คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 การยุทธ์ ณ ป่าแห่งหมอก (1) (ปรับ)
“มีบางอย่างกำลังมา!” เสียงตะโกนบอกให้ทั้งกองทัพระวังตัว ขณะที่โจเอลใจเต้นรัว หวังให้เป็นโมเกอร์
ไม่นานนัก เงาบางอย่างก็ปรากฏในสายหมอกเบื้องหน้า เข้าใกล้มาทุกขณะ จนเมื่อเงานั้นเข้ามาใกล้จึงได้รู้ว่าเป็นโมเกอร์ เขาถูกมัดมือไพล่หลัง ปล่อยให้ม้าพาไปตามยถากรรม แก้มทั้งสองข้างของโมเกอร์ถูกกรีดเป็นรอย กระนั้นโจเอลก็ยังคงยินดีเพราะบ่าวผู้นี้ยังมีชีวิต แม้จะอิดโรยไปมาก
โจเอลรีบเข้าไปรับตัวโมเกอร์ ตัดเชือกที่มัดมือให้ เมื่อโมเกอร์รู้สึกตัวและเห็นผู้เป็นนาย เขาก็ละล่ำละลัก
“นะ...นายท่าน ข้าทำการไม่สำเร็จ พวกนั้นระดมกำลังเตรียมรับมือ โปรดระวังด้วย”
เพียงขาดคำ ฮานส์ก็ตะโกนขึ้น
“ทุกคน ยกโล่ขึ้นกำบัง!”
ไม่ถึงอึดใจ ธนูห่าหนึ่งก็พุ่งปลิวว่อนไปทั่ว การเตือนของฮานส์ทำให้ทหารส่วนใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บ และธนูเหล่านั้นก็ถูกยิงโดยไม่ได้เล็งเพราะหมอกที่ลงจัด นี่คงเป็นเพียงการจู่โจมเปิดฉากเท่านั้น
โจเอลละความสนใจหลังการโจมตีเมื่อครู่ ถอดแหวนที่สวมยื่นให้โมเกอร์ กล่าวอย่างรวบรัด
“จงกลับไปที่ฟอร์ทอังเคิล ข้ามอบหมายให้เจ้าดูแลที่นั่นชั่วคราว”
โดยไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ โจเอลก็มอบหมายให้ทหารสองนายพาโมเกอร์กลับป้อม เมื่อหมดเรื่องให้กังวล โจเอลจึงมุ่งความสนใจกลับมายังสถานการณ์ตรงหน้า แม้เขาจะไม่ปรารถนาความรุนแรง แต่สภาพการณ์เช่นนี้ คงไม่มีทางเลี่ยงอีกต่อไป
ลูกธนูที่ถูกยิงมาอย่างเดาสุ่มมาเป็นระยะ แต่ไม่อาจทำร้ายผู้ใด โจเอลพยายามคาดเดากลยุทธ์ของอีกฝ่าย พวกนั้นคงใช้การระดมยิงธนูเพื่อตรึงกำลังไว้เท่านั้น ก่อนจะตามมาด้วยการโจมตีแบบตะลุมบอน
ขณะกำลังคิดหาทางรับมือ ธนูดอกหนึ่งก็เกือบจะดับชีพเขาได้ หากว่าฮานส์ไม่กดหัวให้หลบทันกาล
“นายท่าน ระวังตัวด้วยขอรับ” ฮานส์เตือน ชี้ที่หูก่อนจะบอกใบ้ “อย่าพึ่งแค่การมองเห็น”
ไม่ว่าเปล่า ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าคว้าคันศรขึ้นเล็งแล้วยิงออกไปในสายหมอก อึดใจต่อมาก็มีเสียงร้องโหยหวน เป็นเครื่องยืนยันผล
นอกจากฮานส์แล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่ ที่เตรียมพร้อมจู่โจมตอบโต้
“ทหารม้าแห่งเซเลท์ เตรียมพร้อม!” ดไวเซนประกาศเสียงดัง ยืดตัวตรงบนหลังม้าด้วยความองอาจ ไม่หวั่นเกรงลูกธนูที่ปลิวว่อนแม้แต่น้อย ด้วยเกราะที่สวมแม้แต่ลูกธนูที่โดนเข้าอย่างจังก็ไม่อาจสร้างแม้รอยขีดข่วน
“ตามข้ามา!” อัศวินหนุ่มประกาศอีกครั้ง ทหารม้าในอาณัติร่วมสิบคนก็ควบม้าติดตามเป็นรูปขบวน หายลับไปในม่านหมอก
