ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #25 : บทที่ 24 ที่มั่นแห่งที่สอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 182
      0
      29 ธ.ค. 49

                    มื่อแสงแรกของอรุณรุ่งมาถึง การตระเตรียมต่างๆในค่ายก็เป็นไปอย่างคึกคักมากขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือโจเอลนั้นตื่นสายไปจากปกติ ทั้งยังแสดงอาการง่วงหาวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

                    ลูนาร์นำสวดก่อนอาหารเช้าเช่นเดียวกับเมื่อวาน ตามด้วยมื้อเช้าที่ทั้งโจเอลและจอร์ชเริ่มจะขยาดฝีมือของหญิงสาว แต่ผิดคาด อาหารมื้อนี้มิได้เลวร้ายนัก มันอยู่ในเกณฑ์ที่ทานได้ แม้จะไม่ถึงกับอร่อยก็ตาม

                    ดูเหมือนฝีมือเจ้าจะพัฒนาขึ้นนี่นา โจเอลเอ่ยชม นั่นช่วยเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างดงามทว่าดูอิดโรยของลูนาร์ได้

                    ท่าทางเจ้าอ่อนเพลีย นี่คงไม่ได้หักโหมกับการฝึกทำอาหารมากเกินไปหรอกนะ จอร์ชพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงแต่ก็เหมือนกับเป็นการตำหนิอยู่ในที ทำเอาหญิงสาวยิ้มรับเฝื่อนๆ

                    ไม่เป็นไรหรอก ปกติงานของนักบวชก็คือการฝึกความอดทนอยู่แล้ว เธอพูดแก้ตัว

                    เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับจอร์ชว่าเจ้าควรจะพักผ่อนให้มากกว่านี้ อย่าลืมสิว่าหากเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะอธิบายกับพ่อเจ้าลำบาก โจเอลยืนยันความเห็นของจอร์ช เมื่อถูกอ้างถึงบิดา ลูนาร์จึงมิได้โต้แย้งอีก

                    โจเอลรู้ดีว่าบาทหลวงฟีบัสบิดาของลูนาร์นั้นไว้ใจในตัวเขามากพอที่จะฝากฝังบุตรสาว (ถ้ารู้ว่าเธอได้ติดตามมาด้วย) แต่นั่นยิ่งสร้างความหนักใจให้กับชายหนุ่ม ที่จะต้องพาบุตรสาวนักบวชกลับไปยังหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

                    วันนี้นายบ้านหนุ่มแห่งฟอร์ทอังเคิลได้นั่งทานอาหารเช้าร่วมกับทหาร เพื่อดูแลสารทุกข์สุกดิบได้อย่างทั่วถึง ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมีขวัญกำลังใจที่ดี แม้จะผ่านการปะทะและมีการสูญเสียมาบ้างก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงพูดคุยและหัวเราะกันได้ตามปกติ หรือในบางแง่อาจจะดีกว่าตอนที่เพิ่งเดินทางผ่านช่องเขาสุดแดนด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพวกการ์กอนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือ โก๊กและมาโก๊กที่นั่งทานอาหารอยู่ด้วยก็ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ดังเช่นนิทาน

                    การที่ลูนาร์ติดตามมาด้วยก็ช่วยได้มาก มันช่วยให้พวกเขามีตัวแทนทางศาสนาในการยึดเหนี่ยวจิตใจ และถึงแม้จะเป็นแค่นักบวชฝึกหัด แต่เวทพื้นฐานอย่างเวทรักษาก็ช่วยหลายคนไว้จากอาการบาดเจ็บ

                    เมื่อมองไปทางทหารของดารูเกนซ์นั้นดูจะผิดกัน พวกเขาต่างนั่งรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ จนพาให้นึกไปว่าพวกคนเหนือคงจะเงียบขรึมกันไปเสียทั้งหมด แต่เมื่อได้ซักไซ้ไล่เลียงก็ปรากฏว่าผิดคาด คนพวกนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากคนในฟอร์ทอังเคิล เพียงแต่การเดินทางมาไกลจากบ้านเกิดและอยู่ผิดถิ่นทำให้ต่างพากันสงวนท่าทีเช่นผู้เป็นนาย

                    โจเอลได้ทราบข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับดินแดนทางตอนเหนือเพิ่มเติมจากทหารเหล่านี้ โรห์นคือถิ่นของลำธารร้อยสายและเขานับพัน แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นอากาศอันเย็นยะเยือก ในช่วงที่หนาวที่สุดของปีจะไม่มีผู้ใดได้พบพานกับดวงอาทิตย์อยู่หลายวัน ด้วยเหตุนี้คนเหนือจึงชอบที่จะร่ำสุราเป็นอาจิน (และอาจเป็นเพราะขาดจากสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงสงบเสงี่ยมกว่าตอนที่อยู่บ้านเกิด)

