ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 การยุทธ์ ณ ป่าแห่งหมอก (2) (ปรับ)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 281
      0
      31 ต.ค. 64

                    ณะที่เสียงการสู้รบยังอึงอล อีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากเขตการต่อสู้ ชายสามคนกำลังซ่อนตัวหลังเนินเล็ก ๆ พวกเขาคือเฮอร์ม และบุตรชายอีกสองคนนั่นเอง

                    “พ่อ เราจะไม่ไปช่วยท่านโจเอลจริง ๆ หรือ?” บุตรคนโตถามขึ้นด้วยความอดรนทนไม่ไหว แต่กลับถูกบิดาเอ็ดเข้าให้

                    “อย่าบ้าไปหน่อยเลย! มันใช่ธุระของพวกเราที่ไหน ขืนทะเร่อทะร่าเข้าไป ดีไม่ดีจะโดนลูกหลงไปด้วย เอาไว้ให้เขารบกันเสร็จ พวกเราค่อยออกไป ตอนนี้อยู่นิ่ง ๆ และหุบปาก ถ้าไม่อยากให้พวกคนป่ารู้ที่อยู่ของพวกเรา!”

                    บุตรทั้งสองยอมหุบปากแล้วหมอบนิ่งตามเดิม พรานเฒ่าดูจะไม่อนาธรณ์ร้อนใจกับการรบตรงหน้า ต่อให้โจเอลแพ้ เขาก็แค่หนีกลับบ้าน หรือถ้าชนะ เขาก็นำทางต่อ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยง และจะไม่ยอมเสียเปรียบเป็นอันขาด

                    อยู่ ๆ เฮอร์มก็เหลียวมองไปด้านหลัง เขาได้ยินเสียงคนควบม้าตรงม้า มีอยู่สองคน...แต่จะเป็นใครกันแน่ ?

     

                    ห่างไปไม่ไกล คนสองคนกำลังบังคับม้าให้เหยาะย่าง ผ่านหมอกหนาทึบด้วยความระมัดระวัง หนึ่งในนั้นคือลูนาร์ เธอแสร้งบอกบิดาว่าป่วยเพื่อแอบติดตามโจเอล ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าโจเอลต้องการเธอสำหรับภารกิจครั้งนี้ เมื่อรู้ว่าการขอติดตามมาย่อมต้องถูกปฏิเสธจึงต้องลอบตามมา

                    อีกคนหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกันคือจอร์ช ชายที่กล่าวว่าจำเป็นต้องไปจากฟอร์ทอังเคิล เหตุผลที่เขาเดินทางมาพร้อมกับลูนาร์ยังคงเป็นปริศนา ตอนนี้ทั้งสองคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องตามทัพโจเอลให้ทัน แต่ก็ยังต้องระวังไม่ให้หลงทางในสภาพหมอกลงจัด จึงไม่อาจไปได้เร็วอย่างที่หวัง

                    “ลูนาร์ หยุดก่อน” จอร์ชร้องเตือน เขาได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่าง จึงยกธนูขึ้นเล็ง

                    “เดี๋ยวก่อน ๆ นี่ข้าเอง เอะอะก็จะยิงสุ่มสี่สุ่มห้า ประเดี๋ยวได้มีคนตายกันเท่านั้น” เสียงร้องบอกมาจากทิศทางนั้น

                    จอร์ชพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร แต่ยังแกล้งถามต่อไป “ข้าเองน่ะใครกัน? ออกมาให้เห็นตัวก่อนที่ข้าจะเผลอลั่นธนูออกไป”

                    อึดใจต่อมาเฮอร์มและบุตรทั้งสองก็ยอมเผยตัว จากที่ตั้งใจจะซุ่มอยู่เงียบ ๆ แต่เพราะจอร์ชและลูนาร์ผ่านมาทางนี้ พวกเขาจึงต้องออกจากที่ซ่อน

                    “พ่อหนุ่มพเนจร กับบุตรสาวนักบวช มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?” พรานเฒ่าถามทั้งสอง

                    “พวกเราตามมาช่วยโจเอล เจ้ามากับเขาไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาแอบกันอยู่ตรงนี้?” จอร์ชย้อนถามกลับไป

