ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่ 25 จูเหลียง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 175
      0
      19 ม.ค. 50

                    วลานั้นล่วงเลยเข้าไปเป็นวันที่ห้าแล้ว นับตั้งแต่ที่พวกโจเอลมาถึงหมู่บ้านเซกิ การดัดแปลงที่มั่นเพื่อเตรียมรับการโจมตีเกือบจะสมบูรณ์เต็มที ไม่ว่าจะเป็นหอรบและกำแพง ซึ่งดารูเกนซ์ต้องรับหน้าที่ในการดูแลค่ายที่สองไปอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก

                    พวกเขายังได้เตรียมการในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงตีเหล็กเพื่อจะได้ซ่อมแซมอาวุธและสร้างมาเพิ่มเติม จอร์ชเองก็ลงมือสร้างคันธนูขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง รวมทั้งฝึกสอนทหารให้ใช้ธนูเพิ่มขึ้น เพราะการรบนับแต่นี้ ส่วนใหญ่คงเป็นการตั้งรับอยู่เบื้องหลังกำแพงเสียมากกว่า ทว่าก็ยังมีปัญหาในเรื่องการทำลูกธนูเพิ่มเติม ด้วยเหตุที่ต้องอาศัยขนของเป็ดป่าในการทำพู่หาง และเหล็กในการทำหัวธนู ซึ่งของทั้งสองอย่างล้วนหาได้อย่างจำกัดในเวลานี้ พวกเขาจึงต้องทำแหลนและหลาวไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธซัด ด้วยเหตุที่อาวุธเหล่านี้มิได้ยุ่งยากในการผลิตนัก

                    โจเอลได้ช่วยฝึกพวกทหารม้าให้มีความชำนาญมากขึ้น และได้สั่งการให้ฮานส์ฝึกพวกพลเดินเท้า โดยเน้นไปที่การจัดรูปกระบวน แม้ว่าจากนี้คงจะไม่มีการปะทะแบบแตกหัก แต่ก็ควรจะเตรียมไว้เผื่อเป็นแผนสำรอง ในยามนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้ทุกคนรอดชีวิตไปได้ พวกเขาล้วนต้องทุ่มเทให้เต็มที่ มันจะไม่ใช่วันสบายๆเหมือนกับตอนที่อยู่ที่บ้านอีกแล้ว ถ้าต้องการอยู่รอด พวกเขาต้องแกร่งพอ

                    ถึงแม้ว่าในด้านทักษะการรบ พวกชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาจะสู้ทหารจากดราโกเนียร์ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังมีความรู้ด้านอื่นๆติดตัวซึ่งมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์, ทำอาหาร, ตีเหล็ก หรือว่าการก่อสร้าง ฯลฯ เท่าที่ประเมินดูพวกเขาน่าจะต้านรับการโจมตีเอาไว้ได้นานเกือบเดือน และหวังว่าจะหาทางกลับบ้านได้ก่อนที่จะต้านทานต่อไปไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ทั้งโก๊กและมาโก๊กจึงได้เดินทางย้อนกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ทุกคนต่างก็พากันตั้งความหวังว่ายักษ์ทั้งสองจะเปิดปากถ้ำอีกด้านหนึ่งได้ทันเวลา หรือหากเป็นก่อนการโจมตีของพวกการ์กอนได้ยิ่งเป็นการดี

                    ในด้านเสบียงอาหารนั้นไม่ถึงกับน่าวิตก ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการล่าสัตว์ของเฮอร์ม หรือนูลแม่ลูกที่ให้จับมาได้ไม่นาน ต่างก็ช่วยได้มากในเรื่องนี้ ซ้ำก่อนที่ยักษ์สองพี่น้องจะไป ทั้งคู่ยังช่วยแนะนำแหล่งที่จะเก็บเกี่ยวธัญพืช ซึ่งถึงแม้จะมีไม่มากในฤดูนี้ แต่ก็เพียงพอสำหรับจำนวนคนที่ไม่มาก และหากว่าพวกเขาจะไม่อยู่ที่นี่นานไปกว่าหนึ่งเดือน

                    อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวกับปากท้องอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะดูไร้สาระไปบ้าง นั่นก็คือตอนนี้ทั้งโจเอลและจอร์ชไม่ต้องคอยกลั้นใจทานอาหารฝีมือของลูนาร์อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอเลิกเข้าครัว แต่ฝีมือของลูนาร์ได้พัฒนาไปมากแล้วต่างหาก จนถึงตอนนี้ก็พอจะเรียกว่าอร่อยได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการชมกันเกินไปนัก ซึ่งบางทีก็ให้รู้สึกสับสนว่าเธอควรจะเป็นแม่ครัวหรือนักบวชดี

                    โจเอลพยายามสลัดความคิดไปยังเรื่องอื่นแทน นั่นเพราะพักนี้เขารู้สึกได้ว่าลูนาร์และจอร์ชมักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังอยู่บ่อยครั้ง เขาจำได้ดีว่าตอนที่อยู่ในถ้ำดาราราย ลูนาร์ได้แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา... บางที... การที่เธอพยายามทำอาหารก็อาจจะเพื่อจอร์ช...

