล่างก็ปรากฏความเคลื่อนไหว เงาตะคุ่มกลุ่มหนึ่งได้มุ่งหน้ามาทางหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว จอร์ชง้างสายธนูแล้วลั่นกระสุนใส่หนึ่งในนั้นเป็นการชิมลาง เขามั่นใจว่าลูกธนูโดนเป้าหมายอย่างแน่นอน ทว่าเจ้าสิ่งนั้นกลับไม่ได้ลดความเร็วลงเลย!

                    พวกมันมุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ช้าก็สามารถมองเห็นดวงตาสีเหลือง วาวเรืองในความมืดไม่ต่างจากสัตว์ป่า นับได้เป็นสิบคู่ และเมื่อใกล้เข้ามาอีก ทุกคนก็ได้เห็นโครงร่างของผู้ที่กำลังจู่โจมชัดเจนขึ้น

                    กลุ่มเงาที่เคลื่อนใกล้เข้ามาไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ พวกมันควบสี่เท้าแบบสัตว์ป่า แต่ละตัวน่าจะยาวไม่ต่ำกว่าหกฟุต มีขนสีเงินยาวเฟื้อยปกคลุมเต็มตัว ใบหน้ายืดยาว มีเขี้ยวขาวเต็มปาก นัยน์ตาวาวเรืองอย่างสัตว์ที่หิวกระหาย พวกนี้คือสิ่งที่วาคียาเรียกว่า นักรบแสงจันทร์ซึ่งมีอำนาจกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายได้ในคืนเดือนเพ็ญ หากเทียบเคียงกับตำนานของชาวเกลลาร์แล้ว คนพวกนี้ก็คือมนุษย์หมาป่านี่เอง!

                    ยิง!” จอร์ชออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด เมื่อสัตว์ร้ายเหล่านั้นเข้ามาในระยะยิงของพลธนูซึ่งได้ตั้งแนวไว้รอท่าอยู่แล้ว

                    ลูกธนูนับสิบพุ่งทะยานออกจากแหล่ง ปักเข้าสู่เป้าหมายเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงแม้จะสามารถทะลวงผ่านขนแข็งๆและหนังหนาไปได้ สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็แทบจะไม่ลดความเร็วลงสักเท่าใด

                    บรรดาสัตว์ร้ายมาถึงเชิงกำแพงอย่างรวดเร็ว โดยแทบจะไม่สะทกสะท้านต่อห่าธนูที่ระดมยิงลงมาเลย พวกมันมาตามกลิ่นคาวเลือดที่ถูกสาดตรงเชิงกำแพง ความต้องการของพวกมันนับว่าพื้นฐานมาก... นั่นคืออาหาร!

                    พวกมันหลายตัวยังคงสนใจกับคราบเลือด บ้างวนไปมาเหมือนหมาล่าเนื้อ บ้างก็ตะกุยขุดฐานราก แล้วตัวหนึ่งก็ชะเง้อมองขึ้นไปบนกำแพง และลองใช้กรงเล็บแหลมคมเกาะยึดไปบนเนื้อไม้ เมื่อรู้ว่าสามารถจะไต่ขึ้นไปได้ ตัวอื่นๆก็พากันเลียนแบบ จอร์ชพยายามยับยั้งด้วยการยิงธนูเข้าใส่ดวงตา ทำให้เจ้าตัวที่ถูกยิงร่วงลงไปด้วยความเจ็บปวด แต่การเล็งเป้าเล็กๆเช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ขณะที่พลธนูส่วนใหญ่ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้

                    จอร์ชเรียนรู้ได้ว่าหากจะจัดการพวกมันอย่างเด็ดขาด พวกเขาต้องระดมการโจมตีไปยังตัวใดตัวหนึ่ง แต่นั่นก็ช้าเกินไป และทำให้ศัตรูที่เหลือปีนขึ้นมาได้โดยไร้การต้านทาน เมื่อประเมินสถานการณ์ได้ดังนี้ เขาจึงต้องสั่งให้ทุกคนถอยโดยไว

                    ถอย! ทุกคนรีบถอยไป! ฮานส์! ให้ทุกคนถอยเข้าไปในถ้ำ!”

