ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #37 : บทที่ 36 บ่วงที่รัดแน่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 194
      0
      23 ก.ย. 50

                    จเอลรีบกลับสู่หมู่บ้านด้วยความรวดเร็วเป็นที่สุด เขาไม่อยากเชื่อว่าฟรีแลนซ์ตายแล้ว ต้องมีสักวิธีที่จะรักษาชายผู้นี้ได้ เขาไม่ได้ตายเพราะพิษบาดแผล แล้วอะไรที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นกัน?

                    เฮอร์มซึ่งรออยู่แล้วได้รีบเข้ามาดูอาการ ใบหน้าเคร่งเครียดทันทีที่เห็น ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใดจากฟรีแลนซ์ ถึงขนาดนี้แม้แต่หมอที่อยู่ในเมืองหลวงก็อาจจะถอดใจไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเฮอร์ม เพราะเขาคือคนที่หัวดื้ออย่างที่สุด!

                    พรานเฒ่ารีบจับร่างผู้บาดเจ็บให้นอนพลิกคว่ำ เอานิ้วล้วงคอแล้วทุบหลังแรงๆสอง-สามที จากนั้นก็พลิกกลับให้นอนหงาย ใช้สองมือประสานไว้ที่อกของฟรีแลนซ์ แล้วกดด้วยความแรงพอประมาณตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ทำเช่นนี้อยู่สิบห้าครั้งก็หันมาเป่าปาก แล้วก็จับข้อมือเพื่อดูชีพจร

                    คนอื่นๆต่างก็เข้ามาล้อมวงดูด้วยการกระทำที่แสนประหลาด ไม่เคยมีใครเห็นวิธีการรักษาแบบนี้มาก่อน รวมทั้งการที่ผู้ชายประกบปากกันก็สร้างขบขันให้จนไม่นึกว่าจะช่วยชีวิตได้จริง ตาเฒ่าต้องตวาดไล่พวกที่มามุงดูให้ถอยห่างออกไป จนในที่สุดโจเอลก็เข้ามาช่วยกันพวกนั้นออกไป

                    หลังจากที่เฮอร์มทำเช่นนั้นได้พักหนึ่งก็ลองจับดูชีพจรดูอีกครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วพูดขึ้นว่า

                    เอ้า! ฟื้นได้แล้ว! จะขี้เกียจไปถึงไหน!”

                    ไม่ว่าเปล่า ยังตบหน้าคนป่วยแรงๆอีกสองฉาด เล่นเอางงกันยกใหญ่

                    แล้วทุกคนก็แทบจะหยุดหายใจ เมื่อแขนข้างหนึ่งของฟรีแลนซ์คว้าหมับเข้าที่คอของพรานเฒ่า!

                    ไม่ช้าผู้ที่ใครๆก็พากันคิดว่าตายไปแล้วแน่ๆก็ลุกพรวดขึ้นมาราวกับมีอาถรรพ์ จนหลายคนพากันคิดไปว่านี่คือวิญญาณที่กลับมาลงทัณฑ์ต่อผู้ที่หมิ่นศพตน

                    ... เฮอร์มพูดอะไรไม่รู้ความ เพราะถูกบีบคอไว้จนหายใจไม่ออก ฟรีแลนซ์ดึงร่างตาเฒ่าเข้ามาใกล้ๆ อยู่ๆก็ลืมตาโพลงแล้วพูดว่า

                    ขอบคุณ...

                    น้ำเสียงนั้นฟังดูเย็นเยียบ ไม่ช้าฟรีแลนซ์ก็ปล่อยมือจากคอของเฮอร์ม แล้วฉีกยิ้มเช่นทุกครา

                    ถึงตอนนี้บรรดาผู้ที่มุงอยู่นานก็โห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะนึกว่าจะต้องเสียนักรบฝีมือดีไปเสียแล้ว ตราบใดที่ชายผู้นี้ยังอยู่ พวกเขาก็มีหวังที่จะชนะศัตรู

                    ท่ามกลางความยินดีของใครหลายคน เฮอร์มกลับนั่งสูดหายใจให้เต็มปอดอีกครา นึกว่าจะต้องมาตายเอาตอนนี้เสียแล้ว

                    ประหลาดแท้ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นจอร์ช แต่พรานเฒ่าก็นิ่งเฉยเสีย ไม่ได้ว่ากระไร

                    วิธีรักษาของท่านประหลาดแท้ ท่านรู้ได้อย่างไรนะ ว่าจะต้องทำเช่นนั้น? ดวงตาของจอร์ชยังคงจับจ้องด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

                    เหอะ! ก็แค่สัญชาติญาณหรอก เฮอร์มแค่นหัวเราะ แต่ใบหน้ายังคงซีดเผือด ริมฝีปากขมุบขมิบบ่นงึมงำ ที่น่าประหลาดคือร่างกายเจ้านั่นมากกว่า...