                    เมื่อมาถึงจุดนี้ โจเอลก็รู้สึกสับสน ไม่อยากให้เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ มีแต่ต้องปล่อยให้มันเป็นไป... เขารู้สึกหวั่นไหว สิบกว่าปีในความสัมพันธ์ ทั้งเที่ยวเล่น หัวเราะ สุขใจ และเศร้าใจร่วมกันกับหญิงสาวที่งดงาม ร่าเริง ถึงแม้จะเอาแต่ใจไปบ้าง เขาเคยคิดมาตลอดว่ามิได้เป็นเจ้าของใคร จึงรู้สึกประหลาดหากจะพยายามยึดเหนี่ยวผู้ใดไว้กับตัว บางที วันที่ลูนาร์จะไม่ได้อยู่ข้างๆเขาอีกต่อไปคงใกล้มาถึงแล้ว...

                    หลายวันมานี้ โจเอลมักหันไปทุ่มเทกับความอยู่รอดของทุกคน จนบางครั้งก็ออกจะเคร่งเครียดเกินไป แต่เมื่อถึงเวลาค่ำก็จะปลีกเวลาไปเล่นเกมสร้างแนวปราการกับชายที่เรียกว่าเอลฟ์ อันเป็นเหมือนการผ่อนคลายทางหนึ่งแม้ว่าจะไม่เคยชนะได้เลยก็ตาม ตั้งแต่พวกเขามาถึงหมู่บ้านเซกิจนถึงบัดนี้ ชายผู้มีใบหูเรียวแหลมก็ยังไม่เคยพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หรือว่าบางทีเขาอาจเป็นใบ้... เพราะแม้แต่เด็กสาวที่อยู่ด้วยก็ยังเริ่มที่จะพูดอะไรบ้าง ซึ่งมันน่าจะเป็นภาษาการ์กอน เพียงแต่ฟังดูแปลกไปจนโจเอลไม่แน่ใจว่าฟังรู้เรื่อง และเด็กสาวก็ไม่ยอมเจรจาโต้ตอบ จึงจับเค้าลางของภาษาที่พูดออกมาได้น้อยเต็มที

                    แต่ถึงจะไม่ได้สนทนาแก่กัน นั่นก็ไม่ได้ทำให้โจเอลรู้สึกอึดอัด บางครั้งเขายังรู้สึกลืมตัวไปกับการเล่นเกมจนพลั้งเผลอพูดอะไรออกไป ด้วยความรู้สึกภายในที่กดดันและสับสน ซึ่งกับชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีแล้ว การแบกรับชะตากรรมของคนเกือบร้อยชีวิต ดูจะหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะเก็บเอาไว้เงียบๆเพียงลำพัง และอาจเพราะอีกฝ่ายคงฟังภาษาของเขาไม่รู้เรื่อง จึงทำให้วางใจที่จะเล่าอะไรออกไป อีกทั้งช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ปรึกษากับจอร์ชสักเท่าไหร่ เพราะจอร์ชมักปลีกตัวไปบ่อยครั้ง ซึ่งคงจะอยู่กับลูนาร์ในโรงครัว...

                    การออกสำรวจพื้นที่โดยรอบก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่โจเอลใช้ในการเลี่ยงที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น เพราะเขามักนำของสิ่งหนึ่งติดตัวเพื่อขบคิดปริศนาในตัวมัน

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเพ่งมองวัตถุที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด มันเป็นเศษกระดาษที่ไหม้เกรียมและแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ทว่ามันก็มีปริศนาอยู่ในตัวเองมากมาย ที่แน่ๆมันต้องเคยเป็นของของใครคนหนึ่ง และคนผู้นั้นก็จงใจจะทำลายมันด้วยการเผา บางทีมันอาจจะบันทึกอะไรบางอย่างเอาไว้ ทว่าไม่อยากให้ใครรู้...

                    เช่นนั้นแล้ว ของชิ้นนี้เป็นของใครกันแน่?... เป็นของชาวเกลลาร์หรือเป็นของชาวการ์กอน? หากเป็นของพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็น่าแปลกใจ ที่คนผู้นั้นยอมเสี่ยงภัยลงมายังป่าในยามค่ำเพื่ออันใด? แต่หากว่าเป็นของพวกการ์กอน ก็แสดงว่าภัยคุกคามอาจมาถึงเร็วกว่าที่คิด...

                    แม้จะครุ่นคิดต่อไปเพียงใดก็มิอาจหาคำตอบได้โดยง่าย โจเอลจึงเก็บมันไว้ดังเดิม นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่ที่เฮอร์มได้นำสิ่งนี้มาให้พร้อมด้วยปริศนา เขาพอจะเข้าใจว่าทำไมพรานเฒ่าจึงบอกเขาเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุที่ว่ามันอาจเป็นของใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขาก็เป็นได้ และจุดประสงค์ที่ลงมาในป่าเพียงลำพังยามค่ำคืนก็คงจะไม่ปกตินัก จึงน่าจะเป็นการดีกว่า หากจะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ให้เป็นการเอิกเกริกไปเสียก่อน...

