คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : The spin off dangerous area : Snow in California ( Kai x Lunhan ) 3/6
เช้าวันเสาร์อันแสนสงบของคิมไคถูกทำลายด้วยเสียงโครมครามหน้าแกลเลอรี่ ปกติเขาจะไม่ตื่นเช้านักในวันสุดสัปดาห์เช่นนี้ เพราะว่ามันคือวันหยุดและวันพักผ่อน เป็นสองวันที่ตารางเวลาจะไม่ถูกป้ายสีแดงเป็นตำหนิเอาไว้ เป็นวันที่ไคจะได้ออกไปสูดอากาศ สะพายกล้องไปนั่งจิบชาเงียบๆ ที่ร้านกาแฟแถวบ้าน ได้ปั่นจักรยานไปนั่งเล่นที่สวน หากแต่วันนี้ เวลานี้ เขาต้องลุกขึ้นจากที่นอนในสภาพกางเกงขายาวและเสื้อกล้าม อวดผิวสีแทนสะท้อนแสงแดดที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ไครีบสาวเท้าเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาพอให้ดูได้ขึ้นมากกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วก็รีบพาตัวเองมายังด้านล่าง มองคาดโทษตัวการที่ทำให้เขาตื่นยืนยิ้มอยู่หลังประตูกระจกหน้าสตูดิโอ
มือใหญ่บิดคลายล็อก เปิดทางให้ร่างเล็กเดินลอยหน้าลอยตาเข้ามาในแกลเลอรี่ที่ร้างผู้คนของตนเอง เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าไคจะไม่เปิดรับผู้คนในวันเสาร์อาทิตย์ หน้าประตูก็แปะโชว์อยู่หรา ถ้าลู่หนานยังกล้ามา เขาเองก็ไม่กล้าขัด ร่างสูงสืบเท้ายาวๆ พาคนตัวเล็กขึ้นบันไดไม้ที่หลบอยู่หลังผนังปูนเปลือย มันจะนำพวกเขาทั้งคู่ไปยังชั้นสอง ส่วนของออฟฟิศใหญ่และห้องมืดสำหรับล้างรูป ดวงตากลมโตสำรวจไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใจจริงเขาก็อยากทิ้งให้น้องนั่งเล่นอยู่ด้านล่างนี้แต่มันคงไม่ดีแน่ๆ ชายหนุ่มจึงเดินเลยขึ้นไปยังพื้นที่ส่วนตัวซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีใครเคยย่างกรายเข้ามาก่อน เว้นก็เสียแต่จงอินน้องชายแท้ๆ ที่ช่วงปิดเทอมเจ้าตัวจะขอมาอยู่ช่วยงานเองบ้างเป็นบางครั้ง
ประตูไม้สีขาวสะอาดถูกเปิดกว้างให้แขกคนที่สองของรอบปีเข้ามาภายใน นำคนตัวเล็กไปทิ้งเอาไว้อยู่บริเวณเก้าอี้สำหรับเอนนอนขนาดกะทัดรัด ไคกลับตัวหันหลัง หมายจะหาน้ำหาท่ามาให้น้องดื่มตามมารยาท ตู้เย็นสีขาวที่แทบจะกลืนไปกับสีผนังห้องถูกเปิดออก มือใหญ่ยื่นเข้าไปหยิบขวดใส่น้ำ รินของเหลวเย็นจัดไร้สีใส่แก้ว ก่อนจะเดินออกมาพบว่าน้องไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เสียงกุกกักด้านบนทำให้ชายหนุ่มพอจะเดาทางได้ว่าลู่หนานขึ้นไปซนด้านบนเป็นแน่ ฝีเท้าย่องเบาราวกับแมวขโมยช่วยสนับสนุนให้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวนั้นเป็นจริงได้มากขึ้น ไคใช้พื้นที่ทุกส่วนของตึกหลังนี้อย่างคุ้มค่า ห้องใต้หลังคาที่ดูไม่มีประโยชน์ เขาก็ดัดแปลงมาเป็นส่วนห้องนอนและห้องนั่งเล่น เพิ่มที่พักผ่อนหย่อนใจได้อีกครึ่งชั้น แม้มันจะไม่ใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่ก็ถือว่าพอดีแล้วกับชายโสดใช้ชีวิตคนเดียวเช่นเขา
