คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 หมู่บ้านคูอูล (ปรับ)
กองทัพชาวเกลลาร์เริ่มออกเดินทางกันต่อในช่วงบ่าย แม้จะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในแดนการ์กอนอันเป็นตำนาน แต่พวกเขากลับคลายวิตกลงมาก คงเพราะชัยชนะที่เพิ่งได้รับเหนือศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าเท่าตัว ทำให้ตำนานด้านความโหดร้ายน่ากลัวของแดนเถื่อนแทบมลายหายไป
เฮอร์มออกนำหน้าเพื่อเบิกเส้นทางให้กองทัพอย่างสบายอารมณ์ แม้จะยังไม่ค่อยมั่นใจกับข้อตกลงที่โจเอลยื่นให้ แต่แค่การเลือกเก็บสมุนไพรที่ขึ้นรายทางก็ทำกำไรให้พรานเฒ่าได้ไม่ยาก และเส้นทางตรงหน้าก็ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการแกะรอย เพราะอากาศที่เริ่มอบอุ่นในช่วงบ่ายทำให้หมอกจางลงมาก และการล่าถอยของพวกการ์กอนก็ได้เบิกเส้นทางให้ผ่านไปได้สะดวก แม้แต่กับดักที่วางไว้รอบหมู่บ้านก็ถูกทำลายไปด้วย
โจเอลมองพรานเฒ่าที่นำทางไปพลางเก็บสมุนไพรไปพลางอย่างนึกหวั่น ถึงค่ารักษาที่เขาอาจต้องจ่ายหากมีการปะทะกันอีก หากโมเกอร์รู้ข้อตกลงนี้คงจะพลอยวิตกไปด้วยอย่างแน่นอน เพราะลำพังค่าใช้จ่ายทั่วไปก็ยังต้องกระเบียดกระเสียร แต่หากไม่มีการปะทะกันมากไปกว่านี้ ค่ารักษาก็คงจะไม่บานปลายนัก
จอร์ชขับม้าเลียบเข้ามาใกล้ ตบบ่าให้กำลังใจสหาย เขารู้ว่าโจเอลมีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย จึงพยายามช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้ ทั้งสองต่างมองภูมิทัศน์โดยรอบหลังหมองจางลง ป่าในฤดูผลัดใบอาจจะดูแห้งแล้ง แต่ก็มีสีสันหลากหลายงดงามแปลกตา อันเป็นไปตามวัฐจักร โจเอลมองธรรมชาติรอบข้างแล้วนึกอยากให้ลูนาร์ได้ชื่นชมเช่นกัน ทว่าเธอยังคงไม่ได้สติจึงปล่อยให้พักผ่อนต่อไป
โจเอลเบนความสนใจไปที่เชลยชาวการ์กอน พยายามสื่อสารด้วยภาษาของพวกนั้นแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง แววตาคนเหล่านั้นยังเปี่ยมด้วยความหวาดระแวง สุดท้ายโจเอลก็อ่อนใจจนต้องล้มเลิก
กองทัพเดินทางต่อจนพ้นช่วงป่าทึบจึงเห็นท้องฟ้าสว่างไสวเสียที ทว่าข่าวสารแรกจากท้องฟ้าที่โปร่งโล่ง คือเปลวควันที่ลอยสูงเหนือทิศทางที่ตั้งของหมู่บ้านคูอูลอันเป็นเป้าหมาย...มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่ !