                    ท่านว่าอย่างไรนะ?จอร์ชรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินไม่ชัดนัก

                    พรานเฒ่าไม่ตอบคำถามนั้น กลับโบกมือไล่แล้วเดินเลี่ยงออกไป

                    เฮ้ย! ไปหาเหล้าล้างปากดีกว่า เหม็นปากเจ้านั่นชะมัด เฮอ์รมบ่นทิ้งท้าย แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าต้องการเหล้าก็เพื่อข่มความกลัว เคยนึกอยู่นานแล้ว ว่ารอยยิ้มของหมอนั่นเหมือนอะไร... มันคืออสรพิษ...

     

                    โจเอลเดินตรวจตราคนเจ็บซึ่งมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อย ที่ได้รับบาดแผลหนักก็เห็นจะมีเพียงฟรีแลนซ์เท่านั้น ไหล่ขวาของเขาถูกแทงเป็นแผลลึก ซึ่งคงจะทำให้จับอาวุธไม่ได้ไปพักใหญ่

                    ลูน่าร์ก็ออกมาช่วยดูแลคนอื่นๆด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าโจเอลจะบอกไปแล้วว่าไม่จำเป็นนัก เพราะแผลเหล่านี้อาศัยเพียงสมุนไพรของเฮอร์มก็น่าจะได้ แล้วนี่ก็นับว่าดึกพอควรแล้ว ไม่น่าที่หญิงสาวจะออกไปไหนมาไหน แต่ก็เช่นที่เป็นมาตลอด นั่นคือลูน่าร์ยิ่งดื้อดึงจะรักษาทุกคนจนหายดี

                    จอร์ช ท่านเห็นเฮอร์มบ้างหรือไม่? โจเอลหันไปถามสหาย เมื่อไม่เห็นตัวผู้ที่เขาตั้งให้เป็นแพทย์ประจำกองทัพ

                    อ๋อ เห็นว่าจะไปหาเหล้ากิน เดาว่าคงอยู่กับพวกชาวเหนือกระมัง ชายหนุ่มใบหน้าสวยตอบอย่างไม่ได้สนใจนัก

                    ท่านบาดเจ็บ? โจเอลทัก เมื่อเห็นโลหิตสีแดงฉาน ตัดกับต้นคอขาวนวลของจอร์ช ได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวถึงได้เพิ่งรู้สึกตัว เอื้อมมือมาแตะที่รอยแผล

                    ใช่ เขาตอบสั้นๆ โจเอลรู้สึกว่าจอร์ชมีความไม่พอใจบางอย่าง ในที่สุดสหายหนุ่มจึงยอมเปิดปาก

                    ทำไมท่านถึงได้ดื้อดึงนัก?

                    โจเอลไม่รู้จะกล่าวอะไร ได้แต่มองด้วยความสงสัย

                    ทำไมท่านจะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงขนาดนั้น ทั้งๆที่แทบไม่มีโอกาสรอด น้ำเสียงของจอร์ชยังคงแสดงความไม่พอใจ

                    ข้าแค่พยายามช่วยพวกเราทุกคน โจเอลแย้ง

                    ไม่ มีแต่วิธีของข้าเท่านั้นจึงจะช่วยทุกคนได้ หากค่ายของดารูเกนซ์จะแตกก็เป็นเรื่องสุดวิสัย...

                    คำกล่าวของจอร์ชทำเอาโจเอลนิ่งงัน ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองราวกับล่วงรู้ไปถึงความคิดของฝ่ายตรงข้าม

                    ข้าแค่เป็นห่วงท่านเท่านั้น อย่าทำอะไรที่เสี่ยงเช่นนั้นอีก จอร์ชเลี่ยงสายตา

                    ขอบคุณที่เป็นห่วง ข้าจะลงไปดูที่ค่ายท่านดารูเกนซ์สักหน่อย ฝากท่านดูแลที่นี่ด้วย โดยเฉพาะลูนาร์ ข้าเกรงเหลือเกินว่านางจะใช้เวทย์มากจนเป็นอะไรไปอีก โจเอลตัดบท ก่อนจะเดินจากไป

     

                    ทางด้านดารูเกนซ์ออกจะสูญเสียมากกว่าฝ่ายโจเอล อัศวินมังกรเสียทหารในบังคับไปสี่นาย และบาดเจ็บอีกหลายนาย แต่นั่นก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบขนาดของการโจมตีที่เพิ่งผ่านพ้น ซึ่งเพราะเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่หลังกำแพงนั่นเอง หากว่ามันถูกทำลายลงเมื่อใด ตัวเลขความสูญเสียคงสูงกว่านี้ หรืออาจถูกสังหารทั้งหมด!

