ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Brave & Honor

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 เคลื่อนพล (ปรับ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 396
      0
      29 ต.ค. 64

                    จเอลตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืด จากการงีบหลับเพียงช่วงสั้น ๆ ตรงเก้าอี้บุนวม ข้างชั้นเก็บเอกสารสำคัญ หลังส่งโมเกอร์เพื่อไปเจรจากับพวกการ์กอน เขาก็ไม่คลายความกังวลลงเลย เพราะไม่แน่ใจว่าภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ จึงค้นหนังสือขึ้นมาอ่านหวังจะดับความกระวนกระวายใจลงบ้าง ทว่าผลที่ได้กลับตรงกันข้ามกับที่หวัง

                    เขาได้พบกับแผนที่สำคัญฉบับหนึ่งซึ่งถูกหลงลืมอยู่บนชั้นหนังสือ มันคือแผนที่การเดินทางสู่แดนการ์กอน ที่อัศวินผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เข้าไปสำรวจและบันทึกไว้ ก่อนจะสูญหายไปในดินแดนลึกลับ ฉบับที่อยู่ในการดูแลของโจเอลเป็นสำเนาที่คัดลอกเพื่อพระราชทานให้ผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลเก็บรักษาสืบต่อกันมา นับตั้งแต่กรานัค ปู่ของโจเอล และเนื่องจากไม่มีใครคิดจะเดินทางไปยังแดนการ์กอนอีก มันจึงถูกหลงลืมบนชั้นวางเอกสารสำคัญ ทว่าโจเอลกลับเจอมันในเวลาที่ต้องการที่สุด ราวกับมีสิ่งดลใจ

                    โจเอลใช้เวลาพิจารณาแผนที่ดังกล่าวแทบทั้งคืน แม้ว่ามันจะระบุถึงหมู่บ้านของพวกการ์กอนไว้เพียงแห่งเดียว จากนั้นมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า แต่ก็ช่วยให้รู้ว่าเพียงถัดจากป่าแห่งหมอก มีหมู่บ้านของพวกการ์กอนตั้งอยู่ มันมีชื่อว่าหมู่บ้านคูอูล แม้หมู่บ้านของพวกการ์กอนจะตั้งไปไม่ห่าง แต่การฝ่าป่าแห่งหมอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเต็มไปด้วยป่าทึบและหมอกหนา ทำให้หลงทางได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือเรื่องภูตผีปิศาจ เล่ากันในหมู่พวกหาของป่า จึงมีน้อยคนที่จะกล้าเดินทางเข้าไป

                    แผนที่ที่โจเอลค้นพบ แม้จะระบุถึงเส้นทางและจุดสังเกตที่สำคัญในการเดินทางผ่านป่าแห่งหมอก แต่กาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ทำให้ไม่แน่ใจว่าภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด การตัดสินใจเดินทางผ่านป่าแห่งหมอกในยามค่ำคืนเพื่อไปเจรจากับพวกการ์กอน จึงเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา แต่ผู้ที่ต้องไปเผชิญกับอันตรายกลับเป็นโมเกอร์ ความผิดพลาดนี้รบกวนจิตใจจนทำให้โจเอลแทบนอนไม่หลับ กระนั้นการโทษตัวเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา เขายังพอมีความหวังว่าโมเกอร์อาจจะยังมีชีวิตรอดในป่า ความคิดนั้นผลักดันให้โจเอลลุกขึ้นล้างหน้า ขับไล่ความง่วงเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับภารกิจ

    ชายหนุ่มผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลเรียกคนรับใช้ให้นำชุดเกราะเข้ามา ชุดเกราะและดาบ เป็นมรดกอีกอย่างที่ได้รับสืบทอดจากปู่ เป็นชุดโซ่ถักที่เรียกว่า เชนเมล ชั้นถัดมา คือเสื้อกำมะหยี่บุนวม ภายในเป็นเกราะเหล็กชิ้นเล็ก ๆ ร้อยเรียงกัน เรียกว่าบริแกนดีน และชั้นสุดท้ายเป็นเกราะเหล็กทั้งแผ่น ประกอบด้วยหมวกเหล็ก เกราะป้องกันลำตัวช่วงบน และส่วนป้องกันหัวไหล่ เป็นชุดเกราะที่ดีเท่าที่ฐานะอำนวย สำหรับดาบประจำตัวเป็นดาบคมเดียว รูปแบบเรียบง่าย แต่ก็ใช้ได้ดีพอควร