โจเอลเฝ้ามองนิ่ง ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สภาพที่เหมือนกับตาบอดเช่นนี้ ดไวเซนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ การแยกกำลังออกไป ทำให้น่าหวั่นเกรงว่าจะโจมตีถูกพวกเดียวกัน ไหนจะทหารราบที่ถูกทิ้งไว้ราวกับนำมาด้วยในฐานะไม้ประดับเท่านั้น
ขณะที่โจเอลยังมัวตื้อตึงกับสภาพการรบอย่างคนตาบอด ดารูเกนซ์ก็สั่งทหารในบัญชาให้เคลื่อนพลอีกราย แต่เป็นการเคลื่อนออกไปจัดกระบวนตั้งรับ ห่างจากแนวของโจเอลพอสมควร ชั่วครู่ก็มีกองไฟถูกจุดหน้าแถวของดารูเกนซ์ เข้าใจว่าเพื่อให้ทหารม้าที่เคลื่อนออกไปได้สังเกต
ฮานส์หยุดยิงธนู หันมาบอกกับโจเอล
“นายท่าน สั่งทหารให้เตรียมพร้อม พวกมันมาแล้ว”
โจเอลสั่งการทันที ทหารแถวหน้าถือหอกและโล่ใหญ่ ยืนเรียงหน้ากระดานยี่สิบนาย ต่างประกบโล่ซ้อนกันราวเกล็ดปลา ช่วยให้รับแรงปะทะได้สูง ตั้งซ้อนกันเป็นแนวลึกสามชั้น ต่างมีหมวกเกราะและโล่คุ้มกัน พร้อมรับการโจมตีทุกชนิด ขณะที่พลธนูสิบนาย และทหารม้าอีกสิบนาย ถอยมาเตรียมพร้อมที่แนวหลัง
โจเอลหันไปมองพลเดินเท้าของดไวเซน ต่างขวัญเสียเพราะไม่มีผู้บังคับบัญชา จึงสั่งให้ทหารเหล่านั้นเข้าแถวหน้ากระดาน หันหน้าเยื้องไปจากทัพตนเป็นแนวทแยง ป้องกันการโอบล้อม
ทั้งหมดเริ่มรู้สึกได้ถึงศัตรูที่ใกล้เข้ามา เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วน อาจมีจำนวนเป็นร้อย จากเรื่องเล่าและตำนาน ยิ่งทำให้พวกเขาหวั่นเกรง ต่างจินตนาการถึงฝูงอสูรกายหน้าตาอำมหิต อยู่ ๆ ฮานส์ก็ส่งเสียงโห่ดังลั่น คงเพราะรับรู้ถึงอารมณ์ของเหล่าทหาร เขาจึงร้องนำเรียกขวัญ โจเอลโห่ร้องตามบ้าง ไม่ช้าทุกคนก็ช่วยกันส่งเสียง ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ไม่กี่อึดใจต่อมา เงาจำนวนมากก็ปรากฏแก่สายตา พวกการ์กอนไม่ได้ดูดุร้ายน่ากลัวเท่าที่คิด แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าต่างจากชาวเกลลาร์มาก พวกมันมีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณหลากหลาย ทั้งเตี้ยล่ำ, สูงชะลูด และสมส่วน บ้างหน้าตาน่ากลัว แต่บางคนก็หน้าตาชวนมอง แต่งกายกันด้วยชุดง่าย ๆ ทำจากหนังสัตว์ ห้อยเครื่องประดับ แต่ไม่มีใครสวมเกราะ อาวุธก็เป็นเพียงขวานหิน, กระบอง, หอก และโล่เล็ก
กองทัพคนเถื่อนวิ่งเข้าปะทะอย่างรุนแรง ความประหลาดใจเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความต้องการเอาชีวิตรอด กองทหารแถวแรกผงะจากแรงปะทะ ทว่าแถวสองและสามก็ช่วยกันยันไว้ได้ ฝ่ายการ์กอนพยายามจู่โจมเต็มกำลัง ทว่าไม่อาจผ่านกำแพงโล่ไปได้
