คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ราชโองการลับ (ปรับ)
ช่วงสายของวันที่อากาศหม่นมัว กองทหารจำนวนร้อยกว่านายได้เดินทางมายัง “ป่าแห่งหมอก” สถานที่ที่อยู่ระหว่างพรมแดนของจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ กับแดนเถื่อนที่เรียกว่า การ์กอน
ม่านหมอกที่หนาแน่นสมดังฉายา ทำให้ดวงอาทิตย์เบื้องบนมิอาจฉายแสงลงมายังเบื้องล่างที่คนเหล่านั้นอยู่ รวมทั้งมิอาจเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด...
ชายฉกรรจ์กว่าร้อยคน บัดนี้ล้วนหยุดนิ่งรอคอยบางอย่าง ต่างคนต่างเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าด้วยใจเต้นระรัว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี นามว่า โจเอล เอนฮาร์ท ผู้ปกครองท้องถิ่นซึ่งรับหน้าที่บัญชาครึ่งหนึ่งของกองทหาร เขาชำเลืองมองผู้บัญชาการอีกสองนายที่ขนาบทั้งสองด้าน แล้วจึงจับจ้องไปยังเบื้องหน้า พลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า อันเป็นสาเหตุที่นำพาทุกคนมายังสถานที่แห่งนี้...
_________________________________________
เย็นวันก่อน ณ ฟอร์ทอังเคิล หมู่บ้านห่างไกลริมชายแดนทิศตะวันออกของอาณาจักรอารีอัส หนึ่งในอาณาจักรทั้งสิบสองแห่งจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์
ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณสิ้นสุดวัน บนถนนสายหลักของหมู่บ้าน คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินทางกลับจากการฝึกซ้อมอาวุธประจำสัปดาห์ ที่เกณฑ์ชาวบ้านเพื่อจะสามารถปกป้องตนเองได้ในยามต้องการ และยังประหยัดกว่าการจ้างทหารประจำการ อันนับเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่สงบสุข
หลังการฝึกซ้อมอันเหน็ดเหนื่อย พวกชาวบ้านต่างพูดคุยหยอกล้อ ส่งเสียงดังไปตลอดเส้นทางสายเล็ก ๆ กระทั่งขบวนทหารกลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนสวนทาง พร้อมพนักงานเป่าแตร เตือนให้ผู้คนหลบออกไปจากเส้นทาง
กองเกียรติยศที่นำหน้า และธงทิวที่ไม่คุ้นตา ทำเอาชาวบ้านพากันสังเกตและจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยความสงสัย ต่างตีความไปต่าง ๆ นานา โดยไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเช่นไรต่อพวกเขา...
กองทหารผู้มาเยือนต่างเมื่อมาถึงป้อม ฟอร์ทอังเคิลเป็นป้อมปราการเก่าแก่ซอมซ่อ แต่อย่างน้อยก็สร้างด้วยหิน ดูแข็งแรงพอสมควร ประกอบด้วยหอรบสี่เหลี่ยม สูงราวห้าชั้น ตั้งอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวามือของหอรบเป็นอาคารที่พักสูงสามชั้นสร้างเชื่อมต่อกัน ขณะที่ฝั่งซ้ายเป็นคอกม้าที่จุม้าได้ราวยี่สิบตัว มีอาคารขนาดกลางอีกสองหลังแยกออกไปต่างหาก ตั้งอยู่ทางซ้ายและขวาของลานด้านหน้า และบ่อน้ำบาดาลตั้งเยื้องไปทางด้านขวาของหอรบ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกำแพงหินสูงสิบฟุต ประตูบานใหญ่ กว้างพอให้รถม้าแล่นผ่านเข้าไปได้ เหนือประตูมีห้องไม้เล็ก ๆ สำหรับทหารยามอยู่กันได้ราว ห้า – หก คน ซึ่งได้รับการปกป้องอย่างดีจากผนังไม้หนา และหลังคาป้องกันจากฝนหรือหิมะ ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนเนินที่ไม่สูงนัก แต่ก็สามารถมองเห็นดินแดนในปกครองได้เกือบจะทั่วถึง
“พวกท่านเป็นใคร? มาจากไหน? ” ทหารยามร้องถามไปด้วยความรู้สึกประหม่า เพราะผู้มาเยือนท่าทางจะมียศศักดิ์พอสมควร
หนึ่งในพนักงานนำขบวนลงจากหลังม้า ตอบด้วยความสุภาพ “ช่วยแจ้งผู้ดูแลป้อมด้วยว่า ท่านเฟเดอริกส์ เสตอร์น ผู้แทนองค์จักรพรรดิเฟอร์ดินัน ต้องการเข้าพบ”
ทหารยามน้อมรับ รีบแจ้งผู้ดูแลป้อมด้วยความว่องไว ผู้แทนองค์จักรพรรดิมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง นี่ย่อมเป็นเหตุการณ์ไม่ธรรมดา
ไม่ช้าผู้ดูแลป้อมก็รีบรุดมาต้อนรับ เขาเป็นชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี นับว่าหนุ่มมาก แต่ก็เป็นเรื่องปกติในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอายุขัยเพียงสี่สิบปี ผู้ปกครองหลายคนจึงได้รับสืบทอดตั้งแต่อายุยังน้อย และเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ในเวลาอันสั้น