                    นอกจากผู้ที่บาดเจ็บและล้มตาย อาคารบางส่วนยังเสียหายจากคบเพลิงซึ่งถูกขว้างเข้ามา กระนั้นจากที่มองดู  ค่ายแห่งนี้ก็ยังน่าจะตั้งยันข้าศึกต่อไปได้ ทว่าในส่วนของขวัญกำลังใจกลับมิได้กระเตื้องขึ้นเลย

                    การแสดงออกของดารูเกนซ์ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปร นอกจากลาร์ซที่เป็นมังกรพาหนะของตนแล้ว เขาก็แทบจะไม่แยแสสิ่งใดอีก หรืออาจเพราะบางทีเขาไม่รู้จะแสดงความรู้สึกต่อผู้อื่นอย่างไร และไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ ขณะที่แบเรี่ยมก็ไม่ต่างไปเท่าใดนัก ชายวัยกลางคนเอาแต่นั่งจับเจ่าคล้ายมีสิ่งใดให้วิตกยิ่ง

                    แม้ว่าทหารชาวเหนือจะมีความกล้าหาญและเคร่งครัด แต่พวกเขาก็ควรได้รับการเอาใจใส่บ้าง โดยเฉพาะหลังการปะทะเช่นนี้ เท่าที่ดู นอกจากจะรักษากันเองแล้ว ก็มีเฮอร์มนี่แหล่ะ ที่เข้าช่วยเหลือโดยแลกกับเหล้าเพียงเล็กน้อย ซึ่งแม้จะละทิ้งหน้าที่ที่ควรดูแลคนในกองทัพของโจเอล แต่นายบ้านหนุ่มก็ไม่ได้ว่ากระไร เพราะรู้ดีว่าคนเหล่านี้คงต้องการหมอมากกว่า

                    โจเอลกล่าวแก่ดารูเกนซ์ว่าจะให้ลูนาร์มาช่วยทำพิธีศพให้ในตอนเช้า ซึ่งอัศวินมังกรก็ได้แสดงความขอบคุณ เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดให้พอทำได้แล้ว ผู้ปกครองแห่งฟอร์ทอังเคิล จึงเตรียมกลับค่ายของตนก็พอดีพบเข้ากับเฮอร์มอีกหน

                    อ้อ ท่านโจเอล อย่าเพิ่งรีบไปสิ ช่วยพยุงข้าขึ้นไปหน่อย ให้ตายเถอะ ไอ้บันไดแบบนี้นี่มันขึ้นลงยากชะมัด น้ำเสียงของพรานเฒ่าเจือด้วยความเมาเล็กน้อย

    ฮ่ะ ฮ่ะ น่าแปลกใจนะ ข้านึกว่าเจ้าจะคล่องแคล่วไปทุกเรื่องเสียอีก ไม่เอาน่า เจ้ายังไม่แก่ขนาดนั้นหรอก ชายหนุ่มกระเซ้า แต่ก็ยอมช่วยในที่สุด

    อ้อ ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าชุบชีวิตคนได้นะนี่ เขายังคงเย้าแหย่เฮอร์ม ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งไป ก่อนจะเอ่ย

    เรื่องนั้นรึ... ข้าว่าร่างกายเจ้านั่นพิลึกเองมากกว่า... เสียงของเขาแหบพร่า พรานเฒ่าเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ ใครที่หัวใจหยุดเต้นนานขนาดนั้น ไม่น่าที่จะฟื้นขึ้นมาได้แล้ว...

