ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #38 : บทที่ 37 ค่ำคืนที่มืดมิด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 189
      0
      4 ต.ค. 50

                    สงสะท้อนจากคบไฟ เต้นระริกสั่นไหวตามผืนน้ำที่เพื่อมกระจายเพราะความโกลาหล เมื่อชายฉกรรจ์หลายสิบคนต่างเร่งขนย้ายข้าวของหนีน้ำที่เจิ่งนอง

                    ตอนนี้ระดับน้ำในค่ายของดารูเกนซ์ได้เพิ่มขึ้นจนท่วมหลังเท้าแล้ว และคงจะเพิ่มมากกว่านี้อีกแน่นอน ทุกคนจึงต้องรีบเตรียมการกันแต่เนิ่นๆ โดยมีทหารของโจเอลเข้าช่วยด้วย

                    พวกเขาต้องขนย้ายเสบียงอาหารให้อยู่ในที่แห้ง รวมทั้งที่หลับที่นอนก็ต้องให้พ้นจากระดับน้ำ งานที่ลำบากที่สุดก็คือการพาลาร์ซขึ้นไปอยู่บนที่สูง เพราะเจ้ามังกรสีน้ำเงินบัดนี้ได้เข้าสู่ห่วงนิทรารมณ์อันแสนยาวนานของการจำศีลเสียหลายวันแล้ว ซึ่งอันที่จริงนี่มิใช่ช่วงฤดูกาลที่ถูกต้อง แต่อาจเป็นเพราะความบาดเจ็บที่ได้รับ ทำให้ร่างกายของมันเข้าสู่สภาวะนี้ไปโดยอัตโนมัติ

                    การยกร่างของมังกรที่ใหญ่กว่าม้าสองเท่าให้ขึ้นไปบนยกพื้น เป็นงานที่ยากเย็นมิใช่น้อย และยังต้องกระทำด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดีภายใต้การเฝ้ามองของดารูเกนซ์ ยังดีที่มีโก๊กและมาโก๊กคอยช่วยเหลือ ทำให้งานหนักทั้งหลายคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพละกำลังอันมหาศาลของยักษ์ทั้งสอง ฟรีแลนซ์ก็โพล่งขึ้น

                    โอ้! ท่านสองคนนี่ แข็งแรงอย่างกับช้างสารเลยเชียว

                    คำกล่าวของชายชุดดำ พาให้ทุกคนสงสัยและสนใจยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทหารจากฟอร์ทอังเคิลหรือจากดราโกเนียร์ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าช้างคืออะไร จนฟรีแลนซ์ต้องอธิบายว่ามันคือสัตว์ที่ตัวใหญ่และแข็งแรงมาก โตกว่าวัวและมีกำลังมหาศาลกว่าหลายเท่า หลายคนที่ได้ฟังถึงกับเบิกตากลมโตราวกับเด็กๆ

                    ประสบการณ์การเดินทางที่มากมายของฟรีแลนซ์ ทำให้เขามีเรื่องราวแปลกๆมาถ่ายทอดให้ฟังมากทีเดียว จนคล้ายวณิพกผู้ร่อนเร่เสียมากกว่าทหารรับจ้าง หากว่าไม่ต้องทำการรบแล้ว เขาก็อาจเลี้ยงตัวได้จากการเล่านิทานและเรื่องประหลาดด้วยซ้ำ หรืออาจบางที การที่เที่ยวรับจ้างเข้าสู่สมรภูมิก็ทำให้ได้ข้อมูลแปลกๆเช่นกัน ดังคราวนี้ เขาคงได้เรื่องน่ามหัศจรรย์ไปเล่าลืออีกมากทีเดียว หากว่ารอดไปได้ เช่น หญิงสาวที่มีปีก ยักษ์ตัวสูงสิบฟุต และมังกร โดยเฉพาะอย่างหลังนั้น ทำให้เขาสนใจเป็นพิเศษ

                    ข้าเคยได้ยินเรื่องของมังกรมานานแล้ว เพิ่งจะเห็นจริงก็คราวนี้นี่แหล่ะ ดูท่าว่าคงต้องลองขึ้นเหนือดูบ้างแล้วสิ จะได้เห็นพวกมังกรมากกว่านี้ ฟรีแลนซ์กล่าว พลางหันไปยิ้มให้แบเรี่ยมเหมือนกับจะตีสนิท ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายผู้วางท่ายะโสเชิดใส่คล้ายไม่เห็นอยู่ในสายตา