เมื่อการพุ่งเข้าปะทะถูกหยุดไว้ได้ ที่เหลือก็ง่ายขึ้นสำหรับโจเอล ทั้งสองฝ่ายพยายามผลักดันกัน พวกการ์กอนพยายามโจมตีผ่านโล่ ทั้งฟาด, ทุบ, สับ หรือแทง แต่ก็ติดหมวกเกราะ และระยะก็ประชิดจนเคลื่อนไหวลำบาก ขณะที่ฝ่ายโจเอล ทหารในแถวที่สองสามารถยกหอกแทงผ่านโล่ของแถวแรกได้ถนัด และพวกการ์กอนก็ไม่มีหมวกเกราะป้องกัน จึงบาดเจ็บล้มตายกันมาก
โจเอลมองการรบแล้วคิดวางแผนต่อไป แม้จะตั้งยันและโจมตีกลับได้ แต่ก็ยังไม่อาจวางใจ
“ฮานส์ เจ้าอยู่บัญชาการที่นี่ ข้าจะนำทหารม้าและพลธนูไปดูทางปีก”
ฮานส์ตั้งใจจะคัดค้าน คนที่จะออกไปเสี่ยง ควรเป็นเขามากกว่า แต่ก็ห้ามปรามไม่ทัน โจเอลนำทหารม้าและพลธนูออกไปเสียแล้ว
ทางทัพของดารูเกนซ์ซึ่งตั้งห่างออกไปพอสมควร แม้พวกเขาจะไม่เห็นการปะทะทางฝั่งโจเอล แต่เสียงการสู้รบก็ดังมาถึง กระนั้น ดารูเกนซ์ก็ไม่ได้นำกำลังเข้าไปช่วย หรือแบ่งทหารออกไป อัศวินในชุดเกราะสีแดงเพลิงยังคงสงบนิ่ง
กองทหารของดารูเกนซ์ถูกแบ่งเป็นสามส่วน มีพลเดินเท้าสองกอง แต่ละกองมีทหารสิบนาย ถือขวานและโล่รูปสามเหลี่ยม ปลายสามเหลี่ยมยาวปิดลงมาถึงเท้า ทั้งสองกองจัดแถวยืนประชิด ขอบโล่ชนกัน แม้จะมีคนน้อย แต่ก็ดูประหนึ่งปราการแกร่ง พลเดินเท้าทั้งสองกอง ตั้งกระบวนรบแยกออกไปพอประมาณ เสมือนปากภาชนะ ส่วนก้นที่อยู่ลึกลงไป คือกองทหารม้าเกราะหนักและดารูเกนซ์ ซึ่งบัญชาการอยู่บนหลังมังกรอันน่าเกรงขาม
ไม่ช้า เหตุผลที่ทำให้ดารูเกนซ์ไม่เคลื่อนกำลังไปช่วยโจเอลก็ประจักษ์
นักรบการ์กอนกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบกริบ จนเมื่อเข้าใกล้จึงส่งเสียงโห่ร้องแล้วพุ่งเข้าปะทะอย่างรุนแรง พวกมันคงคิดจะเข้ามาตลบหลังเงียบ ๆ โชคดีที่โจเอลสามารถยันนักรบกลุ่มแรกไว้ได้ และดารูเกนซ์ก็สงบนิ่งพอ
แม้จะถูกปะทะอย่างรุนแรง แต่พลเดินเท้าของดารูเกนซ์ก็ยังคงรักษารูปขบวนไว้ได้ ทหารชาวดราโกเนียร์ล้วนมีร่างกายกำยำล่ำสัน ด้วยพื้นเพชาวเรือที่ต้องผจญสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณ ทำให้พวกเขามีทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่ง จนเป็นที่ครั่นคร้ามที่สุดในจักรวรรดิ
ฝ่ายนักรบการ์กอนเมื่อเจอการต้านทานที่แข็งแกร่ง จึงพยายามหาทางทำลายปราการตรงหน้าให้ได้ ผู้นำนักรบกลุ่มนี้มีชื่อว่าลิคี ชายร่างเล็กผู้ได้รับการยกย่องในเรื่องความว่องไว เขาสั่งให้บรรดานักรบเคลื่อนไปรอบ ๆ เพื่อหาจุดอ่อน ทว่ากลับตกสู่หลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
กองไฟที่เป็นจุดสังเกตในหมอกทึบ เสมือนกับดักทางจิตวิทยา พวกการ์กอนพากันเคลื่อนเข้าหามันเหมือนแมงเม่า จุดนั้นเป็นเหมือนก้นภาชนะ ที่มีดารูเกนซ์และทหารม้าเฝ้ารออยู่ เมื่อเหยื่อเข้าสู่แดนสังหาร กับดักก็เริ่มทำงานทันที!