    คำพูดของเฮอร์มสร้างความสงสัยให้ยิ่งนัก ทว่าตาเฒ่ากลับตัดบทไปดื้อ ๆ

    เอ้า! ช่วยพยุงข้าขึ้นไปสักทีเถิด ง่วงจะแย่อยู่แล้ว

    นายบ้านหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะ แล้วก็ทำตามที่เฮอร์มขอ เพราะเขาเองก็รู้สึกอ่อนล้าไม่แพ้กันแล้ว

     

    ในค่ำคืนนั้น หลายคนต่างหลับใหลเพื่อเอาแรงที่จะเผชิญหน้ากับวันต่อไป ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งยืนอยู่บนเชิงเทิน พลางทอดสายตามองดูดวงดาวในท้องนภาอยู่เนิ่นนาน ที่สุดแล้วก็ผ่อนลมหายใจหนักๆออกมา เนื่องเพราะดาวสุกสกาวดวงหนึ่งเริ่มส่งแสงหม่นหมองไปกว่าหลายวันก่อน

    วิกฤติแล้ว วิกฤติแน่แล้ว... หรือว่าจันทร์เพ็ญนี้ ท่านจะไม่อาจรอดไปได้...

    คนผู้นั้นบ่นกับตัวเองเบาๆ เขาสู้ดั้นด้นข้ามทะเลอันปั่นป่วนมาเพื่อพบคนคนหนึ่ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย  หากผู้ที่อุตส่าห์ตามหาจนพบจะมีอันเป็นไปในไม่ถึงยี่สิบวัน

    ชายผู้นั้นลูบเครายาวเรียวด้วยความครุ่นคิด พักหนึ่งจึงหันไปมองเด็กสาวตัวน้อยพลางถามความเห็น

    เจ้าคิดว่ามนุษย์จะเปลี่ยนแปลงลิขิตของดวงดาวได้หรือไม่?

    ดวงตากลมโตใสสีเหลืองจ้องมองกลับมา เด็กสาวมิได้ตอบคำถามนั้น เธอกำลังเพ่งมองไปในกาลข้างหน้า...

     

    แสงเงินแสงทองจับที่ขอบฟ้าข้างบูรพาทิศอีกครั้ง อันหมายว่าวันใหม่ได้มาถึงแล้ว และเมื่อบรรยากาศสว่างไสว ภาพอันแปลกประหลาดก็พลันปรากฏอยู่ตรงหน้า

    ที่ตรงเชิงกำแพงด้านนอกของค่ายดารูเกนซ์ ได้มีสารสีดำเปื้อนอยู่จนทั่ว ทั้งยังหนาเป็นหลายนิ้ว โจเอลเดาว่ามันเป็นซาโบ ยางไม้ที่เมื่อแห้งแล้วจะแข็งเป็นอย่างมาก ทว่าพวกการ์กอนจะทามันไว้ที่กำแพงของศัตรูทำไม ในเมื่อสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้?

    ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีศัตรูที่ไหนจะช่วยสร้างที่มั่นฝ่ายตรงข้ามให้เข้มแข็งขึ้น ทว่าการกระทำที่ดูจะไร้เหตุผลนี้ก็สร้างไม่สบายใจเอาเสียเลย มันต้องมีวัตถุประสงค์ใดแฝงอยู่แน่ เพียงแต่เขายังไม่รู้เท่านั้น

    ไฟ คือสิ่งแรกๆที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคิดถึง และเมื่อถามมาโก๊กดูจึงได้รู้ว่าซาโบติดไฟได้ดีเช่นยางไม้ทั่วไป คำตอบนั้นยิ่งทำให้น่าตระหนก หรือว่าสิ่งนี้ถูกเตรียมการเพื่อจะใช้เผาฐานรากกำแพงกัน กับกำแพงที่ทำจากไม้เช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งฟังดูน่ากลัวทีเดียว

    เมื่อมีความกังวลถึงสิ่งที่จะเกิด โจเอลจึงรีบลงไปเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับดารูเกนซ์ โดยไม่ลืมที่จะพาลูนาร์ไปด้วยเพื่อทำพิธีศพให้กับผู้ที่ตาย

     

    หลังจากการทำพิธีศพอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาเช่นนี้แล้ว โจเอลจึงได้ชวนดารูเกนซ์และทหารอีกจำนวนหนึ่งออกมาสำรวจเจ้าสารสีดำที่แห้งแข็ง มาโก๊กยืนยันว่ามันคือซาโบจริงๆ และมันก็เริ่มจะแข็งตัวแล้ว ซึ่งจะยิ่งยากในการกำจัด

                    พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนำมันออกจากกำแพง ขณะเดียวกันก็ต้องระแวงระวังว่าพวกการ์กอนจะฉวยโอกาสบุกจู่โจม ทว่าแม้มันจะยังไม่แข็งเต็มที่ก็ยังกำจัดได้ยากอยู่ดี และดูว่าเวลาที่เสียไปเกือบหนึ่งชั่วโมงจะไม่ช่วยให้คืบหน้าแต่อย่างใด

    ระหว่างที่พวกเขายังขะมักเขม้นกับงานตรงหน้า ใครคนหนึ่งก็ชะโงกหน้าออกมาจากเชิงเทินแล้วตะโกนถาม

                ท่านโจเอล ทำอะไรกันอยู่รึ?