                    “ก็ตกลงกันไว้แค่ให้มานำทางนี่นา แล้วข้าก็ไม่ชอบฆ่าคนด้วย มันบาป ส่วนโจเอลรบกันอยู่ทางโน้นแน่ะ เชิญไปดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน” เฮอร์มชี้บอกทาง หวังจะปัดปัญหาไปให้พ้น ๆ

                    เมื่อรู้เส้นทาง ลูนาร์ก็ร้อนใจที่จะไปต่อ แต่จอร์ชรั้งไว้ เขาคิดว่าเฮอร์มต้องมีอะไรดีบางอย่าง ถึงสามารถเดินทางผ่านป่าแห่งหมอกได้และเป็นฝ่ายเห็นพวกเขาก่อน

                    ขณะที่เฮอร์มชี้เส้นทางและไม่ทันระวังตัว จอร์ชก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ จึงฉกมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นขวดยาขนาดเล็ก

                    “ไอ้ขี้ขโมย! เอาคืนมาเชียว!” พรานเฒ่าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

                    “ใจเย็นน่า ขอดูหน่อยเดียวเท่านั้น” จอร์ชยังคงใจเย็น พอทำท่าจะหยดเล่น เฮอร์มก็รีบห้ามพัลวัน

                    “อย่าหยดเล่นนะ! รู้ไหมว่ามันแพงขนาดไหน!”

                    “เหรอ? แล้วมันคืออะไรหรือ? ทำไมถึงแพงนัก?” จอร์ชยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้

                    “มันเรียกว่าน้ำตาไซคลอป ไม่ได้หากันง่าย ๆ นะ หยดละหนึ่งเหรียญเห็นจะได้”

                    “อย่างนั้นเชียว?” จอร์ชทำท่าไม่เชื่อ “แล้วมันเอาไว้ทำอะไรล่ะ?”

                    “ก็เอาไว้หยอดตาน่ะสิ ต่อให้หมอกลงจัดแค่ไหน ถ้าหยอดตาด้วยน้ำตาไซคลอป จะมองเห็นได้เหมือนสภาพอากาศปกติทีเดียว แต่ถ้าอากาศปกติ ก็จะช่วยให้เห็นได้ไกลกว่าเดิม สอง-สามเท่าเชียว” เฮอร์มบรรยายสรรพคุณ ระหว่างนั้นจอร์ชก็หยดน้ำตาไซคลอปใส่ตาทั้งสองข้าง และส่งให้ลูนาร์หยดบ้าง

                    “ไอ้ขี้ขโมย! ใครอนุญาตเจ้ากัน!” ตาเฒ่าโวยวายลั่น โกรธอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

                    “นิดหน่อยน่า แต่เจ้ามีของดีแบบนี้ กลับไม่ยอมบอกใคร ถ้าโจเอลเป็นอะไรไป ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า คอยดูสิ” จอร์ชโยนขวดยาคืนพร้อมเงินสี่เหรียญ แต่ก่อนจะไป เขาได้หันมาพูดกับเฮอร์มเป็นการทิ้งท้าย

                    “อ้อ แต่การที่เจ้าเอาแต่หลบอยู่แบบนี้มันน่าเสียดายนะ หากจับพวกการ์กอนเป็นเชลยศึกสักคน ข้าเชื่อว่าโจเอลคงไม่ว่าอะไร คิดดูสิ ว่าเจ้าจะหาเงินจากเชลยชาวการ์กอนได้มากขนาดไหน” กล่าวจบ จอร์ชก็ควบม้าจากไป ทิ้งให้เฮอร์มไคร่ครวญถึงผลประโยชน์ที่อาจหาได้

     

                    หลังผละจากเฮอร์ม จอร์ชและลูนาร์ก็รู้สึกระคายเคืองจากหยดน้ำตาไซคลอป แต่พักเดี๋ยวก็คุ้นชิน เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่มีม่านหมอกบดบัง

                    ห่างไปไม่ไกล จอร์ชมองเห็นฮานส์ที่คอยบัญชาการทหารให้ตั้งรับพวกการ์กอนอย่างตึงมือ เขาพยายามมองหาโจเอล แต่ก็ไม่พบ จึงคิดจะเข้าไปสอบถามฮานส์