หนุ่มน้อยผู้ดูแลป้อมมีรูปร่างทะมัดทะแมง สมส่วน สูงราวห้าฟุตสิบนิ้ว ผิวขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับผมที่ตัดสั้น คิ้วเข้ม ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลาทีเดียว
“ข้าพเจ้า โจเอล เอนฮาร์ท ผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิล น้อมต้อนรับท่านผู้แทนพระองค์ ขออภัยที่ไม่ได้เตรียมการ ข้าไม่ทราบข่าวมาก่อน ว่าท่านผู้แทนพระองค์จะเดินทางมาที่นี่” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมโค้งต้อนรับด้วยความสุภาพ
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวต้อนรับจากผู้ดูแลป้อม ประตูรถม้าที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็เปิดออก ชายวัยกลางคนก้าวลงบันไดที่ข้ารับใช้รีบนำมาเทียบ ชายผู้ก้าวลงจากรถม้า คือเฟเดอริกส์ เสตอร์น สมุหราชเลขาและผู้แทนองค์จักรพรรดิ นับเป็นชายผู้ทรงอำนาจลำดับต้น ๆ ของจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ แม้จะมีวัยเกือบห้าสิบ แต่เขายังคงมีรูปร่างองอาจ ผึ่งผาย สูงหกฟุตสี่นิ้ว ไหลกว้าง หลังยังไม่งองุ้มสักนิดเดียว เส้นผมที่ปล่อยสยายยาวเสมอบ่า กลายเป็นสีเงินไปเกือบหมดแล้ว ใบหน้าเรียบเฉย เค้าโครงหน้าชัด จมูกโด่งงุ้ม หว่างคิ้วยับย่นจากอุปนิสัยชอบขมวดคิ้ว ขณะที่ริมฝีปากเหยียดตรงราวกับไม่มีรอยยิ้มประทับลงบนใบหน้านี้มานานแสนนาน และแม้จะสวมเสื้อคลุมยาวดูรุ่มร่าม ทว่าการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉง ทำให้เดาได้ว่าเขาคงไม่ใช่ขุนนางที่เพียงนั่ง ๆ นอน ๆ เท่านั้น
“ไม่ต้องมากพิธีรีตอง เรามิได้มาอย่างเป็นทางการ เพียงต้องการชมธรรมชาติในชนบทบ้างเท่านั้น เจ้าพอจะมีสถานที่สงบให้เราได้พูดคุย โดยไม่มีใครรบกวนบ้างหรือไม่?” ผู้แทนพระองค์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โจเอลใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบกลับไป
“เช่นนั้น เรียนเชิญท่านยังส่วนบนสุดของป้อม บนนั้นสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้โดยรอบและเงียบสงบ ขออภัย นี่ก็เย็นแล้ว จะให้เตรียมสถานที่พักเลยหรือไม่?” ชายหนุ่มถามโดยคาดคะเนจากกองทหารที่ติดตาม ซึ่งมีร่วมร้อยคน การเตรียมการรับรองคนจำนวนมากขนาดนี้อย่างฉุกละหุก ย่อมต้องเกิดความวุ่นวายโกลาหลเป็นแน่
“เอาไว้เราคุยธุระเสร็จก่อนเถิด จะได้รู้ว่าควรเตรียมอะไรบ้าง” ผู้แทนพระองค์เว้นจังหวะ แล้วหันไปทางอัศวินสองนายที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ดไวเซน, ดารูเกนซ์ ตามมาสิ”
กล่าวจบ อัศวินทั้งสองก็เดินมาข้างหน้า และผู้รับใช้อีกหนึ่ง ถือกล่องไม้ที่ดูจะมีความสำคัญยืนอยู่หลังสุด โจเอลยังเดาไม่ออกว่ามีเรื่องใดรออยู่ เขาผายมือเชื้อเชิญ ก่อนจะก้าวนำคณะของท่านผู้แทนองค์จักรพรรดิ เพื่อไปยังส่วนบนสุดของป้อม
บนยอดหอคอย โจเอลสั่งให้ทหารยามลงไปข้างล่าง และห้ามไม่ให้ใครขึ้นมา เฟเดอริกส์เดินชมรอบ ๆ ด้วยความสนใจในภูมิประเทศ สูดอากาศเข้าเต็มปอดด้วยความสดชื่น
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม หากได้ปกครองดินแดนเล็ก ๆ ทว่าสุขสงบ และสวยงามเช่นนี้คงดีไม่น้อย...” ท่านผู้แทนพระองค์บ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันมาทางโจเอล
“ผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลเอ๋ย ข้าอยากทราบว่าในระยะนี้ มีคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่?”
โจเอลครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะตอบไปตามสัตย์จริง “เรียนท่านผู้แทนองค์จักรพรรดิ ฟอร์ทอังเคิลเป็นดินแดนสันโดษ ไม่ใคร่จะมีคนต่างถิ่นผ่านมานัก จะมีก็แต่พวกพ่อค้าเร่ ซึ่งไม่ได้ผ่านมาที่นี่ร่วมเดือนแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ...” เฟเดอริกส์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เราได้รับรายงานที่น่าเชื่อถือ ว่ามีขโมยผู้หนึ่งผ่านมาทางนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง...”