                    ชายหนุ่มมิได้เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ถาม แค่น้ำเสียงแหบพร่าก็พอจะรู้ได้แล้วว่าเป็นเฮอร์ม

                กำจัดยางไม้ดำพวกนี้อย่างไรล่ะ เจ้าก็มาช่วยด้วยสิ ถ้าว่างนักละก็

    ทำไมล่ะ? ข้าว่าสีดำก็สวยดีออก พรานเฒ่ายังไม่เลิกกวนอารมณ์

    ก็เพราะว่ามันจะติดไฟน่ะสิ ถ้าเจ้าไม่ช่วยก็ไปไกลๆที โจเอลตอบด้วยความรำคาญ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเฮอร์มนั้นถือคบเพลิงอยู่

    โดยที่ยังไม่ทันได้ถามหรือกล่าวอันใด ตาเฒ่าก็ทิ้งมันใส่ตรงที่ที่มียางไม้สีดำเกาะ

    ทุกคนพากันตื่นตะลึงกับการกระทำอันบ้าบอนั้น บัดนี้ไฟเริ่มติดขึ้นมาแล้ว และลามเลียไปอย่างช้าๆ ช้าเป็นอย่างยิ่ง...

    หลังจากที่ไฟติดได้พักเดียว น้ำถังหนึ่งก็สาดโครมลงมาดับมันจนหมดสิ้น ผู้ที่ทิ้งคบเพลิงก็คือเฮอร์ม และผู้ที่ดับมันก็คือเขาอีกเช่นกัน

    ตาเฒ่ายักไหล่ มองตอบกลับมาด้วยแววตาใสซื่อขัดกับอายุอย่างยิ่ง เท่านั้นทุกคนก็รู้แล้วว่าที่พวกตนทำไปนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด ยางไม้พวกนี้แม้จะติดไฟได้นาน แต่ก็ไม่ได้ลุกลามเร็วนัก และยังดับได้ง่ายดายอีกด้วย

    ใช่แล้ว ข้าว่าสีดำก็ดูดีเสียงหนึ่งดังมาอีก คราวนี้เป็นฟรีแลนซ์ที่โผล่มาแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ เล่นเอาเฮอร์ม เหงื่อแตกพลั่ก

                ท่านนี่มีรสนิยมนะ ชายหนุ่มสูงโปร่งยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆพร้อมกับฉีกยิ้มให้ ก่อนจะหันไปตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างล่าง

                ท่านโจเอล ข้าว่าเรามาสนใจเรื่องที่มีประโยชน์กว่านั้นดีกว่า เช่น... อาหารเช้า

     

                    เมื่อเป็นเช่นนั้น โจเอลตัดสินใจว่าจะปล่อยยางไม้สีดำไว้อย่างนั้น โดยแนะให้เตรียมถังน้ำไว้บนเชิงเทินเพื่อให้ดับไฟได้ทุกเมื่อแทน ก่อนจะแยกมาเพื่อทานมื้อเช้าตามคำรบเร้าของฟรีแลนซ์

                    แม้ว่าทหารรับจ้างผู้ลึกลับคนนี้จะไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ทว่าบาดแผลที่ได้รับเมื่อคืนนี้ก็ยังไม่หายดี จึงยังต้องใช้ผ้าคล้องแขนข้างที่เจ็บไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน และคงต้องให้ลูนาร์ช่วยใช้เวทในการรักษาอีกสักระยะ ซึ่งยิ่งบาดเจ็บเช่นนี้ ฟรีแลนซ์ก็ยิ่งทานเก่งกว่าเดิม

                เพลงทวนของท่านยอดเยี่ยมทีเดียว ฮานส์กล่าวขึ้นหลังรับประทานอาหาร

                    ฟรีแลนซ์ขยับปีกหมวกเป็นเชิงยอมรับ แล้วชมกลับ ฝีมือท่านก็ไม่เบาเช่นกัน

                ท่านคงจะชำนาญในอาวุธประเภทอื่นบ้างกระมัง เช่นมีดยาว...