                    เมื่อแต่งกายเสร็จเรียบร้อย โจเอลก็ตรงไปยังห้องรับประทานอาหาร ซึ่งเขาได้เชื้อเชิญดไวเซนและดารูเกนซ์ แม้ประสบการณ์เมื่อวานเย็นจะทำให้โจเอลไม่คาดหวังอะไรมากนัก เขาก็ยังนำแผนที่สำคัญติดตัวไปด้วยเผื่อมีโอกาสหารือ

     

                    ที่ห้องรับประทานอาหาร โจเอลรอไม่นานอัศวินทั้งสองก็มาถึงตามคำเชิญ ต่างคำนับทักทายกันพอเป็นพิธี แล้วจึงรับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบจนโจเอลคิดว่าจะเป็นเช่นเมื่อวาน แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อดไวเซนเป็นฝ่ายตั้งคำถาม หลังรับประทานอาหารเสร็จ

                    “ท่านโจเอล ท่านวางแผนเช่นไร สำหรับภารกิจในวันนี้”

                    โจเอลนิ่งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่คาดว่าจะถูกตั้งคำถามก่อน น้ำเสียงของอัศวินผู้นี้ ทั้งทุ้มและกังวานดูมีอำนาจ จนฟังดูเหมือนคำสั่ง มากกว่าการขอความความเห็น

                    ผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลหยิบม้วนแผนที่วางบนโต๊ะ ก่อนจะชี้ไปที่ทุ่งโล่งกลางป่าแห่งหมอก ซึ่งถูกระบุบนแผนที่

                    “นี่เป็นแผนที่เก่า ไม่แน่ใจว่าภูมิประเทศจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด แต่หากตรงตามนี้ ข้าคิดว่าเราควรจะยั้งทัพที่นี่ ก่อนจะส่งคนไปเจรจาให้ฝ่ายนั้นส่งตัวผู้ต้องสงสัยให้เรา” โจเอลอธิบาย

                    “ฮะ ฮะ” ดไวเซนหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า “เจ้าพวกนั้นมันคนเถื่อนนะ ท่านคิดว่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องอย่างนั้นหรือ จะพูดกับพวกมัน มีแต่ต้องใช้กำลังเท่านั้น และดาบของข้าก็รอเวลานั้นอยู่” เขากล่าวอย่างคนกระหายการฆ่าฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่โจเอลไม่ชอบใจยิ่ง

                    “จะได้ผลหรือไม่ได้ผลเราก็ควรลองดูก่อน ถ้ามีวิธีที่จะสงวนชีวิตไพร่พลได้ เราก็ควรทำ” โจเอลตอบด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จนบรรยากาศเริ่มตึงเครียด มีเพียงดารูเกนซ์เท่านั้น ที่ไม่ได้แสดงความเห็นออกมา ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาดูเหม่อลอย คล้ายคนไม่เต็มเต็ง

                    “หึ ท่านพูดราวกับคนใจเสาะ การสูญเสียไพร่พลเป็นเรื่องปกติของการรบอยู่แล้ว ช่างเถิด จัดการกับคนเถื่อน แค่กำลังของข้าก็พอแล้ว ท่านสองคนแค่อย่ามาเกะกะก็แล้วกัน ข้าขอตัวก่อน”

                    ดไวเซนตัดบทด้วยการเดินจากไป ตามด้วยดารูเกนซ์ การหารือในช่วงเช้าจึงจบลงอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ซ้ำยังปรากฏรอยร้าวในหมู่พวกเขาอีกด้วย

     

                    ณ ลานด้านหน้า ชาวบ้านที่ถูกหมายเกณฑ์ได้มาออกันเต็มแล้ว ต่างเข้าแถวรอรับอาวุธ และเครื่องป้องกันอันประกอบด้วยหมวกเหล็กและรองเท้าหนัง แม้พวกเขาจะถูกเกณฑ์มารบด้วยความไม่เต็มใจ แต่ก็ยังคงมองโลกในแง่ดี และวางใจในผู้นำ พวกเขาคือกองทัพของคนธรรมดาผู้มีภราดรภาพ ซึ่งมีความกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อได้รบร่วมกับพวกพ้องที่คุ้นเคย