                    แต่อากาศอันโหดร้ายก็ได้หล่อหลอมคนพวกนี้ให้มีร่างกายกำยำล่ำสันและกล้าหาญ ไม่หวั่นต่ออุปสรรคนานัปการ พวกเขาไม่เคยกลัวในการศึก และหวังที่จะได้ตายในสนามรบ

                    เสียงกระแอมเป็นเชิงปรามต่อการพูดคุยดังขึ้นจากด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร เมื่อโจเอลได้เหลียวมองไปยังต้นเสียงก็พบกับชายวัยสามสิบ ผู้ซึ่งมีใบหน้าเรียวยาวและดวงตาลึกจนดูลึกลับ

                    ขอโทษด้วยเถิดท่านโจเอล ข้าแค่เตือนพวกทหารเท่านั้น คนพวกนี้ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยแม้จะไม่ได้เมาก็ตาม อ้อ! คงจะเป็นการเสียมารยาท หากข้าไม่แจ้งชื่อตนเอง นามของข้าคือแบเรียม ผู้เป็นลุงและผู้ช่วยของดารูเกนซ์ ชายที่ชื่อแบเรี่ยมกล่าว พร้อมกับลุกขึ้นแล้วโค้งศีรษะ จากนั้นก็กลับไปนั่งหลังตรงแหนว เชิดหน้าจนชวนให้สงสัยว่าเขาสามารถซดน้ำซุปด้วยท่าทางเช่นนั้นได้อย่างไร

                    โจเอลรู้สึกไม่ดีนักกับการวางตัวมีพิธีรีตองและมารยาทที่ดูเสแสร้งเช่นนั้น แท้จริงแล้วแบเรียมมิได้เกิดในตระกูลขุนน้ำขุนนาง แต่เพียรจะให้ตนดูเป็นคนมีชาติตระกูลอันสูงส่ง จึงสำคัญเอาว่าการวางตัวเย่อหยิ่งและคอยหยามหมิ่นผู้อื่นจะช่วยให้ตนเองดูดีขึ้น มารยาทต่างๆที่แสดงออกมาจึงมักเกินพอดี เปรียบได้กับหมีที่พยายามเดินสองขาให้เหมือนมนุษย์ ดูเก้กังและไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง มันทำให้โจเอลเริ่มจะคิดว่า บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ดารูเกนซ์เป็นคนเงียบขรึมและเก็บตัวกระมัง

                    ท่านดารูเกนซ์มิได้มาทานอาหารด้วยหรือ? ชายผู้มีดวงตาสีน้ำตาลกล่าว เขาสังเกตมานานแล้วว่าอัศวินมังกรมิได้อยู่ที่นั่น

                    ท่านโจเอล หลานข้ามิสังสรรค์ร่วมกับทหารเลว ขออภัย ข้าหมายถึงพวกทหารของข้า แต่ที่ข้าต้องมานั่งอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องมีคนดูแลคนโง่พวกนี้...

                    เขาอยู่ที่ไหนหรือ? โจเอลไม่อยากทนฟังคำพร่ำพูดไร้สาระจากแบเรียมจึงกระชั้นเอาความ ชายวัยสามสิบถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ กระนั้นก็ยังเกรงในบารมีของหนุ่มน้อยที่อ่อนเยาว์กว่า แม้จะเป็นผู้ปกครองในถิ่นอันห่างไกล แต่โจเอลก็มีอำนาจเต็มในดินแดนของตนเอง ผิดกับแบเรียมที่เป็นเพียงกาฝากของหลานชาย

                    คงจะอยู่กับพาหนะของตนกระมัง แบเรี่ยมตอบ น้ำเสียงนั้นออกอาการดูหมิ่น หากแต่เป็นรอยยิ้มละไมของฮานส์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่าง ที่ทอนความจองหองของชายผู้นั้นลง ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนในฟอร์ทอังเคิลหรือใครก็ตามที่อยู่ในที่นี้ ต่างก็ได้รู้ซึ้งในฝีมือการรบและความภักดีที่ไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นผู้เป็นนายของฮานส์

                    ขอบคุณ เช่นนั้นข้าจะไปพบเขาสักหน่อย โจเอลตัดบทแล้วลุกออกไป โดยมีจอร์ชและลูนาร์ตามไปด้วย ทิ้งให้ทหารเอกผู้มีใบหน้าเหี้ยมเกรียมได้ทานอาหารร่วมกับผู้รากมากดีจากแดนเหนือต่อไป

     