                    โจเอลรีบเก็บวัตถุในมือทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มเหลียวมองไปโดยรอบ ป่าในยามนี้เงียบสงัดจนน่าวิตก ไร้สรรพสำเนียงกระทั่งนกระแวงภัย แสงแดดยามเย็นที่ลอดรำไรผ่านแมกไม้ ดูคล้ายดวงตานับหมื่นที่คอยจับจ้อง หูของโจเอลแว่วเสียงเคลื่อนไหวขึ้นอีก รอบๆตัวไม่ว่าจะเป็นพุ่มไม้หนา หรือมุมมืดทึมที่แสงแดดลอดไม่ถึง ต่างล้วนดูน่าสงสัย

                    เพราะมัวคิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ และความคุ้นชินที่ได้สำรวจป่าเบื้องล่างอยู่หลายเที่ยว ทำให้ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลมิได้ระวังตนมากพอ จนเมื่อรู้ตัวก็อยู่ห่างจากพวกทหารที่ติดตาม ในถิ่นนี้อาจมีพวกการ์กอนอยู่ก็เป็นได้!

                    โจเอลเพ่งสายตาและเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง พลางค่อยๆก้าวเท้ามุ่งกลับไปหาคนอื่นๆซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนจะมีใครหรืออะไรบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่รอบๆ หนึ่งคน... สองคน... สามคน... สี่คน... ท่าทางจะมีอยู่แค่นั้น จำนวนเพียงเท่านี้เขาอาจรับมือไหว แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะมีมาสมทบอีกหรือเปล่า

                    ยอดดาบดูรันดานาในมือถูตวัดขึ้นฟันทันที เมื่ออยู่ๆก็มีวัตถุบางอย่างขว้างมาจากด้านหลัง ด้วยคมดาบนั้น สิ่งที่ถูกขว้างมาก็ขาดออกเป็นสองท่อน ส่งผลให้ผงละอองเล็กๆที่อยู่ภายในฟุ้งกระจายออกมา โจเอลเผลอสูดมันเข้าไปหน่อยหนึ่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้สติสัมปชัญญะพร่าเลือน

                    เสร็จ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ฟังดูแปร่งปร่าด้วยสติที่ใกล้จะดับวูบเต็มที แต่มันเป็นภาษาเกลลิคอย่างไม่ต้องสงสัย และเพียงไม่นาน ชายหนุ่มรูปงามก็ทิ้งตัวลงสลบสไลไปตามฤทธิ์ของฝุ่นผงที่ได้สูดดม

     

                    เปลือกตาที่คลายความหนักอึ้งเริ่มเผยอขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมาเพื่อสำรวจรอบๆ ซึ่งก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรในความมืดเช่นนี้ เห็นได้เพียงลางๆว่าเขาอยู่ในสถานที่อันคุ้นตาเท่านั้น

                    น่าประหลาดที่โจเอลไม่ได้รับอันตรายใดๆ ซ้ำยังไม่ได้มัดเขาไว้อีกด้วย กลุ่มคนพวกนั้นจับตัวเขามาเพื่อการณ์ใดกันแน่? โจเอลลองลุกขึ้นแล้วเดินเพื่อจะสำรวจรอบๆ พลันนั้นเองที่คบเพลิงนับสิบได้เคลื่อนไหววูบวาบให้เห็นผ่านช่องต่างๆ ประตูถูกเปิดดังปึงพร้อมกับกลุ่มคนนับสิบที่กรูกันเข้ามาตะโกนเสียงดังลั่น!

    .....

    .....

    .....

    .....

    สุขสันต์วันเกิด!!!”

                   

                    หรือว่าพวกเราจำวันผิดกัน? เป็นจอร์ชที่กล่าวขึ้นมาพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ โจเอลหันมามองตอบ ยืนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง รู้สึกงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกนี่น่าจะเป็นจอร์ชจริงๆ นั่นฮานส์ แล้วนั่นก็... คนพวกนี้ทำอะไรกันอยู่?

                    รื่นเริงหน่อยสิ วันนี้วันเกิดท่านมิใช่หรือ ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางตบบ่าสหาย

                    ขอโทษด้วยนายท่าน ที่พวกเราแอบกระทำกันอย่างลับๆ ฮานส์กล่าวขอโทษ

                    เป็นความคิดของข้าเองน่ะ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะต้องมาจัดท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หวังว่าคงไม่ผิดกาลเทศะเกินไปหรอกนะ จอร์ชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีฟ้าสวยหรี่มองมาอย่างมีเลศนัยน์ เอาล่ะ ทีนี้ท่านอยากรู้ไหม ว่าทำไมลูนาร์ถึงได้ฝึกทำอาหาร