“ไปยัง?” โจเอลเอ่ยทวนด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าเฟเดอริกส์หยุดลงกะทันหัน
“ยังแดนการ์กอน...” ผู้แทนพระองค์กระซิบกระซาบ เมื่อต้องเอ่ยถึงนามต้องห้าม เพราะมันเป็นชื่อดินแดน และเผ่าพันธุ์อันเป็นที่หวาดหวั่น ซึ่งถูกเชื่อว่าเป็นผู้รุกรานที่ทำให้จักรวรรดิเก่าล่มสลาย ก่อนที่ปฐมจักรพรรดิโอรูธานจะทำการขับไล่ และก่อตั้งจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ แม้ทุกวันนี้แทบจะไม่มีใครพบเห็นชาวการ์กอน ทว่าเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาก็ยังคงสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนอยู่ดี
“ขโมยที่ไหนกัน ถึงได้กล้าเข้าไปยังดินแดนนั้น?” โจเอลรู้สึกไม่เชื่อในเรื่องราวที่ได้ยิน
“ขโมยชาว...การ์กอน...” เฟเดอริกส์ยังคงกล่าวด้วยเสียงอันเบา เมื่อต้องเอ่ยนามนั้น
“อย่างไรก็ตาม” เขาปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นผู้ออกคำสั่งมากขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตั้งคำถามหรือสงสัย เพราะองค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งลงมาแล้ว” ผู้แทนพระองค์เว้นน้ำเสียง ยื่นมือไปทางผู้รับใช้ซึ่งถือกล่องไม้ลวดลายวิจิตร เมื่อได้รับกล่องไม้แล้วก็โบกมือไล่ผู้รับใช้ออกไป
เฟเดอริกส์เปิดกล่องไม้ หยิบสิ่งที่อยู่ภายใน มันคือม้วนกระดาษผนึกด้วยแผ่นครั่ง ประทับตราพระราชลัญจกรขององค์จักรพรรดิ โจเอลและอัศวินอีกสองคนที่ติดตามเฟเดอริกส์รีบคุกเข่า รับพระราชโองการ
“เนื่องด้วยเหตุร้ายแรงในจักรวรรดิ กล่าวคือ มีชาวการ์กอนลอบเข้าไปขโมยพระมหาพิชัยมงกุฎแห่งองค์จักรพรรดิและหลบหนีไป อันเป็นการลบหลู่และอาจนำไปสู่สถานการณ์ร้ายแรง จึงมีพระราชโองการ ให้ผู้ที่ได้รับฟังพระราชโองการฉบับนี้ กระทำการขัดขวาง และติดตามจับกุมคนร้าย เพื่อทวงพระมหาพิชัยมงกุฎ คืนสู่จักรวรรดิอย่างเร่งด่วน และเป็นความลับยิ่งยวด
พระเจ้าเฟอร์ดินัน ดราสกา เอธเซล
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ โฮลี่เอ็มไพร์ และกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร์ดราโกเนีย
ศักราชที่ 412 เดือนสิงหาคม วันที่ 22”
เนื้อความในราชโองการ ทำให้โจเอลทั้งตกใจ และแปลกใจเป็นอย่างมาก มีการขโมยพระมหาพิชัยมงกุฎโดยชาวการ์กอน ! นี่นับเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อจักรวรรดิ หากพวกการ์กอนสามารถกระทำได้ขนาดนั้น ไม่ว่าที่ใดในจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ก็คงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!
ชายหนุ่มผู้ดูแลป้อมชำเลืองมองไปยังอัศวินอีกสองคน ทั้งสองมิได้แสดงสีหน้าแต่อย่างใด บางทีพวกเขาอาจพอทราบเนื้อความบ้างแล้ว
“ในนามของความสงบแห่งจักรวรรดิ เราขอให้เจ้าทั้งสามร่วมมือกันติดตามทวงคืนพระมหาพิชัยมงกุฎ นั่นหมายถึง ให้พวกเจ้าจัดกองทัพเร่งรุดเข้าไปยังแดนคนเถื่อน เพื่อตามจับคนร้ายโดยเร็วที่สุด สำหรับดไวเซน และดารูเกนซ์ ทั้งสองได้เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เหลือเพียงเจ้า โจเอล ผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิล จงอย่าทำให้เราผิดหวัง” ผู้แทนพระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ
“อีกประการ... จงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะหากแพร่งพรายออกไป ย่อมจะเกิดความวุ่นวายเป็นแน่ เราขอให้พวกเจ้าดูแลเรื่องนี้กันเอง เพราะเรามีเรื่องต้องเตรียมการอีกมาก หวังว่าจะไว้ใจพวกเจ้าได้” กล่าวจบ ผู้แทนพระองค์ก็เดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว จนโจเอลแทบจะเดินตามไปส่งไม่ทัน