ขณะที่ทุกคนมัวตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า ดไวเซนก็ควบม้ามุ่งตรงไปยังทิศทางที่เปลวควันลอยคลุ้ง พร้อมทหารม้าในอาณัติ โดยมิได้ปรึกษาหารือหรือบอกกล่าวโจเอลแม้แต่น้อย ผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลพอจะคะเนได้อยู่แล้ว เพราะปกติอัศวินผู้นี้ก็ไม่ค่อยเห็นผู้ใดในสายตา และในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ย่อมไม่แปลกที่ดไวเซนจะผลุนผลันนำทหารม้าออกไป แต่หากว่าเป็นกับดัก ดไวเซนและทหารม้าที่ติดตามไปอาจตกอยู่ในอันตราย เมื่อคิดดังนั้น โจเอลจึงฝากการบัญชาการไว้กับจอร์ชแล้วนำทหารม้าที่เหลือตามไปสมทบ เผื่อพลาดพลั้งศัตรู
โจเอลให้ทหารคนหนึ่งสละม้าให้แก่เฮอร์มเพื่อใช้นำทาง ฝีมือการขี่ม้าของพรานเฒ่านับว่าใช้ได้ เขาออกนำทางได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าม้าจากฟอร์ทอังเคิลฝีเท้าเป็นรองซ้ำยังออกตัวทีหลัง หากจะไล่ให้ทัน พวกเขาต้องใช้เส้นทางอื่น
“เฮอร์ม มีเส้นทางอื่นไปยังหมู่บ้านหรือไม่?” โจเอลตะโกนถาม
“เลี้ยวซ้ายตรงต้นไม้ใหญ่ข้างหน้านี้ มีเส้นทางเล็ก ๆ ที่ไปได้เร็วกว่ามาก” เฮอร์มตอบกลับในทันที
โจเอลและทหารเร่งม้าตามการนำของพรานเฒ่า เส้นทางคับแคบ ทำให้ขบวนเปราะบาง โชคดีที่ระหว่างทางไม่มีการซุ่มโจมตี ทั้งหมดจึงมาถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย เขานำทหารเลาะเลียบไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวัง ฟากตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นหน้าผาสูงชัน ทิศเหนือติดทิวเขาสูง ส่วนที่เหลือถูกโอบล้อมด้วยผืนป่า มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านป้องกันทางทิศตะวันตก แล้วอ้อมไปไหลลงหน้าผาด้านตะวันออก กลายเป็นน้ำตกขนาดเล็ก
พวกเขาตรวจตราจนทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัยหรือชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ควันไฟที่ปรากฏ มาจากอาคารขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งคงใช้เป็นยุ้งกลาง เพราะภายในยังเหลือธัญพืชที่ยังไม่ไหม้ไฟ โจเอลสั่งการให้รีบดับไฟซึ่งยังไม่ลุกลามไปรอบ ๆ ทั้งที่น่าจะติดไฟได้ง่าย แสดงว่าเพิ่งถูกจุดไม่นาน รวมทั้งไม่มีการวางเพลิงในจุดอื่น ๆ อาจเป็นไปได้ว่าพวกการ์กอนเพียงต้องการเผาเสบียงทิ้ง
ไม่นานกลุ่มของดไวเซนก็มาถึง อัศวินหนุ่มรู้สึกแปลกใจเป็นที่เห็นโจเอลมารออยู่ก่อน จึงเอ่ยถาม
“พวกท่านมาถึงก่อนได้อย่างไร?”
“ข้ามาด้วยเส้นทางลัด แล้วทางที่ท่านผ่านมาได้พบกับศัตรูหรือไม่?” โจเอลถามกลับไป อยากแน่ใจว่าไม่มีการซุ่มโจมตี
“ไม่เห็นมีสิ่งผิดปกติอะไร พวกมันคงหนีไปไกลแล้ว” อัศวินหนุ่มตอบ
“อาจไม่เป็นเช่นนั้น...ร่องรอยจากอาคารที่ถูกเผา บ่งชี้ว่าน่าจะถูกวางเพลิงได้ไม่นาน เราควรช่วยกันตรวจตราให้ละเอียด เผื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นกับดัก” โจเอลเสนอ ซึ่งดไวเซนก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงแยกกันนำคนของตน ออกตรวจตราค้นหาสิ่งผิดปกติ
หมู่บ้านคูอูล มีบ้านเรือนอยู่ราวสองร้อยหลัง จากจำนวนเหล่านี้ โจเอลประเมิณว่าพวกการ์กอนคงไม่สามารถรวมกำลังเพื่อเข้าโจมตีอีกครั้งในเวลาอันใกล้