อัศวินมังกรบังคับสัตว์อสูรไปข้างหน้าเพียงลำพัง เจ้ามังกรใช้กรงเล็บทรงพลัง พาร่างอันใหญ่โตเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว แม้จะไม่เท่าฝีเท้าม้า แต่ด้วยน้ำหนักตัวมหาศาล จึงสามารถสร้างแรงปะทะได้มาก
กว่าพวกการ์กอนจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ระยะการมองเห็นเพียงสามฟุต ไม่เพียงพอสำหรับการถอยหนี ภาพมังกรทะลุม่านหมอกในฉับพลัน ดูประหนึ่งฝันร้าย พวกมันพยายามใช้อาวุธขับไล่ทว่าไร้ผล เกล็ดสีน้ำเงินแวววาว แข็งแกร่งเกินกว่าอาวุธใด ๆ จะสร้างริ้วรอย ไม่ว่าหอกหรือขวานล้วนมีค่าแค่เศษไม้ หามีสิ่งใดระคายสัตว์สงครามตัวนี้ มิเพียงเท่านั้น อัศวินที่บังคับอยู่บนหลังมังกรก็มีฝีมือประดุจเทพสงคราม อาวุธที่เคยถูกตั้งข้อสงสัย บัดนี้ได้สำแดงอานุภาพ ส่วนปลายที่เป็นใบมีดกว้าง ทำให้สามารถตัดร่างศัตรูออกเป็นสองส่วนด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว และเมื่อควงด้วยความเร็ว คมของมันก็เฉือนผ่านสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาขวางโดยไม่มีการสะดุด ชายผู้นี้ได้สลัดคราบคนที่เอาแต่เหม่อลอยออกไปจนหมดสิ้นราวกับเป็นคนละคน
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจเกินจะต่อกร พวกนักรบการ์กอนจึงพากันหนีตายอลหม่าน บ้างหันหลังวิ่งหนีจนเหยียบกันเองหรือถูกอาวุธพวกเดียวกัน บางคนพยายามดันกำแพงโล่ แต่ก็ถูกดันกลับ ที่เอามือจับขอบโล่ก็ถูกฟันมือฟันนิ้วขาด
ลิคีพยายามยับยั้งหายนะด้วยการปีนขึ้นไปบนหลังมังกรเพื่อจัดการกับอัศวิน ดารูเกนซ์แทงอาวุธออกไปเพื่อป้อง แต่ลิคีก็ใช้ความเร็วหลบได้อย่างง่ายดาย และพุ่งเข้าประชิดซึ่งอาวุธยาวของดารูเกนซ์ไม่อาจตอบโต้ แต่เขาคิดผิด!
ดารูเกนซ์ดึงอาวุธกลับ โดยอาศัยปลายกว้างเป็นแง่งคล้ายเคียว รั้งร่างลิคีจนเสียหลัก ร่างที่ถูกกระชากเข้ามาไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดารูเกนซ์ใช้ศีรษะโขกโดยอาศัยหมวกเกราะป้องกัน ส่งผลให้ให้ใบหน้าลิคียับยู่ มึนงงร่วงผล็อยตกจากหลังมังกร กว่าจะรู้สึกตัว กรงเล็บแหลมคมก็เหยียบซ้ำจนสิ้นใจ
เมื่อสิ้นผู้นำ นักรบการ์กอนที่เหลือก็ยิ่งสับสนอลหม่าน ดารูเกนซ์ขับมังกรไล่เหยียบ ฟันแทงศัตรูล้มตายไปมากนัก พวกที่หนีรอดไปได้ก็ถูกทหารม้าตามตีจนกระเจิดกระเจิงไปไกล
ทางด้านดไวเซนที่เคลื่อนทหารม้าแยกออกมา โดยมีแผนการที่เรียบง่าย แม้ไม่รู้ว่าพวกการ์กอนอยู่ที่ไหน แต่เขารู้ตำแหน่งของฝ่ายเดียวกัน ฉะนั้น อะไรที่อยู่อีกด้านย่อมนับเป็นศัตรู และหากโชคดีได้พบกับหัวหน้าของพวกมัน ชัยชนะย่อมจะตามมาในไม่ช้า แผนการนี้ยังมีข้อดีอีกอย่าง สภาพหมอกลงจัดเช่นนี้ ไม่เพียงฝ่ายเขาที่มองไม่เห็น ศัตรูเองก็น่าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน หากเคลื่อนที่ ศัตรูย่อมไม่ทราบที่ตั้งที่แท้จริงของเขา ในตอนนี้จึงมีเพียงปัญหาเดียว คือเขาจะหาศัตรูได้อย่างไร
ไม่ช้าคำใบ้ก็ปรากฏ ทั้งธนูและอาวุธซัดพากันระดมเข้าใส่ดไวเซนและกองทหาร แต่ก็ไม่อาจสร้างบาดแผลเพราะเกราะเหล็กที่สวมใส่ แต่ก็น่าแปลกใจ เหตุใดพวกการ์กอนจึงสามารถจับเป้าหมายที่พวกเขาได้?
ดไวเซนไม่ยอมเสียเวลาไปกับความสงสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เขารู้เพียงว่าศัตรูเผยที่ตั้งแล้ว หากไม่รีบฉกฉวยก็นับว่าเสียโอกาสโดยแท้
“ทั้งหมด ลดปลายทวน ตั้งกระบวนจู่โจม !” สิ้นคำประกาศ ทหารม้าทั้งหลายก็ทำตามคำสั่งในบัดดล ทวนยาวนับสิบเพ่งไปข้างหน้า แถวทั้งหมดกระชับเข้าหากันเป็นรูปหัวศร พร้อมเข้าปะทะทุกเมื่อ
“ประจัญบาน !”