                    “ฮานส์ นี่ข้าจอร์ช มากับลูนาร์ เรากำลังจะเข้าไปหา” จอร์ชร้องบอกล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วจึงเข้าไปหา

                    “จอร์ช ท่านลูนาร์ มาที่นี่ได้อย่างไร?” ฮานส์รู้สึกแปลกใจที่พบทั้งสอง

                    “ช่วยบอกข้าทีว่าโจเอลอยู่ที่ไหน” ลูนาร์ถามด้วยความร้อนใจ รู้สึกสังหรณ์ว่าโจเอลกำลังตกอยู่ในอันตราย

                    ฮานส์มีสีหน้ายุ่งยากใจ เพราะเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด ว่าตอนนี้โจเอลอยู่ที่ไหน

                    “ท่านโจเอลพาทหารม้าและพลธนูแยกออกไป ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่”

                    คำตอบที่ได้ ยิ่งทำให้ลูนาร์ร้อนใจ แต่ก็ทำได้เพียงหันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำประการใด

                    “เขาไปทางไหน?” จอร์ชถามหาเบาะแส

                    ฮานส์ชี้ไปทางขวามือแล้วบอก “ท่านโจเอลคงจะอ้อมไปทางด้านหลังทหารของท่านดไวเซน”

                    จอร์ชหันไปยังทิศนั้น ห่างออกไปมีพลธนูของโจเอลยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร เพราะหมอกที่หนาทึบ ทำให้กลัวว่าหากยิงธนูออกไปอาจโดนพวกเดียวกัน

                    “เจ้าว่าโจเอลนำทหารม้าและพลธนูออกไปใช่ไหม? เอาล่ะ ข้าจะลองตามรอยดู” จอร์ชตั้งใจจะไล่ตามเบาะแสไปเรื่อย ๆ ดีกว่าจะยืนเฉย ๆ ที่นี่

                    “ท่านจะไปเพียงสองคนเท่านั้นหรือ?” ฮานส์ห้ามปราม รู้สึกกังวลที่จอร์ชและลูนาร์จะไปกันเพียงสองคนกลางสมรภูมิอันดุเดือด

                    “ข้าจะระวังตัว เจ้าจัดการที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วรีบตามไปก็แล้วกัน” จอร์ชพูดเพื่อไม่ให้ฮานส์กังวล ก่อนจะพาลูนาร์ควบม้าอ้อมไปทางด้านหลังทัพดไวเซน

     

                    ห่างออกไป ชายหนุ่มผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อบนหลังม้าศึกประจำตัว เพราะเบื้องหน้าคือศัตรูร่างยักษ์ สูงกว่าสิบฟุต นับเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าหวั่นเกรงที่สุดเท่าที่เคยเผชิญมา

                    หลังจากทำลายกองซุ่มโจมตีของมาคี โจเอลก็นำทหารม้าเหยาะย่าง เสาะหาจุดที่จะเอาชนะข้าศึก กระทั่งได้ยินเสียงการต่อสู้ระหว่างทหารม้าของดไวเซนและนักรบการ์กอนที่ปิดล้อม จึงเข้ามาช่วยทันท่วงที ทางถอยยังเปิดรออยู่ แต่กว่าจะช่วยดไวเซนขึ้นม้าได้ เจ้ายักษ์ตรงหน้าคงไม่อยู่เฉย

                    โจเอลไม่อาจลังเลได้อีกต่อไป เมื่อเจ้ายักษ์เริ่มขยับ เพื่อรักษาความได้เปรียบ เขาต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม ชายหนุ่มกระแทกเสปอร์ ขับม้าเข้าใส่เจ้ายักษ์ ขณะกระชับด้ามทวนแน่นในวงแขน พร้อมจะตัดสินให้รู้ผลในครั้งเดียว

                    มาโก๊กปักหลักมั่น เขาไม่เคยรับมือการโจมตีเช่นนี้มาก่อน ศัตรูมีทวนยาวพุ่งมาด้วยความเร็ว เวลาแห่งการตัดสิน จึงมีเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ชั่วพริบตา อาวุธของทั้งสองก็แล่นสวนผ่าน การตัดสินเกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง !

                    เจ้ายักษ์แห่งเผ่าการ์กอนทรุดกายด้วยความเจ็บปวด ทวนของโจเอลปักคาอยู่ที่สีข้าง ลึกไปถึงครึ่งด้าม...กระนั้นโจเอลก็หาใช่ผู้ชนะ เพราะผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลก็ตกจากหลังม้า นอนแผ่กลางพื้นดิน...

                    ชั่ววินาทีที่เกิดการปะทะ ทวนของโจเอลโจมตีถูกเป้าก่อน ทว่าพลาดจากจุดตาย เจ้ายักษ์จึงกัดฟันฟาดอาวุธสวน จังหวะนั้น เจ้าพอลลักซ์กลับผงกศีรษะขึ้นรับเคราะห์แทนนาย มันสิ้นใจจากการถูกปลิดศีรษะในทีเดียว อาวุธของเจ้ายักษ์ จึงเบี่ยงออกไปจากโจเอล

                    โจเอลสะบัดหัวไล่ความมึนงง แม้อาวุธของเจ้ายักษ์จะพลาดเป้า แต่ก็แฉลบผ่านหมวกเกราะจนปลิวหาย และยังเสียหลักเพราะร่างพอลลักซ์ล้มลง ขณะที่มาโก๊กกัดฟัน หักด้ามทวนที่เสียบคาเป็นสองส่วน ค่อย ๆ ดึงออกด้วยความระมัดระวัง เขายังไม่ยอมแพ้...จนกว่าจะขับไล่คนป่าเถื่อนเหล่านี้ให้พ้นไป...

                    โจเอลอาศัยดาบยันกายลุกขึ้น พร้อมจะต่อสู้อีกครั้ง ขณะที่มาโก๊กเอาผ้ารัดแผล เตรียมสู้ต่อเมื่อพร้อม

     

                    อีกด้านหนึ่ง ฮานส์ยังคงบัญชาการรบด้วยใจกระวนกระวาย จากเดิมที่โจเอลนำทหารม้าและพลธนูหายไปในสายหมอกก็ทำให้เขาเป็นห่วงมากอยู่แล้ว พอจอร์ชและลูนาร์พากันตามไปด้วยยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้น แต่การศึกตรงหน้าก็ยังคงติดพัน

                    การยันกันเป็นหน้ากระดาน ทั้งกินแรงและต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากกว่าจะรู้ผล ฝ่ายที่หมดแรงล้มลงจะถูกไล่สังหาร ซึ่งผู้บัญชาการต้องคอยเร่งจังหวะและปลุกปลอบขวัญ

                    ฮานส์เริ่มกังวล แม้คนของเขาจะยังรักษาแนวไว้ได้ แต่พวกการ์กอนมีจำนวนมากกว่า แม้จะตายไปมากก็ยังคงโถมเข้ามาไม่หยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนของเขาย่อมจะหมดแรงในที่สุด

                    ขณะที่กังวลถึงผลการรบที่อาจเกิด อยู่ ๆ พวกนักรบการ์กอนก็เกิดรวนเรขึ้นมา ทหารที่อยู่แถวหน้าร้องบอกด้วยความตื่นเต้น

                    “มังกร! ท่านดารูเกนซ์มาช่วยเราแล้ว!”

                    ฮานส์เข้าใจสถานการณ์ในทันที ดารูเกนซ์คงกำจัดภัยคุกคามในฝั่งตนเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามาช่วยด้วยการตลบหลังข้าศึก มังกรและอัศวินในชุดเกราะสีแดงเพลิงบดขยี้แนวหลังของนักรบการ์กอนโดยแทบไร้การต้านทาน สังหารศัตรูไปมากมาย

                    ฮานส์ฉวยโอกาสนี้สั่งทหารให้ฮึดสู้อีกครั้ง เค้นเอากำลังเฮือกสุดท้ายดันศัตรูจนแตกกระเจิง แต่พวกทหารจากฟอร์ทอังเคิลก็พากันหมดแรง ไล่ตามศัตรูไม่ไหว สำหรับฮานส์ ท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้เขาจะจัดการต่อด้วยตัวเอง