                    เพียงสิ้นคำสั่ง หลายคนก็กระจายหนีกันเพริด ด้วยสะพรึงกลัวต่อสิ่งที่กำลังเผชิญ ก่อให้เกิดความอลหม่านกันยกใหญ่

                    ท่านเองก็รีบหนีได้แล้ว!” ฮานส์ร้องเตือนจอร์ช จนเมื่อจัดการศัตรูให้ร่วงหล่นไปได้อีกหนึ่ง ชายหนุ่มใบหน้าสวยจึงยอมผละจากเชิงเทิน

     

                    ทางด้านดารูเกนซ์ อัศวินหนุ่มได้ขึ้นมาสังเกตการณ์บนเชิงเทิน โดยยอมทิ้งมังกรพาหนะของตนไว้ด้วยใจกระวนกระวาย

                    น่าประหลาดที่พวกมนุษย์หมาป่าแทบไม่สนใจค่ายของเขาเลย นั่นเพราะวาคียาได้วางเป้าหมายที่จะหักค่ายใหญ่ให้ได้ ซึ่งเมื่อสำเร็จก็ย่อมจะคุมพื้นที่ที่ต่ำกว่าโดยง่าย จึงมิได้สาดเลือดซึ่งเป็นเหยื่อล่อไว้ที่นี่

                    พวกทหารชาวเหนือพากันส่งเสียงอื้ออึง ลงเสียงกันว่าควรจะไปช่วยค่ายของโจเอลดีไหม แม้แบเรียมจะห้ามปรามอย่างหนักแน่น พวกเขาก็ยังคงโต้เถียงกันอยู่ต่อไป ซึ่งอาจจะหยุดลงอย่างเด็ดขาดได้ก็ต่อเมื่อดารูเกนซ์จะสั่งอะไรสักอย่างลงไป ทว่าเขาก็ยังเงียบอยู่ จนกระทั่งมีเสียงร้องดังที่หน้าประตู

                    เฮ้! ท่านแบเรียม เปิดประตูที ได้เวลาต้องไปแล้วนะ!”

                    บรรดาทหารมองดูชายที่หยุดม้ายืนรอที่หน้าประตูด้วยความฉงน เหตุไฉนฟรีแลนซ์จึงได้มาอยู่ที่นี่? เรื่องนี้เห็นจะมีเพียงแบเรียมเท่านั้นที่รู้

                    แท้จริงแล้ว ตระกูลของดารูเกนซ์ได้รับการขอร้องแกมคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ ให้ร่วมกับกองทัพจากฟอร์ทอังเคิลและเซเลต์เข้าเปิดศึกกับชาวการ์กอนด้วยเป้าหมายที่ไม่แน่ชัดนัก และมีเงื่อนไขน่าประหลาดอีกประการก็คือ ให้ยั้งทัพอยู่จนกว่า คนอื่นๆ จะตายหมดสิ้น จึงจะอนุญาตให้ถอนทัพกลับมาได้ เมื่อธุระนี้เสร็จเรียบร้อย องค์จักรพรรดิทรงสัญญาว่าจะตอบแทนในการณ์นี้อย่างสมควร

                    บิดาของดารูเกนซ์แม้ไม่อยากข้องแวะกับภารกิจอันคลุมเครือ ทว่าด้วยสายสัมพันธ์ก็ทำให้ปฏิเสธได้ลำบาก จึงมอบให้ดารูเกนซ์ที่เป็นเพียงบุตรนอกสมรสรับภารกิจนี้ ซึ่งหากแม้นต้องสูญเสียก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ บางครั้งพวกขุนนางมีบุตรกันมากๆก็เพื่อการณ์นี้ ขณะที่แบเรียมนั้นตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อประจบผู้มีอำนาจ กระนั้นเขาก็มิใช่คนกล้า ไม่ใกล้เคียงเอาเสียเลย ฉะนั้นจึงต้องรับประกันทางหนีทีไล่เอาไว้ นั่นก็คือการว่าจ้างฟรีแลนซ์ซึ่งได้พบกันก่อนหน้านี้ ให้เป็นผู้พาเขากับหลานชายออกจากแดนการ์กอน

                    เรามีเวลาไม่มาก ท่านคงเตรียมตัวไว้แล้วใช่ไหม? ฟรีแลนซ์กล่าวหลังจากที่ได้เข้ามาภายในค่าย น้ำเสียงจริงจังผิดกับทุกครา