ละทิ้งแก้วน้ำเย็นไว้บนเคาน์เตอร์ เดินดุ่มๆ ขึ้นไปบนบันไดไม้ที่นำทางสู่ชั้นลอย ว่าแล้วว่าคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกจะมาหาน้องบนนี้ เตียงควีนไซส์ของไคมีร่างของลู่หนานนอนพาดอยู่อย่างไม่เกรงใจ คิดว่าอยู่บ้านตัวเองใช่ไหมครับคุณชายอู๋ คนพี่ยกท่อนแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามขึ้นกอดอก แต่ถึงอย่างนั้นคนน้องก็ไม่สะท้านแถมยังกลิ้งไปทั่วจนกลัวว่าจะหล่นเข้าให้ได้ สายตาดุๆ คู่นี้ไม่อาจทำอะไรเจ้าตัวแสบได้เลยแม้แต่ปลายก้อย ร่างสูงเอนตัวเองพิงกับกรอบประตูกระจก พ่นลมหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายหัวไปมาให้กับความเป็นเด็กของเพื่อนสนิทน้องชาย
“ พี่ไคแต่งห้องสวยจัง แต่งบ้านก็สวย ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลย ” คนถูกชมเข้าให้เลิกคิ้ว ไม่ตอบอะไรเพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หมดคำพูด น้องพลิกตัวกลับมานอนหงายแผ่อยู่กลางเตียง คว้าเอาหมอนใบเล็กมากอดเอาไว้ “ แต่เตียงเล็กมากเลย พี่นอนพอหรอ ” เด้งตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิ “ เตียงบ้านผมใหญ่กว่านี้อีก อืมมม ประมาณเท่านี้ได้ ” พูดไปก็ทำท่าประกอบไป เตียงใหญ่ขนาดไหนเจ้าตัวก็พยายามอ้าแขนให้ใกล้ความเป็นจริงที่สุด ดวงตากลมโตผินมองมาทางทิศที่มีคนอายุมากยืนเก๊กอยู่ “ อะไรเล่า ”
“ แล้วตั้งแต่ซื้อเตียงมา เคยนอนทั้งเตียงหรือยังล่ะ ? ”
“ … ” โดนสวนกลับทีถึงกับไปไม่ถูก ที่พี่ไคพูดก็จริงอยู่หรอก ตั้งแต่ได้เตียงมายังไม่เคยเลยสักครั้งที่นอนมันทั้งเตียง กี่ทีๆ ก็นอนอยู่แค่ตรงกลางเท่านั้นล่ะ เหอะ แต่ลู่หนานไม่ยอมหรอก ! ตั้งแต่เกิดมาบอกแล้วว่ายังไม่เคยมีใครขัด ครั้นจะอ้าปากเถียงบ้าง ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาอีก
“ แล้วหนาวไหม ? นอนคนเดียว ”
“ … ” คนน้องไม่รู้ว่าคนพี่ต้องการอะไร จึงไม่ยอมตอบไปให้เสียท่า ลู่หนานนั่งมองหน้าคิมไคอย่างไม่ลดละ
“ พี่จะบอกให้นะ เตียงเล็กเตียงใหญ่ไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยู่ให้พี่กอดไหมมากกว่า ”
พูดจบก็ผละหนีไปอาบน้ำ ทิ้งไว้ก็แต่คนตัวเล็กที่นั่งนิ่งไม่เก็ทมุกอยู่นานหลายนาที พี่ไคบอกว่าสำหรับพี่ไคมันไม่สำคัญว่าเตียงจะใหญ่แค่ไหน โอเค นี่หมายถึงพี่ไคกินง่ายนอนง่าย เขาเข้าใจ แล้วไอ้ ‘ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยู่ให้พี่กอดไหมมากกว่า ’ นี่มันแปลว่าอะไร ? ถ้าเดาไม่ผิดพี่ไคจะกอดเขาใช่ไหม แค่กอดก็หนักแล้วนะ แต่นี่กอดตอนนอนด้วย ! อะไร ลู่หนานไม่เข้าใจ พี่ไคคิดอะไรอยู่ แซวหรือ ? มากไปมั้ง เห็นไม่ต่อปากต่อคำเข้าหน่อยก็ชักเหลิง !