                    ท่านโจเอลมาขอพบขอรับ ทหารในบังคับบัญชาเข้ามารายงานต่อดารูเกนซ์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆมังกรของตนในโรงเลี้ยง อัศวินหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เขาแค่พยักหน้าเบาๆเป็นการอนุญาตให้เชิญเข้ามา จากนั้นก็หันไปดูแลมังกรของตนต่อ

                    ไม่นาน ผู้พิทักษ์แห่งฟอร์ทอังเคิลก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยสหายอีกสองคน โจเอลได้เห็นมังกรที่เคยสำแดงอานุภาพในการรบนอนอย่างสิ้นแรง ผู้เป็นนายก็เศร้าซึมไปกับอาการของมัน ดูจากผ้าห่มและถาดอาหารแล้ว ดารูเกนซ์คงจะนอนเฝ้าอาการของมันที่นี่ตลอดเวลา มันทำให้โจเอลนึกถึงพอลลักซ์ ม้าศึกที่เพิ่งตายไปได้ไม่นาน เขารู้ดีว่าการสูญเสียสหายคู่ใจเป็นความปวดร้าวยิ่ง โดยเฉพาะกับดารูเกนซ์แล้ว ลาร์ซถือได้ว่าเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของอัศวินผู้นี้เลยทีเดียว

                    ...นี่ยังไม่ถึงเวลาประชุมมิใช่หรือ? ดารูเกนซ์เอ่ยถามผู้มาเยือน พร้อมกับปรายมือเชื้อเชิญให้นั่ง แม้จะปนไปด้วยความเศร้า แต่น้ำเสียงของอัศวินหนุ่มก็ยังคงทรงเสน่ห์

                    โจเอลนั่งลงตามการเชื้อเชิญ ก่อนจะตอบคำถามนั้น ข้าแค่เป็นห่วงในอาการของเจ้ามังกรนั่น...

                    มันมีชื่อว่าลาร์ซ ดารูเกนซ์กล่าวแทรกด้วยน้ำเสียงเข้ม

                    ขออภัย อาการของลาร์ซเป็นอย่างไรบ้าง? ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยังคงแสดงความเป็นห่วง

                    ...ดูเหมือนจะทรุดหนัก อัศวินหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะเสริมขึ้นอีกหน่อย มันไม่ยอมทานอาหารเลย...

                    ท่านได้ทำการรักษาไปบ้างแล้วหรือ? จอร์ชถามขึ้น

                    ...ข้าได้ใช้สมุนไพรทุกอย่างเท่าที่หาได้แล้ว ...ถ้าเป็นที่ดราโกเนียร์... คงพอหาหมอรักษามังกรเก่งๆได้... ดารูเกนซ์กล่าวพลางลอบถอนหายใจ

                    ข้าพอทราบมาว่า การรักษาด้วยสมุนไพรไม่ค่อยมีผลต่อมังกรนัก... บางทีการใช้เวทมนต์อาจจะช่วยมังกรของท่านได้ โจเอลเสนอความช่วยเหลือขณะหันไปมองลูนาร์ แต่หญิงสาวกลับทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อันใด

                    ลูนาร์ เจ้าช่วยรักษามันทีเถิดนะ แม้ว่าจะถูกขอร้อง แต่เธอกลับส่งสายตาเหมือนจะบอกว่า ท่านบอกให้ข้าพักผ่อนมากๆมิใช่หรือ?

                    ชายหนุ่มถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะประเมิณความเอาแต่ใจและความเจ้าคิดเจ้าแค้นของบุตรสาวนักบวชต่ำเกินไป ใช้เวลาเพียงไม่นาน โจเอลก็ต้องยอมให้กับการต่อรองนั้น

                    เอาเป็นว่า... ถ้าเจ้าช่วย ข้าจะไม่ขัดใจเจ้าอีก... จนกว่าจะกลับถึงบ้านนะ... ไม่วายที่เขาจะหยอดข้อต่อรองไปอีกหน่อย หลังจากที่ฟังข้อเสนอนั้น ลูนาร์ก็ยิ้มจนเห็นฟันขาว แล้วจึงเริ่มร่ายเวทเพื่อทำการรักษาลาร์ซ ที่จริงเธอก็นึกสงสารมังกรตัวนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ด้วยอารมณ์เอาแต่ใจและความรู้สึกอยากแกล้งโจเอล ทำให้เธอล้อเล่นอย่างไม่รู้กาลเทศะ

                    ระหว่างที่ลูนาร์ทำการรักษามังกรอยู่นั้น ดารูเกนซ์ก็ยังคงเงียบขรึมและไม่ได้พูดคุยกับใครเช่นเดิม ซึ่งโจเอลก็ไม่ได้คาดหวังจะใช้การณ์นี้เพื่อผูกมิตรอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากเห็นมังกรตัวนั้นต้องตายลงไปเท่านั้น