                    อาการบาดเจ็บของฟรีแลนซ์ดูจะยิ่งทำให้เขาพูดมากกว่าเดิม เพราะทำสิ่งต่างๆได้ไม่ถนัดนัก แม้แต่การเล่นดนตรี การลงมายังค่ายของดารูเกนซ์ของเขาก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย จนเหมือนกับลงมาเดินเที่ยวเล่นเพื่อความสำราญใจของตนเสียมากกว่า

     

                    คืนนั้น กว่าจะจัดแจงสิ่งของหนีน้ำจนหมดก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะกว้านขนาดใหญ่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ พวกสัตว์ที่เป็นพาหนะจึงไม่อาจขนย้ายไปได้ และก็เพราะยังไม่มีการตกลงกันว่าจะทิ้งค่ายแห่งนี้ไปรวมกันบนหมู่บ้านดีหรือไม่ แบเรียมจึงต้องการคงพวกมันไว้ เผื่อว่าอาจต้องการกำลังของทหารม้า ด้วยเหตุนี้บรรดาม้าและลาจึงถูกย้ายขึ้นไปไว้บนยกพื้น ซึ่งหากนานไปคงทำให้พวกมันอ่อนแอลงเพราะไม่มีที่ให้วิ่งออกกำลัง

                    กระนั้นก็ยังนับเป็นโชคดีอยู่บ้าง ที่พวกการ์กอนไม่ถือโอกาสจู่โจมในคืนนี้ มิฉะนั้นคงยิ่งเพิ่มความโกลาหลเป็นเท่าตัว แต่การที่พวกนั้นไม่โจมตีก็ยิ่งสร้างความแปลกใจให้ ทั้งๆที่สถานการณ์ตอนนี้น่าจะอยู่ภายใต้การคาดคะเนไว้อยู่แล้ว ไฉนพวกมันจึงไม่เด็ดดอกผลที่อุตส่าห์ลงแรง? จะเป็นเพราะผู้นำของมันบาดเจ็บ? หรือเพราะมันยังมีจุดประสงค์อย่างอื่น? เหล่านี้ก็สุดที่พวกเขาจะคาดเดาได้

     

                    รัตติกาลที่มืดมิด หลืบถ้ำอันมืดสนิท สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองความวุ่นวายจากอุทกภัยอยู่เนิ่นนานแล้ว ดวงตาคู่นั้นสวยงามทว่าแฝงแววน่าสะพรึงยิ่ง มันแสดงความยินดีอยู่เพียงลำพัง ไร้ผู้ใดรับรู้ด้วย เว้นแต่... สายตาอีกคู่หนึ่ง ดวงตาที่งดงาม ทว่าฉายแววแห่งความตื่นกลัว...

                    เจ้าของสายตาที่แตกตื่นถูกมัดปากและแขนขาไว้ จึงไม่อาจขัดขืน

                    เจ้าของสายตาที่น่าสะพรึง ยังคงจ้องมองเหตุการณ์ข้างล่าง พลางคิดว่า เจ้าพวกคนเถื่อนนี่ไม่โง่เลย เสียแต่ว่าวิธีการของมันนั้นช้านัก แต่ความอดทนก็เป็นคุณสมบัติที่นักฆ่าทุกคนพึงมี คงไม่กระไรนัก อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องลงมือเองทั้งหมด ช้าแต่แน่นอน ย่อมดีกว่าเร็วแต่สุ่มเสี่ยง ยามจะลงมือ ต้องเงียบกริบและสมบูรณ์แบบ

                    จ้องมองอยู่นานแล้ว สายตาที่เย็นเยียบจึงเหลียวมามองอีกผู้หนึ่งที่อยู่ด้วย แววตาที่แตกตื่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าทั้งคู่ย่อมไม่ใช่พวกเดียวกัน

                    นิ้วมืออันเรียวยาวเอื้อมมาแก้ปมผ้าที่มัดปากของอีกฝ่าย ด้วยสถานภาพในตอนนี้ มันเป็นการกระทำที่หมิ่นเหม่ยิ่ง ด้วยไม่อาจรับประกันได้ ว่าฝ่ายที่เพิ่งได้รับอิสระจะไม่ร้องออกมา แต่มันชอบจะกระทำแบบนี้ ชอบที่จะแสดงอัตตาของตัว แสดงถึงความเหนือกว่า และความมั่นใจในตนเอง