                    ข้าพร้อมแล้ว แบเรียมตอบ ตั้งท่าจะขึ้นหลังม้าที่เตรียมไว้

                    ทิ้งม้าตัวนั้นไว้เสีย มันไม่เร็วพอจะพาเราไปจากนี่หรอก

                    ฟรีแลนซ์ตบไปยังที่นั่งด้านหลัง เพื่อเป็นการบอกให้แบเรียมซ้อนท้าย

                    ...ม้าของท่าน พอให้เรานั่งกันไปได้สามคนหรือ แบเรียมรู้สึกกังขา ชายหนุ่มร่างสูงได้ฟังดังนั้นจึงปรายตาไปยังดารูเกนซ์ที่เป็นผู้โดยสารอีกคน ก่อนจะตอบ

                    ...ได้สิ แต่คงต้องถอดเกราะมิให้หนักเกินไป

                    คำตอบที่ได้รับ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มขึ้น แบเรียมพยายามจัดแจงให้ผู้เป็นหลานชายรีบทำตามคำแนะนำเพื่อออกเดินทาง ทว่าดารูเกนซ์กลับยังนิ่งอยู่ คล้ายว่ามีความคิดที่ต่างออกไป

                    ...ท่านอา ...ท่านรีบไปเถิด... ข้าต้องอยู่ดูแลลาร์ซ...

                    น้ำเสียงอันเพราะพริ้งของอัศวินหนุ่มกล่าวอย่างเชื่องช้า แต่นัยน์ตาสีฟ้าก็เป็นเครื่องประกอบคำพูด ว่าเขาจริงจังเพียงไร

                    เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ! ทิ้งมังกรตัวนั้นไปเสีย อยู่ที่นี่เจ้าไม่รอดแน่!” แบเรียมเอ็ดใส่ในความโง่เขลาของผู้เป็นหลาน นั่นเป็นเพราะผู้คนโดยทั่วไปไม่อาจเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินมังกรและมังกรพาหนะ ที่จะต้องมีเพียงกันและกัน ไม่สามารถจะทดแทนได้เช่นม้าหรือว่าเสื้อผ้า มังกรตัวแรกของผู้ที่เป็นอัศวินมังกร ก็ย่อมจะเป็นมังกรเพียงตัวเดียวไปชั่วชีวิต

                    ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลลาร์ซ ดารูเกนซ์ย้ำ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พูดอย่างไม่ตะกุกตะกัก และเป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธความเห็นของผู้เป็นอา

                    ทหารของข้า... พวกเขาเป็นทหารที่ดี... ท่านอาช่วยพาพวกเขากลับบ้านด้วย...เขากล่าวต่อไป ซึ่งก่อให้เกิดความเห็นแย้งในบรรดาทหาร ที่จะให้พวกเขาทิ้งผู้เป็นนายไว้ที่นี่ กระนั้นคำสั่งของดารูเกนซ์ก็เด็ดขาดนัก บุคลิกที่นิ่งเงียบไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งของเขา ได้ผลเสมอกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

     

                    ด้วยเวลาเพียงไม่นาน กองกำลังสำหรับตีฝ่าก็พร้อมเพรียง ฟรีแลนซ์ได้แต่ส่ายศีรษะเพียงลำพัง แทนที่จะเป็นการลอบหนีไปเงียบๆ นี่การณ์กลับกลายเป็นเอิกเกริก ซึ่งจะทำให้งานของเขายากขึ้น ทว่าบางทีเขาอาจพอใช้ประโยชน์จากพวกนี้ได้บ้าง...

                    ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกกว้าง ก่อให้เกิดเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดและสายน้ำที่ไหลหลั่งออกมาราวกับเป็นทัพหน้า ทว่ากองหน้าที่แท้จริงแล้วคือทหารม้าชาวเหนือที่เหลืออยู่ไม่เต็มหน่วย ม้าของพวกเขาผ่ายผอมและอ่อนแอ กระนั้นก็ยังตะบึงไปข้างหน้าจากการกระตุ้นด้วยการกระแทกสีข้าง

                    ทั้งหมดมุ่งไปยังราวป่าทิศเหนือ โดยมีทหารราบอีกกลุ่มตามหลัง ส่วนฟรีแลนซ์นั้นรั้งอยู่ที่ท้ายขบวน

                    เมื่อผ่านเข้าสู่ตัวป่าไม่นาน ฟรีแลนซ์กลับเร่งม้าศึกของตนแล้วแยกออกไปเงียบๆเพียงลำพัง แบเรียมตั้งท่าจะร้องถาม ก็พอดีกับเสียงเป่าเขาสัตว์ ตามมาด้วยเสียงอื้ออึง พวกการ์กอนกำลังดักเล่นงานขบวนหลักอย่างนั้นหรือ? ฟรีแลนซ์ยอมให้พวกนั้นมาด้วยเพื่อจะใช้เป็นเหยื่อล่อนี่เอง!