                    ชายหนุ่มวัย 17 หวนนึกถึงการสนทนาระหว่างเขาและพญามังกรผู้มีเกล็ดเป็นเพชร เมื่อนึกถึงชะตากรรมของพวกสเลนที่เกิดมาเพื่อชดใช้แทนบรรพชนที่สังหารมนุษย์ก็ยิ่งรู้สึกสงสาร เขาเดาเอาว่าดารูเกนซ์คงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป นั่นสร้างความกังขาว่าความบาดหมางระหว่างมังกรและมนุษย์จะสูญสลายไปได้อย่างไร หากพวกเขามิได้รับรู้ถึงต้นสายปลายเหตุทั้งมวล

                    ขณะที่โจเอลเฝ้ามองความห่วงใยที่ดารูเกนซ์มีต่อลาร์ซ เขาก็มิได้สังเกตเลยว่าจอร์ชได้จ้องมองอัศวินมังกรผู้นั้นด้วยสายตาที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

                    ชายหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาดเต็มไปด้วยความรู้สึกระแวงแคลงใจต่ออัศวินมังกรที่องค์จักรพรรดิได้ส่งมา ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาเองก็มิได้ไว้วางใจผู้ใดอย่างจริงๆจังๆเลย มีเพียงโจเอลและลูนาร์เพียงเท่านั้นที่เขาพอจะวางใจได้ กระนั้นการที่เขาตามมายังถิ่นของดารูเกนซ์ก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้อะไรเกี่ยวกับอัศวินจากแดนเหนือมากขึ้น ชายผู้นี้ยังคงเงียบขรึมและเก็บตัวจนน่าหวั่นเกรง ไม่ว่าด้วยวาจาหรือการแสดงออก อัศวินผู้นี้มิเคยทิ้งเงื่อนงำความคิดใดให้พอเดาได้ นั่นทำให้จอร์ชต้องคอยจับตาดูดารูเกนซ์ต่อไป

                    หลังจากใช้เวทไปได้พักหนึ่ง ลูนาร์ก็ทิ้งตัวลงบนม้านั่งด้วยความอ่อนเพลีย การรักษานั้นดูจะได้ผล เมื่อลาร์ซเริ่มที่จะผงกหัวได้บ้าง แม้ว่ามันจะเป็นไปอย่างอ่อนแรงก็ตาม ดารูเกนซ์ขยับรอยยิ้มซึ่งหาได้ยากยิ่งด้วยความยินดี ก่อนที่จะลูบหัวพาหนะคู่ใจอย่างอ่อนโยน

                    ...ขอบคุณพวกท่านมาก อัศวินหนุ่มกล่าว

                    หวังว่ามันจะหายดีในเร็วนี้ โจเอลตอบ

                    แขนของท่านเล่า หายดีแล้วหรือ? จอร์ชถามขึ้น เมื่อนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ ดารูเกนซ์บอกว่าได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับพวกการ์กอนที่ปากถ้ำ ก่อนที่มันจะถูกปิดลง

                    ...เกือบหายดีแล้ว... อัศวินมังกรตอบเพียงสั้นๆ

                    ผู้ที่ทำให้ท่านบาดเจ็บได้ คงมีฝีมือร้ายกาจทีเดียว... จอร์ชกล่าวต่อ ดวงตาสีฟ้าสวยเขม้นมอง ดารูเกนซ์ไม่ได้กล่าวอะไร แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มร่างบอบบางคิดอะไรได้บางอย่าง

                    การจะกำจัดสหายร่วมรบในยามนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี ด้วยว่ายังเป็นหน้าศึกกับพวกการ์กอน และเขาก็ยังไม่รู้แน่ว่าอัศวินผู้นี้รับภารกิจบางอย่างจากองค์จักรพรรดิจริงหรือไม่... แต่หากจะต้องลงมือ จอร์ชเองก็พอจะแน่ใจได้ว่า ในหมู่พวกการ์กอนมีผู้ที่มีฝีมือพอที่จะทำงานนี้แทนเขาได้...

                    พวกข้าต้องขอตัวพาลูนาร์ไปพักผ่อนก่อน อีกชั่วครู่ค่อยเจอกันที่ประชุม โจเอลกล่าว ขณะลุกขึ้นประคองลูนาร์ที่ได้พักผ่อนจากการใช้เวทไปพอสมควร ดารูเกนซ์ลุกขึ้นคำนับให้กับนักบวชฝึกหัดที่ได้ช่วยสหายรักของตนไว้ ทั้งสองฝ่ายจึงล่ำลากันเป็นการชั่วคราว ก่อนจะพบกันอีกครั้งในที่ประชุม ซึ่งจอร์ชก็ได้คิดถึงเรื่องที่จะหารือไว้แล้ว...