สิ่งก่อสร้างของพวกการ์กอนมักปลูกติดกัน โดยแต่ละหลังจะขึ้นโครงจากเสาขนาดใหญ่ตรงกลาง ส่วนผนังทำจากต้นไม้อีกชนิดที่มีลำต้นเรียวยาว แต่ยืดหยุ่นและแข็งแรงพอสมควร ต้นไม้ที่มีลำต้นเรียวยาวนี้ จะแตกหน่อแผ่ออกไปเป็นหลายต้น พวกการ์กอนจะปลูกเว้นระยะจากเสาตรงกลาง เป็นการสร้างอาณาเขต แล้วจึงโน้มปลายยอดตรึงไว้กับเสาหลัก สร้างโครงไว้คร่าว ๆ ก่อนจะนำต้นที่ถูกตัดมาสานรอบ ๆ คล้ายการสานตะกร้า ที่แปลกก็คือบรรดาต้นที่ใช้เป็นโครงจะไม่ถูกตัด แต่จะทิ้งให้เจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ ซึ่งใบของมันก็งอกงามขึ้นมาตลอด โจเอลคิดว่าบางทีการที่คนพวกนี้ปลูกบ้านเรือนไว้ติดกัน อาจเพราะต้องการอาศัยการแตกหน่อจากพืชที่ใช้เป็นโครงนี่เอง
ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหมด มีอาคารอยู่สองหลังที่ตั้งแยกไปจากหลังอื่น ๆ หนึ่งในนั้นคือยุ้งฉางซึ่งถูกเผาไปแล้ว ส่วนอีกหลัง เป็นอาคารใหญ่โตโอ่อ่าจนน่าจะจุคนได้ทั้งหมู่บ้าน
โจเอลและทหารติดตามอีกสองนายเข้าไปสำรวจในอาคารนั้น ภายในอาคารกว้างขวางเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างหลังอื่น ๆ ตรงที่โครงสร้างเริ่มจากเสาหลักขนาดใหญ่จำนวนห้าต้นตรงกลางอาคาร โดยเว้นระยะเป็นวงกลมให้ตรงกลางสามารถก่อกองไฟ ซึ่งหลังคาด้านบนจุดที่ใช้ก่อกองไฟได้เปิดโล่งไว้ อาจเพื่อระบายควัน รวมทั้งให้แสงลอดลงมาได้บ้าง กระนั้นบรรยากาศภายในก็ยังคงสลัวราง โดยเฉพาะบริเวณริมผนังยิ่งมองเห็นได้ยาก
โจเอลก้าวเข้ามาในอาคารโดยไม่รู้ว่ามีบางคนหลบซ่อนอยู่ สายตาลึกลับจับจ้องผู้ปกครองหนุ่มแห่งฟอร์ทอังเคิลด้วยความสนใจ และเริ่มสังเกตว่าคนพวกนี้มองเห็นในความมืดได้ไม่ดีนัก หากใช้ข้อได้เปรียบนี้ จับตัวชายที่น่าจะเป็นผู้นำเอาไว้เป็นตัวประกัน อาจจะใช้ต่อรองให้พ้นจากวงล้อมได้
ผู้หลบซ่อนเริ่มเคลื่อนไหวในความมืด รวดเร็วและเงียบเชียบ มันพุ่งเป้าไปที่ทหารสองนายที่ยังไม่ทันระวังตัว ทหารทั้งสองนายถูกฟาดอย่างแรงที่ศีรษะจนสลบไป เมื่อจัดการคนอารักขาได้แล้ว ผู้จู่โจมจึงพุ่งไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
โจเอลรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเลื่อนมือขึ้นกุมดาบพร้อมชักออกมาได้ทุกเมื่อ ขณะที่ร้องเรียกทหารสองนายที่เงียบหายไป ชั่วอึดใจก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วจึงฟันดาบออกไปอย่างไม่เต็มแรง หวังเพียงสกัดการบุกรุก ฝ่ายที่จู่โจมเบี่ยงตัวหลบแล้วพุ่งเข้าประชิด ทว่าโจเอลก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว แค่ก้าวออกไปข้างหน้าสั้น ๆ เพื่อทำลายระยะ ศัตรูก็เสียจังหวะ กระนั้นก็ยังไม่ได้หยุดการโจมตีโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ใช้อาวุธได้ไม่ถนัด สถานการณ์ในตอนนี้ จึงต้องตัดสินกันด้วยการใช้กำลังปล้ำรัดจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอม
ขณะที่ทั้งสองมัวกอดรัดฟัดเหวี่ยงเพื่อความอยู่รอด โจเอลก็รู้สึกถึงความผิดปกติ แม้จะสวมถุงมือหนา แต่เขาก็แน่ใจว่าได้สัมผัสอะไร...คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงเด็กผู้หญิง !