                    ฮานส์ตะโกนสั่งทหารที่หมดแรงเหนื่อยอ่อนให้ปักหลักรอที่นี่ ขณะที่ตนกระตุ้นม้าไล่ตามข้าศึกที่แตกกระจายไปเพียงลำพัง แม้จะอันตรายเพราะศัตรูอาจหันมาจู่โจมกลับได้ทุกเมื่อ ทว่าฮานส์ไม่อาจรอได้อีกต่อไปเมื่อผู้เป็นนายอาจจะกำลังอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย และการบุกเดี่ยวท่ามกลางศัตรูนับร้อยทำให้เลือดในกายเดือดพล่านมีชีวิตชีวา เขาชักดาบคู่ไล่ฟันพวกการ์กอนที่แตกหนี พวกมันพยายามซัดอาวุธเข้าใส่เพื่อสกัดกั้น แต่ฮานส์ก็ปัดมันอย่างไม่ยากเย็น จนเมื่ออาวุธหนึ่งจู่โจมมา เขารู้สึกได้ถึงความหนักหน่วง รุนแรงยิ่งกว่าอาวุธทั่วไปจึงยกดาบขึ้นกันทั้งสองเล่ม กระนั้นก็ยังรุนแรงจนเขาตกจากหลังม้า

                    ฮานส์ไม่ทันได้พัก อาวุธอันตรายก็ฟาดลงมาอีกครั้ง แต่เขาหลบได้พร้อมกับวิ่งตรงเข้าหาผู้ที่โจมตี จนเมื่อแลเห็นตัว เขากลับเป็นฝ่ายยืนนิ่งไปชั่วขณะ...

                    ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า คือยักษ์ใหญ่ที่สูงเกินสิบฟุต ผิวกายสีน้ำเงินเข้ม มีชื่อว่าโก๊ก น้องชายฝาแฝดของมาโก๊ก ผู้สยบความกล้าของดไวเซน มันไม่ได้สวมแผ่นหนังป้องกันอย่างพี่ชาย เพราะทำให้เกะกะเวลาใช้อาวุธ ซึ่งเป็นลูกตุ้มเช่นเดียวกับของมาโก๊ก แต่ขนาดเล็กกว่า และใช้มันพร้อมกันถึงสองอัน ทำให้เกิดการโจมตีที่ต่อเนื่องน่าสะพรึงกลัว หน้าที่ของมันคือการสกัดการบุกของศัตรู เพื่อให้พรรคพวกถอยกลับโดยปลอดภัย

                    ฮานส์แสยะยิ้มโดยไม่รู้ตัว เมื่อรวมเข้ากับบาดแผลบนแก้มซ้าย ทำให้ดูราวกับรอยยิ้มของอสูรร้าย

                    “เยี่ยม!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก พร้อมที่จะสู้กับศัตรูร้ายตรงหน้า

     

                    ทางด้านโจเอลแม้จะลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่ยังลังเลที่จะเข้าสู้กับศัตรูร่างยักษ์ ถึงจะอยู่ในสภาพที่ได้เปรียบ แต่การจะล้มเจ้ายักษ์ให้เด็ดขาดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่ดไวเซนก็ดูเหมือนซี่โครงหัก จึงไม่สามารถสู้รบได้อีก

                    ความลังเลทำให้พลาดโอกาสงาม เมื่อนักรบการ์กอนกรูกันเข้ามาป้องกันมาโก๊กเพื่อรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์ก็พลิกผันอีกเมื่อธนูห่าหนึ่งโปรยปรายผ่านม่านหมอกปลิดชีพนักรบที่คุ้ม ส่วนมาโก๊กอาศัยแผ่นหนังกำบังไว้ได้ การโจมตีก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่นักรบการ์กอน ผู้ที่นำพลธนูมาช่วยคือจอร์ช เขาสั่งการอย่างระมัดระวังเพราะหมอกหนาเช่นนี้อาจพลาดถูกพวกเดียวกัน โชคดีที่น้ำตาไซคลอปช่วยให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน

                    จอร์ชสั่งให้พลธนูหยุดเพราะมองเห็นพวกการ์กอนที่แตกหนีจากฝั่งฮานส์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดไว้ แต่ก็คิดแผนการที่จะใช้ประโยชน์จากมัน ด้วยสภาพถูกกระหนาบจากนักรบการ์กอนทั้งสองด้าน จอร์ชสั่งให้พลธนูหันกลับไปยิงทางด้านหลังแล้วรีบถอนตัวโดยเร็ว

                    พวกการ์กอนที่แตกหนีพากันหยุดด้วยความลังเล บ้างก็ซัดอาวุธออกไป เพราะคาดว่าพลธนูของศัตรูอยู่ข้างหน้า ที่จริงจอร์ชได้พาทหารถอนตัวออกมาแล้ว จึงกลายเป็นว่าพวกการ์กอนต่างโจมตีกันเองเพราะมองไม่เห็น สภาพหมอกลงจัดกลายเป็นอาวุธที่เล่นงานพวกมันเสียแล้ว

                    จอร์ชเฝ้าดูสถานการณ์ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป แต่การถอนตัวที่ทำให้เกิดความสับสนให้พวกการ์กอนได้สร้างปัญหาใหญ่ เขาพลัดหลงกับลูนาร์ !

     

                    การช่วยเหลือจากพลธนูทำให้โจเอลมีโอกาสจัดการมาโก๊กอีกครั้ง และเขาจะไม่ลังเลอีกเพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ กระนั้นก็ยังช้าเกินไป เพราะมาโก๊กฟาดลูกตุ้มจู่โจมมาก่อน อาจเป็นเพราะบาดแผลที่ได้รับ การโจมตีครั้งนี้จึงขาดความรุนแรง โจเอลหลบมันพร้อมกับฟันเชือกร้อยลูกตุ้ม ทว่ากลับไม่ขาด ! โจเอลไม่รู้ว่ามันคือเถาวัลย์ที่มีความเหนียวเหมือนลวดเหล็ก จึงหลงกลเจ้ายักษ์ มาโก๊กกระตุกลูกตุ้มคืนอย่างรวดเร็ว กระชากดาบหลุดจากมือโจเอล มาโก๊กสูดหายใจลึกสะกดกลั้นความเจ็บปวด เตรียมวิ่งเข้าปะทะด้วยกำลังเพื่อปิดฉากการต่อสู้

                    โจเอลและดไวเซนเฝ้ามองความตายที่ใกล้เข้ามาอย่างไม่อาจทำอะไรได้ ฉับพลันร่างหนึ่งก็เข้ามากั้นกลาง พร้อมเปล่งเสียงกังวาน

                    “มานาสโตล!”

                    สิ้นเสียงกังวานใส แสงสว่างจ้าก็สาดส่องไปทั่วสนามรบ ดไวเซนพยายามมองฝ่าแสงจ้าก็เห็นภาพอันประทับใจ ท่ามกลางแสงสว่าง หญิงสาวร่างบอบบางในชุดนักบวชนั่งบนหลังม้า ชวนให้นึกถึงวัลคีรี่ นางฟ้าในตำนานผู้มีหน้าที่ลงมารับวิญญาณผู้กล้า จนเมื่อแสงจางลง ดไวเซนก็ได้รู้ว่าเขายังไม่ตาย และสตรีบนหลังม้าก็หาใช่นางฟ้า

                    “ลูนาร์!” โจเอลร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เพราะเธอหมดสิ้นเรี่ยวแรงจากการใช้เวทมนต์จนหล่นจากหลังม้า โชคดีที่ได้อ้อมแขนของชายหนุ่มโอบประคองไว้

                    หญิงสาวสลบไปแล้ว ขณะเดียวกันมาโก๊กก็สิ้นเรี่ยวแรงหมดสติลงเช่นกัน ทว่าการรบก็ยังไม่สิ้นสุด นักรบการ์กอนเริ่มจัดกำลังใหม่ แสดงว่าผู้นำของพวกมันยังอยู่ แสงสว่างจากเวทมนต์ของลูนาร์ ทำให้จอร์ชรู้ที่อยู่ของเธอ เมื่อเห็นว่าเธออยู่ในความคุ้มครองของโจเอลก็เบาใจส่วนหนึ่ง ทว่านักรบการ์กอนก็กำลังเคลื่อนไปทางนั้น

                    จอร์ชสั่งพลธนูให้โจมตีเพื่อดึงความสนใจของศัตรูแต่ก็ยังไม่เพียงพอ วิธีเดียวที่จะหยุดพวกมัน คือต้องเด็ดชีพผู้นำ ! ชายหนุ่มใบหน้างามพยายามเพ่งไปยังกองทัพพวกการ์กอน ผู้นำของพวกมันอยู่ที่ไหนกันแน่...