     

                    ในการประชุมประเด็นส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องการเตรียมการตั้งรับพวกการ์กอน เฮอร์มมิได้เข้าร่วมหารือด้วยเพราะหายไปตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งพรานเฒ่าได้บอกทหารยามไว้ว่าจะออกไปกู้กับดักที่วางไว้เมื่อวานเย็น แต่จนป่านนี้ก็ยังมิได้กลับมา จึงคาดเอาว่าเฮอร์มคงถือโอกาสรออยู่ที่ป่าข้างล่างนั่น

                    วันนี้ทุกคนหวังว่าแนวกำแพงจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โจเอลจึงนำแบบแปลนที่เพิ่งได้เมื่อคืนมาวางไว้บนโต๊ะ นี่เองที่เป็นสาเหตุของอาการง่วงหาว เพราะเมื่อคืนนี้เขาได้ใช้เวลาไปกับการแก้ตัวเลขต่างๆให้เป็นมาตราของชาวเกลลาร์

                    นี่ท่านเขียนขึ้นเองทั้งหมดเลยหรือ? จอร์ชเอ่ยถาม ขณะเพ่งมองแบบแปลนด้วยความตื่นเต้น ด้วยความที่ชายผู้นี้มีความรู้ในงานวิศวกรรมอยู่บ้างเหมือนกัน จึงรู้สึกทึ่งในการคำนวณทั้งหมดนั่น หากสร้างตามแบบที่เขียนไว้ พวกเขาจะได้กำแพงที่สูงมากกว่าเดิม และเวลาในการก่อสร้างที่สั้นลง โดยยังคงความแข็งแรงไว้เท่าเดิม ทีแรกจอร์ชยังไม่แน่ใจว่าชาวบ้านนอกอันห่างไกล จะเข้าใจการเข้าไม้ที่ซับซ้อนตามในแบบหรือไม่ แต่ก็มีการเขียนอธิบายวิธีการไว้ให้เข้าใจได้ง่ายๆที่มุมหนึ่งของกระดาษ

                    ข้าพบมันในกระท่อมหลังหนึ่ง เลยนำมันมาแก้ไขเฉพาะตัวเลขมาตราต่างๆเท่านั้น รบกวนพวกท่านตรวจทานดูที โจเอลตอบ อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรบอกทุกคนว่านี่เป็นฝีมือของชายที่ทุกคนเรียกว่าเอลฟ์ ลำพังแค่การที่ชายคนนั้นไม่ยอมอพยพไปจากหมู่บ้านก็สร้างความกระอักกระอ่วนใจมากพออยู่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะสังเกตท่าทีของชายที่คล้ายกับเอลฟ์ด้วยตนเองไปสักระยะหนึ่ง

                    นัยน์ตาสีฟ้าสวยของจอร์ชหรี่ลง จับจ้องไปยังแผนที่ด้วยความสงสัยยิ่ง ก่อนจะกล่าว แปลกจริง เช่นนั้นก็แปลว่า ในหมู่ชาวการ์กอนก็น่าจะมีคนที่มีความสามารถในศาสตร์ด้านการก่อสร้างเป็นอย่างมาก... เท่าที่ข้าลองดู... พวกเราน่าจะดัดแปลงหมู่บ้านนี้ได้ทันการณ์... แต่นั่นเกรงจะเพียงพอ... เขาเว้นวรรคไว้นิดหนึ่ง เมื่อสังเกตว่าทุกคนให้ความสนใจจึงพูดต่อไป

                    ในเมื่อเรายังไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจะต้องตั้งรับอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ข้าจึงคิดว่าเราควรจะมีที่มั่นมากกว่าหนึ่งแห่ง... จากที่ได้ปะทะกันมา ข้าสังเกตได้ว่าพวกการ์กอนไม่อาจต้านทานแสนยานุภาพของทหารม้าได้ ข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นการดีหากแบ่งทหารม้าออกเป็นสองกอง จะได้สามารถสลับกันเข้าตีเพื่อให้พวกมันสับสน

                    แต่การแบ่งกำลังออกไปจะไม่ทำให้พวกเราอ่อนแอลงหรือ? เป็นฮานส์ที่ถามแย้งขึ้น

                    ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มได้รูปขยับยิ้มรับก่อนจะตอบ ตามมาสิ... ข้าคิดว่ามีสถานที่ที่เหมาะแก่การตั้งรับ โดยที่เราจะสามารถเกื้อหนุนกันได้ จากนั้นจอร์ชก็เดินนำทุกคนออกไป

     

                    ทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่ทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งมีซอกผาตื้นๆลึกลงไปราวเจ็ดหลา เมื่อมองลงไปก็เห็นพื้นที่ว่างระหว่างเชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน กับสันผาตั้งชันของเขามังกร กว้างพอให้ตั้งค่ายเล็กๆอีกค่ายหนึ่งได้