โจเอลชะงักงันไปชั่วขณะ เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายดิ้นรนหนักข้อจึงต้องรวบตัวไว้ให้แน่นกว่าเดิม แล้วตะโกนเรียกให้ใครสักคนรีบนำคบไฟเข้ามา
เฮอร์มและทหารรีบรุดเข้ามาพร้อมคบไฟ เกรงว่าโจเอลอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อส่องไฟเห็นผู้ปกครองหนุ่มแห่งฟอร์ทอังเคิล กำลังกอดรัดเหนือร่างเด็กสาวตัวน้อย พรานเฒ่าก็ฉีกยิ้มยั่วล้อ ทำให้โจเอลนึกฉุน
“ใครช่วยหาเชือกมามัดเด็กคนนี้ที!” โจเอลตะโกนสั่งด้วยความโมโห เมื่อเห็นพรานเฒ่าและคนอื่น ๆ เอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะที่เด็กสาวชาวการ์กอนยังดิ้นรนไม่หยุด ทั้งร้องด่า ทั้งกัด ทั้งข่วน สุดความสามารถ
ทหารที่ยืนอยู่รีบหาเชือกมามัดเชลยตามคำสั่ง โจเอลจึงสามารถปล่อยมือและพักเหนื่อยได้เสียที ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวตัวเล็ก ๆ จะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้
โจเอลพิศดูเชลยตัวน้อยที่ทำให้เขาเหนื่อยแรง เธอเป็นเพียงเด็กสาว อายุราว 12-13 ปี สูงไม่ถึงราวอกเขาด้วยซ้ำ มีใบหน้าน่ารักชวนมอง คล้ายเด็กสาวทั่วไป ผิดแต่ร่างกายบางส่วนดูคล้ายสัตว์จำพวกแมว ไม่ว่าจะดวงตากลมโต วาวเรืองสะท้อนแสงคบไฟ หูใหญ่ชี้แหลมและมีขนปกคลุม หรือกระทั่งหางยาวที่ตอนนี้กำลังชี้ฟู ไม่ต่างจากแมวที่ตื่นกลัว ดูแปลกประหลาดในสายตาชาวเกลลาร์
ขณะที่โจเอลพยายามทำให้เด็กสาวชาวการ์กอนสงบสติอารมณ์เพื่อซักถามข้อมูล ดไวเซนก็รีบรุดเข้ามา เพราะได้ยินว่าจับเชลยได้
“เด็กผู้หญิง?” ดไวเซนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้เห็นตัวเชลย
“ท่านดไวเซน ข้างนอกมีสิ่งผิดปกติอีกหรือไม่?” โจเอลถามกับอัศวินหนุ่ม
“ไม่...บางทีพวกมันคงหนีไปไกลแล้ว” ดไวเซนตอบในทันที
“ถ้าเช่นนั้น เด็กคนนี้อาจเป็นคนวางเพลิง” โจเอลสันนิษฐาน พลางหาผ้ามาคลุมร่างของเด็กสาว เพราะชุดที่เธอสวมออกจะเปิดเผยเกินควร
“แล้วท่านคิดว่านางจะเป็นหัวขโมยที่เราตามหาหรือเปล่า?” ดไวเซนตะเบ็งเสียงแข่งกับเด็กสาวที่เอาแต่ร้องโวยวายไม่หยุด “ท่านจะไม่มัดนางให้แน่นหนากว่านี้สักหน่อยหรือ?” อัศวินหนุ่มตั้งใจจะบอกให้โจเอลมัดปากเด็กสาวไปด้วย เพราะรู้สึกรำคาญกับเสียงแสบแก้วหูเต็มที
“ขออภัย ข้ากำลังพยายามฟังสิ่งที่นางพูดอยู่” โจเอลตอบอย่างใจเย็น ขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการจับผ้าที่ถูกเตะถีบให้เข้าที่
“ท่านรู้ภาษาพวกมัน ? ช่างเถิด ช่วยให้นางเงียบสักประเดี๋ยว คงไม่เป็นไรกระมัง” ดไวเซนย้ำอีกครั้ง เพราะเริ่มจะหมดความอดทนกับเสียงโหวกเหวกโวยวาย โจเอลจึงยอมทำตามในที่สุด
“ข้ายังไม่ได้ข้อมูลพอ แต่หากนางสงบสติอารมณ์ลง อาจจะพอซักถามอะไรได้บ้าง” โจเอลกลับมาตอบคำถามเรื่องหัวขโมย