ดไวเซนออกคำสั่งอีกครา ก่อนจะควบม้าคู่ใจออกนำหน้า เร่งห้อเต็มเหยียด คาคาโนม้าศึกหนุ่มมีทั้งความเร็วและพละกำลังนับเป็นยอดอาชา นอกจากนี้ยังมีใจห้าวหาญ คึกคะนองมิผิดกับผู้เป็นนาย ทั้งหมดเข้าประจัญบานแม้ไม่เห็นข้าศึก ใช้เพียงสัญชาติญาณนำทาง กระนั้นพวกเขาก็เร่งความเร็วกันเต็มกำลัง ความคิดพวกเขามีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าสิ่งใดเข้ามาขวาง มันต้องแหลกสถานเดียว !
ไม่กี่อึดใจ กระบวนทัพม้าก็พบกับกลุ่มนักรบการ์กอนจำนวนราวสามสิบคน มีธนูและอาวุธซัดเป็นส่วนใหญ่ ดไวเซนนำทัพม้าเข้าบดขยี้ข้าศึกด้วยความดุดัน พวกการ์กอนพยายามสกัดการบุกทว่าไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ชั่วพริบตา นักรบร่วมสามสิบคนก็แตกพ่ายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ชัยชนะอันง่ายดาย ยิ่งทำให้อัศวินหนุ่มลำพอง เขาสั่งทหารให้ชะลอความเร็วเพื่อจัดกระบวน เตรียมค้นหาและทำลายข้าศึกต่อไป โดยไม่รู้ว่าได้ติดกับเข้าเสียแล้ว...
ขณะที่กองทหารม้าชะลอความเร็ว นักรบการ์กอนอีกสองกลุ่มก็เคลื่อนมาดักหน้าดักหลัง พวกนี้ใช้หอกและขวาน หากจัดกระบวนรบให้ดีและมีความกล้าพอก็สามารถจะหยุดทหารม้าได้
ดไวเซนรู้สึกถึงความผิดปกติจากเสียงฝีเท้าศัตรูจำนวนมากที่ใกล้เข้ามา เพื่อจะฟังให้ถนัด เขาจึงสั่งให้ทหารหยุด น่าแปลก...สภาพหมอกหนาเช่นนี้ เหตุใดพวกมันจึงสั่งการให้ล้อมเขาได้ อัศวินหนุ่มมิได้กังวลกับวงล้อมมากนัก เพราะเชื่อว่ามันน่าจะยังไม่บรรจบกันดี และเชื่อในอำนาจการโจมตีของฝ่ายตนว่าจะสามารถทะลวงฝ่าวงล้อมไปได้โดยง่าย ตอนนี้เขากำลังคิดในมุมมองที่ต่างออกไป บางทีเขาอาจอยู่ใกล้ทัพหลักของศัตรูมาก พวกมันคงกลัวว่าเขาจะหลุดจากวงล้อมไปได้ แต่เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม !
ดไวเซนได้ยินเสียงร้องสั่งการดังมาแต่ไกล จึงตัดสินใจมุ่งไปยังทิศทางนั้น แม้ไม่มีสิ่งอื่นยืนยันว่านั่นเป็นเสียงผู้นำทัพการ์กอน แต่การทำอะไรสักอย่างย่อมดีกว่าอยู่เฉย หากยังไม่พบเป้าหมายหลัก เขาก็จะค้นหาต่อไป
อัศวินหนุ่มสั่งทหารให้มุ่งโจมตีในทิศทางที่คิด เพียงบ่ายหน้าไปทิศทางนั้น ศัตรูก็ตอบโต้อย่างรุนแรง ด้วยธนูและอาวุธซัดนานาชนิด ดไวเซนหาได้พรั่น แต่ความคะนองก็ถูกหยุดลงด้วยอาวุธปริศนาที่ซัดเขาตกจากหลังม้า
ดไวเซนนอนแผ่กับพื้นด้วยความมึนงง เขาถูกโจมตีด้วยอาวุธบางอย่างที่หนักหน่วงรุนแรงกว่าอาวุธทั่วไป ทว่าไม่ทันเห็นมันชัด เมื่อได้สติ เขารีบลุกเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่ง แต่ก็แทบมองอะไรไม่เห็น แรงกระแทกเมื่อสักครู่ไม่เพียงทำให้โล่พังยับ มันยังทำให้กระบังหมวกยุบจนเปิดไม่ออก
ทหารม้ารีบตีวงคุ้มกันนายซึ่งแทบป้องกันตัวไม่ได้ ทหารนายหนึ่งลงจากหลังม้าเพื่อช่วยงัดหมวกเกราะให้ ขณะกำลังสาละวนอยู่นั้น อาวุธปริศนาก็โจมตีอีกครา ครั้งนี้ม้าศึกตัวหนึ่งต้องรับเคราะห์ หัวกะโหลกของมันแหลกเละ ทหารที่บังคับม้าตัวนั้นรีบลุกขึ้นป้องกันตัว จังหวะเดียวกันนั้น ดไวเซนก็ถอดหมวกเกราะสำเร็จ ทันได้เห็นอาวุธร้ายที่เล่นงานพวกเขา มันเป็นแผ่นหินรูปครึ่งวงกลม กว้างเกือบสองฟุต หนาราวห้านิ้ว กะเทาะขอบโค้งให้คม มีสายคล้ายเถาวัลย์สีเงินคล้องไว้ มันถูกลากกลับไปช้า ๆ เสียงลูกตุ้มที่ลากไปตามพื้นชวนให้สยองขวัญ พวกการ์กอนมีเครื่องเครื่องมืออะไรกันแน่ จึงสามารถยิงลูกตุ้มขนาดนี้ออกมาได้ ?