                    อยู่เฉยๆ แล้วเกาะให้แน่นๆ แค่เอาตัวให้รอดก็พอ ชายร่างสูงกล่าวกับผู้ที่นั่งข้างหลังด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จากนั้นก็เร่งฝีเท้าม้าเข้าสู่ความมืดของป่าทึบ

                   

                    บนหมู่บ้านเซกิ เหล่าทหารจากฟอร์ทอังเคิลต่างพากันถอยร่นอย่างอลหม่านด้วยความกลัว แทบจะเรียกได้ว่าไปกันคนละทิศละทางทีเดียว จนฮานส์ต้องคอยบังคับมิให้วุ่นวายไปกว่านี้

                    ที่รั้งอยู่ด้านหลังคือจอร์ช ซึ่งคอยเหลียวกลับไปมองที่กำแพงอยู่เป็นระยะ เพื่อจะดูว่าอสูรกายพวกนั้นเข้ามาในหมู่บ้านหรือยัง ไม่ช้าชายหนุ่มร่างเพรียวบางก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันไปตะโกนบอกฮานส์

                    ฮานส์! พวกมันมาแล้ว! ให้ทุกคนรวมกลุ่มกันไว้!”

                    ทุกคนมารวมกัน! ตั้งขบวนป้องกัน!” ฮานส์ถ่ายทอดคำสั่ง เขาอาศัยด้ามของค้อนสงครามดันพวกทหารให้จัดแถวได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่จอร์ชยิงธนูใส่ดวงตาวาวเรืองคู่แรกที่ข้ามกำแพงเข้ามา เพื่อจะยับยั้งให้ครึ่งมนุษย์ครึ่งหมาป่าพวกนั้นช้าลง จนเมื่อกระบวนรบที่ชูหอกขึ้นป้องกันแล้วเสร็จ เขาจึงถอยเข้าไปอยู่ตรงกลางวง

                    เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา มนุษย์หมาป่าราวสิบตัวก็กรูกันเข้ามาในหมู่บ้าน โดยที่ส่วนใหญ่ยังรออยู่ภายนอก พวกที่เข้ามาแล้วตรงรี่เข้าใส่กองทหารที่ตั้งแถวอย่างรวดเร็ว ทว่าคมหอกที่ชี้ตรงมาก็ทำให้พวกมันหยุดชะงักไม่กล้าผลีผลาม ได้แต่เดินวนรอบเพื่อมองหาจุดอ่อน

                    แม้ว่าสัตว์ร้ายพวกนี้จะมีครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์ กระนั้นกลยุทธ์การล่าก็ยังคงเป็นแบบเดียวกับหมาป่า นั่นคือการพยายามตัดฝ่ากลุ่มของเหยื่อ เพื่อจะแยกเอาพวกที่อ่อนแอออกมาแล้วค่อยจัดการ ฉะนั้นตราบใดที่เหยื่อยังคงเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นเช่นนี้ พวกมันก็ได้แต่คุมเชิงและพยายามขู่ให้คนที่ขี้ขลาดที่สุดหนีไป ซึ่งจะทำลายรูปขบวนในที่สุด

                    จอร์ชและฮานส์พยายามปลุกปลอบขวัญทหารมิให้แตกกระบวนทัพดังที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ละคนจึงยังคงกุมหอกไว้แน่นแม้ว่ามือจะสั่นสะท้าน เมื่อเห็นว่าเหยื่อคงจะไม่ขวัญหนีดีฝ่อง่ายๆ มนุษย์หมาป่าสองตัวจึงแยกออกไปเพื่อจะเปิดประตูให้พวกมันที่เหลือเข้ามาสมทบ ขณะที่อีกตัวหนึ่งยืดตัวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดสูดไปมาในอากาศ ราวกับว่ากำลังได้กลิ่นเหยื่ออื่น ไม่ช้ามันก็พุ่งกระโจนออกไปยังทิศทางนั้น