“ถ้าเช่นนั้น ขอฝากเรื่องนี้ให้ท่านดูแลก็แล้วกัน ข้าขอตัวออกไปตรวจตรารอบ ๆ อีกสักหน่อย เผื่อจะได้เบาะแสอะไรอีก” ดไวเซนขอตัวเพื่อหาเบาะแสอื่น และตรวจตราความปลอดภัย
โจเอลเองก็คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะเด็กสาวที่เป็นเชลยยังคงเกรี้ยวกราด ไม่พร้อมจะพูดคุย เขาจึงคิดว่าควรออกไปตรวจตราด้วยเช่นกัน
“ข้าก็จะออกไปด้วย จะได้ส่งทหารไปแจ้งข่าวให้คนที่เหลือตามมา”
เมื่อเห็นว่าโจเอลกำลังจะเดินออกจากอาคาร เฮอร์มจึงรีบยุดแขนเสื้อไว้ เพื่อจะขอต่อรองบางอย่าง
“โจเอล เอ่อ...ท่านโจเอล หากท่านหมดธุระกับเจ้าเชลยแล้ว ข้าขอซื้อต่อจากท่านได้หรือเปล่า? แดนการ์กอนถือเป็นแหล่งรวมของแปลกโดยแท้ ถือว่าตอบแทนท่านแล้วกัน ข้าให้ท่านเรียกราคาเต็มที่เลย ข้ารู้จักเศรษฐีที่มีรสนิยมประหลาดอยู่หลายคน พวกนั้นยอมจ่ายไม่อั้นแน่ ๆ หากได้เห็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งแมวอย่างเด็กคนนี้...”
เพี้ยะ!
เสียงฟาดฉาดใหญ่ดังสะท้าน ขณะที่พรานเฒ่ายังพูดไม่ทันจบ ฝ่ามือแข็งแรงห่อหุ้มด้วยถุงมือเหล็กก็ฟาดเข้าที่ปาก รุนแรงจนผู้ถูกตบล้มหงาย
“อะไรกันวะ!” เฮอร์มระเบิดน้ำเสียงด้วยความโมโห เตรียมปรี่เข้าเอาคืนผู้ที่เล่นงาน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฝีมือดไวเซนที่ไม่สบอารมณ์กับคำพูดของพรานเฒ่า จึงถือวิสาสะตบสั่งสอนโดยไม่เกรงใจโจเอล
“เจ้าเฒ่า! หัดระวังปากเสียบ้าง ถึงจะเป็นคนเถื่อน แต่นางก็เป็นสตรี และอัศวินเช่นข้าได้ปฏิญานตนว่าจะปกป้องเกียรติของสตรี จำใส่กะโหลกเอาไว้ จงให้เกียรติแก่สตรี” ดไวเซนพูดสั่งสอนด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย
“พอเถิดท่านดไวเซน คนของข้าได้รับบทเรียนแล้ว” โจเอลรีบเข้ามาห้าม เพราะเห็นดไวเซนเอามือแตะที่ด้ามดาบ
ดไวเซนค้อมศีรษะเล็กน้อยให้แก่โจเอล แทนการขออภัยที่ได้ล่วงเกินคนของฟอร์ทอังเคิล ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทันทีที่อัศวินหนุ่มเหลียวหลัง พรานเฒ่าก็กรากเข้าใส่ ทว่าโจเอลคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เขาจึงยื่นขาออกสกัด ทำให้เฮอร์มสะดุดล้มหน้าคะมำ
“พอเสียทีเถิดเฮอร์ม ถ้าโดนท่านดไวเซนฟันขาดสองท่อน มีหวังข้าต้องมานั่งเย็บร่างเจ้าให้มานำทางต่อ ถ้าหายเจ็บก็ลุกขึ้นเสียที เรายังมีงานอีกมากรออยู่” โจเอลเอ่ยขณะเฝ้ามองพรานเฒ่าที่ยังนอนนิ่ง
“แล้วท่านตกลงหรือเปล่า?” พรานเฒ่าถามทั้งที่ยังไม่ลุกขึ้น
“เรื่องอะไร?” นายบ้านหนุ่มถามกลับ
“ท่านสุภาพสตรีที่มีหูเหมือนแมว” พรานเฒ่าตอบ
“ไม่ต้องประชดเลย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ตกลง” นายบ้านหนุ่มตอบทันควัน เมื่อเห็นพรานเฒ่าทำท่าไม่ยอมลุก เขาจึงพูดต่อ
“ถ้าเจ้าลุกไม่ไหว ข้าจะเอาม้ามาช่วยลากเอาไหม?”