                ไม่เลย ข้าใช้เป็นเพียงทวนเท่านั้น

                ฮ่ะ ฮ่ะ เช่นนั้นสักวันเราคงจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้กันฮานส์ยิ้มให้ จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

     

                    หลังมื้อเช้าผ่านไปได้ไม่นาน โจเอลก็ได้แวะไปหายักษ์ฝาแฝดชาวการ์กอนซึ่งอยู่พร้อมหน้ากัน ในตอนนี้โก๊กแทบจะหายเป็นปกติแล้ว

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยังสังเกตอีกว่าตัวของยักษ์ผู้พี่ดูจะมีเรื่องราวให้หนักอกอยู่ และเหมือนจะเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่อยู่ภายในถ้ำ หลังจากที่สังเกตอยู่นาน โจเอลจึงเอ่ยออกมา

                ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงลำบากใจไม่น้อย*

                    มาโก๊กยังคงนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร โจเอลเหลือบมองไปยังรอยแผลเป็นบนไหล่ ซึ่งยักษ์ผู้พี่ได้มาจากการสังหารเมยานาร์ หรือมันก็คือคำสาปนั่นเอง

                การที่ต้องสู้กับคนเผ่าเดียวกัน... พวกเจ้าคงไม่สะดวกใจเท่าไหร่*” เขากล่าวต่อ

                ท่านโจเอล... ข้ามิใช่คนที่ชอบพูดพร่ำพรรณนา และมิใช่ผู้ที่ผิดคำพูด ใครที่เป็นศัตรูของท่าน มันผู้นั้นก็คือศัตรูของข้า* วาจาของมาโก๊กหนักแน่นมั่นคงดังเหล็กเพชรลิขิตแผ่นผา กระนั้นโจเอลก็ไม่อยากให้ทั้งสองพี่น้องรู้สึกหนักใจจนเกินไป

                ข้าขอขอบใจในน้ำใจนัก แต่ที่เจ้าทั้งสองช่วยพวกเรามาจนถึงที่นี้ก็มากพอแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องออกรบก็พอจะช่วยข้าได้*”

                    ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลหยุดลงนิดหนึ่ง คิดถึงสิ่งที่จะให้ทั้งสองกระทำแทนการออกศึก

                ตรงปลายหมู่บ้านมีกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง ชายที่อยู่ในนั้นอย่างไรก็น่าสงสัยอยู่ ข้าอยากให้พวกเจ้าคอยเฝ้าดูไว้*”

                    ทันทีที่สั่งไปเช่นนั้น ทั้งสองก็มีแววตาแตกตื่นเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมรับคำในที่สุด กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะกล่าวแก่โจเอล

                ท่านโจเอล พวกเราจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่อาจใช้คนธรรมดาไปเฝ้าภูตผีได้ และถ้าหากว่าชายผู้นั้นกล่าวอะไรแก่ท่านก็ขอให้ระวังไว้จงหนัก เพราะวาจาที่มันกล่าวมาไม่ผิดกับคำพูดของผีร้าย ฉะนั้นพวกเราชาวการ์กอนจึงมีน้อยคนจะยอมเจรจากับคนผู้นี้*”

                    คำเตือนนั้นทำให้โจเอลยิ่งไม่แน่ใจในสถานภาพของจูเหลียง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใด เพียงเก็บความสงสัยไว้

     

                    ณ ค่ายของการ์กอนที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก คนเหล่านี้ต่างนั่งนอนกันเอกเขนกด้วยความเกียจคร้าน การทำสงครามปิดล้อมเช่นนี้มีแต่จะสร้างความเบื่อหน่ายให้ทั้งสองฝ่าย แต่ความเบื่อหน่ายก็ยังดีกว่าความตาย เพราะคงมีอยู่น้อยคนที่จะอยากเอาชีวิตไปล้อเล่นกับคมหอกคมดาบ ฉะนั้นแล้ว หลายคนจึงไม่ได้บ่นหรือแสดงความไม่พอใจที่ผู้นำได้เลือกวิธีการนั่งรอ มากกว่าจะสั่งเข้าตีด้วยความความกล้าหาญ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นแย้งเอาเสียเลย

                นี่เราจะต้องรอคอยอีกนานแค่ไหนกัน? กระไรนักกับศัตรูที่มีอยู่ไม่ถึงร้อย เรามีมากกว่านับสิบเท่า วันเดียวก็น่าจะสังหารได้หมด*ชายวัยกลางคนผู้มีผิวกระด้างดังเนื้อไม้บ่นกับพรรคพวกอีกสี่ - ห้าคน หนึ่งในนั้นก็คือเบลก้า ผู้นำคนหนึ่งของฝ่ายการ์กอน