รถม้าและกองทหารบางส่วนพร้อมด้วยกองเกียรติยศเคลื่อนพ้นป้อมปราการไป ทิ้งกองทหารภายใต้การบังคับบัญชาของดไวเซน และดารูเกนซ์ ไว้เพื่อจัดการกับภารกิจ โจเอลพิเคราะห์อัศวินทั้งสองซึ่งจะต้องปฏิบัติงานร่วมกัน อัศวินที่ชื่อดไวเซน ดูจะมีอายุมากกว่าเขาสักสองถึงสามปี รูปร่างก็ใกล้เคียงกัน แต่ออกจะล่ำสันกว่าเล็กน้อย ชายผู้นี้มีใบหน้าคมเข้ม ผมสีทองตัดสั้น คิ้วเข้ม ขับนัยน์ตาสีฟ้าให้ดูเด็ดเดี่ยวและดุดัน เขามักยืดอก เชิดหน้าด้วยความหยิ่งผยองในเกียรติภูมิของตนอย่างเต็มที่
เมื่อเหลียวมามองดารูเกนซ์ ชายผู้นี้แทบจะตรงกันข้ามกับดไวเซน ทั้งสองดูเหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ขณะที่ดารูเกนซ์สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขากลับปล่อยให้ไหล่ที่ผายกว้างห่อลู่ สันหลังโค้งงอ ไม่สมกับฐานะอัศวิน ซึ่งควรจะภูมิใจในเกียรติของตน กระนั้นเขาก็จัดว่าเป็นคนที่มีใบหน้าหล่อเหลา คมเข้มเช่นเดียวกับดไวเซน แต่จมูกโด่งกว่า ผมสีทองแดงปล่อยไว้ยาวประบ่า และมีเปียเล็กๆประดับแซม เวลาที่ผมของเขาปลิวสยายตามสายลม มันทำให้ดูเหมือนเปลวเพลิงที่โหมกระพือ นัยน์ตาเป็นสีน้ำเงินเข้มของน้ำทะเลที่ล้ำลึก ซึ่งมักแสดงอาการเหม่อลอยบ่อย ๆ
ชายหนุ่มผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลรีบจัดแจงเรื่องราวต่าง ๆ โดยไว เพราะท่านผู้แทนพระองค์กำชับให้เร่งติดตามหัวขโมยให้ทันการณ์ เขาจึงเรียกผู้ช่วยให้มาจัดการเตรียมที่พักสำหรับอัศวินทั้งสอง และกองทหารผู้ติดตาม โดยลืมนึกไปว่า...
“พวกคนเถื่อน!” อัศวินที่ชื่อดไวเซนร้องอุทาน พร้อมชักดาบออกมา ทันทีที่เห็นชายร่างเตี้ยล่ำ ขาโก่ง หลังงองุ้ม ใบหูใหญ่ และมีผิวสีน้ำเงิน ลักษณะของพวกการ์กอน พวกคนป่าเถื่อน...
“ใจเย็นก่อน ท่านดไวเซน นี่คือโมเกอร์ ผู้ช่วยของข้าเอง” โจเอลต้องรีบอธิบายก่อนเรื่องราวจะเลยเถิดไปกว่านี้
“แต่นี่มันเป็น...” ดไวเซนยังคงค้าน
“ข้ารู้... เขาเป็นทาสที่ติดมากับคณะละครสัตว์ พ่อข้าซื้อตัวเมื่อนานมาแล้ว เขาทำงานรับใช้ข้าที่นี่ และเป็นคนที่ไว้วางใจได้ นี่คงไม่ใช่ชาวการ์กอนคนแรกที่ท่านเคยเห็นกระมัง” โจเอลพยายามอธิบาย
“ไม่... ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่ชั่วร้ายแบบนี้มาก่อน และกรุณาอย่าเอ่ยนามต้องสาปนั่นอีก” ดไวเซนกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจพร้อมกับเก็บอาวุธ
โมเกอร์ก้มหน้างุด เข้าใจความรู้สึกของคนที่พบเห็นชาวการ์กอนเป็นครั้งแรก หรือแม้แต่ผู้ที่เคยพบเห็นมาก่อน สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าจะช่วยสถานภาพของตนคือการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และบิดาของโจเอล รวมทั้งโจเอลก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี เขาจึงตั้งใจทำงานทุกอย่างเพื่อตอบแทนทั้งสอง
“แค่บอกว่าข้าและกองทหารของข้าจะตั้งกระโจมตรงไหนก็พอ” ดไวเซนหันมาพูดกับกับโจเอล โดยแสร้างทำเป็นไม่เห็นโมเกอร์
เมื่อเห็นว่าเป็นการยาก ที่จะให้อัศวินทั้งสองยอมรับในคนต่างเผ่าพันธุ์ โจเอลจึงรับหน้าที่ดูแลผู้มาเยือนด้วยตัวเอง และมอบหน้าที่ให้โมเกอร์ไปเกณฑ์ชาวบ้านเข้าร่วมกองทัพ รวมทั้งตระเตรียมยุทโธปกรณ์แทน
หลังจากโมเกอร์แยกไปเพื่อแจ้งหมายเกณท์แก่ชาวบ้าน โจเอลก็รับหน้าที่ต้อนรับอัศวินทั้งสองและผู้ติดตาม โดยให้พวกเขาตั้งกระโจมพักที่ลานกว้างด้านหน้า ดไวเซนแจ้งความต้องการว่าจะให้คนของตนจัดเตรียมอาหารกันเอง รวมทั้งดารูเกนซ์ก็ดูเหมือนจะเห็นพ้อง ชายหนุ่มผู้ดูแลฟอร์ทอังเคิลจึงแนะนำบ่อน้ำที่ต้องใช้ และยังเบิกอาหารและฟืนบางส่วนให้กลุ่มผู้มาเยือน ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยดี จนกระทั่ง เกวียนที่ปิดทึบของดารูเกนซ์เปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน...