                    ด้วยความมองโลกในแง่ดีและเป็นกันเอง คนของโจเอลเริ่มชวนทหารต่างถิ่นคุย เพื่อสร้างความสนิทสนม แม้ในหมู่ผู้นำจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่พวกทหารระดับล่างกลับเข้ากันได้ง่ายกว่า ต่างพูดคุยออกรส จนถูกดุโดยผู้บังคับบัญชา

                    ทหารของดไวเซนและดารูเกนซ์ถูกเรียกรวมหมู่ให้ยืนเข้าแถวเป็นระเบียบ ด้วยเครื่องแบบที่มีสีสันต่างกัน ทำให้เมื่อมองไกล ๆ ราวกับทหารของโจเอลถูกขนาบไว้ด้วยพรมสองสี คือสีดำ อันเป็นเครื่องแบบทหารของดไวเซน และสีแดง อันเป็นเครื่องแบบทหารของดารูเกนซ์ ขณะที่ทหารของโจเอล ไม่มีเครื่องแบบแจกจ่าย จึงหลากหลายสีสันตามแต่จะใส่กันมา

                    เมื่อเห็นว่าถูกขนาบด้วยกองทหารที่มีวินัย ฮานส์ ชายวัยสามสิบกว่าผู้มีแผลเป็นลึกยาวบนแก้มซ้าย ซึ่งโจเอลตั้งให้เป็นผู้ฝึกสอนทหาร จึงสั่งคนของตนให้เข้าแถวบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้า ผู้คนกว่าร้อยจึงพากันเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด

                    เมื่อโจเอลเดินลงมายังลานด้านหน้า ฮานส์ก็รีบรายงานจำนวนทหารซึ่งมีทั้งสิ้นแปดสิบนาย เป็นชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์หกสิบนาย และทหารประจำป้อมยี่สิบนาย ชายหนุ่มผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลพยักหน้ารับ และให้ทุกคนพักตามสบาย ก่อนจะเดินพูดคุยทักทายเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย

                    โจเอลหันไปมองกองทหารของดไวเซนและดารูเกนซ์ที่ขนาบทั้งสองด้าน แม้จะมีกำลังพลเพียงกองละสามสิบ รวมกันแล้วยังน้อยกว่าทหารของเขา แต่คนเหล่านั้นก็มีร่างกายกำยำล่ำสัน ดูเชี่ยวชาญการรบมากกว่า

                    ไม่ช้าดไวเซนก็ก้าวออกมาจากกระโจมที่พัก ชุดเกราะที่แน่นหนารัดกุม ทำให้อัศวินผู้นี้เสียเวลาแต่งกายนานพอดู แต่ก็สร้างความประทับใจให้กองทหารบ้านนอก ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นชุดเกราะอย่างที่สมควรเรียกว่าชุดเกราะจริง ๆ มันสร้างจากเหล็กแผ่นขัดมันวาว ปกปิดมิดชิด ไม่เปิดช่องว่างให้กับการจู่โจมใด ๆ ทั้งยังประดับด้วยลวดลายสลักเสลา ทั้งสวยงามและน่าเกรงขาม

                    ชั่วครู่ต่อมา ดารูเกนซ์ก็ก้าวออกจากกระโจมของตน อัศวินร่างสูงโปร่งสวมเกราะเหล็กเต็มยศ เช่นเดียวกับดไวเซน แต่แปลกประหลาดมากกว่าด้วยหมวกเกราะที่คล้ายเศียรมังกร และชุดเกราะยังมีสีแดงเพลิงแลโดดเด่น อาวุธในมืออัศวินผู้นี้เป็นอาวุธด้ามยาว แต่มีใบต่างจากหอก เพราะป้านออกเหมือนขวาน ทว่าอยู่ผิดทิศผิดทาง คือชี้ขึ้นข้างบน แทนที่จะเป็นด้านข้างอย่างขวานทั่ว ๆ ไป ดูแล้วนึกไม่ออก ว่ามันเป็นอาวุธสำหรับแทง หรือสับกันแน่ แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจที่สุด คงไม่พ้นมังกรศึก พาหนะประจำตัวดารูเกนซ์ มันได้รับการสวมใส่บังเหียนและอานไม่ต่างจากม้าศึก

                    เมื่อกองทหารและผู้บัญชาการได้มากันพร้อมแล้ว ดไวเซนที่ดูจะร้อนใจกว่าคนอื่นก็เข้ามาเร่งเร้า

                    “เราจะออกเดินทางกันได้หรือยัง?”