ดไวเซนตัดสินใจซัดทวนไปตามเส้นเถาวัลย์ ทว่าไม่ช้าก็มีเสียงไม้ถูกหัก ทวนของดไวเซนถูกโยนกลับมาตกอยู่แทบเท้า พร้อมกันนั้น เงาของนักรบการ์กอนอีกนับร้อยก็ใกล้เข้ามา พวกเขาถูกล้อมไว้แล้ว...
โจเอลและบรรดาทหารติดตามบังคับม้าเหยาะย่างให้พลธนูวิ่งตามทัน หมอกที่ลงจัดทำให้ต้องระวังเป็นพิเศษ พวกเขาอ้อมไปทางด้านหลังกองทหารเดินเท้าของดไวเซนซึ่งกำลังยันพวกการ์กอนไว้อย่างตึงมือ โจเอลเชื่อว่าเมื่อศัตรูไม่สามารถหักเอาตรง ๆ ย่อมจะคิดแบ่งกำลังโอบล้อมทางปีก เขาจึงนำทหารม้าและพลธนูออกมาเพื่อสังเกตการณ์ สิ่งที่คิดดูเหมือนจะมีเค้าลางความจริง โจเอลรู้สึกว่าห่างออกไปในม่านหมอก มีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วยความเร็วที่ใกล้เคียง เมื่อเขาชะลอความเร็วก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะชะลอลงเช่นกัน แต่ระยะเริ่มใกล้เข้ามา พวกมันคงจะตามประกบ ก่อนเข้าบรรจบ ณ จุดใดจุดหนึ่ง
ผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลเริ่มคิดแผนการ ฝีเท้าที่เบา แสดงว่ากลุ่มที่ตามประกบคงมีเพียงพลเดินเท้า...ถ้าเช่นนั้นเขาอาจสลัดหนีได้ไม่ยาก แต่พวกมันอาจเบนเป้าไปตลบหลังกลุ่มทหารที่กำลังตึงมือ ครั้นจะเข้าปะทะก็เสี่ยงเกินไป ทหารม้าของโจเอลไม่มีเกราะสวมใส่เหมือนทหารม้าของดไวเซนหรือดารูเกนซ์ แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่ศัตรูอาจไม่รู้...เขามีพลธนูติดตามมาด้วย
โจเอลสั่งทหารให้ถ่ายทอดคำสั่งเงียบ ๆ เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว จึงเริ่มดำเนินแผนการ
“ทหารม้าทั้งหลาย ตามข้ามา!” ชายหนุ่มสั่งการเสียงดัง เร่งม้าออกนำ
การเร่งความเร็วในพริบตา ทำให้ฝ่ายที่ตามประกบไล่ตามไม่ทัน ทว่าความแปลกใจมิได้มีเพียงเท่านี้...