                    มีน้ำตกขนาดย่อมๆไหลมาจากหน้าผาด้านหลัง ทำให้มีแอ่งน้ำที่ด้านล่างอันเพียงพอต่อการใช้สอย และแผ่นผาทั้งสามด้านก็ช่วยในการตั้งรับได้เป็นอย่างดี หากเพียงสร้างแนวกำแพงไว้ที่ด้านหน้า  พวกเขาก็จะได้ป้อมที่มั่นคงอีกแห่งอย่างไม่ยากเย็น

                    โจเอลเพ่งพินิจพื้นที่ตรงนั้นอยู่เงียบๆ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นที่ตั้งอันเหมาะสม แต่ไม่วายรู้สึกถึงข้อบกพร่องบางประการอยู่ดี...

                    หากทำกว้านสำหรับรับส่งของและบันไดเชือกไว้ให้สามารถขึ้นลงได้สะดวก การสร้างค่ายไว้ด้านล่างนี้จะช่วยในการตั้งรับได้มากทีเดียว จอร์ชเสนอ ทุกคนพากันเงียบไป ไม่มีใครโต้แย้งใดๆออกมา

                    ท่านดารูเกนซ์ หากท่านจะช่วยรับภาระนี้คงจะเป็นการดี เพราะตัวท่านและทหารในบัญชามีศักยภาพพอที่จะรักษาที่มั่นข้างล่างนั่นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มใบหน้าสวยดังสตรีกล่าวเจาะจงลงไป อัศวินมังกรมิได้ตอบรับในทันที เขาคู้ตัวลงเพื่อพิจารณาพื้นที่ตรงนั้นให้ถนัดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้น หันมามองโจเอลเหมือนกับต้องการความเห็นเสริม

                    ข้าคิดว่ายุทธ์ศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราคงเน้นที่การตั้งรับในที่มั่นมากกว่า แต่หากมีการรุกของทหารม้าเข้ามาเสริมบ้างก็คงจะดีไม่น้อย เพราะถ้าแบ่งที่มั่นออกเป็นสอง พวกการ์กอนคงพะวักพะวงไปกับการบุกของทหารม้าในฟากใดฟากหนึ่ง ทำให้ไม่อาจรวมกำลังเข้าตีขั้นแตกหักได้โดยง่าย ผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลแสดงความเห็นออกไป

                    ...ได้ ...ข้าจะลองลงไปดูข้างล่างนั่น... อัศวินหนุ่มกล่าว เขาเดินแยกออกไปเพื่อสั่งให้ผู้ใต้อาณัติเตรียมการลงไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายโจเอลก็จัดกำลังเพื่อลงไปหาไม้และเสบียงในป่าดังเช่นเมื่อวาน

     

                    นายท่าน บริเวณรอบๆปกติดีขอรับ ฮานส์กล่าวรายงานหลังจากที่นำทหารม้าทั้งสิบนายออกลาดตระเวนโดยรอบ โจเอลพยักหน้าแสดงอาการรับรู้ ก่อนจะสั่งให้ฮานส์และทหารพวกนั้นปล่อยให้ม้าหาหญ้ากินกันตามสบาย

                    วันนี้โจเอลได้ลงมาที่ป่าด้วยตัวเอง พร้อมด้วยฮานส์และโก๊ก ปล่อยให้จอร์ชควบคุมการสร้างกำแพง และมาโก๊กที่คอยเฝ้าดูชายที่เรียกกันว่าเอล์ฟ ทั้งนี้เพราะตั้งใจจะลงมาสำรวจพื้นที่ด้วยตนเอง

                    ลมเอื่อยๆพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้ผมสีน้ำตาลที่ตัดสั้นไหวลู่ตาม โจเอลยืนกอดอกอยู่เหนือเนินเล็กๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเพ่งมองไปโดยรอบ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าคงถูกใช้เป็นที่ตั้งทัพของพวกการ์กอนเมื่อพวกนั้นมาถึง และมันก็เป็นที่ที่ทหารม้าจะสามารถสำแดงแสนยานุภาพได้สูงสุดเช่นกัน แต่ด้วยจำนวนที่แตกต่างกันเหลือคณานับ พวกเขาจะสามารถบั่นทอนกำลังข้าศึกได้เพียงใดกัน...