                    “กรุณารอสักครู่เถิด ยังมีอีกสองคนที่เราต้องรอ” โจเอลตอบ

                    “ใคร?” ดไวเซนถามต่อด้วยความกระวนกระวาย

                    ไม่ทันที่นายบ้านแห่งฟอร์ทอังเคิลจะได้ตอบ ชายร่างสูงชลูด สวมเสื้อคลุมนักบวช ก็ขี่ลาขึ้นมาบนเนินที่ตั้งปราการ

                    ผู้คนทั้งหมดพากันน้อมคารวะชายที่เพิ่งมาถึง เพราะท่านคือบาทหลวงฟีบัส นักบวชประจำหมู่บ้าน ท่านเดินทางมาสวดอวยพรให้กับการเดินทัพ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

                    โจเอลกล่าวทักทาย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ รวมทั้งถามถึงลูนาร์ที่ไม่ได้ติดตามมาด้วยผิดกับทุกครา ซึ่งได้รับคำตอบว่าเธอป่วยกะทันหัน แต่โจเอลอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธออาจจะยังเง้างอนจากเรื่องเมื่อคืน

                    ดไวเซนอดรนทนต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นว่าโจเอลและบาทหลวงฟีบัสเอาแต่เจรจาเรื่องทั่วไปไม่เอาการเสียที

                    “ท่านโจเอล ข้าคิดว่า เราควรจะรีบทำพิธี แล้วเร่งออกเดินทางเสียที”

                    “ขออภัย เรายังต้องรอคนนำทางก่อน ขอท่านอดใจสักนิด” โจเอลตอบอย่างใจเย็น แต่เมื่อพูดถึงคนนำทาง บาทหลวงฟีบัสก็มีปฏิกิริยาทันที

                    “ถ้าเช่นนั้น เราสวดอำนวยพรกันก่อนก็ดี เพราะเจ้าคนนำทางนั่นคงไม่ต้องการ”

                    ดไวเซนรู้สึกแปลกใจ ที่บาทหลวงผู้ยิ้มแย้ม กลับบึ้งตึงขึ้นมา ทว่าโจเอลนั้นพอจะทราบสาเหตุ จึงไม่ได้พูดอะไร

                    ทุกคนต่างอยู่ในอาการสงบและสำรวม ฟังบทสวดที่ช่วยให้จิตใจหายประหม่ากลัว จนเมื่อจบ บาทหลวงฟีบัสจึงขอตัวลา บังเอิญสวนกับกลุ่มคนสามคนที่เพิ่งมาถึง หนึ่งในนั้น เป็นชายวัยสี่สิบกว่า ตัวโตไว้หนวดเครารุงรัง เดินท่อม ๆ ผ่านบาทหลวงฟีบัสไปโดยไม่แสดงอาการเคารพ ส่วนอีกสองคน เป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบสี่สิบห้าปี ทั้งสองหยุดค้อมศีรษะให้บาทหลวง แต่ก็ถูกเอ็ดจึงเดินต่อ

                    ชายที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม มีชื่อว่าเฮอร์ม เป็นนายพรานที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน แต่ก็ถูกชังน้ำหน้ามากที่สุด เพราะเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินทองและไร้ศรัทธาในศาสนา สิ่งที่เฮอร์มศรัทธาที่สุดก็คงจะเป็นเงินนั่นเอง ส่วนเด็กหนุ่มอีกสองคน คือบุตรชายที่ไม่มีส่วนเหมือนเฮอร์มแม้แต่น้อย นอกจากทักษะการแกะรอย

                    “ขออภัยท่านโจเอลที่ให้คอย อากาศหนาวยามเช้ามันทำเอาไขข้อข้าปวด เดินเหินไปไหนลำบากแบบนี้แหละ” เฮอร์มร้องทักแต่ไกล ขณะเดินเอ้อระเหย ไม่มีทีท่าเร่งร้อน