พลธนูที่ติดตามโจเอลระดมยิงธนูไปข้างหน้าทั้งที่มองไม่เห็น แต่การยิงโดยไม่ต้องเล็งก็สามารถสร้างอัตราการยิงได้มากกว่า พวกการ์กอนจึงเผชิญห่าธนูอันน่าสยดสยองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ผู้นำนักรบการ์กอนกลุ่มนี้ มีนามว่ามาคี เขาได้ชื่อว่าเป็นนักรบผู้ทรหดคนหนึ่ง เพราะแม้จะถูกธนูปักร่างนับสิบดอก แต่ยังคงสั่งการให้นักรบที่เหลือตรงเข้าเล่นงานพลธนูจากฟอร์ทอังเคิล แต่การวิ่งเข้าหาศัตรู ทำให้แถวนักรบกระจัดกระจาย พริบตานั้นเอง โจเอลและทหารม้าที่ผละออกไปก็วกกลับมาจู่โจม โดยอาศัยเสียงร้องของพวกการ์กอนนำทาง
นักรบการ์กอนนอกจากจะถูกธนูระดมยิง ยังถูกทหารม้าไล่ขยี้ ทำให้แตกเพริดในเวลาไม่นาน ที่ไม่ตายก็หนีกระจัดกระจายเอาตัวรอด เหลือเพียงมาคีที่ยังคงปักหลัก หวังจะสังหารทหารม้าให้ได้สักคน แต่เพียงแค่เงื้อขวาน โจเอลก็แทงทวนปักทะลุร่างนักรบผู้อ่อนล้า ก่อนจะถูกทหารม้าร่วมสิบนายที่ติดตาม เหยียบผ่านร่างจนเละไม่มีชิ้นดี
ทางด้านดไวเซนซึ่งต่อสู้กับพวกการ์กอนอย่างยากลำบากเพราะตกอยู่ในวงล้อม ทหารม้าแต่ละนายต้านทานศัตรูที่กระชับวงล้อมเข้ามา ขณะเดียวกันก็ต้องระวังลูกตุ้มหิน อาวุธมรณะที่โจมตีมาอย่างไม่รู้ตัว ดไวเซนเสียทหารม้าเพราะมันไปแล้วถึงสามราย และคงจะล้มตายกันอีกมากหากยังถูกตรึงในวงล้อม หรือทำลายอาวุธมรณะไม่ได้
นี่คงเป็นกลยุทธ์ที่พวกการ์กอนวางไว้ เพราะอาวุธอื่นไม่อาจทำอันตรายทหารม้าที่สวมเกราะ พวกมันจึงทำเพียงตรึงกำลังเอาไว้โดยไม่ปะทะ เพียงปล่อยให้อาวุธมรณะจัดการทหารม้าทีละราย
ดไวเซนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้กลัวตาย แต่ยอมรับไม่ได้หากต้องพ่ายแพ้แก่พวกคนเถื่อน เขาต้องทำอะไรสักอย่าง...
อัศวินหนุ่มสั่งการทหารให้ร่วมกันตีฝ่า ขณะที่ศัตรูรวมตัวป้องกันทิศทางนั้น ดไวเซนก็ผละจากหลังม้า แล้ววิ่งไปทางที่ตั้งอาวุธสังหารของพวกการ์กอน มันจึงเปลี่ยนมาโจมตีเขาทันที ดไวเซนนำโล่ของทหารม้าที่เสียชีวิตมาใช้ป้องกัน แต่ก็ถูกพังยับไม่มีชิ้นดี แรงปะทะทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่อัศวินผู้ทระนงก็หาได้หยุดยั้ง ยังคงวิ่งฝ่าต่อไป นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกทิ้งม้า เพราะการโจมตีอันรุนแรงจะทำให้ตกจากหลังม้า และเสียจังหวะ
ระหว่างที่ลูกตุ้มค่อย ๆ ถูกดึงกลับ ดไวเซนก็คว้าทวนของทหารม้าที่เสียชีวิตซัดออกไป แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำอันตรายอีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ศัตรูไม่สามารถใช้ลูกตุ้มโจมตีได้ชั่วขณะ เขาซัดทวนออกไปอีกเล่มเพื่อซื้อเวลา ก่อนจะกระชากดาบออกมาเตรียมตะลุมบอน พวกอาวุธประเภทเครื่องยิงมักมีจุดอ่อนร้ายแรงหากถูกประชิด นั่นหมายความว่าเขากำลังจะได้ชัยชนะในอีกไม่ช้า ทว่า...
แทนที่จะกวัดแกว่งแผลงฤทธิ์ ดาบในมืออัศวินหนุ่มกลับยังคงนิ่งงัน จากที่คาดว่าจะเจอกับเครื่องยิง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ช่างชวนให้ท้อแท้สิ้นหวังยิ่งนัก...