                    ผ้าที่มัดอยู่ถูกเปลื้องพันธนาการแล้ว แต่ปากสีชมพูบางสวยกลับไม่กล้าขยับ ด้วยดวงตาอันน่าสะพรึงลึกล้ำคอยจับจ้องอยู่

                    เมื่อเหยื่อสนองออกมาตามที่คาดหมาย เจ้าของดวงตาที่จับจ้องก็งอตัวสั่นไหวน้อยๆเฉกเช่นการหัวเราะ ผิดแต่ไร้ซึ่งสรรพเสียง ทว่ามันกลับดูน่าขนลุกเสียยิ่งกว่าการระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆเสียอีก

     

                    เช้าวันใหม่เคลื่อนคล้อยมาถึง พร้อมกับระดับน้ำที่เอ่อท้นสูงขึ้นในค่ายของดารูเกนซ์ น้ำตกสายน้อยที่อยู่หลังค่ายซึ่งเคยมีประโยชน์ บัดนี้เล่ากลับมีแต่คนอยากอุดไว้มิให้ไหล

                    ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นนี่เอง ทำให้วันนี้ต้องมาประชุมกันถึงการละทิ้งที่มั่นข้างล่าง แล้วกลับมารวมกันเหมือนเดิม ซึ่งก็นับว่าสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่แน่ล่ะ ว่าจะต้องมีผู้หนึ่งทัดทานไว้ 

                    จอร์ชแย้งว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้พวกการ์กอนบุกรุกได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถจู่โจมเข้ามาได้ทั้งสองทาง ทั้งพวกเขายังไม่ได้สร้างกำแพงด้านทิศเหนือไว้ จึงยังไม่พร้อมจะละทิ้งที่มั่นนั้นไป

                    ขอให้พวกท่านอดทนกันสักระยะ อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะสร้างแนวกำแพงจนเป็นที่เรียบร้อย อย่าได้อนาทรไปเลย ผลการรบเมื่อวันก่อนก็พอจะกระจ่างแล้ว ว่าการที่ศัตรูต้องแบ่งกำลังกันจู่โจม ทำให้เราตั้งรับได้ง่ายขึ้น จอร์ชสรุป

                    โจเอลอยากจะแย้งออกไปเสียเหลือเกิน ด้วยเขารู้ดีว่าใจของสหายคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าทั้งดารูเกนซ์และแบเรียม รวมทั้งคนอื่นๆมิได้แสดงท่าทีใดออกมา เขาจึงพลอยนิ่งเฉยตามไปด้วย อีกประการหนึ่งก็เพราะคำพูดของจอร์ชใช่จะไร้เหตุผล นับเป็นเรื่องจริงที่พวกเขาต้องสร้างกำแพงอีกด้านหนึ่งเสียก่อน มิฉะนั้นศัตรูก็อาจฉวยเข้าจู่โจมช่องว่างอันนี้ได้ ทว่าจะสร้างกันอย่างไรล่ะ? ในเมื่อไม่อาจหาไม้จากป่าได้อีกแล้ว

                    ปัญหาข้อนั้น จอร์ชได้เสนอว่าจะสร้างมันด้วยหิน ซึ่งคงสกัดหรือหาได้จากในถ้ำ แต่ก็ยังฟังดูเหลือเชื่ออยู่ดี การจะสร้างกำแพงหินไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการคัดและคำนวณหินที่จะวางอย่างดี แต่เมื่อไม่มีใครโต้แย้ง โจเอลก็จำต้องเงียบอีก เพราะเขาเองก็ไม่อาจเปิดโปงความคิดของสหายได้เช่นกัน

     

                    ขณะเดียวกัน ภายใต้ความแตกแยกที่เป็นไปอย่างเงียบเชียบในพวกโจเอล ตรงกันข้าม ทางด้านฝ่ายการ์กอน  มันกลับถูกแสดงมาอย่างเอิกเกริกมากกว่า