     

                    ไกลออกไปเกือบสองร้อยหลา ชายชราคนหนึ่งยืนโบกไม้โบกมือ ร้องสั่งนักรบการ์กอนที่ยังเหลือให้รวมกลุ่มกันไว้ ชายผู้นี้มีชื่อว่าคาทาล เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคูอูล และเป็นผู้นำในการรบ เดิมทีเขาคิดว่าด้วยกำลังคนที่มากกว่าและความชำนาญในพื้นที่ จะช่วยให้ขับไล่ผู้รุกรานไปได้ ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าชาวเกลลิคมีความล้ำหน้าในการสงครามมากกว่าหลายเท่า จึงเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่ ทางเดียวที่พอจะแก้ไขได้ คือต้องรวบรวมนักรบที่เหลือ แล้วไปรวมกับนักรบหมู่บ้านอื่นเพื่อกลับมารบใหม่ สภาพหมอกลงจัดเช่นนี้ พวกศัตรูคงไม่สามารถติดตามได้เร็วนัก น่าจะถอนกำลังได้ไม่ยาก คาทาลครุ่นคิดถึงหมู่บ้านที่รักของเขาจะเป็นเช่นไรภายใต้การยึดครอง...ต้องเตือนชาวบ้านที่เหลือให้รีบหนี หลังจากนั้น...หลังจากนั้น...

                    ...ความคิดของผู้เฒ่าถูกหยุดลงสิ้นเชิงด้วยธนูเพียงดอกเดียว มันปักเข้ากลางศีรษะ หยุดลมหายใจและความห่วงใยอนาคตของหมู่บ้านลงชั่วกาล...

                จอรช์เฝ้ามองผลจากลูกธนูของเขา ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นการยืนยันว่าเป้าหมายที่ได้ปลิดชีพ คือผู้นำกลุ่มนักรบการ์กอนอย่างที่คาดการณ์

     

                    ในกลุ่มนักรบการ์กอนที่สับสนอลหม่าน ไม่มีใครสั่งการได้อีกเมื่อนักรบระดับหัวหน้าถูกจัดการเกือบหมด หลายคนพากันหลบหนีเอาชีวิตรอด บ้างก็พยายามพาพรรคพวกที่บาดเจ็บล้มตายหนีไปด้วย ทว่าก็ยังมีอีกส่วนที่ปักหลักสู้ หนึ่งในนั้นคือโก๊ก ยักษ์ฝาแฝดผู้น้องของมาโก๊ก

                    โก๊กคือนักรบระดับหัวหน้าซึ่งสามารถสั่งการนักรบที่เหลือได้ แต่เขายังคงติดพันกับการต่อสู้อย่างตึงมือ อีกฝ่ายคือฮานส์ที่มีร่างกายเล็กกว่ามากแต่มีฝีมือไม่ยิ่งหย่อน ถึงจะใช้ลูกตุ้มพร้อมกันทั้งสองอันก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ

                    ทางด้านฮานส์รู้สึกยินดีที่ได้สู้กับคู่ต่อสู้มากฝีมือ แม้จะหลบการโจมตีได้ทั้งหมดแต่ก็เริ่มเหนื่อยแรง และเจ้ายักษ์ที่ใช้ลูกตุ้มพร้อมกันทั้งสองอันก็ไม่เปิดช่องว่างให้ประชิด

                    โก๊กพยายามเร่งพิชิตคู่ต่อกรก่อนจะถูกศัตรูล้อมทุกด้าน จึงใช้ลูกตุ้มทั้งสองอัน หมุนควงพร้อมเดินเข้าใส่ดุจกงจักรมรณะ ฮานส์ชะงักเมื่อเห็นการจู่โจมดังกล่าว ทว่าประสบการณ์อันโชกโชนทำให้เห็นวิธีเอาชัย

                    ฮานส์ซัดดาบเล่มหนึ่งออกไป ให้หมุนควงในจังหวะที่เหมาะสมพอดี ส่งผลให้ดาบเล่มนั้นไปขัดกลางเชือกร้อยลูกตุ้มจนพันกันยุ่ง ขณะที่โก๊กชะงักงัน ฮานส์ก็พุ่งตรงเข้าหา เขายังเหลืออีกเล่มพอให้สังหารเจ้ายักษ์ด้วยการแทงเข้าใส่เต็มแรง !