                    เบลก้ารู้แก่ใจดี ว่าศัตรูที่มีไม่ถึงร้อยคนนั้นฤทธิ์ร้ายแค่ไหน เพราะผู้เป็นอาที่นับได้ว่าเป็นนักรบชั้นยอดก็ต้องตายลงด้วยน้ำมือคนพวกนี้ หนำซ้ำครานี้พวกมันยังมีที่มั่นอันดีเยี่ยม แม้จะโถมกำลังทั้งหมดเข้าจู่โจมก็คงต้องสูญเสียไม่น้อย กระนั้นเขาก็ไม่ได้โต้แย้งออกไป นับแต่เสียผู้เป็นอา เบลก้าก็มีปากมีเสียงน้อยลงทุกทีในหมู่พวกตน

                    อันที่จริงแล้ว ชายผู้มีผิวดังเปลือกไม้ก็ย่อมรู้ข้อนี้ดี ศัตรูแม้จะมีน้อยกว่า แต่มีการป้องกันที่ดี อุปมาได้ดั่งเม่นตัวน้อยที่หมาป่ามิอาจทำอันตรายได้ ทว่าผู้นำทัพครั้งนี้คือวาคียา และเขาไม่ชอบชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้เขายังรู้อีกว่า ผู้นำที่เสียนักรบไปมากๆ ในภายหลังย่อมไม่มีคนอยากนับถือติดตาม การเร่งเร้าให้เข้าตีจึงนับได้ว่าเป็นการใช้กระสุนเพียงนัดเดียว แต่ได้นกถึงสองตัว

                ท่านคูฮาน ชาหลาดกว่า ก้าหานกว่า ควรจาเป็นผู้นำมากกว่า* หนึ่งในกลุ่มกล่าวเยินยอออกมา แต่มันช่างฟังดูลำบากยิ่งนัก เนื่องเพราะผู้ที่พูดไม่สามารถหุบปากลงได้ ปล่อยให้ลิ้นห้อยและน้ำลายไหลย้อยจนน่ารังเกียจ เพิ่มความน่าทุเรศให้กับใบหน้าที่คล้ายหมูป่าของตัวเองเข้าไปใหญ่

                ถ้าพูดให้รู้เรื่องไม่ได้ก็อย่าพูดดีกว่า โบท๊อค* ชายผู้มีผิวเหมือนเปลือกไม้เยาะ แล้วคนอื่นๆในวงสนทนาก็หัวเราะใส่ เบลก้าหัวเราะด้วยเสียงที่เบาเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ชายวัยกลางคนกลับหัวเราะดังลั่น กระนั้นใบหน้าของเขาก็มิได้เปลี่ยนแปรเลย จนราวกับว่ามันเป็นไม้ที่แกะสลักขึ้นมาเป็นหน้าคน เสียงหัวเราะที่ดังมาจากใบหน้าที่นิ่งเฉย ช่างขัดแย้งกันจนน่าขนลุก

                    โบท๊อคได้แต่ก้มหน้าหลบด้วยความอาย นับแต่ถูกเจ้าคนแปลกถิ่นทำร้าย เขาก็กลายเป็นตัวตลกประจำกลุ่ม เพราะเคยถูกหอกแทงทะลุปากทำให้บังคับลิ้นและริมฝีปากแทบไม่ได้ ส่วนมือที่ถูกตัดขาดก็ต้องเปลี่ยนเป็นกรงเล็บที่ทำจากไม้ ซึ่งประกอบจากตะขอสามอันที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีพละกำลังและความทรหดให้ใช้ได้อยู่ จึงคงมีสถานภาพดีกว่านักรบชั้นเลวทั่วไป

                    เมื่อนึกย้อนถึงวันที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเพียงนี้ ทำให้ยิ่งแค้นเคืองใคร่จะแล่เนื้อเถือหนังผู้ที่ทำกับตนนัก น่าเสียดายจนถึงตอนนี้ที่ไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นได้

                ฮ่ะ ฮ่า! โทกอล เมื่อคืนนี้เจ้าว่องไวแท้นะ*” ชายคนเดิมโพล่งขึ้น ผู้ถูกเรียกหันมามองด้วยความไม่พอใจ รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะถากถางในเรื่องที่เขาหนีศัตรู แต่ไม่อาจพูดอะไรได้

                คูราน เจ้ากับพวกนั่งสุมหัวเรื่องใดกันอยู่หรือ? วาคียาร้องทักบ้าง แม้จะยังบาดเจ็บจากการต่อสู้ ชายผู้นี้ก็ยังคงเดินตรวจตราไปรอบๆค่ายเช่นปกติ เพียงแต่ต้องอาศัยผ้าช่วยคล้องไหล่เท่านั้น