                    พวกเขาพบกับบุตรชายทั้งสองของเฮอร์มนั่งเฝ้าสัตว์ที่กู้ได้จากกับดักแต่ไม่พบกับพรานเฒ่า เมื่อถามความความก็ทราบว่าได้แยกไปเพื่อตามรอยสัตว์ใหญ่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงลองเดินลึกเข้าไปในป่า เผื่อว่าจะพบร่องรอยอะไรบ้าง

                    หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ห่างจากคนอื่นๆ พลันหูก็เริ่มแว่วยินเสียงการเคลื่อนไหวหนึ่ง ชายหนุ่มยอบตัวลงต่ำ พยายามเงี่ยหูเพื่อจับการเคลื่อนไหวของเจ้าสิ่งที่เป็นต้นเสียง

                    โจเอลรู้สึกได้ทันทีว่าสิ่งนั้นว่องไวมาก เมื่อเสียงใบไม้ถูกเหยียบดังจากทางหนึ่งไปยังอีกทางอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มคิดว่าควรจะชักดาบออกมาดีหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว เพราะเจ้าสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามาในระยะอันกระชั้น...

                    พลั่ก!!!

                    เจ้าสิ่งนั้นปะทะเข้ากับโจเอลเต็มแรง เล่นเอาชายหนุ่มเกือบจะล้มคะมำเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังครองสติไว้ได้จึงรีบคว้าเจ้าสิ่งนั้นมิให้หลุดมือ

                    ต้องใช้เวลาปล้ำรัดกันอยู่นานพอดู กว่าสิ่งที่จู่โจมโจเอลจะสงบลงได้ และเมื่อดูให้ชัดๆแล้ว เจ้านี่ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกวัวตัวย่อมๆ ผิดแต่หูที่ดูใหญ่โตผิดรูป และอุ้งเท้าที่มีเล็บทู่ๆอยู่สามเล็บแทนที่จะเป็นกีบ

                    ท่านโจเอล!!” น้ำเสียงอันขุ่นมัวดังลั่น ฟังดูคล้ายกับการตำหนิ เฮอร์มกระโดดออกมาจากที่ไหนสักแห่งซึ่งโจเอลไม่ทันสังเกต

                    ทำไมถึงชอบขัดลาภข้าอยู่เรื่อยนะ! ท่านทำเสียเรื่องแล้วรู้ไหม!” พรานเฒ่าบ่นออกมาอย่างไม่เกรงใจ คงจะมีแต่เฮอร์มเท่านั้นที่กล้าแสดงอาการแบบนี้ต่อหน้าชนชั้นปกครอง หรือในอีกแง่หนึ่ง คงมีผู้ปกครองไม่กี่คนที่ยอมให้ลูกบ้านแสดงความเห็นได้เช่นโจเอล ไม่เพียงไม่โกรธ นายบ้านวัย 17 ยังยิ้มหัวขึ้นอีกต่างหาก

                    ฮะ ฮะ ฮะ นี่หรือ เฮอร์ม สัตว์ใหญ่ที่เจ้าออกแกะรอยตั้งแต่เช้า อืม... จะว่าไปมันก็ใหญ่อยู่หรอกนะ ตัวโตเกือบจะพอๆกับข้าเชียว

                    นี่คิดว่าข้าจะไปตามล่าหมีหรือไงกัน ท่านจะหาเสบียงเพิ่มมิใช่รึ ฮึ! ลองกินเนื้อหมีดูเสียก่อนเถอะ อีกอย่าง เจ้านี่ก็ไม่ใช่ตัวที่ข้ากำลังแกะรอยอยู่สักหน่อย... เมื่อถูกยั่วเย้าเอาเช่นนั้นจึงยิ่งไปเพิ่มความหงุดหงิดใจให้กับพรานเฒ่า แต่ไม่ทันได้กล่าวจนจบ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา

    นูอูอูอูอูล!!!

                เสียงทุ้มต่ำแผดก้อง ฟังดูเหมือนเจ้าของเสียงร้องดูจะหัวเสียอยู่หน่อยๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เจ้าสัตว์หน้าตาเหมือนวัวที่โจเอลจับไว้ก็ร้องขึ้นเป็นการขานรับ

                    เจ้านี่คงไม่ได้มีแม่ที่กำลังโมโหอยู่หรอกนะ? ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยออกมาเบาปานกระซิบ พรานเฒ่าไม่ได้ตอบอะไร เพียงยักไหล่แล้วค่อยๆก้าวถอยไปด้วยความเงียบกริบ

                    เสียงพุ่มไม้ถูกบดขยี้ดังชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าตัวที่อยู่ในอุ้งแขนชายหนุ่มยังร้องไม่หยุด และเมื่อคิดว่าควรจะปล่อยมันไปได้แล้ว เจ้าของเสียงร้องด้วยความโกรธก็แหวกพุ่มไม้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว...