“มังกร!” เสียงฮือฮาจากบรรดาคนของโจเอล ทำเอาหลายคนละทิ้งหน้าที่ เพื่อจะมามุงดูสิ่งที่พวกเขาเคยได้ยินจากในนิทานเท่านั้น
ดารูเกนซ์รีบเข้าไปดูสัตว์พาหนะของตนด้วยความเป็นห่วง สั่งทหารในบัญชาให้กันคนของโจเอลออกไป ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งและมีปากเสียงกัน สร้างความอับอายให้กับโจเอล จนต้องออกปากตำหนิ และไล่คนของตนให้กลับไปประจำหน้าที่
โจเอลได้เห็นสิ่งที่ทุกคนเรียกว่ามังกร มันเป็นสัตว์รูปร่างคล้ายกิ้งก่า ยาวจากปลายจมูกถึงปลายหาง เกือบสิบห้าฟุต เกล็ดเป็นสีน้ำเงินเงาวับ ดวงตาสีแดงเป็นประกายเหมือนอัญมณี ทว่ามันไม่มีปีกหรือเขาเช่นในนิทาน โจเอลได้สังเกตเพียงแค่นั้น ทหารของดารูเกนซ์ก็นำผ้ามากั้นล้อมไว้ให้พ้นจากสายตาพวกสอดรู้
“หวังว่าวันพรุ่งนี้ ทหารของท่านจะมีวินัยมากกว่านี้นะ” ดไวเซนกล่าวเป็นเชิงเหน็บแนม ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้โจเอลยืนหน้าชาด้วยความอับอาย
ผู้ปกครองแห่งฟอร์ทอังเคิลหันมาง่วนกับการสั่งข้ารับใช้ให้เตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้ รวมทั้งอาหารค่ำที่ตั้งใจจะเชิญอัศวินทั้งสองมาร่วมรับประทาน เพื่อจะสนทนาสร้างความสนิทสนมก่อนจะร่วมภารกิจกันในวันพรุ่งนี้ เขาสั่งการและปล่อยให้ข้ารับใช้ทำส่วนที่เหลือต่อไป จึงค่อยปลีกตัวไปนั่งพักเพื่อรออาหารค่ำ
ชายหนุ่มหลบมานั่งพักบนเก้าอี้ตรงมุมโปรดซึ่งเต็มไปด้วยม้วนบันทึกและตำรา มากเท่าที่ผู้ปกครองดินแดนเล็ก ๆ จะหามาได้ แต่ก็ยังดูน้อยนิดในสายตาสหาย...ชายลึกลับผู้เดินทางมาจากต่างถิ่นเมื่อกว่าหนึ่งปีมาแล้ว และคงไม่ใช้หัวขโมยที่ผู้แทนพระองค์กล่าวถึง เพราะสหายผู้นี้มิใช่ชาวการ์กอน เขาเป็นชาวเกลลิคเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ในจักรวรรดิโฮลี่เอ็มไพร์ และเป็นชายหนุ่มที่งดงามที่สุดเท่าที่โจเอลเคยเห็น เขามีเรือนร่างบอบบาง คอเพรียวระหง ผิวพรรณขาวสะอาด ใบหน้าเพรียวบาง นัยน์ตาเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่ง ริมฝีปากบางสดใสด้วยสีชมพูของเลือดฝาด ผมเป็นสีทองสว่างตาปล่อยยาวสยาย นี่คือรูปลักษณ์หลังผ่านการขัดสีฉวีวรรณ เพราะแรกมาถึงเขามีสภาพคล้ายชายจรจัด สกปรกและมอมแมม ซึ่งมานอนหมดสติอยู่หน้าโบสถ์ประจำหมู่บ้าน จนได้นักบวชช่วยไว้ และสอบถามเรื่องราว ทว่าไม่ได้รับคำตอบใด นอกจากนามสั้น ๆ ว่าจอร์ช
ในช่วงแรกโจเอลยังกังวล ว่าจอร์ชอาจเป็นนักโทษหลบหนี จนเวลาผ่านไปก็ยังไม่พบข่าวคราวใดให้สงสัย จึงอนุญาตให้อาศัยที่นี่ได้ จอร์ชเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถซ่อนอยู่มากจนน่าสงสัยว่าเคยทำอะไรมาก่อน ความสามารถที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของจอร์ชก็คือการยิงธนูที่แม่นราวจับวาง เขาจึงจ้างจอร์ชในตำแหน่งครูฝึกธนูให้ชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ นอกจากนี้จอร์ชยังเป็นคนฉลาดเฉลียว ตำราที่โจเอลสะสมไว้ จอร์ชใช้เวลาเพียงไม่นานก็อ่านจนหมด และบางครั้งก็อธิบายขยายความ นอกเหนือจากที่เขียนไว้ในตำราได้อย่างลึกซึ้งจนน่าทึ่ง สิ่งนี้ทำให้โจเอลพูดคุยด้วยถูกคอ ไม่ช้าทั้งสองก็นับเนื่องเป็นสหายผู้รู้ใจ
โจเอลมองไปยังโต๊ะตัวเล็กที่วางกระดานหมากรุก ซึ่งเขาและจอร์ชเล่นค้างเอาไว้ก่อนหน้าที่ผู้แทนพระองค์จะมา มันเป็นเกมที่ทั้งสองมักเล่นด้วยกันเป็นประจำ โดยทุกครั้งจอร์ชจะเป็นผู้ชนะ ถึงอย่างนั้น โจเอลก็ยังคงพอใจที่จะได้เรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ ๆ เสมอ