สิ้นคำ เฮอร์มก็รีบลุกขึ้นเดินจากไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่นานกองทัพที่เหลือก็ตามมาสมทบที่หมู่บ้าน นอกจากนี้โจเอลยังส่งม้าเร็วกลับไปแจ้งข่าวและเร่งรัดเสบียงที่ฟอร์ทอังเคิล
ทั้งโจเอลและดไวเซนมีความเห็นตรงกัน ว่าคงต้องค้างแรมที่หมู่บ้านคูอูลอย่างน้อยหนึ่งคืน จึงแบ่งพื้นที่ให้ทหารพักผ่อน พวกเชลยศึกถูกมัดรวมกันไว้ในอาคารหลังใหญ่ที่โจเอลจับตัวเด็กสาวได้ ส่วนเด็กสาวถูกควบคุมไว้ที่อาคารอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งข่าวสารถึงกัน
ผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลจัดหาที่พักให้กับลูนาร์เป็นพิเศษ เป็นกระท่อมหลังเล็กไม่ต่างจากหลังอื่น ทว่าภายในเต็มไปด้วยดอกไม้แห้งนานาพรรณ เจ้าของกระท่อมอาจจะเป็นหมอยา โจเอลถูกใจกระท่อมหลังนี้ตั้งแต่ตอนที่ตรวจค้นจึงเอ่ยปากขอกับดไวเซน โดยให้เหตุผลว่าจะใช้เป็นที่พักของลูนาร์ ดไวเซนตกปากรับคำอย่างง่ายดาย ซ้ำยังให้ทหารนำผ้าเนื้อดีมาปูทับเตียงนอนซึ่งทำจากมัดฟาง
หลังจัดแจงที่พักและเรื่องทั่วไป โจเอลและดไวเซนก็เร่งค้นหาพระมหาพิชัยมงกุฎ ตามพระราชโองการลับ รวมทั้งจับกุมชาวการ์กอนที่พบเจอ เพื่อนำมาสอบสวน กลุ่มค้นหาถูกแบ่งเพื่อกระจายอาณาเขตในการค้นหา ดไวเซนนำทหารสิบนายออกค้นหาทางป่าทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีบุตรคนโตของเฮอร์มนำทาง ส่วนจอร์ชและเฮอร์มนำทหารอีกสิบนายค้นหาทางป่าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และฮานส์นำทหารอีกสิบนายขึ้นไปค้นหาบนเขาทางทิศเหนือ โดยมีบุตรคนเล็กของเฮอร์มนำทาง ส่วนโจเอลและทหารที่บาดเจ็บคอยที่หมู่บ้าน
โจเอลลองแวะไปดูเด็กสาวชาวการ์กอนอีกครั้งเพราะคิดว่าเธอคงสงบสติอารมณ์พอจะพูดคุยกันรู้เรื่อง ทว่าเด็กสาวกลับผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จึงไม่ได้ไต่สวนตามที่ตั้งใจ
เวลาผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงเย็น แสงอาทิตย์ใกล้จะหมดลงเต็มที หน่วยค้นหาจึงเริ่มทยอยกลับ
ดไวเซนที่ออกค้นหาทางป่าทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่พบทั้งมงกุฎและชาวการ์กอนเช่นเดียวกับจอร์ชและเฮอร์ม แต่เฮอร์มเห็นรอยเท้าพวกการ์กอนหลายรอยมุ่งขึ้นไปทางเหนือ เลียบไปตามเชิงเขา ซึ่งอาจเป็นคนในหมู่บ้านคูอูลที่หลบหนีไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง จอร์ชอยากจะตามรอยนั้นไป แต่ก็พาคนมาน้อยและแสงอาทิตย์ก็ใกล้จะหมด จึงตัดใจกลับหมู่บ้าน เหลือเพียงหน่วยของฮานส์ที่ยังไม่กลับมา แต่โจเอลก็ไม่แปลกใจเพราะรู้ว่าฮานส์คงไม่ยอมล้มเลิกอะไรง่ายๆ