                    ตั้งแต่ที่วาคียาตกลงใจจะเอาชนะศัตรูด้วยการปิดล้อม ก็มีเสียงซุบซิบในแง่ที่ว่าเขาเป็นผู้นำที่ขี้ขลาด แล้วยิ่งได้รับบาดเจ็บในช่วงนี้ ก็ยิ่งมีหลายคนพากันคล้อยตามว่าควรเปลี่ยนผู้นำเสียใหม่

                    แม้การที่ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงจะเป็นเรื่องดี แต่หลายต่อหลายคนก็มีครอบครัวที่อยากจะกลับไปหา หากว่าจะยุติเรื่องนี้ได้โดยเร็วก็คงจะดีไม่น้อย

                    ซีบิลเฝ้าสังเกตคำครหาเหล่านั้นด้วยความอดทน ปกติแล้วในช่วงกลางวันเธอจะไม่ค่อยออกไปไหน เพราะแสงแดดทำให้เธออ่อนแรง และเธอก็รู้ดีว่าตนเองเป็นสาเหตุหนึ่งของคำนินทา พวกนั้นพูดกันว่า เพราะวาคียานำผู้หญิงของตัวเองมาด้วย จึงได้นิ่งนอนใจนัก โดยที่พวกเขาไม่นึกย้อนดูเลย ว่าต้องการการสอดแนมของเธอเข้าช่วย เพราะบัดนี้คนพวกนั้นได้ถูกเป่าหูด้วยเล่ห์กลอันชั่วร้าย

                    ผู้อยู่เบื้องหลังความแตกแยกทั้งหมดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคูราน เจ้ามนุษย์ต้นไม้ที่มีใบหน้านิ่งเฉยนี้ หากดูเผินๆแล้วเป็นคนที่น่าเลื่อมใส แต่ภายใต้เปลือกอันสงบเงียบ กลับมีโพรงที่เกิดจากหนอนแห่งความริษยาเจาะเป็นโพลง จึงยอมทำทุกอย่างที่จะให้ตนก้าวขึ้นเป็นผู้นำแทน

                    ท่านวาคียา พวกเราต้องรอคอยอีกนานเท่าใดหรือ? ซีบิลเอ่ยถามเมื่อได้อยู่ในกระโจมเพียงลำพังกับชาย ซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายการ์กอน และเป็นคนที่เธอมอบใจให้

                    ปกติแล้วเธอจะไม่เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าวาคียาต้องการจะคิดคำนวณอย่างรอบคอบและด้วยความอดทน จึงไม่ควรจะถามให้เป็นที่รำคาญใจอีก ทว่าเธอก็รู้สึกว่ากระแสของคำนินทาได้ตะเบ็งเซ็งแซ่มากขึ้นเรื่อยๆ เขาอาจจะทนต่อไปได้อย่างไม่มีสิ้นสุด แต่การที่หญิงสาวคนหนึ่งจะต้องทนรับฟังการกล่าวร้ายชายที่ตนได้หลงรักอย่างหมดจิตหมดใจ ก็เป็นเรื่องที่เกินไปนัก ถ้าหากว่าเป็นเช่นสตรีทั่วไปคงต้องแก้ต่างอย่างชนิดไม่ลดราวาศอก แต่ซีบิลรู้ว่าการทำเช่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น มีแต่จะตกลงไปในกับดักที่อีกฝ่ายวางไว้

                    วาคียาไม่ได้ตอบคำถามในทันที ชายหนุ่มหน้าตาคมคายส่งยิ้มอันแสนอ่อนโยนให้ แล้วลูบศีรษะหญิงสาวด้วยความเอ็นดู

                    จนกว่าแผลของข้าจะหายกระมัง เขากล่าวยิ้มๆ พลางชี้ให้ดูบาดแผลซึ่งยังคงสาหัส

                    นัยน์ตาสีอำพันดูงดงามของหญิงสาวมองค้อนมิได้นึกสนุกด้วย วาคียามักจะผัดผ่อนกับผู้อื่นเช่นนี้เสมอ แต่กับเธอเองเขาควรจะเปิดเผยให้รู้ความคิดบ้าง เมื่อเธอมอบทุกอย่างที่มีให้กับเขาได้ เขาก็ควรจะทำให้เธอได้รู้สึกว่าเป็นคนพิเศษเช่นกัน