                    โจเอลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ทว่ายังไม่ทันจะกล่าวอะไร ร่างของสหายหญิงก็เดินมาจากทางเข้าแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ถาดที่มีขนมรูปร่างกลมแบนถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะโดยใช้ทหารถึงสองคน รัศมีของมันประมาณสองฟุต ผิวหน้าถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำผึ้ง จนกลิ่นหอมหวานของมันลอยขึ้นแตะจมูก

                    สุขสันต์วันเกิดนะ ขนมนี่ข้าเป็นคนทำเอง มันทำยากอยู่สักหน่อย อาจจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ลูนาร์กล่าวด้วยท่าทางเขินอาย

                    โจเอลนิ่งไปพักหนึ่ง เขาหันไปมองจอร์ชก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม จอร์ช ท่านทำอะไรลงไปนี่? คำพูดที่ดูเหมือนกับการตำหนิทำเอาสหายทั้งสองถึงกับเงียบไป แต่แล้วรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้เป็นเจ้าของวันเกิด

                    ฮะฮะฮะ ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน ท่านก็เปลี่ยนว่าที่นักบวชให้กลายเป็นแม่ครัวไปเสียแล้ว เอาเถิด... โจเอลยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวกับทุกคนในที่นั้นด้วยเสียงอันดัง

                    ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก ข้าเองก็รู้สึกได้ว่าพักนี้ออกจะเคร่งเครียดเกินไปสักหน่อย พวกเราถือโอกาสนี้สังสรรค์กันให้รื่นเริงเถิดนะ

                    ทันทีที่กล่าวจบ เสียงพูดคุยและหัวเราะก็ดังขึ้นครื้นเครง เพียงพักเดียวโต๊ะตัวยาวก็เนืองแน่นด้วยผู้คน และอาหารหลากชนิดที่ถูกเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้ก็วางเรียงจนเต็ม แม้จะถูกจำกัดปริมาณเนื่องด้วยต้องเก็บไว้ดำรงชีพนานวัน และยังขาดเครื่องดื่มมึนเมา แต่แค่นั้นก็เพียงพอต่อบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ผู้ใดขับร้องและเล่นดนตรีได้ก็ร่วมกันผสมโรงจนเป็นที่สนุกสนาน ต่างคนล้วนเวียนกันเข้ามาอวยพรให้กับเจ้าของวันเกิดทีละคน

                    ขอให้นายท่านมีความสุขและมีสุขภาพแข็งแรง พรใดอันดี ขอจงสถิต ณ ที่นี้ ฮานส์ลุกขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดัง แล้วทุกคนก็พากันโห่ร้องขึ้นรับ

                    ลูนาร์ลุกขึ้นสวดอวยพร และสวดนำก่อนที่จะรับประทานอาหาร โจเอลได้รู้ว่าขนมชนิดนี้คือเค้ก(Cake) อันเป็นเรื่องปกติที่คนมีฐานะในเมืองจะทำขึ้นทานในงานสำคัญๆ แต่ในถิ่นซึ่งห่างไกลและค่อนข้างอัตคัดอย่างฟอร์ทอังเคิลนั้นย่อมไม่มีผู้ใดรู้จัก หากว่าจอร์ชนั้นเป็นผู้ที่รู้สูตรและวิธีการทำ แม้จะแค่พอทำเนาและวัตถุดิบก็มิได้พรั่งพร้อม แต่จอร์ชกับลูนาร์ก็ใช้เวลาในการลองผิดลองถูกจนได้ออกมาอย่างที่เห็น

                    โจเอลรู้สึกได้ว่าหลายวันมานี้เขามัวแต่คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้จนลืมแม้กระทั่งวันเกิดของตน ซึ่งโดยปกติก็จะจัดกันอย่างพอประมาณในหมู่บ้าน แต่ครานี้ออกจะครื้นเครงเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเป็นไปอย่างอัตคัดก็ตาม ซึ่งคงเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางเรื่องเคร่งเครียด งานรื่นเริงเล็กๆจึงดูว่ายิ่งใหญ่ไปได้

                    ไม่ช้าเค้กก้อนใหญ่ก็ถูกตัดแบ่งให้ถ้วนทั่ว แป้งที่อบฟูให้รสสัมผัสนุ่มนวล เมื่อผสานกับความหวานฉ่ำของน้ำผึ้ง ทำให้ได้รสละมุนชวนให้ผ่อนคลาย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมขนมชนิดนี้จึงถูกใช้ในการเฉลิมฉลอง

                    เสียงหัวเราะด้วยความครื้นเครงดังลงไปจนถึงค่ายของดารูเกนซ์ที่อยู่ด้านล่าง ทหารชาวดราโกเนียร์สองนายจึงปีนขึ้นมาเพื่อถามความ และได้ลงไปแจ้งแก่ผู้เป็นนายว่ามีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันเกิดของโจเอล

                    แน่นอนว่าบรรดาทหารจากแดนเหนือต่างก็อยากร่วมในงานรื่นเริง ทว่าแบเรียมเองที่วางตัวเข้มงวดอย่างไม่เข้าท่า ดารูเกนซ์จึงได้แต่ส่งตัวแทนขึ้นมาอวยพร กระนั้นก็ยังมีชาวดราโกเนียร์บางคนแอบเล็ดลอดมาร่วมสังสรรค์ เพราะแบเรี่ยมเองก็ไม่อาจดูแลได้อย่างทั่วถึง

                    ทหารเหล่านั้นไม่ได้มามือเปล่า บางคนได้พกเอาเหล้าติดตัวมาด้วย ซึ่งได้นำมาตั้งแต่จากบ้านเกิดเพื่อไว้แก้เหงา เมื่อประจวบเหมาะกับงานรื่นเริงจึงอดที่จะนำมาแบ่งปันกันไม่ได้ แม้จะมีไม่มากแต่ก็พอให้จิบกันคนละเล็กละน้อยอย่างทั่วถึง เหล้าจากแดนเหนือออกรสแรง ดื่มแค่เพียงเล็กน้อยก็ทำให้หน้าตึงได้ ลูนาร์ที่ดื่มไปแค่นิดหน่อยยังถึงกับผล็อยหลับ เมื่อเห็นเช่นนั้นโจเอลจึงต้องขอปลีกตัวเพื่อส่งสหายหญิงที่สิ้นสติลงด้วยพิษสุรา

     

                    ณ อาคารที่ใช้เป็นโบสถ์และที่พำนักของลูนาร์ โจเอลได้อุ้มร่างของหญิงสาวผู้ไร้สติลงวางบนที่นอนด้วยความนุ่มนวล

                    ร่างงามทอดยาวบนที่นอนนุ่ม หายใจแรงปนไปด้วยกลิ่นสุรา ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยืนนิ่งมองร่างนั้น รู้สึกนึกขันที่ตนเองมัวคิดเตลิดไปไกล ว่าทั้งจอร์ชและลูนาร์มีความลับอะไรต่อเขา หากว่าเป็นเช่นนี้ หญิงสาวผู้น่าทะนุถนอมก็คงจะอยู่ข้างกายเขาต่อไป...

                    ...โจเอล... น้ำเสียงหวานเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสวย ในเวลาที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเดินออกไปจากที่นั้นพอดี พร้อมกันนั้น มืออันเรียวบางก็ยุดชายเสื้อเขาเอาไว้

                    อะไรหรือ ลูนาร์? โจเอลหันมาเอ่ยถาม หญิงสาวมีท่าทีอึกอักไป ดูท่าเธอคงจะเริ่มได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว กระนั้นก็ยังคงมีพิษสุราเจืออยู่ไม่น้อย

                    ...คือว่า... บางที... ถ้าหากว่าท่าน... เอ่อ... ข้าอาจจะไม่เป็นนักบวช... น้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงซ้ำยังสับสน ทำให้แทบจะจับใจความอะไรไม่ได้ แต่โจเอลเข้าใจในสิ่งที่ลูนาร์กำลังจะบอก เธอคงไม่ได้เมามายเสียทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้ชัดแจ้งกว่านี้

                    ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆสตรีร่างบอบบาง แม้ในคืนที่จันทร์หม่นลงเพียงครึ่ง ดวงพักตร์ของลูนาร์ก็ยังคงงดงามภายใต้แสงประทีป เธอหลับตาสนิทเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ต่อคำพูดเมื่อสักครู่ กระนั้นใบหน้าก็ยังคงแดงซ่านเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง โจเอลเพ่งมองใบหน้าที่เจือไปด้วยความเขินอาย เขาเองก็ใจเต้นไม่ต่างกันเมื่อได้รู้ว่าที่เธอลำบากฝึกหัดงานบ้านงานเรือนก็เพื่อเขา ในที่สุดชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะแล้วไล้เส้นผมอันยาวสลวยของสาวน้อย

                    ...เรื่องนั้น ...ข้าคงต้องคุยกับบิดาเจ้าก่อน เขากล่าวพลางคว้ามืออันบอบบางขึ้นจุมพิตอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ปล่อยให้นอนหลับต่อไป แต่ใครเลยจะรู้ว่าฤทัยดวงน้อยนั้นยินดีเพียงใดต่อความนัยน์ที่ปรากฏ มือน้อยๆที่ได้รับการจุมพิตร้อนผ่าวอย่างประหลาดล้ำ มากลึกพอจะให้ความอบอุ่นในค่ำคืนอันเหน็บหนาวเช่นนี้...