ระหว่างรอคณะของฮานส์ ทัพของดารูเกนซ์และกองหนุนจากฟอร์ทอังเคิลก็ตามมาสมทบ โจเอลชี้แจงดารูเกนซ์ถึงที่พักที่ได้จัดสรรไว้แล้ว ตัวอัศวินมังกรดูจะไม่เรื่องมากนัก เขาพยักหน้าแสดงอาการรับรู้แล้วเดินไปยังที่พัก
“เรียนนายท่าน ขณะนี้ท่านบารอนเคอร์เบนได้นำกำลังสนับสนุนมาถึงฟอร์ทอังเคิลแล้ว และจะตามมาสมทบในเร็ว ๆ นี้ เสบียงอาหาร และกำลังคนที่ส่งมาในวันนี้ เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น” ทหารที่นำกองหนุนและเสบียงมาส่งรายงานกับโจเอล
ข่าวบารอนเคอร์เบนนำกำลังมาถึงฟอร์ทอังเคิลทำให้พวกทหารอุ่นใจมากขึ้น สำหรับโจเอลแล้วกลับมีแต่ความกังขา บารอนเคอร์เบนเป็นเจ้าที่ดินซึ่งโจเอลรับใช้โดยตรง ทำให้เขารู้จักท่านบารอนผู้นี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านความตระหนี่และความเมตตาอันน้อยนิด เหตุการณ์ที่โจเอลจำได้ดี คือช่วงปีที่แร้นแค้นจากภัยธรรมชาติ ท่านบารอนก็หาได้ลดหย่อนภาษีแต่อย่างใด เพื่อหาเงินมาจ่ายแทนผลผลิตที่ลดลง บิดาของโจเอลต้องออกไปรับจ้างทำสงครามในต่างแดนหลายครั้งจนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
โจเอลกวาดสายตามองทหารที่ส่งมา ทั้งหมดล้วนเป็นคนในฟอร์ทอังเคิลทั้งสิ้น แสดงว่าทุกอย่างยังไม่ผิดปกติจนถึงขั้นที่บารอนเคอร์เบนต้องยอมควักกระเป๋า แต่อีกด้านก็รู้สึกหนักใจ ที่ต้องรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง
ทหารที่ทำหน้าที่คนครัวรีบจัดการกับเสบียงด้วยการแปลงให้เป็นซุปหม้อใหญ่ ต่างสาละวนแข่งกับท้องที่เริ่มส่งเสียงอุทธรณ์ ระหว่างนั้น โจเอลได้หลบไปนั่งเพียงลำพัง เพื่อครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ
“ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดอยู่หรือ?” ชายหนุ่มผมยาว ใบหน้างดงามดังสตรี เอ่ยถามขณะนั่งลงเคียงข้าง
“จอร์ช...เอ้อ...ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย” โจเอลตอบเลี่ยง
“แต่สีหน้าท่านไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่นา หากคิดว่าข้าเป็นสหาย ก็โปรดให้ข้าช่วยแบ่งเบาภาระบ้างเถิด” จอร์ชคะยั้นคะยอ เพราะด้วยนิสัยที่ชอบเก็บปัญหาไว้เพียงคนเดียวของโจเอล หากไม่กระเซ้าถามก็ยากที่จะยอมเปิดเผย
โจเอลถอนหายใจขึ้นทีหนึ่ง ก่อนจะยอมกล่าว “ทหารได้รายงานว่าท่านบารอนเคอร์เบนนำกำลังเสริมมาถึงฟอร์ทอังเคิลแล้ว คาดว่าจะตามมาสมทบเร็ว ๆ นี้ ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ ว่าหากยังค้นหาหัวขโมยไม่พบ ก็คงต้องปะทะกับพวกการ์กอนอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้...”