                    เพราะเจ้าพรายทะเลนั่นใช่ไหม? ตั้งแต่ที่ท่านได้พูดคุยกับคนผู้นั้น ความคิดของท่านก็ลึกลับและคาดเดาได้ยากขึ้นทุกที หญิงสาวตัดพ้อ ความน้อยใจทำให้เธอได้พูดในสิ่งที่ตนก็รู้ว่าไม่สมควรออกไป

                    นัยน์ตาสีทองของวาคียาแข็งกร้าวขึ้นมาทันใด ซีบิลรู้ดีว่ามนุษย์ประหลาดที่ใครๆก็เรียกว่าพรายทะเล แต่กับวาคียาเขาได้นับถือให้เป็นอาจารย์ ถึงขนาดยกน้องสาวให้เป็นผู้คอยปรนนิบัติ จึงไม่ควรจะกล่าวถึงชายผู้นั้นในทางไม่ดีให้ได้ยิน

                    ...วันเพ็ญที่จะถึงนี้ ...ต้องอาศัยนักรบดวงจันทร์ เราถึงจะสูญเสียน้อยที่สุด... ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะก้าวเดินออกจากกระโจมไปอย่างเชื่องช้าโดยไม่เหลียวกลับมา

                    ซีบิลนอนอยู่ลำพังในความเงียบงัน ดั่งลูกนกตัวน้อยที่เปลี่ยวเหงา เขาคงโกรธเธอแน่แล้ว เธอจะทำประการใดได้?

     

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนครุ่นคิดอยู่เพียงลำพังในความเงียบสงัด คืนนี้จันทร์แรมเต็มดวงจึงมืดสนิทนัก มีเพียงแสงจากคบไฟ และดวงดาวที่ชัดเจนยิ่งนัก

                    ทางด้านทิศเหนือ เสียงน้ำไหลเอื่อยจากค่ายของดารูเกนซ์ ชวนให้เข้าสู่ห้วงนิทรา สองวันแล้ว ที่สถานที่นั้นได้ถูกแปรสภาพดังถังบรรจุน้ำ ซึ่งระดับของมันยังทรงอยู่แค่หน้าแข้ง หากเปิดประตูหน้าทิ้งไว้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำเช่นนั้นมิได้ตลอด โดยเฉพาะในยามวิกาลเช่นนี้

                    สถานการณ์ในยามนี้เริ่มเข้าตาจนทุกขณะ นอกจากอุโมงค์ที่ใช้เป็นทางลัดเดินทางมาถึงหมู่บ้านเซกิ โจเอลก็ยังนึกทางออกอื่นใดไม่เห็น และเสบียงก็เริ่มจะร่อยหรอ นูลตัวแม่ที่สูญเสียลูกไปนั้น มันได้ตรอมใจจนร่างกายผ่ายผอมไม่อาจให้นมได้อีก ซึ่งยังความเศร้าแก่ลูนาร์ เพราะเธอรู้สึกผิดที่ช่วยลูกน้อยของมันไว้ไม่ได้

                    โจเอลถอนหายใจขึ้นอีกครา เมื่อมองไม่เห็นทางรอดใด หนำซ้ำค่ายของดารูเกนซ์ยังโดนน้ำท่วม ซึ่งบั่นทอนขวัญกำลังใจในการสู้รบของทหารชาวเหนือลงไปอีก

                    ความมืดมนอนธการเสียยิ่งกว่าคืนไร้จันทร์เช่นนี้ ทำให้โจเอลคิดว่าคงไม่มีทางรอดใดแล้ว หากเขาจะสิ้นชีพลง ณ ที่แห่งนี้ก็คงไม่สู้กระไรนัก ด้วยเป็นเรื่องธรรมดาของชายชาติทหาร แต่กับสตรีที่เขาเป็นห่วงยิ่งนั้น...

     

                    ที่เชิงกำแพง ความคิดซึ่งยังมิได้ปรึกษาแก่ผู้ใด นำพาเอาชายหนุ่มผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลมาถึง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเขม้นมองหาผู้ที่ควรจะเอนกายพัก ณ บริเวณนี้ ทว่ายิ่งเป็นคืนเดือนมืดก็ยิ่งมองหาชายผู้นั้นได้ยากเต็มที

                    ท่านโจเอล มาทำอะไรที่นี่กันหรือ?