     

                    เมื่อโจเอลกลับมายังงานเลี้ยงก็ปรากฏว่ามันยิ่งครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม นั่นเพราะทหารของดารูเกนซ์หลายคนได้ตามมาสมทบหลังจากที่แบเรียมได้หลับไปแล้ว ทหารเหล่านั้นได้พกเอาเครื่องดื่มมึนเมามาเพิ่มเติม ทำให้เจ้าของวันเกิดต้องห้ามปรามเสียบ้าง ด้วยเกรงว่าจะเมามายกันจนขาดสติ เพราะต้องไม่ลืมด้วยว่าพวกเขายังคงอยู่ในใจกลางดินแดนของข้าศึก

                    งานเลี้ยงดำเนินต่อไปจนเกือบเที่ยงคืนจึงเลิกราด้วยเห็นว่าดึกเหลือ ต่างฝ่ายจึงแยกย้ายกันไปตามที่พำนักของตัว

     

                    หลังงานรื่นเริงเนื่องในวันเกิดของตน ความรู้สึกยินดีได้รุมเร้าให้ชายผู้มีผมสีน้ำตาลมิอาจข่มตาหลับ เขาจึงออกเดินสำรวจเลียบเชิงเทินที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน

                    แม้ว่าด้วยตำแหน่งของมันจะช่วยให้เห็นภูมิประเทศได้โดยรอบ ทว่าดวงจันทร์ที่เหลือครึ่งดวง ทำให้มองเห็นแค่เพียงเงาอันมืดครึ้มของพ่างพื้นที่อยู่เบื้องล่าง ตัดกับแผ่นฟ้าสีน้ำเงินเข้มอันเป็นฉากหลัง ที่น่าสนใจมากกว่าเห็นจะเป็นดวงดาราที่ประดับประดาอยู่มากมี ฟ้าที่ปราศจากหมู่เมฆส่งให้ดวงดาราเพริดพราย ถึงเขาจะไม่ประสาในเรื่องดาราศาสตร์นัก แต่ความงามของทัศนียภาพก็ทำให้พลอยจับจ้องอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเสียงหนึ่งได้ดังมาจากด้านหลัง

                    โจเอล ท่านยังไม่นอนอีกหรือ? เมื่อเหลียวกลับไปมองก็พบว่าเป็นจอร์ชนั่นเอง ชายหนุ่มร่างบางเดินเข้ามาใกล้แล้วกล่าวต่อ ดูจากอากัปกิริยาของท่านแล้ว คงมีเรื่องอะไรให้น่ายินดีสินะ...

                    เมื่อดวงตาสีฟ้าสวยจ้องมองมา โจเอลก็ก้มหน้าแล้วแสร้งเฉไฉไปเรื่องอื่น จอร์ช ท่านล่ะ ยังไม่ง่วงอีกหรือ?

                    ...เกี่ยวกับลูนาร์ใช่ไหม? ชายหนุ่มผมยาวไม่ตอบ แต่กลับถามไปยังประเด็นที่อีกฝ่ายพยายามจะเลี่ยง

                    อืม ...ข้าคิดว่า... ท่านกับนาง... โจเอลตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่สหายหนุ่มกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ

                    ฮะฮะ ที่ท่านอ้ำอึ้งก็เพราะเรื่องนั้นเองหรือนี่ ท่านคงจะไม่เห็นกระมัง ว่าข้ากับลูนาร์น่ะ เป็นไม้เบื่อไม้เบากันขนาดไหน... จอร์ชขยับตัวหันไปทางอื่น ก่อนจะพูดต่อ ...ดีแล้วล่ะ ท่านกับนางต่างก็เหมาะสมกันดี นางมักปรึกษากับข้าอยู่เสมอเวลาที่ทำอาหาร ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะถูกใจท่านหรือไม่...

                    ...ข้าคิดว่า... หากกลับถึงหมู่บ้านเมื่อไหร่ ข้าจะพูดคุยกับบิดาของนางเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้ชัดเจน... โจเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจกลั้นความปิติ โดยมิได้สังเกตเลยว่า แววตาของสหายนั้นเศร้าหมองลงไป

                    ทั้งคู่เงียบงันไปพักหนึ่ง ต่างเงยหน้าขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมวลหมู่ดาว แล้วจอร์ชก็เป็นฝ่ายที่เริ่มกล่าวลอยๆออกมา

                    โจเอล... ท่านไม่เคยคิดที่จะซักถามถึงที่มาที่ไปของข้าบ้างเลยหรือ...

                    ชายผมสั้นหันมายิ้มให้ แล้วตอบ ข้าคิดว่าทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง และหากถึงเวลา ท่านคงเอ่ยออกมาในวันหนึ่ง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกหน บิดาข้าได้สอนให้ช่วยเหลือและเป็นมิตรต่อทุกคนโดยไม่แบ่งแยก...