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า คือยักษ์ใหญ่สูงกว่าสิบฟุต ร่างกำยำล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้ามได้สัดส่วน ผิวกายสีแดงก่ำ ใบหน้าครึ่งบนสวมหน้ากากน่ายำเกรง ร่างกายท่อนล่างนุ่งห่มผ้าผืนเดียวเช่นชาวการ์กอนคนอื่น ๆ แต่ไหล่ด้านซ้ายมีหนังสัตว์ผืนใหญ่เย็บต่อกันยาวถึงหน้าแข้งบังไว้ ยักษ์ตนนี้มีนามว่ามาโก๊ก เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้านคูอูล และเลื่องลือไปถึงหมู่บ้านอื่น ด้วยร่างสูงปานยักษ์ปักหลั่น และอาวุธที่ยากจะต่อกร
ดไวเซนแหงนมองศัตรูตรงหน้าด้วยความคร้ามเกรง เขาสังเกตว่าแผ่นหนังที่ไหล่ซ้ายของเจ้ายักษ์ มีร่องรอยจากทวนที่เขาซัดไป มันคงใช้สิ่งนี้ต่างโล่ป้องกัน เขาควรจะโจมตีมันด้วยวิธีไหนดี ?
ขณะที่อัศวินหนุ่มยังคงยืนนิ่ง เจ้ายักษ์ก็เริ่มควงลูกตุ้มอีกครั้ง ที่เคยคิดว่าลูกตุ้มถูกยิงโดยเครื่องยิง แท้จริงแล้วใช้เพียงกำลังแขนอันทรงพลังเท่านั้น และมันกำลังจะโจมตีอีกครั้ง !
“ย๊าก !!!”
ดไวเซนร้องตะโกนเพื่อสลัดความกลัว อาวุธมรณะกำลังจะโจมตีอีกครั้งแล้ว เขาจะมัวยืนสั่นไม่ได้ !
อัศวินหนุ่มกรากเข้าประชิด อันเป็นระยะที่ลูกตุ้มมีประสิทธิภาพลดลง เจ้ายักษ์รีบฟาดอาวุธสกัดกั้น แต่ดไวเซนก็กะเก็งไว้แล้วจึงหลบได้อย่างฉิวเฉียด จังหวะเดียวกันนั้น เขาก็กระโดดเข้าหาพร้อมเงื้อดาบฟันเจ้ายักษ์เต็มแรง...
แทนที่ดไวเซนจะได้เปรียบจากระยะ แต่เขาประมาทคู่ต่อสู้เกินไป เจ้ายักษ์ไม่ได้พึ่งแค่ลูกตุ้มเท่านั้น ร่างกายของมันล้วนถือเป็นอาวุธ จังหวะที่ดไวเซนกระโจนเข้าใส่ เจ้ายักษ์ก็ชกสวนออกไปด้วยหมัดขวา จนอัศวินในชุดเกราะกระเด็นไปไกล
ดไวเซนนอนแผ่ด้วยความเจ็บปวด เกราะลำตัวยุบเพราะแรงปะทะทำให้หายใจได้ลำบาก ส่วนดาบกระเด็นไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เท่ากับว่าตอนนี้เขาได้แต่นอนรอความตาย
มาโก๊กพึงพอใจในชัยชนะ ไม่บ่อยนักที่จะมีผู้ต่อกรเขาได้ถึงเพียงนี้ ทำให้รู้สึกนับถือคนป่าเถื่อนจากตะวันตกขึ้นมา เจ้ายักษ์รู้สึกเจ็บที่สีข้าง แผ่นหนังที่ใช้แทนโล่ถูกฟันทะลุในตอนที่ชกออกไป อัศวินคงฟันสวนมา นอกจากแผ่นหนังจะถูกฟันทะลุ ปลายดาบยังเฉือนสีข้างเป็นแผล แม้ไม่ลึกแต่ก็เรียกเลือดได้พอควร นี่ทำให้มาโก๊กตัดสินใจทำบางอย่าง
เจ้ายักษ์เดินเข้าหาร่างที่นอนแผ่ พร้อมกับพันเชือกเข้ากับแขนและกำลูกตุ้มไว้แน่น เตรียมสังหารเหยื่อในระยะประชิด อันถือเป็นการให้เกียรติตามธรรมเนียม ในฐานะที่อัศวินผู้นี้สามารถเรียกเลือดจากเขา
ดไวเซนนอนอย่างหมดหวัง ความเจ็บปวดทำให้ไม่อาจลุกไหว แขนข้างหนึ่งพยายามยันกาย ขณะที่อีกข้างชักมีดสั้น พร้อมป้องกันตัวสุดความสามารถ
เจ้ายักษ์เดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ ขณะที่ทางรอดดูจะริบหรี่ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง เมื่อเหลียวไปมอง ภาพที่เห็นก็ช่วยให้มีความหวังขึ้นมา...
เป็นผู้นำแห่งฟอร์ทอังเคิลที่ปรากฏด้านหลังดไวเซน ขี่ม้าชี้ปลายทวนไปทางยักษ์ชาวการ์กอน !
ความคิดเห็น