                    เสียงที่ดังมา ทำเอาผู้ถูกเรียกสะดุ้ง เพราะมันมาจากด้านหลังเขานี่เอง

                    ฟรีแลนซ์ เอ่อ... ท่านยังไม่นอนอีกหรือ? โจเอลถามไปอย่างคนที่ตั้งตัวไม่ทัน ชายคนนี้มักสร้างความประหลาดใจให้เขาได้มากพอๆกับจูเหลียงทีเดียว

                    ยัง ฟรีแลนซ์ตอบสั้นๆพร้อมกับฉีกยิ้ม

                    เอ่อ... บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?

                    อืม แผลมันลึกถึงกระดูกน่ะ คงหายช้าสักหน่อย

                    ถ้าเช่นนั้น... ช่วงนี้ท่านคงทำการรบไม่ได้?

                    ฟรีแลนซ์เพียงพยักหน้ารับแทนคำตอบ ก่อนจะถามขึ้นบ้าง

                    ท่านมีอะไรจะให้รับใช้อย่างนั้นหรือ?

                    โจเอลมีท่าทีอึกอักอยู่นาน คล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่จะพูด

                    เอ่อ... จำที่ข้าเคยถามท่านได้ไหม ที่ว่า... ท่านคิดว่า ม้าของท่านว่องไวพอจะฝ่าวงล้อมศัตรูได้หรือเปล่า... เขาเอ่ยออกมาในที่สุด

                    ฟรีแลนซ์พยักหน้ารับเบาๆ โจเอลจึงถามต่อ แล้วตอนนี้ล่ะ?

                    แผลนี่นะหรือ? ฮะ ฮะ มันไม่มีปัญหาในตอนขี่ม้านักหรอก ชายร่างสูงกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น ก่อนจะเสริม คิดว่านะ...

                    แล้วถ้าบรรทุกคนไปด้วยอีกผู้หนึ่งล่ะ?

                    ฟรีแลนซ์มิได้ตอบ เพียงเลิกคิ้วด้วยอาการสงสัย

                    ...ข้าอยากให้ท่านช่วยพาลูนาร์กลับฟอร์ทอังเคิลโดยปลอดภัย ท่านทำได้หรือไม่? โจเอลเอ่ยออกมาในที่สุด ทว่าอีกฝ่ายกลับยังมิได้กล่าวอะไร ทั้งสองต่างก็เงียบกันไปพักหนึ่ง จนฟรีแลนซ์พูดขึ้น

                    ได้น่ะได้อยู่หรอก ว่าแต่... ทำไมกันหรือ?

                    เป็นโจเอลที่เงียบบ้าง เขาเองก็ไม่ได้เตรียมใจจะตอบคำถามนี้

                    ขอเดานะ... ท่านรักนางใช่ไหม?

                    โจเอลยังคงเงียบอยู่

                    ท่านคิดว่าคงไม่มีทางรอดจากที่นี่แล้ว?

                    ไม่มีคำตอบใดกลับมา

                    เพราะฉะนั้น... ท่านจึง...

                    พอที ปกติท่านถามมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้านึกว่าท่านไม่จู้จี้กับการรับงานมากนักเสียอีก ในที่สุดโจเอลก็ขัดขึ้น เพราะหงุดหงิดกับการพูดแทงใจดำ ฟรีแลนซ์จึงยักไหล่เหมือนไม่อยากจะซักถามต่อ

                    อา... นั่นซีนะ ข้ามาเพื่อช่วยท่านรบนี่นา แต่เมื่อท่านไม่คิดจะสู้แล้วก็คงหมดธุระที่ข้าจะอยู่ เช่นนั้นข้าช่วยท่านเปล่าๆก็ได้ ถือเสียว่าเป็นทางผ่านแล้วกัน อันที่จริง... การมีสุภาพสตรีร่วมทางไปด้วยก็ดีเหมือนกัน เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่ง เลิกปีกหมวกขึ้นแล้วถาม ท่านอยากให้ข้าพานางกลับเมื่อใด?

                    โจเอลนิ่งคิดคำตอบ เขายังไม่ได้ปรึกษาผู้ใดในเรื่องนี้ และไม่คิดว่าจะพูดให้ลูนาร์ยอมทำตามได้ง่ายนัก

                    ระหว่างที่นึกตรองอยู่นั้น ฟรีแลนซ์ก็ผลักเขาออกไปแล้วร้องเตือน

                    ระวัง!”