                    ลูนาร์! จอร์ชใจหายวาบขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเธอน่าจะยังอยู่ในโบสถ์ โดยไม่รั้งรอ จอร์ชผละจากแนวป้องกันอันปลอดภัย เพื่อจะไล่ตามมนุษย์หมาป่าสองตัวที่เพิ่งจะนำไปเมื่อสักครู่

                    นับเป็นการกระทำที่โง่เขลา ที่พาตัวเองออกจากที่มั่นอันปลอดภัย กระนั้นจอร์ชก็ยังว่องไวพอที่จะหลบคมเขี้ยวของฝ่ายที่ปิดล้อม เมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังจะหนีไปได้ มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งจึงแยกจากฝูงออกตามไปติดๆ

                    ฮานส์และกองทหารพยายามจะทำการณ์หนึ่งการณ์ใดเพื่อช่วยเหลือ ทว่ามนุษย์หมาป่าอีกห้าตัวก็ยังคงคุมเชิงอยู่ ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นอันตรายต่อกองทหารที่มีอยู่ไม่กี่สิบนาย

                    จนเมื่อจอร์ชหายลับไปแล้ว ฮานส์จึงสูดลมหายใจขึ้นทีหนึ่ง คล้ายกำลังตัดสินใจในบางสิ่ง

                    ...ห้าตัวอย่างนั้นรึ... เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มอันน่ากลัวฉายวูบบนใบหน้าเพียงชั่วขณะ ก่อนที่จะกระโจนพร้อมฟาดอาวุธเข้าใส่หนึ่งในฝ่ายที่ปิดล้อม ดับลมหายใจของนักล่าผู้โชคร้ายในชั่วเสี้ยววินาที

                    สี่ตัวแล้วสินะ... น้ำเสียงชวนขนลุก คำรามลอดผ่านไรฟันของชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้า พร้อมกับนัยน์ตาสีดำที่ชำเลืองไปยังสัตว์ร้ายที่เหลือ

     

                    ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เฮอร์มสอดส่ายสายตาไปรอบๆด้วยความงุนงง เพราะบัดนี้ตนได้หลงมาอยู่แห่งหนตำบลใดไม่รู้ได้ จากที่พยายามจะหาที่ซ่อนจากพวกอสูรกายครึ่งคนครึ่งหมาป่า โดยการเข้าไปหลบในที่พักของโจเอล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไปถูกกลไกบางอย่าง จนทำให้ตกลงมายังช่องทางลับโดยบังเอิญ

                    หลังจากพยายามตั้งสติอยู่พักหนึ่ง เฮอร์มก็เริ่มเดินสำรวจไปตามเส้นทาง และเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของเหล่าสัตว์ร้ายดังแว่วมาจากข้างบน

                    พรานเฒ่าพยายามจะก้าวไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ในเส้นทางแคบๆแบบนี้ พลางเริ่มคิดไปว่านี่คงจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลเป็นแน่

                    ช่องทางลับแห่งนี้มีทางแยกซอกซอนอันน่าปวดหัว และดูเหมือนจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าเอลฟ์ตัวดี ที่อยู่ๆก็หายไปพร้อมกับโจเอล พูดถึงชื่อของเอลฟ์แล้วก็ทำให้เฮอร์มรู้สึกขนลุก เขาเคยพบตัวเจ้านี่เพียงครั้งเดียว ตอนที่มันได้ออกมาเดินเตร่ในค่ายยามดึก เพียงได้เห็นดวงตาสีแดงส่องประกายประหลาดก็ทำให้หวนนึกถึงความน่ากลัวเมื่อครั้งเผชิญกับพญามังกรอาราริค ฉะนั้นแม้จะมีความใคร่รู้ แต่การพยายามหลีกให้ห่างจากสิ่งมีชีวิตในตำนานพวกนี้น่าจะดีเสียกว่า

                    ด้วยความสามารถของนักแกะรอย เฮอร์มเลือกที่จะไปตามเส้นทางที่มีการใช้งานมาในระยะเวลาช่วงสี่ถึงห้าวันมานี้ เพราะเป็นช่วงเดียวกับที่โจเอลได้หายตัวไป