โจเอลเพ่งมองหมากตาที่เล่นค้าง ครุ่นคิดหาวิธีเอาชนะไปพลางระหว่างรอสหาย เพราะจอร์ชไม่เคยทิ้งการประลองไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โจเอลจึงมั่นใจว่าผู้เป็นสหายจะกลับมาสานต่อก่อนถึงเวลาอาหารเย็น และหวังจะปรึกษาภารกิจที่ผู้แทนพระองค์มอบให้ด้วย ทว่าจนคนรับใช้มาแจ้งว่าอาหารถูกเตรียมพร้อมแล้ว จอร์ชก็ยังไม่กลับมา เมื่อคิดว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากให้แขกเป็นฝ่ายรอ โจเอลจึงตัดใจเดินตรงไปยังห้องรับประทานอาหาร โดยมิได้ครุ่นคิดถึงการหายตัวไปของสหายผู้ลึกลับ
การรับประทานอาหาร ร่วมกับ ดไวเซน และ ดารูเกนซ์ เป็นไปอย่างเงียบเชียบชวนอึดอัด ทั้งสองตอบคำถามแต่เพียงเล็กน้อยและไม่ยอมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน คล้ายต้องการเว้นระยะห่างเอาไว้
ดไวเซนดูเป็นคนถือตัว โจเอลสังเกตว่าอัศวินผู้นี้มีแววเหยียดสถานที่และตัวเขาในสายตา ขณะที่ดารูเกนซ์กลับแสดงท่าทีเหม่อลอยไม่สมกับฐานะ
การรับประทานอาหารจบลงด้วยความรู้สึกอึดอัดและห่างเหิน แขกทั้งสองพากันขอตัวกลับกระโจมที่พัก โจเอลกล่าวคำล่ำลาตามมารยาท แล้วจึงแยกไปตรวจตราความเรียบร้อยสำหรับภารกิจในวันพรุ่งนี้
โมเกอร์ได้แจ้งบัญชีสิ่งของ อันประกอบด้วยอาวุธ และหมวกเกราะ รวมถึงเสบียงอาหารสำหรับคนแปดสิบคน พอให้อยู่ได้สามวัน ส่วนหมายเกณฑ์ชาวบ้านนั้น หัวหน้าผู้ฝึกอาวุธได้คัดเลือก และไปแจ้งผู้ถูกเกณฑ์ด้วยตนเอง
โจเอลพยักหน้ารับทราบสิ่งที่โมเกอร์รายงาน และคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดให้กังวล จึงบอกแก่ข้ารับใช้ชาวการ์กอนว่าจะไปเดินเล่น เพื่อจะมีเวลาครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ
ชายหนุ่มผู้ปกครองฟอร์ทอังเคิลเดินไปตามถนนสายหลักในหมู่บ้าน ปล่อยใจคิดเรื่อยเปื่อย เขาเคยสู้แต่กับโจรขโมยซึ่งตั้งกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อาศัยนอกเขตแดนออกไป และไม่บ่อยที่จะบุกเข้ามาปล้น กระนั้นเขาก็ไม่ได้กลัวที่จะเข้าสู่สนามรบ และไม่นึกกลัวพวกการ์กอน ซึ่งอาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับโมเกอร์ หากเพียงมีเหตุผลให้ต้องหลั่งเลือด เขาก็จะเข้าสู้รบโดยไม่ลังเล ทว่าคำสั่งขององค์จักรพรรดิ แม้จะฟังดูมีเหตุผล แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
โจเอลเดินมาถึงโบสถ์ประจำหมู่บ้านตามความเคยชิน ที่นี่มีสหายอีกผู้หนึ่ง ซึ่งได้พูดคุย เที่ยวเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ทว่ายังไม่ทันถึงตัวโบสถ์ กลับมีคนผู้หนึ่ง โผล่มาจากข้างทางกะทันหัน
“จอร์ช” โจเอลร้องด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คาดว่าจะได้เจอสหายหนุ่มที่นี่
“โจเอล นั่นท่านหรือ?” น้ำเสียงหวานใสดังมาจากทางโบสถ์ ซึ่งผู้ที่ร้องถามคงได้ยินเสียงของโจเอล
สหายทั้งสองเดินต่อไปยังโบสถ์เพื่อพบผู้ที่ร้องถาม เธอเป็นหญิงสาววัยเดียวกับโจเอล มีรูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามได้รูป ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีฟ้างดงามสดใส เสมือนท้องฟ้ากลางฤดูร้อน แต่งแต้มด้วยแผงขนตางอนงามชวนมอง จมูกโด่งเชิดดูเป็นคนรั้น ริมฝีปากอวบอิ่มมีสีชมพูระเรื่อ ซึ่งมักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใส ผมสีทองยาวประบ่า ปกปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะ เธอแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวเช่นนักบวช นามของเธอคือลูนาร์ สหายตั้งแต่เล็กของโจเอล และเป็นบุตรสาวของนักบวชผู้ดูแลโบสถ์
“ลูนาร์ เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” โจเอลเอ่ยทักทาย
“ถ้าต้องการเช่นนั้น ข้าไปนอนก็ได้” เธอแกล้งเง้างอนไปอย่างนั้น เพราะที่มานั่งตรงนี้ก็เพื่อจะรอพบกับโจเอลเหมือนเช่นทุกวัน