                    ท่านพูดถึงบิดาน้อยมาก... อีกฝ่ายถามขึ้น

                    ...บิดาข้าเสียไปเมื่อสามปีก่อน ท่านตรอมใจอยู่นานหลังการเสียไปของมารดาข้า ท่านจึงเริ่มเงียบขรึมและเก็บตัว ทำให้เรามีเรื่องคุยกันน้อยมาก ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเราสองพ่อลูกได้ขี่ม้าเล่นและซ้อมเพลงดาบกันอยู่บ่อยครั้ง... โจเอลกล่าวด้วยเสียงที่เบาจนเหมือนเป็นการบ่นกับตัวเอง

                    ขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่อย่างน้อยบิดาท่านก็ยังมั่นคงในความรักที่มีต่อภรรยา... จอร์ชเอ่ย เขาก้มลงดวงตาดูเศร้าเมื่อกล่าวประโยคสุดท้าย โจเอลจึงตบบ่าสหายเบาๆเพื่อปลอบใจ

                    แม้จะพูดจาและทำทุกสิ่งเหมือนเป็นปกติ แต่เขารู้สึกได้ว่าจอร์ชมีความทุกข์อยู่มาก ซึ่งอาจเป็นเพราะความลับที่เก็บงำไว้มากมาย หลายครั้งที่สหายผู้นี้แย้มพรายออกมา แล้วกลับเงียบไปเสมือนไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเผยดีหรือไม่

                    ถึงจะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่จอร์ชนั้นดูจะมีเรื่องให้ขบคิดอยู่อย่างมากมาย เขาต้องละทิ้งทุกสิ่งที่รู้จักมายังปลายสุดแดนแห่งนี้ด้วยเหตุใดกัน... ขณะที่โจเอลนั้นแม้จะมีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบมากมาย แต่โลกของเขานั้นมั่นคงและแจ่มชัด มีผู้คนที่รู้จักและไว้ใจได้อยู่รายรอบ น้อยครั้งมากที่เขาจะออกไปนอกฟอร์ทอังเคิล

                    โจเอล ท่านโชคดีมากที่เกิดมาในถิ่นที่สอนให้ท่านมองโลกในแง่ดี... ถิ่นที่ข้าจากมานั้น... ยากที่จะหาคนที่ไว้ใจได้ แม้แต่กับคนที่ใกล้ชิดที่สุดก็ตาม... แต่ท่านอย่ากังวลไปเลย วันหนึ่งข้าจะเล่าทุกอย่างที่ข้ารู้ให้ท่านฟัง... จอร์ชเงียบไปพักหนึ่ง แย่จริง... ดูเหมือนว่าข้าจะเมามากไปหน่อย ถึงได้ชวนท่านพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ นี่ก็ดึกแล้ว ข้าคงต้องขอตัวไปนอนก่อนล่ะ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยตัดบท จากนั้นก็กล่าวราตรีสวัสดิ์ และจากไปอย่างเงียบเชียบไม่ต่างจากตอนที่มา

                    โจเอลได้แต่ยืนมองสหายเดินจากไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างของจอร์ชได้ลดทอนความยินดีของเขาไปไม่น้อย ทั้งๆที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย ทว่าก็อดที่จะรู้สึกมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าพอจะทำอะไรเพื่อลดทอนความโดดเดี่ยวและไม่ไว้ใจใครของจอร์ชได้บ้าง

                    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเหม่อมองดูดวงดาวพลางคิดทบทวนต่างๆนานา เขากวาดสายตาไปโดนรอบ ภายในหมู่บ้านเงียบสงัดนักด้วยดึกมากแล้ว มีเพียงทหารยามไม่กี่นายที่อยู่โยง ไม่ห่างจากที่โจเอลยืนอยู่นัก ใครคนหนึ่งกำลังยืนมองดวงดาราเช่นเดียวกับเขา ทว่าดูจะเอาจริงเอาจังกว่ามาก มือข้างหนึ่งขยับเขยื้อนเหมือนกับจะนับคำนวณบางอย่าง เขาคือชายผู้มีใบหูชี้แหลมนั่นเอง และข้างๆนั้นก็คือเด็กสาวที่คอยติดตามอยู่เสมอ ไม่ช้าร่างนั้นก็หันมามองตอบโจเอล ดวงตาสีแดงนั้นช่างคลับคล้ายคลับคลึงยิ่งนัก

                    ทำไมวันนี้ท่านถึงไม่ไปเล่นหมากล้อมกับข้า? ชายผู้นั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นนิ่ง ทว่างดูเหมือนจะขุ่นข้อง โจเอลถึงกับยืนนิ่งด้วยความฉงน คนผู้นี้มิได้เป็นใบ้ ซ้ำยังพูดภาษาของชาวเกลลาร์ได้อีก!?

                มือข้างหนึ่งของชายที่ถูกเรียกว่าเอลฟ์ลูบไปยังเคราที่ยาวของตนอย่างครุ่นคิด เป็นอะไรไปหรือ? ชายผู้นั้นกระเซ้า อ้อ ขอโทษด้วย ท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าเป็นใบ้ใช่ไหม?