                    พรานเฒ่าเดินไปจนถึงที่ซึ่งอุโมงค์กว้างจนพอจะเป็นห้องหนึ่งได้ และมีไหที่คงจะเป็นตัวยาวางซ้อนไว้มากมาย ที่พื้นลึกลงไปเป็นบ่อซึ่งมีลูกกรงทำจากไม้กั้นไว้ เมื่อชะโงกลงไปก็พบกับร่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน

                    อ้าว ท่านโจเอล มานอนเล่นอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ เฮอร์มกล่าวทักทายไปตามแบบฉบับของตน ซึ่งอันที่จริงแล้วผู้ที่อยู่ข้างล่างมิได้นอนเล่นเอกเขนกดังว่า หากแต่เดินไปมาด้วยความกลัดกลุ้มดังเสือติดจั่น

                    เฮอร์มงั้นหรือ? เจ้ามาได้อย่างไร? นายบ้านหนุ่มร้องถามด้วยความยินดี ขณะที่ผู้ถูกถามเอามือเกาหัวแกรกๆ ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่ามาได้อย่างไร

                    ช่างเถิด เจ้าช่วยทำอะไรกับลูกกรงนั่นได้ไหม

                    พรานเฒ่ายิ้มและยักไหล่  จะให้ข้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ?

                    อย่าเพิ่งมาล้อเล่นตอนนี้เฮอร์ม ข้าต้องรีบ

                    ที่จริงก็ใช่ว่าเฮอร์มจะเอาแต่ล้อเล่นไร้สาระ เพิ่งแต่รู้สึกสนุกที่ได้ยั่วโมโหโจเอล พรานเฒ่าลองใช้มีดทำลายซี่กรงนั้นดู ทว่าก็เปล่าประโยชน์

                    นี่มันไม้บ้าอะไรกัน แข็งอย่างกับเหล็ก เฮอร์มบ่น เมื่อเห็นว่าคงทำลายมันไม่ได้ เขาจึงลองมองหาทางอื่น ลูกกรงนี้ไม่มีกุญแจให้เห็น ราวกับว่าจะปิดไว้อย่างถาวร ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะจูเหลียงเพิ่งจะลงมาหาโจเอลเมื่อไม่นาน

                    อันที่จริงลูกกรงเพียงเท่านี้ไม่คณาต่อดาบดูรันดานาในมือของโจเอล เพียงแต่เขาไม่อาจจะจัดการได้จากข้างล่างนี่

                    ท่านโจเอล ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่พยายามหรอกนะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเอาเสียเลย พรานเฒ่าบ่น ขณะหย่อนก้นลงนั่งพัก พอเอนหลังพิงกับผนังเท่านั้นก็มีเสียงดัง คลิ๊ก

                    พลันเสียงเคลื่อนไหวของกลไกก็ดังตามมา แล้วซี่ของลูกกรงก็ค่อยๆเคลื่อนตัวกลายเป็นบันไดทอดลงเบื้องล่าง เฮอร์มได้แต่ยืนสนเท่ห์กับความ มือผี ของตนอีกครั้ง ส่วนโจเอลไม่รอช้า เขารีบก้าวขึ้นไปบนบันไดที่ยังไม่ทันจะทอดถึงพื้นดี

                    เฮอร์ม เจ้าช่วยนำทางกลับไปยังหมู่บ้านที นายบ้านหนุ่มกล่าวด้วยความร้อนรน

                    ไปไหนนะ?พรานเฒ่าเสียงหลง

                    ไปที่หมู่บ้านน่ะสิ เจ้าน่าจะนำทางไปได้ไม่ใช่หรือ

                    เอ่อ... ตอนนี้น่ะ ข้างบนมี... มี...ไม่ทันที่พรานเฒ่าจะกล่าวให้จบดี เสียงหอนอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังแว่วมาจากด้านบน

                    เร็วเข้า!” โจเอลเร่ง น้ำเสียงเด็ดขาด เฮอร์มยิ้มแหย แต่ก็ยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

                    ที่ประตูค่ายของหมู่บ้านเซกิ มนุษย์หมาป่าสองตัวได้แยกมาจากกลุ่มที่เข้าล้อมทหารไว้ เพื่อจะเปิดประตูให้ฝูงที่เหลือซึ่งรอคอยอยู่ภายนอกได้เข้ามาสมทบ เป็นการเริ่ม งานเลี้ยง อันนองเลือด ภายใต้เดือนเพ็ญสีแดงฉาน