                    “ถ้าลำบากนัก ข้าจะจ้างคนอื่นนำทางแทน ส่วนเจ้าก็กลับบ้านไป” โจเอลตอบกลับอย่างรำคาญ

                    “ฮะ ฮะ ไม่ดีกระมัง ที่หมู่บ้านนี่ หรือจะว่าทั้งโฮลี่เอ็มไพร์ก็ได้ มีข้าแค่คนเดียวที่เคยไปถึงหมู่บ้านพวกการ์กอน ท่านคงไม่อยากหลงทางกันกลางป่ากระมัง” เฮอร์มยกสรรพคุณขึ้นอวดอ้าง

                    “เลิกพูดโยกโย้ได้แล้ว เจ้าอยากได้ค่านำทางเท่าไหร่ก็ว่ามา” โจเอลรีบเข้าเรื่อง

                    “เฮ้อ...คนแก่อย่างข้า จะไปต้องการอะไรมากมายนัก...” เฮอร์มยังแสร้งเฉไฉไม่เข้าเรื่อง

                    “ข้าให้เจ้าสิบเหรียญสำหรับค่านำทาง จะเอาหรือไม่เอา” โจเอลไม่อยากเสียเวลาไปกับการพูดโยกโย้ จึงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ ซึ่งเป็นจำนวนที่ดีไม่น้อย เพราะพรานเฒ่าผิวปากแสดงความพอใจออกมา แต่ก็ยังไม่วายบ่ายเบี่ยง

                    “นั่นก็ดีอยู่หรอก แต่อันที่จริง...ข้าก็แค่อยากเห็นอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ และหากข้าจะนำกลับบ้านบ้าง หวังว่าท่านคงไม่ว่าอะไร”

                    พรานเฒ่ายกเรื่องนี้ขึ้นมาต่อรอง เพราะโจเอลได้ตั้งกฎไว้ว่ามิให้ผู้ใดหยิบฉวยสิ่งของเอาตามอำเภอใจ เพื่อสร้างวินัยทัพ มิเช่นนั้นก็คงไม่ต่างจากกองโจร แต่เฮอร์มก็เล็งเห็นว่าถ้าเข้าไปเลือกสิ่งของแปลก ๆ ของพวกการ์กอนมาขายในเมือง ย่อมจะได้กำไรกว่าค่าจ้างที่โจเอลเสนอให้หลายเท่า

                    ความหัวหมอของเฮอร์มมักสร้างความไม่พอใจให้หลายคนอยู่เนือง ๆ หนึ่งในนั้นก็คือฮานส์ซึ่งเป็นคู่อริกันกลาย ๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าออกอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพียงแต่ยังเกรงใจชายหนุ่มผู้ดูแลป้อม กระนั้นก็ยังมีอีกคนที่ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า...

                    “เจ้าคนชั้นต่ำ! อย่าได้บังอาจมาต่อรอง นี่มิใช่การขอร้อง แต่เป็นคำสั่งภายใต้พระนามแห่งองค์จักรพรรดิ ถ้ามิยอมทำตาม ก็จงหัวหลุดอยู่ตรงนี้!” ดไวเซนตะโกนด้วยความเดือดดาล แต่ละนาทีที่ทอดนานยิ่งกัดกร่อนความอดทนของอัศวินผู้นี้ทุกที การต้องรอบาทหลวงยังนับว่าพอทนได้ แต่การติดขัดเพราะความลองดีของคนชั้นต่ำแค่คนเดียว มันช่างเหลืออดเหลือทน

                    “ชะ! ถ้าอย่างนั้น ข้ากลับไปนอนที่บ้านดีกว่า” เฮอร์มตอบอย่างไร้ความกลัวเกรงต่อชายผู้มีศักดิ์เหนือกว่า ทำให้ดไวเซนระเบิดอารมณ์ด้วยความเดือดดาล อัศวินหนุ่มตั้งท่าจะชักดาบออกมาฟันตาเฒ่าให้สมกับคำขู่ หากโจเอลไม่เข้ามาขวางเสียก่อน

                    “สงบใจไว้ ท่านดไวเซน ขอให้ข้าจัดการกับคนของตัวเองเถิด”