                    สัตว์สี่เท้าสูงเกือบหกฟุตจ้องเขม็งมายังโจเอล รูปร่างหน้าตาของมันคล้ายวัว... ต้องบอกว่าหน้าตาคล้ายกับเจ้าตัวที่เขาจับไว้น่าจะใกล้เคียงมากกว่า... ถ้าให้เดา... มันทั้งสองคงเป็นแม่ลูกกัน และมันก็คงโมโหที่เห็นลูกของตนถูกรังแก

                    ถึงแม้จะได้ลูกคืนแล้ว ผู้เป็นแม่ก็ยังไม่คลายโทสะ มันพ่นลมหายใจฟืดฟาด ร้องเสียงดังก่อนจะพุ่งเข้าใส่ หวังจะสั่งสอนคนที่มารบกวนมันและลูก แต่ก่อนที่มันจะชนเข้าใส่ และก่อนที่โจเอลจะกระชากดาบออกมาเพื่อป้องกันตัว ร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาแล้วปล้ำรัดเจ้าสัตว์สี่เท้าเอาไว้ใต้วงแขน ด้วยเรือนกายที่ใหญ่โตกว่า คุณแม่ผู้ฉุนเฉียวจึงถูหยุดลงแทบจะในทันที

                    นูล! นูล! เสียงร้องดังขึ้นปลอบขวัญ เป็นโก๊กที่กระโจนเข้ามาขวางไว้ทันท่วงที ยักษ์ผู้มีผิวสีน้ำเงินค่อยๆคลายการรัดหลังจากที่เจ้าสัตว์ตัวนั้นเริ่มสงบลง

                    ท่านโจเอล เป็นอะไรหรือไม่?* โก๊กร้องถาม

                    ผู้ถูกถามคลายมือจากอาวุธ ยืดตัวขึ้นก่อนจะตอบ ข้าไม่เป็นอะไร โชคดีที่เจ้าเข้ามาเสียก่อน*

                อืม...เจ้ายักษ์ของท่านนี่ดีแท้นะท่านโจเอล เอาล่ะ ทีนี้มาดูสิว่าเราจะพาเจ้าตัวนี้กับลูกของมันกลับหมู่บ้านได้หรือเปล่า อยู่ๆเฮอร์มก็แทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ดูจะสงบแล้ว พรานเฒ่าก็ดอดเข้ามาร่วมวงอีกครั้งหลังจากที่เผ่นหายไปก่อนหน้านี้ แต่พอเห็นหน้าเฮอร์ม สัตว์แม่ลูกอ่อนก็ทำท่าจะอาละวาดขึ้นมาอีก จนโก๊กต้องปลอบมันอีกรอบ

                    โจเอลลองปลอบมันด้วยอีกคน และพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์ที่เชื่องกว่าที่คิด นูลคื่อชื่อที่ตั้งมาจากเสียงร้องของมัน สัตว์ชนิดนี้ชาวการ์กอนจะเลี้ยงไว้เพื่อเอาเนื้อและนมมาใช้ประโยชน์ แต่การฆ่าเพื่อเอาเนื้อจะเป็นไปในบางโอกาสที่สำคัญเท่านั้น

                    เมื่อดูเหมือนจะเชื่องดีแล้ว โจเอลจึงให้โก๊กพามันไปสมทบกับทุกคนเพื่อรอกลับหมู่บ้าน แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามไป เฮอร์มก็เรียกเขาไว้เหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างจะบอก

                    มีอะไรหรือเฮอร์ม? นายบ้านหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าโก๊กพานูลแม่ลูกไปจนลับตาแล้ว

                    พรานเฒ่าเหลียวมองโดยรอบแล้วกระแอมกระไอขึ้นทีหนึ่งก่อนจะตอบ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ ข้าแค่สงสัยว่าเมื่อนี้น่าจะมีคนมาที่นี่ เจ้านั่นพยายามเก็บร่องรอยไว้อย่างมิดชิด แต่เผอิญว่าข้าน่ะเป็นนักแกะรอยมือฉกาจเสียด้วยสิ

                    แล้วตาเฒ่าก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่ไหม้ดำซึ่งเฮอร์มได้ห่อไว้ด้วยใบไม้ไม่ให้ไม่ให้มันสลายไปจนหมดเสียก่อน โจเอลรับมันมาดูอย่างพิเคราะห์ กระดาษแผ่นนี้จะเขียนอะไรไว้? แล้วผู้ที่มาที่นี่จะเป็นชาวเกลลาร์หรือชาวการ์กอนกันแน่?

                    ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยแค่คนเดียว ไม่ว่าเจ้านั่นจะเป็นใคร หรือมีวัตถุประสงค์อะไร มันก็คงไม่ปกตินัก ข้าว่าท่านระวังไว้หน่อยก็ดี พรานเฒ่ากล่าวทิ้งท้าย

     

    *  เป็นภาษาการ์กอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×