                    ขาตั้งกระโจมไฟบนเชิงเทินหล่นลงมายังที่ที่โจเอลเคยยืนอยู่ แทบจะพร้อมกับเสียงวูบของลมที่พัดผ่านเหนือหัว ทว่ามันมิได้เกิดเพราะลม หากเกิดจากสตรีผู้หนึ่งต่างหาก สตรีที่มีร่างขาวนวล และมีปีกของนก!

                    ด้วยการโผบินอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ อีกทั้งความมืดในคืนไร้จันทร์ ได้ช่วยอำพรางการมาถึงของสาวน้อยครึ่งคนครึ่งนก

                    ซีบิลโจมตีทหารยามผู้หนึ่งที่ยังงุนงงจนล้มลง จากนั้นก็ใช้ปากคาบเอาคบเพลิงแล้วบินโฉบไปยังอาคารต่างๆเพื่อวางเพลิง ถึงตอนนี้ สัญญาณเตือนภัยก็ดังก้องแล้ว ทว่าทหารส่วนใหญ่ที่ตื่นมากลางดึกด้วยความสับสน ต่างต้องวุ่นกับการดับไฟไม่ให้ลุกลาม มากกว่าจะสนใจจับตัวผู้บุกรุก และหญิงสาวผู้นั้นก็ว่องไวเกินกว่าที่ใครจะขัดขวางไว้ได้

                    เสียงอื้ออึงที่ดังขึ้นโดยรอบไม่ได้ทำให้ซีบิลสนใจแม้เพียงสักนิด ใจของเธอยามนี้จมดิ่งลงไปในความเศร้าสร้อยทุกขณะ เธอจะทำประการใดให้วาคียากลับมาหา ใช่แล้ว! เธอจะต้องทำให้เขารู้ว่าเธอมีประโยชน์!

                    การโจมตีคนพวกนี้ช่างง่ายดายนัก เธอจึงตัดสินใจจะทำมากกว่าเพียงลอบสอดแนมเช่นทุกครั้ง ถ้าสร้างความเสียหายให้ได้มากพอ วาคียาอาจไม่จำเป็นต้องรอ และเขาจะได้ไม่ถูกผู้คนนินทาอีก เธอบินด้วยใจคิดเรื่อยเปื่อย เมื่อเหลียวกลับไปก็พบว่าเพลิงที่ได้วางไว้ถูกดับลงเกือบหมด จึงต้องวกยังเส้นทางเดิมอีกหน

                    ขณะที่โฉบลงต่ำ ชายคนหนึ่งก็ยืนขวางอยู่ เธอจำได้ ใบหน้าที่มีแผลเป็นนั่น... ชายผู้นี้อันตราย หญิงสาวรับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณ จึงรีบโผบินขึ้นสู่ฟ้ากว้าง ที่ซึ่งน่าจะปลอดภัย ทว่าเธอคิดผิด...

                    ธนูดอกหนึ่งได้พุ่งเข้าใส่ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำเข้าสู่ทรวงอก แล้วเลือดสีแดงก็ไหลรินตัดกับผิวสีขาวนวล ร่างอันบอบบางลอยคว้างร่วงลงสู่พสุธา โลกทั้งใบดูจะหมุนติ้วจนมองไม่เห็นสิ่งใด

                    บนพื้นดินอันมืดทึม ร่างเล็กๆสีขาวนอนขดกายสั่นสะท้าน ความเจ็บปลาบทำให้หายใจติดขัดและรวยรินเต็มที ดวงตาสีอำพันเหม่อมองออกไปยังดวงดาวสุกสกาว ตัดกับผืนฟ้าอันดำมืด เธอเพิ่งสำนึกในความโง่งม โลกใบนี้ยากเย็นกว่าที่เห็นมาก ใช่ว่ามีปีกแล้วจะทำได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าใครก็ต้องมีขีดจำกัด

                    เสียงเอ็ดอึงดังขึ้นรอบกาย แต่ดวงตาสีอำพันหลับลงแล้ว ไม่เห็นภาพใดอีก มีเพียงแต่ภาพของชายคนรักเท่านั้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×