“เรื่องนั้นก็น่ากังวลอยู่หรอก...แต่ดูเหมือนจะยังมีเรื่องอื่นอีกที่ทำให้ท่านกังวลใช่หรือไม่?” จอร์ชถามต่อไป
“...การที่บารอนเคอร์เบนมายังฟอร์ทอังเคิลทำให้ข้ารู้สึกกังวล ท่านบารอนไม่มีทางยอมออกนอกปราสาทตัวเองแน่หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ดูจากกำลังสนับสนุนที่ถูกส่งมาในวันนี้ ทำให้ข้าไม่แน่ใจว่าท่านบารอนมาเพื่อช่วยพวกเราจริง ทหารเหล่านี้เป็นคนในฟอร์ทอังเคิลทั้งสิ้น คงเป็นโมเกอร์ที่จัดกำลังคนและอาหารมาให้ แต่ถึงท่านบารอนจะส่งทหารมาช่วยจริง ข้าก็ยังคิดว่าการที่เราพากันมาอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ จะทำให้เราจับตัวคนร้ายตามพระราชโองการได้อย่างนั้นหรือ” โจเอลอธิบายด้วยซุ่มเสียงที่เบาลง เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยิน
“โจเอล สิ่งที่ท่านกังวลก็นับว่ามีเหตุผล แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ทำตามพระราชโองการ ย่อมมีโทษไม่ต่างจากกบฏ อีกอย่าง อย่าลืมว่าท่านมีข้าอยู่เคียงข้าง ฉะนั้น เลิกแบกโลกไว้คนเดียวได้แล้ว ไหล่ข้ายังว่างพอจะช่วยแบกมันไว้ด้วยกัน” จอร์ชกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะตบบ่าให้กำลังใจสหาย โจเอลยิ้มตอบแสดงความขอบใจ ก่อนจะเดินกลับมายังส่วนเตรียมอาหาร
ที่ครัวซุปถูกเคี่ยวจนได้ที่แล้ว ทว่าทุกคนยังคงรอคณะของฮานส์ มีเพียงเฮอร์มและบุตรชายคนโตทำอาหารกันเอง และกินโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น แม้ว่าลูกชายคนเล็กจะยังไม่กลับมา เฮอร์มก็หาได้อนาทรร้อนใจ ทว่าระหว่างกำลังสำราญกับมื้อเย็น อยู่ ๆ พรานเฒ่าก็หยุดชะงัก
“จุ๊ ๆ มีสิ่งผิดปกติ...” เฮอร์มร้องเตือนด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเคร่งเครียดผิดกับทุกครา
เมื่อทุกคนเงียบเสียงตามคำเตือนของเฮอร์มจึงรู้ว่าบรรยากาศรอบข้างผิดปกติไป ป่ารอบ ๆ เงียบสงัด ไม่มีเสียงสัตว์ร้องให้ได้ยิน เป็นความเงียบที่ชวนให้เย็นสันหลัง ม้าและลาที่ผูกไว้พากันกระสับกระส่าย แม้แต่มังกรพาหนะของดารูเกนซ์ก็ยังส่งเสียงคำรามในคอด้วยความตื่นกลัว ฉับพลันความรู้สึกกดดันรุนแรงก็เข้าจู่โจมทุกคนโดยไม่รู้ที่มา และเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความกลัวคล้ายถูกสัตว์นักล่าจ้องมอง แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นภัยชนิดใดที่กำลังมาเยือน แต่สัญชาติญาณได้กระซิบเตือนให้ทุกคนระวังและเตรียมพร้อม เวลาเหมือนถูกหยุดนิ่ง เพราะแทบไม่มีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน
โจเอลชำเลืองมองคนอื่น ๆ ดไวเซนย่อกายอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เหงื่อชื้นใบหน้า มือกุมดาบไว้แน่น ทว่ายังไม่ชักออกมา ดารูเกนซ์ขยับกายเข้าหามังกรพาหนะช้า ๆ พยายามลูบศีรษะคลายความกลัวให้กับมัน โดยที่มืออีกข้างกระชับอาวุธมั่น
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่างจากถ้ำบนยอดเขา ทุกคนต่างจับจ้องเป็นตาเดียว พยายามเพ่งมองว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาจากถ้ำ...
ทุกคนโล่งใจขึ้นเมื่อสิ่งที่ปรากฏคือกลุ่มของฮานส์ พวกเขาวิ่งออกมาจากถ้ำด้วยท่าทางลนลาน คล้ายกำลังหนีอะไรบางอย่าง
อึดใจต่อมา เปลวไฟร้อนแรงก็พวยพุ่งออกจากปากถ้ำ ร่างมหึมาบินทะยานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ทุกคนมองเห็นร่างนั้นกระจ่างตา คำหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจแทบจะพร้อมกัน
“มังกร!”
ความคิดเห็น