                โทกอล เจ้าไปเดินดูคนอื่นๆเถิด* ชายร่างเล็กหันไปบอกคนสนิทของตัว โทกอลจึงยอมเลี่ยงการปะทะคารมครั้งนี้ไว้

                ถ้าหากว่าว่างกันนักก็จงพากันไปหาเสบียงสิ หรือไม่ก็ไปขุดคูให้กว้างขึ้น เผื่อเจ้าพวกนั้นจะโจมตีมาอีก*” วาคียาตำหนิคูรานและพวก

                จะให้ข้าทำงานชั้นต่ำรึ! อย่าลืมสิ ว่าข้ามีศักดิ์ศรีจะเป็นผู้นำได้เช่นเจ้า...*”

                แต่ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายก็ไม่เลือกเจ้าใช่ไหม อยากเป็นผู้นำก็อย่าเกียจคร้าน นักรบชั้นเลวสุดยังขยันกว่าเจ้าเลย*”

                    เมื่อเจอคำยอกย้อนเข้าให้ ชายที่ชื่อคูรานก็ชักจะออกอาการ แม้ใบหน้าที่ดุจดังรูปสลักจะไม่แสดงอารมณ์ให้เห็น แต่ผู้ที่อยู่ใกล้กลับเห็นว่าร่างกายนั้นสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ จนต้องตะคอกกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

                ก็เพราะเจ้าเลือกวิธีที่เกียจคร้านเองมิใช่รึ! เข้าตีสิ! แสดงความกล้าออกมาให้สมกับเป็นผู้นำสักหน่อย!*”

                ฮึ!” วาคียาแค่นหัวเราะเบาๆจากนั้นก็ยกแขนข้างที่บาดเจ็บขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว แย่หน่อยนะที่ข้าบาดเจ็บอยู่ เอาไว้หายดีแล้วจะทำตามที่เจ้าแนะนำ เอาล่ะ ไปขุดคูกันได้แล้ว พวกเจ้าน่าจะรู้จักจับจอบจับเสียมกันแต่เนิ่นๆ...*”     เพราะพวกเจ้าน่าจะเหมาะกับท้องไร่ท้องนามากกว่าเป็นนักรบ*

                ประโยคนี้วาคียามิได้หลุดปาก แต่อีกฝ่ายกลับรู้ดีต่อความนัย ถึงตอนนี้คูรานก็หวีดร้องขึ้นสุดเสียง แล้วเดินหนีไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

     

                    เวลาผ่านพ้นล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว จนบัดนี้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเพียงดิน ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงแทนที่ด้วยดวงจันทร์ที่เหลือเพียงเสี้ยวเศษ

                    ลูนาร์นั่งอ่านบทสวดอยู่ในใจเงียบๆบนม้านั่งตัวยาว โดยมีโจเอลนอนหนุนอยู่บนตัก แม้ทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใดต่อกัน ทว่าก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยามที่คนเรามีความสุขก็มักเป็นเช่นนี้...

                    กระทั่งมีเสียงของความชุลมุนดังขึ้น ชายหนุ่มจึงยันกายลุกขึ้นอย่างผู้ที่ตื่นตัวตลอดเวลา จากนั้นก็เร่งฝีเท้าไปยังสาเหตุความวุ่นวายทันที

     

                    ณ ที่ตั้งค่ายของดารูเกนซ์ โจเอลได้รับความกระจ่าง ทั้งต่อเสียงเอะอะที่ได้ยิน และความคลางแคลงที่มีมาแต่เช้า บัดนี้เขารู้แล้วว่าทำไมพวกการ์กอนจึงพากันเทยางไม้ดำไว้ที่เชิงกำแพง

                    ชาวประมงแถบนั้นชอบใช้ซาโบอุดยาเรือ

                    คำบอกเล่าของมาโก๊กวาบขึ้นมาในหัวทันที มันมิใช่ ไฟ ที่ศัตรูได้วางแผนจะใช้พลาผลาญ หากแต่เป็น น้ำ

                    นั่นเพราะยางไม้พวกนั้นได้อุดทางระบายน้ำจนหมด กำแพงไม้ตอนนี้จึงเปรียบเสมือนผนังเรือ ธารน้ำเล็กๆในค่ายเริ่มเอ่อล้นด้วยไร้ทางระบาย ค่ายที่ตั้งอยู่บนเนิน บัดนี้กลับกลายคล้ายจมอยู่ใต้น้ำ!

     

    *เป็นภาษาการ์กอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×