“ฮะ ๆ พวกผู้หญิงนี่ปากกับใจไม่ตรงกันอยู่เรื่อย ข้าล่ะเหนื่อยแทนโจเอลจริงเชียว” จอร์ชถือโอกาสหยอกล้อ เขามักเหน็บลูนาร์เสมอจนเหมือนเป็นคู่กัด ทว่าแท้จริงแล้วกลับสนิทสนมกันดี
ลูนาร์ส่งสายตาค้อนกลับไป ก่อนจะจูงมือโจเอลให้นั่งลงข้าง ๆ ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือโจเอล เห็นมีหมายเรียกไปหลายบ้าน”
“มีรับสั่งจากองค์จักรพรรดิ ให้ติดตามคนร้ายที่หนีไปยังแดนการ์กอน” โจเอลพยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าสีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความหนักใจ ลูนาร์ไม่พูดอะไร ได้แต่กุมมือเพื่อเป็นกำลังใจ เพียงได้ยินว่าต้องเข้าไปในแดนลึกลับ ก็พอจะนึกได้ถึงอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า
“ประหลาดนัก...คนร้ายที่ไหนจะกล้าหลบหนีไปถึงที่นั่น และหากเป็นจริง ถึงอย่างไรมันก็ต้องผ่านที่นี่ ต่อให้ระวังขนาดไหนก็ต้องมีคนเห็นบ้าง...” จอร์ชตั้งข้อสงสัย ซึ่งก็ตรงกับที่โจเอลคิด
“ข้าก็คิดเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำตามรับสั่ง ยังมีอัศวินอีกสองนายที่ผู้แทนพระองค์ส่งมาร่วมภารกิจด้วย บางทีอาจเพื่อให้ข้าทำตามรับสั่ง...” โจเอลกล่าว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปกับท่านด้วย ข้าได้ฝึกหัดเวทจากบิดาหลายบท จะต้องช่วยท่านได้มากแน่” หญิงสาวกล่าวด้วยความมั่นใจ ทว่าชายทั้งสองกลับส่งสายตาคัดค้าน
“ข้าให้เจ้าไปด้วยไม่ได้ มันอันตรายเกินไป” โจเอลปฏิเสธ
“ลูนาร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย ถ้าลองฮานส์ไปด้วยล่ะก็ รับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายโจเอลได้แน่ อีกอย่าง พ่อเจ้าคงไม่อนุญาต” จอร์ชให้เหตุผล เมื่อถูกยกเอาบิดามาอ้าง ลูนาร์จึงไม่อาจโต้แย้ง
“โจเอล ท่านก็ควรระวังตัวให้มาก ข้าคิดว่าคำสั่งในครั้งนี้ดูไม่ชอบมาพากล ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะไปกับท่าน...” จอร์ชกล่าวได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเงียบไป
“ท่านหมายถึง...” โจเอลเพิ่งสังเกต ว่าสหายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดเก่าที่มอมแมมทว่ารัดกุม และสะพายกระเป๋าสัมภาระ นี่หมายความว่าจอร์ชตั้งใจจะไปจากฟอร์ทอังเคิล?
“เป็นเรื่องยากที่จะบอกลา แต่ข้ามีเหตุจำเป็นต้องไป ข้ามารอพบท่านที่นี่ก็เพื่อจะกล่าวคำอำลา และขอบคุณน้ำใจไมตรีที่มีให้ตลอดมา...” ชายหนุ่มใบหน้าสวยดังสตรีกล่าวด้วยความลำบากยากเย็น
แม้จะรู้สึกใจหาย ที่สหายหนุ่มต้องมาจากลาโดยไม่บอกล่วงหน้า แต่โจเอลก็กุมมือจอร์ชไว้ด้วยความเข้าใจ สหายที่คบหากันมานับปี เมื่อถึงเวลาต้องจากลาย่อมรู้สึกใจหาย
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีก...” โจเอลเอ่ยออกมาเบา ๆ
“ขี้ขลาด!” ลูนาร์ทะลุกลางปล้องขึ้นมา “ท่านยังกล้าเรียกตัวเองว่าสหายอีกหรือ ในเมื่อโจเอลกำลังจะเผชิญกับอันตราย แต่ท่านกลับคิดหนีเอาตัวรอด ไปแล้วอย่ามาให้ข้าเห็นอีกเชียว!” กล่าวจบหญิงสาวก็เดินจากไปด้วยความฉุนเฉียว
“ต้องขอโทษแทนลูนาร์ด้วย นางแค่ไม่อยากให้ท่านจากไปเท่านั้น...” โจเอลรีบแก้ตัวแทน
“ช่างเถิด นางพูดถูกแล้ว... แต่โจเอล... ขอให้ฟังคำข้า จงระวังอัศวินสองคนนั้นไว้ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วย” จอร์ชกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย
โจเอลพยักหน้ารับ และเฝ้ามองสหายหนุ่มเดินจากไปจนลับสายตา เพียงเย็นวันเดียว เขากลับต้องพบเจอเรื่องมากมาย ทั้งคำสั่งที่เสมือนให้ไปฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลอันน่ากังขา โดยองค์จักรพรรดิที่แม้ชั่วชีวิตเขาก็คงไม่มีโอกาสเข้าพบ และการจากลาของสหายที่คบกันมานับปี
เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ หวังว่าลูนาร์จะกลับออกมา ทว่าก็ไม่มีวี่แวว เธอคงจะหลับไปแล้ว เขาจึงเดินจากมา โดยมิวายหันกลับไปมองอีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในวันข้างหน้า เขาจึงปรารถนาจะพูดคุยกับเธอให้นานกว่านี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบเจออีกครั้งหรือไม่
ความรู้สึกบางอย่างเพิ่มพูนในจิตใจ ระหว่างที่โจเอลเดินกลับที่พำนัก รับสั่งขององค์จักรพรรดิในครั้งนี้ ดูไม่ชอบมาพากลดังจอร์ชว่า แต่มันยังมีสิ่งอื่นที่อยู่ภายในใจของเขาอีก
ระหว่างเส้นทาง โจเอลได้ยินเสียงล่ำลา เสียงต่อว่าการเกณฑ์ไพร่พล ดังเล็ดลอดมาจากบ้านหลังที่ถูกเกณฑ์ กระนั้นทุกคนก็รู้ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่อาจฝ่าฝืน
ทั้งข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือ และชีวิตของผู้คนที่ต้องไปเสี่ยงภัยในแดนอันตราย สิ่งเหล่านั้นทำให้โจเอลเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจมากขึ้นทุกที หากมีหัวขโมยที่ว่าจริง เขาก็อยากจะรู้ให้แน่ชัด หรือว่า...เขาจะสามารถเจรจา ขอให้พวกการ์กอนส่งตัวผู้ต้องสงสัยได้...
ความคิดดังกล่าวเริ่มก่อตัวชัดเจนในหัว แม้จะไม่รู้จักพวกการ์กอนดีนัก นอกจากโมเกอร์ที่รับใช้ใกล้ชิด แต่มันก็ทำให้เขามีความคิดแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่เชื่อว่าคนพวกนั้นดุร้ายป่าเถื่อน โจเอลเชื่อว่าหากเจรจากัน เรื่องนี้อาจจบลงด้วยดี เขาทบทวนความคิดนี้อยู่หลายครั้ง จนเชื่อว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุด เขาพอจะรู้ภาษาการ์กอนอยู่บ้าง และหากเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ อาจจะสามารถแก้ไขเรื่องราวได้ทันเวลา
โจเอลเดินกลับมาถึงป้อม เขาเดินตรงไปยังคอกม้า จูงม้าคู่ใจที่ชื่อพอลลักซ์ออกมา เตรียมออกไปทางประตูเล็กด้านหลัง ทว่าเสียงหนึ่งทักขึ้นเสียก่อน
“นายท่านจะไปไหนหรือ?”
ชายหนุ่มเหลียวมามอง รู้สึกโล่งใจที่เป็นโมเกอร์
“โมเกอร์... เอ่อ... ข้าคิดจะไปขี่ม้าเล่นสักหน่อยน่ะ” โจเอลอ้าง ซึ่งบ่าวชาวการ์กอนก็พอจะรู้ทัน
“นายท่านคงไม่ได้คิดจะทำเรื่องสำคัญโดยลำพังกระมัง?” โมเกอร์กล่าวดักคอ ทำผู้เป็นนายถอนหายใจยอมแพ้
“เอาล่ะ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังก็ได้... ข้าตั้งใจจะไปเจรจากับพวกการ์กอน” โจเอลเปิดเผยความคิด
“ท่านจะไปไม่ได้” ผู้เป็นบ่าวยึดแขนนายไว้แน่น “ข้าทราบว่าท่านลังเลสงสัยในราชโองการครั้งนี้ แต่ท่านไม่รู้ภาษาการ์กอนและชาวการ์กอนดีพอที่จะทำเช่นนั้น”
“ข้าทราบดี แต่หากไม่ไป จะต้องมีผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองฝ่าย...” โจเอลเอ่ยเศร้า ๆ
“ข้าไปเอง” โมเกอร์กล่าวหนักแน่น “ข้ารู้ภาษาการ์กอนมากกว่านายท่าน และเป็นชาวการ์กอน หากผิดพลาด พวกนั้นคงละเว้นข้า ที่สำคัญ นายท่านต้องอยู่นำคนที่นี่”
โจเอลก้มหน้านิ่ง สิ่งที่โมเกอร์กล่าวนั้นถูกต้องอยู่แล้ว เพียงแต่เขารู้สึกหนักใจ ที่จะส่งผู้อื่นไปเสี่ยงแทนตัวเอง
“นายท่านอย่ากังวล ข้าจะไม่เป็นอะไร คืนนี้ขอให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ข้าจะนำข่าวดีมาให้แน่นอน” โมเกอร์พยายามพูดให้โจเอลคลายกังวล ก่อนจะเลือกม้าตัวหนึ่ง ควบจากไปเมื่อพ้นประตู
โจเอลเงยหน้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเพ่งมอง จนบ่าวชาวการ์กอนกลืนหายไปในความมืด อยู่ ๆ ก็ใจหายขึ้นมาด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง กระนั้นก็ยังข่มใจคิดในแง่ดี ว่าวันพรุ่งนี้อาจมีเรื่องดีเกิดขึ้นก็เป็นได้...
ความคิดเห็น