                    ดไวเซนเดินหลบไปอย่างไม่สบอารมณ์ ปล่อยให้โจเอลจัดการกับลูกบ้านเจ้าปัญหาด้วยตัวเอง

                    “เฮอร์ม ข้าอนุญาตให้เจ้าหยิบฉวยได้เฉพาะสิ่งที่ไม่มีผู้ครอบครอง ถ้ายังไม่พอใจก็จงกลับไป” โจเอลยื่นคำขาด

                    “กับเงินอีกสิบเหรียญค่านำทาง” ตาเฒ่ายังไม่ลืมค่านำทาง

                    “ห้า” โจเอลตอกกลับทันควัน

                    “ทำไมเหลือห้าได้?” เฮอร์มทำท่าไม่พอใจ

                    “ก็เจ้าต่อรองเอง ว่าจะไม่เอาค่านำทาง แลกกับการได้หยิบสิ่งของเป็นบำเหน็จ นี่ข้าอุตส่าห์ใจดี ให้ค่าเสียเวลาตั้งห้าเหรียญเชียว หรือจะไม่เอาก็ย่อมได้”

                    เฮอร์มหน้าเสีย หรือว่าเขาจะโขกมากไป ชายใจดีอย่างโจเอลถึงออกอาการเขี้ยวขึ้นมา

                    “ห้าก็ห้า” พรานเฒ่าบ่นอุบอิบ

                    “ถ้าตกลงก็ออกเดินทางได้แล้ว” โจเอลเริ่มหมดความอดทน แต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งอยู่

                    “มีอะไรอีกหรือ?” โจเอลออกปากถาม

                    “ท่านลืมอะไรไปอย่าง” เฮอร์มยั่วให้ถามต่อ

                    “อะไร?”

                    “เรายังไม่ได้ตกลงกัน เรื่องค่าแรงผู้ช่วยของข้า” เฮอร์มเฉลย นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาพาบุตรทั้งสองมาด้วย

                    โจเอลขมวดคิ้ว มองไปที่เด็กหนุ่มทั้งสอง

                    “ให้พวกเขากลับไปเสีย สองคนนี่เด็กเกินกว่าจะร่วมรบ”

                    “แหงล่ะ ข้าและลูกชายจะไม่ร่วมสู้รบปรบมือไปกับกองทัพ แต่ป่ารกชัฏ ถ้าจะให้นำทาง ข้าก็ต้องการผู้ช่วยที่มีทักษะ ซึ่งไม่มีในกลุ่มทหารพวกนี้” เฮอร์มโน้มน้าว

                    “ข้าให้คนละสองเหรียญ ถ้าตกลงก็รีบเดินทางเสียที” โจเอลไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ดไวเซน เขาเองก็มีความอดทนจำกัดกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์

                    เฮอร์มรู้สึกได้ถึงความอดทนที่เริ่มลดน้อย จึงไม่ได้ต่อรองอะไรอีก พรานเฒ่าขอกำลังทหารอีกห้าคน เพื่อช่วยบุกเบิกเส้นทาง กองทัพที่เหลือจะได้เดินทางสะดวก เมื่อได้รับการจัดกำลังคนให้ เฮอร์มจึงออกเดินนำด้วยความเร็วที่ผิดกับตอนมาลิบลับ

     

                    กองทัพทั้งหมดเดินทางด้วยความรวดเร็ว เพราะเส้นทางในหมู่บ้านค่อนข้างสะดวก จนถึงซากหอคอยและประตูโบราณ ซึ่งกั้นขวางระหว่าง โฮลี่เอ็มไพร์ และแดนการ์กอน มันถูกสร้างมาเนิ่นนานจนไม่มีใครทราบถึงยุคสมัย และถูกทิ้งร้างจนสภาพเกินจะซ่อมแซม ประตูบานใหญ่ทั้งสองบานสูงยี่สิบฟุต กว้างเจ็ดฟุต ผุพังจนกั้นขวางใครไม่ได้อีกแล้ว เหลือเพียงหอคอยฝั่งเดียวที่ยังพอใช้ได้ เพราะปู่ของโจเอลเคยส่งคนมาซ่อมแซม แต่ก็เลิกไปกลางครัน