                    ไม่ช้าประตูไม้ที่หนาหนักซึ่งกันระหว่างความเป็นและความตายของทหารชาวเกลลิคก็แง้มออก เชื้อเชิญให้สัตว์ป่ากระหายเลือดร่วมยี่สิบตัวได้กรูกันเข้ามา ทว่ามนุษย์หมาป่าสองตัวที่ทำหน้าที่เปิดประตูก็ต้องประหลาดใจ เมื่อสิ่งแรกที่พุ่งตรงเข้ามา คือท่อนแขนอันกำยำ

                    โดยไม่ทันได้ตั้งตัว สัตว์ร้ายทั้งสองตัวก็ถูกท่อนแขนกระแทกเข้าปลายคางถึงขั้นสลบเหมือด แต่ผู้ที่จู่โจมก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกมันมากนัก เพราะความล่าช้าแม้เพียงเสี้ยววินาที อาจหมายถึงอันตรายสำหรับผู้เป็นเจ้าชีวิตของพวกเขา

                    มาโก๊กรู้สึกร้อนใจในสถานการณ์ การหาวิธีแก้คำสาปก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน เขาก็ต้องรีบกลับมาเพราะได้ยินเรื่องที่วาคียาเกณฑ์นักรบแสงจันทร์มาทำการศึก นี่นับว่าเลยเถิดมากจนเกินไป ที่วาคียาตัดสินใจใช้งานพวกกระหายเลือดพวกนี้ ซึ่งเมื่ออยู่ในร่างของสัตว์ป่าแล้ว นักรบเหล่านี้จะรู้จักแต่การฆ่าโดยไม่คำนึงถึงมิตรและศัตรู จนแม้แต่ในหมู่ชาวการ์กอนก็ยังลำบากใจที่จะยอมรับการมีอยู่ของพวกนี้

                    มนุษย์หมาป่าที่เหลือต่างก็กรูกันเข้ามาในหมู่บ้านโดยไล่หลังยักษ์สองพี่น้องมาติดๆ นักรบแสงจันทร์เกือบยี่สิบนับว่าเกินแรงจะต้าน แม้แต่กับโก๊กและมาโก๊ก ทั้งคู่จึงได้แต่วิ่งหลบหลีกพลางคิดวิธีรับมือ

                    เสียงร้องโหยหวนจากมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งลอยมาตามลม ทำให้พวกมันที่เหลือหยุดอยู่ชั่วขณะ น้ำเสียงที่แว่วมาบ่งบอกให้รู้ว่าผู้ที่ร้องกำลังบาดเจ็บและใกล้จะตาย ยักษ์สองพี่น้องฉวยโอกาสนี้วิ่งนำไป โดยคิดว่าผู้ที่ทำร้ายมนุษย์หมาป่าตัวนั้นคงจะเป็นพวกของโจเอลจึงเร่งตามเสียงนั้นไป ขณะที่มนุษย์หมาป่าตัวอื่นยังคงหยุดอยู่กับที่ และหอนรับด้วยความเศร้าโศก ไม่ช้าพวกมันก็เปลี่ยนเป็นการส่งเสียงคำรามอยู่ภายในลำคอด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนจะพากันเร่งฝีเท้าออกไปเพื่อจะตามล้างแค้นให้พวกพ้อง

                   

                    ไม่ห่างไกลมากนัก ชายผู้หนึ่งก็กำลังวิ่งไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด นอกจากการไล่ตามมนุษย์หมาป่าสองตัว ซึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังที่อยู่ของสตรีที่มีความสำคัญยิ่งต่อเขา

                    จอร์ชกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะไม่ได้กังวลต่อมนุษย์หมาป่าอีกตัวที่ไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด กระทั่งเมื่อมันกระโจนเข้าใส่เพื่อจะสังหารนั่นแหล่ะ เขาจึงเอี้ยวตัวหลบอย่างฉิวเฉียด มิวายที่กรงเล็บแหลมคมจะตะปบโดน แม้เพียงถากๆ แต่ก็ทำให้เสียหลักล้มลง