                    ร่างของทั้งสองนิ่ง...แม้จะแทงดาบจนมิด แต่เจ้ายักษ์ได้ยกมือขึ้นบัง ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ฮานส์พยายามดึงดาบกลับ แต่เจ้ายักษ์ใช้มืออีกข้างบีบแขนเขาอย่างแรงจนต้องปล่อยมือ มันจับแขนฮานส์ชูร่างขึ้นเหนือพื้น แต่ก่อนที่มันจะทำอะไรต่อ ฮานส์ก็ใช้แขนอีกข้างดึงมีดสั้นแทงใส่มือข้างที่จับเขาไว้ เจ้ายักษ์เจ็บจนต้องปล่อย ฮานส์ตกลงบนพื้นแต่ไม่ทันได้ทำสิ่งใดก็ถูกเตะเต็มแรงจนกระเด็นไปไกล

                    แม้จะได้ชัยชนะในที่สุด แต่โก๊กไม่มีเวลาให้พัก เขาต้องรีบหนีก่อนจะถูกล้อม เจ้ายักษ์ดึงดาบที่ปักทะลุมือ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเใกล้เข้ามาจึงซัดดาบสกัดออกไป อัศวินมังกรยกอาวุธขึ้นปัดดาบที่พุ่งมาโดยไม่หยุดชะงัก มังกรพาหนะโถมเข้าใส่โก๊กที่ยกแขนป้องกันก่อนจะถูกกัดเข้าจุดสำคัญ โก๊กสะกดกลั้นความเจ็บ ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ห่างจากอาวุธของอัศวินบนหลังมังกรที่มีความแม่นยำและอันตรายกว่ามาก หนทางรอดจากที่นี่ดูจะริบหรี่ เขาเริ่มอ่อนแรงจนเข่าทรุด เจ้ามังกรพยายามตะกายทับไปบนร่าง โก๊กต้องใช้มืออีกข้างบีบคอมันไว้ แต่มือที่ถูกดาบแทงทะลุทำให้ออกแรงได้ลำบาก จนจวนเจียนจะหมดแรง ถุงผ้าใบเล็ก ๆ ก็ปามาโดนหน้าอย่างแรง

                    ฝุ่นผงสีม่วงฟุ้งกระจายออกมาตามรอยปรุของถงผ้า โก๊กกลั้นหายใจไม่ยอมสูดเข้าไป แต่มังกรที่งับแขนเขาสูดเข้าไปก่อนและเริ่มหมดสติ โก๊กคิดว่าอาจมีโอกาสหนีรอดแต่ก็ไม่อาจกลั้นหายใจได้นานกว่านี้ จังหวะนั้นเอง ถุงผ้าอีกใบก็ปาเข้าใส่ คราวนี้เขาสูดมันเข้าไปทำให้รู้สึกง่วงจนไม่อาจฝืน สุดท้ายก็หลับไปอย่างง่ายดาย

                    “ฮะฮ่า! เสร็จล่ะเจ้ายักษ์ ลองเจอผงมอร์ฟีอุสล่ะก็ เป็นเสร็จทุกราย !”

                    ตัวการที่ขว้างถุงผ้าทั้งสองใบร้องเยาะเย้ย ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเฮอร์มพรานผู้นำทางนั่นเอง คำพูดของจอร์ชทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา และเจ้ายักษ์ตนนี้ก็เหมาะที่จะนำไปขาย จึงฉกฉวยผลประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้ โดยไม่ใส่ใจต่อสายตาของดารูเกนซ์ที่จ้องมองด้วยความขุ่นเคือง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×