                    หอคอยและประตูโบราณ  ตั้งอยู่ตรงช่องเขาที่เรียกกันว่า “ช่องเขาสุดแดน” ซึ่งหมายถึง สิ้นสุดเขตแดนจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ ด้านหนึ่งของช่องเขา คือเทือกเขาโอรูธาน ตั้งตามพระนามปฐมจักรพรรดิ มันทอดยาวขึ้นไปทางทิศเหนือ กั้นพื้นที่ส่วนใหญ่จากดินแดนของพวกการ์กอน บนยอดที่สูงที่สุดมีรูปปั้นหินขนาดยักษ์ของปฐมจักรพรรดิตั้งตระหง่าน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ชวนให้ฉงนใยความสามารถด้านการก่อสร้างของคนยุคก่อน ขณะที่เทือกเขาอีกด้านคือเทือกเขาโอลิเวีย ตั้งตามพระนามมเหสีแห่งจักรพรรดิโอรูธาน ทอดผ่านไปทางทิศใต้ สุดที่แม่น้ำอัลนา

                    เมื่อผ่านช่องเขาสุดแดน พวกเขาต่างเดินทางด้วยความล่าช้า เพราะเส้นทางคับแคบและทุรกันดาร จนโจเอลและทหารม้าต้องลงมาเดินจูงม้า ทั้งกองทัพอยู่ในสภาพล่อแหลมมากขึ้นเมื่อเข้าเขตป่าแห่งหมอก หมอกหนาทึบทำให้ต้องระวังการพลัดหลง พวกเขาต้องเดินทางด้วยการจับคอเสื้อคนข้างหน้า แต่การบุกเบิกเส้นทางของเฮอร์ม ก็ช่วยให้เดินทางได้ง่ายขึ้น

                    โจเอลพยายามสังเกตเส้นทางและเทียบภูมิประเทศกับแผนที่โบราณไปด้วย แต่ก็ทำได้ยากในสภาพหมอกลงจัด ซึ่งเห็นได้ไกลไม่เกินหนึ่งหลา จึงกลับมาคิดเรื่องโมเกอร์อีก สภาพเช่นนี้โมเกอร์คงหลงทางแน่ ตอนนี้หวังแค่การเดินทางกันมาหลายคนเช่นนี้ คงทำให้เป็นจุดสังเกตหรืออาจมีคนพบเจอโมเกอร์บ้าง

     

                    ทั้งหมดเดินทางจนมาถึงทุ่งโล่งกลางป่า จึงพบกับเฮอร์มนั่งยิ้มเผล่รอบนซากต้นไม้ที่หักโค่น ห้อมล้อมด้วยพวกทหารที่ช่วยกันถางทางที่ล้มลงเหนื่อยหอบ

                    “มากันแล้วหรือ ขออภัยที่ต้องหยุดพักสักหน่อย ที่จริงข้าน่ะยังไหวอยู่หรอก แต่ทหารพวกนี้สิ ท่าจะไปต่อไม่ไหวแล้ว” เฮอร์มกล่าวยียวนตามประสา

                    โจเอลไม่ได้ต่อปากต่อคำ เพราะตั้งใจจะพักพลที่นี่อยู่แล้ว จึงถ่ายทอดคำสั่งให้ฮานส์จัดแถวทหาร และช่วยแจ้งแก่อัศวินทั้งสอง

                    ระหว่างหยุดพัก โจเอลนำแผนที่ขึ้นมาเทียบอีกครั้ง แต่ไม่มีจุดสังเกตพอจะยืนยันได้ว่าทุ่งโล่งตรงนี้ เป็นอันเดียวกับที่บันทึกในแผนที่

                    เขาหวนคิดถึงเรื่องของโมเกอร์อีกครั้ง จึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาร่องรอย ใจหนึ่งยังกังวลว่าจะบอกกับอัศวินทั้งสองเรื่องที่เขาส่งคนไปเจรจาโดยพลการได้อย่างไร โดยเฉพาะดไวเซนที่ตั้งท่าคัดค้านเรื่องนี้เต็มที่

                    ครู่หนึ่ง เฮอร์มก็ผิวปากเรียกให้มาดูเบาะแสบางอย่าง

                    “รอยเท้าม้า...เมื่อคืนมีคนผ่านมาที่นี่...”

                    โจเอลไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกจูงมือเดินมาอีกไม่ไกล บริเวณนี้มีรอยเท้าคนอีกหลายรอย ดูสับสนอลหม่าน

                    “แต่ดูท่า เจ้านั่นคงจะมาได้เท่านี้ คงถูกคนเถื่อนจับตัวไป” พรานเฒ่าอธิบายต่อ

                    โจเอลใจหายต่อสิ่งที่ได้ยิน โมเกอร์ถูกจับโดยพวกการ์กอน! พวกนั้นจะทำอะไรกับเขาบ้าง?