                    เจ้าสัตว์ร้ายกลับตัวเพื่อจะตรงเข้าจู่โจมเหยื่อที่นอนอยู่บนพื้น แต่ก็ยังช้าเกินไป เมื่อจอร์ชง้างสายธนูขึ้นยิงทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง หัวศรเหล็กพุ่งเข้าใส่ดวงตาของนักล่าอย่างแม่นยำ กระนั้นก็หาได้หยุดยั้งมันได้อย่างชะงัด กรงเล็บแหลมคมยังคงหวดไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง จอร์ชรีบยกคันธนูขึ้นป้องกันอย่างฉุกละหุก ซึ่งก็แทบจะไม่ช่วยอะไร เพราะมันได้หักสะบั้นลงกลายเป็นเพียงเศษไม้

                    ชายหนุ่มร่างบอบบางอาศัยจังหวะ ผละออกมาจากศัตรูในระยะที่เหมาะสม แล้วลุกขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็ว

                    นัยน์ตาสีฟ้าสวยหรี่มองสัตว์ร้ายตรงหน้าพลางประเมิน นี่ไม่ใช่ศัตรูที่เขาจะสามารถผ่านไปได้โดยไม่จัดการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ทว่าคันธนูที่เป็นอาวุธก็ถูกทำลายเสียแล้ว...

                    จอร์ชเลื่อนมือมากุมด้ามดาบที่เหน็บไว้ข้างเอว เขาแทบจะไม่ได้ใช้มันมานานมากแล้ว แต่ครั้งนี้เห็นจะไม่มีทางเลือกอื่น จะมัวแต่อ้อยอิ่งต่อไปอีกไม่ได้...

                    เจ้าสัตว์ร้ายที่บัดนี้เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวตั้งท่าเตรียมจู่โจมอยู่ทุกเมื่อ คำรามฮึ่มฮั่มด้วยความคลั่งแค้น  น้ำลายยืดไหลเปรอะ แม้เหยื่อของมันจะตั้งท่าเตรียมสู้ก็ไม่ทำให้มนุษย์หมาป่าตัวนั้นนึกพรั่น เมื่อเห็นว่าเหยื่อลดดาบลงคล้ายขาดการระวัง มันก็พุ่งกระโจนสุดแรงเข้าใส่ทันที

                    ความไวในการจู่โจมของหมาป่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องกังขา เพราะมันคือนักล่าชั้นยอดในมวลหมู่สรรพสัตว์ เพียงการกระโจนครั้งเดียว ย่อมสามารถประชิดตัวเหยื่อได้ในอึดใจ ทว่าครั้งนี้เหยื่อของมันได้ตอบโต้มาด้วยความเร็วประมาณกัน!

                    เพลงดาบที่จอร์ชใช้ หากผู้มีความรอบรู้ในแขนงนี้ได้เห็นเข้า อาจสามารถใช้เป็นเบาะแสถึงตัวตนของเขาได้ เพราะนี่เป็นเพลงดาบที่รวดเร็วและแม่นยำ จนน่าจะถ่ายทอดก็แต่ในตระกูลชั้นสูง

                    ปลายดาบพุ่งเข้าสวนการจู่โจมของสัตว์ร้ายอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์เช่นนี้ทำให้ฝ่ายที่ถูกสวนกลับไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ซ้ำยังเพิ่มอานุภาพจากความเร็วของฝ่ายตรงข้าม และด้วยความแม่นยำ ดาบเล่มนั้นก็ปักเข้าสู่หัวใจของอสูรกายเข้าไปจนเกือบมิดด้าม

                    การโจมตีระดับนี้น่าจะปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ทว่านี่คือการต่อสู้กับนักรบที่ได้รับอำนาจลึกลับจากดวงจันทร์ แม้ว่าจะใกล้ดับดิ้นเต็มที เจ้าสัตว์ร้ายก็ยังใช้ร่างที่ใหญ่กว่าทับศัตรูไว้ไม่ให้หนีไปไหน ก่อนจะฝังเขี้ยวเข้าใส่ หมายจะให้ตายไปด้วยกัน!

                    จอร์ชมองคมเขี้ยวสีขาวที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ซึ่งอาจเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตที่จะได้เห็น แต่แล้วมันกลับหยุดลงอย่างน่าประหลาด!

                    ชายหนุ่มร่างบางพยายามเพ่งมองข้ามไหล่ของสัตว์ร้ายที่เพิ่งสิ้นลม เพื่อจะมองหาผู้ที่เข้ามาช่วยเขาไว้ในวินาทีสุดท้าย ทว่าก็มองเห็นเป็นเพียงเงาอันเลือนรางเท่านั้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×