                    โจเอลไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้น

                    หึหึ ขอโทษด้วย ข้าแค่ต้องการจะเรียนรู้ภาษาของท่านก่อนเท่านั้น ชายผู้มีใบหูชี้แหลมค้อมกายลงหน่อยหนึ่ง ก่อนจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าเป็นชาวต้า นามว่าจูเหลียง

                    โจเอลโค้งให้เป็นการตอบรับ ในใจรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน ชายที่ชื่อว่าจูเหลียงก็เรียนรู้ภาษาของเขาได้ถึงเพียงนี้ เพราะโจเอลนั้นยังต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเรียนรู้ภาษาการ์กอนจากโมเกอร์ แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อชาวต้ามาก่อน คาดว่าบางทีอาจเป็นพวกการ์กอนเผ่าหนึ่งก็เป็นได้

                    ข้ามีชื่อว่าโจเอล ชายหนุ่มแนะนำตัวบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะราวกับจะดูแคลน

                    หึหึ นั่นข้าทราบอยู่แล้ว อ้อ! นี่คือผู้ติดตามข้า นามว่าวียา จูเหลียงกล่าว พลางผายมือไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่เด็กสาวที่มีนามว่าวียายังคงเร้นกายไม่ยอมห่างไปจากเขา ฮะฮะฮะ นางค่อนข้างเข้ากับคนอื่นยากอยู่สักหน่อยน่ะ ชายผู้มีใบหูแหลมสำทับ

                    ข้าได้ยินท่านและพวกทหารเรียกข้าว่าเอลฟ์ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดกันหรือ? เขาหันมาตั้งคำถามต่อโจเอล

                    ท่านไม่ใช่เอลฟ์? ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแสดงท่าทีกังขา

                    มันคืออะไรหรือ? จูเหลียงถามกลับไป โจเอลจึงได้อธิบายว่าเอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในนิทานปรัมปรา ซึ่งทั้งลึกลับและน่ากลัวในบางที เพราะชนเหล่านั้นมีอำนาจในการใช้เวทมนต์คาถา และอายุที่ยืนนานกว่ามนุษย์

                    หึหึ กึ่งมนุษย์กึ่งภูตผีรึ ฮะฮะฮะ จูเหลียงหัวเราะเสียงดัง และไม่ได้ใจกับคำถามนั้นอีก (รวมทั้งไม่ยอมตอบคำถามของโจเอลอีกด้วย)

                    เอาล่ะ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้า ว่าทำไมวันนี้ท่านจึงไม่ได้ไปเล่นหมากล้อมกับข้า? เขากล่าวพลางลูบไปที่ใบหูชี้แหลมของตน ตั้งแต่ได้ฟังเรื่องของเอลฟ์ ดูเหมือนจูเหลียงจะหันไปให้ความสนใจกับใบหูที่ชี้แหลมนั้นมากขึ้น

                    อ่อ ขอโทษด้วย พอดีว่าข้ามัวยุ่งอยู่กับงานวันเกิดน่ะ โจเอลตอบ

                    วันเกิดท่านรึ? อีกฝ่ายมีท่าทางสนใจในคำตอบนั้น เขาอวยพรให้เป็นการย้อนหลัง จากนั้นก็ถามจุกจิกถึงเวลาเกิดและอายุของโจเอล แล้วก็หันไปมองดูดวงดาว ทำท่าเหมือนกับคำนวณอะไรบางอย่าง จนดูเหมือนกับว่าได้ลืมโจเอลไปเสียแล้ว ซึ่งว่ากันตามมารยาทแล้ว การเมินคู่สนทนาเอากลางครันเช่นนี้ออกจะกระไรอยู่ สักพักจูเหลียงก็บ่นพึมพำ พลางถอนหายใจแรงราวกับมีเรื่องหนักอก

                    เฮ้อ... ข้าอยากจะเตือนให้ช่วงนี้ท่านช่วยระมัดระวังตัวสักหน่อย อย่าวางใจคนใกล้ และควรเตรียมตัวให้พร้อม ศัตรูมาถึงเร็วกว่าที่ท่านคาด

                    ท่านเป็นนักทำนายหรือ? โจเอลถามขึ้นด้วยความกังขา เขาไม่ค่อยได้พบเจอคนพวกนี้นัก ครั้งสุดท้ายที่พบก็นานจนจำไม่ได้แล้ว ว่าได้รับการทำนายอะไรไปบ้าง จึงไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือการคาดเดาอนาคตเช่นนี้ได้เพียงใด

                    ข้าเป็นมากกว่านั้น ชายผู้มีใบหูแหลมหันมาจ้องเขม็ง เมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกประเมินอยู่ ดวงตาสีแดงที่จ้องมาทำให้โจเอลนึกถึงใครบางคน

                    อ้อ! ไหนๆเราก็ได้เจรจากันถึงเพียงนี้แล้ว ข้าอยากรบกวนให้ท่านช่วยสอนภาษาที่ท่านพูดให้ละเอียดสักหน่อย ข้ายังรู้สึกว่ายังใช้มันได้ไม่ดีเท่าไหร่ จูเหลียงกล่าวต่อ ทว่าเมื่อโจเอลทำท่าว่าจะถามขึ้นบ้าง ชายผู้นั้นก็กล่าวขึ้นอีก

                    เอาไว้สะดวกกว่านี้ค่อยคุยกันต่อเถิด เพราะข้าว่าตอนนี้ท่านคงมีธุระ พูดจบจูเหลียงก็ชี้ไปยังทุ่งหญ้าเบื้องล่าง ชายหนุ่มเขม้นมองตามจึงพบว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×