                    “นี่ใช่ร่องรอยหัวขโมยที่เราตามหาหรือเปล่า?”

                    คำถามที่แทรกขึ้นมาทำเอาโจเอลสะดุ้ง เพราะมาจากดไวเซน ไม่รู้ว่าเขาร่วมฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ และคำถามนั้นก็ช่างน่าอึดอัดใจที่จะตอบ

                    “...ข้าคิดว่าคงไม่ใช่...” โจเอลตอบเลี่ยง

                    “ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น?” ดไวเซนยังคงถามต่อไป

                    โจเอลอึกอักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยอมตอบไปตามจริง “...ข้าคิดว่า...นั่นเป็นคนของข้าเอง...”

                    “คนของท่าน!” ดไวเซนร้องด้วยความแปลกใจ

                    “ใช่...ข้าส่งคนไปเจรจา ให้พวกนั้นยอมมอบผู้ต้องสงสัยให้เรา” โจเอลพยายามอธิบาย

                    “หมายความว่าพวกมันรู้แล้วว่าเราจะมา! ท่านตัดสินใจเช่นนี้ รู้ไหมว่ามันจะส่งผลเช่นไร” ดไวเซนตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจัง โจเอลจำนนต่อเหตุผล เขาเพียงหวังว่าการตัดสินใจนั้นจะช่วยยุติปัญหาโดยดี

                    “หึ! ก็ดี ให้พวกมันเตรียมตัวสักหน่อย เรื่องนี้จะได้สนุกขึ้น!” ท่าทีของดไวเซน เปลี่ยนเป็นพึงพอใจ เมื่อนึกถึงการประจัญบานกับพวกคนป่าเถื่อน

                    “มันก็ยังไม่แน่ พวกเขาอาจยอมรับข้อเสนอของเรา เพราะมันย่อมดีกว่าการรบราฆ่าฟัน” โจเอลตอบกลับอย่างไม่พอใจ

                    ดไวเซนหัวเราะเยาะ “ข้าว่าไม่เป็นเช่นนั้น ลองนึกดูสิว่าถ้าเป็นท่าน มีคนที่ไม่รู้จักยกกองทัพมาแล้วบอกให้ส่งตัวคนร้าย ท่านจะยอมไหม หึ! ช่างมองโลกในแง่ดีเสียจริง แต่เอาเถิด ข้าจะรอดูความพยายามที่ว่า ถึงอย่างไร ทุ่งโล่งนี่ก็เหมาะจะรบกันมากกว่าในป่าทึบ”

                กล่าวจบ อัศวินหนุ่มก็กลับไปยังทัพตน แล้วสั่งทหารใต้สังกัดให้เตรียมพร้อมรับศึก ซึ่งทัพของดารูเกนซ์ก็เตรียมตัวเช่นกัน

                    “ท่านนี่นะ ชอบทำเรื่องเปล่าประโยชน์เสียจริง” เฮอร์มบ่นให้เข้าหู ก่อนจะเดินจากไป

                    โจเอลนิ่งงัน เพ่งมองไปเบื้องหน้าด้วยความลังเลและไม่แน่ใจ โมเกอร์จะสามารถเจรจากับพวกการ์กอนสำเร็จหรือไม่ เขาทำได้เพียงยืนสงบนิ่ง สายตาเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าที่มีแต่หมอกขาวโพลน ขณะเดียวกัน กองทหารทั้งหมดก็เริ่มจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ เตรียมพร้อมเผชิญกับสิ่งใดก็ตามที่กำลังจะมาถึง

    การรอคอยด้วยความอึดอัดผ่านไปเนิ่นนาน จนเย่างเข้าสู่ช่วงสาย อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น และหมอกก็เริ่มจางลง จากที่มองเห็นได้เพียงหนึ่งหลาก็เพิ่มเป็นสามหลา ด้วยระยะการมองเห็นที่ไกลขึ้น ไม่ช้าเสียงร้องเตือนจากทหารที่อยู่แถวหน้าก็ดังขึ้น

                    “มีบางอย่างกำลังมา!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×