“ ย๊า !!!! คิมไค !!! ”
“ หิวหรือเปล่าเรา อยากทานอะไรไหม ? ”
ตอนนี้ไคอยู่ในสภาพเสื้อยืดสีขาวพิมพ์ลายกราฟิกและกางเกงยีนส์ขายาวสีซีด ดูดีกว่าตอนที่ตื่นนอนมาแล้วแบกร่างลงไปรับน้อง ขณะนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้า ไคคิดว่าลู่หนานคงรีบมาโดยไม่ได้หาอะไรรองท้องก่อน ดังนั้นในฐานะเจ้าบ้านที่ดี เขาก็ควรจะต้อนรับขับสู้แขกเป็นอย่างดีตามมารยาท
“ นิดหน่อย ผมทานอะไรก็ได้ แล้วแต่พี่เถอะ ”
ไคหมุนตัวสำรวจภายในตู้เย็นว่าเช้านี้พอจะมีวัตถุดิบอะไรทำอาหารได้บ้าง โชคดีที่เมื่อหลายวันก่อนเขาไปซื้ออาหารสดมาตุนเอาไว้ วันนี้จึงมีหลากหลายเมนูที่สามารถทำให้น้องทานได้โดยไม่ต้องลำบากลำบน ไข่ไก่สีขาวสี่ฟองถูกหยิบใส่ตะกร้า ตามด้วยกีวี่ ส้ม มะเขือเทศราชินีลูกน้อย ขนมปังแถวที่ถูกใส่ไว้ในตู้เก็บของบนหัวถูกคว้าออกมาวางบนเคาน์เตอร์ ไคตั้งใจจะทำเบรกฟาสต์แบบที่เขาทำทานประจำในทุกเช้าให้น้องลองชิม เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันทำงานตามหน้าที่ กระทะเทฟล่อนพื้นเรียบทาเนยไขมันต่ำถูกตั้งบนแผ่นเซรามิกเพื่อวอร์มให้ความร้อนได้ที่สำหรับการทอดไข่ ระหว่างนี้ชายหนุ่มก็ใช้เวลาไปกับการปอกเปลือกกีวี่ บรรจงหั่นมันเป็นแว่นให้ได้ขนาดเท่าๆ กันทุกชิ้น เพราะการทำอาหารก็เป็นหนึ่งในศาสตร์ศิลปะที่ต้องใส่ใจเพื่อรังสรรค์ผลงานออกมาให้ดีที่สุด
“ พี่ไคเก่งอย่างที่จงอินว่าไว้จริงๆ ด้วย ถ่ายรูปก็เป็น ทำอาหารก็ได้ ”
คนน้องนั่งเท้าคางกับเคาน์เตอร์บาร์ ตำแหน่งหน้าเตาไฟฟ้าพอดิบพอดี ดวงตากลมโตจ้องมองทุกการกระทำของคนพี่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ ผู้ชายส่วนน้อยเท่านั้นล่ะที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในส่วนน้อยนั้นไม่มีลู่หนาน
“ พี่อยู่คนเดียว ต้องหัดๆ ทำเอาไว้บ้างไม่งั้นก็อดตาย ใครจะฝากท้องไว้กับร้านฟาสต์ฟู้ดตลอดชาติล่ะจริงไหม ? ”
“ ก็จริง แต่พี่เข้าร้านอื่นก็ได้นี่ แถวนี้ก็มีห้องอาหารตั้งมากตั้งมาย ”
“ มันแพงเกินไป เราทานแล้วก็ถ่าย จะเอาเงินไปลงกับอะไรแบบนั้นทำไม สู้เก็บเอาไว้ต่อยอดในอนาคตดีกว่าเยอะ ”
“ บลาบลาบลา บ่นเป็นพ่อเลย บู่ ”
ยู่ปากใส่อีกนั่น
“ แล้วเราล่ะ หืม ทำอะไรเป็นบ้าง ? ” ไคเห็นน้องเงียบแล้วก็นึกขัน “ เกิดมาในครอบครัวคนมั่งคั่งคงไม่เคยทำอะไรสิท่า โตป่านนี้แล้วนะเรา ” ผ่าครึ่งมะเขือเทศอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนผละกลับมาตอกไข่ใส่กระทะที่ร้อนได้ที่อย่างคล่องแคล่ว “ แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำอาหารน่ะให้เป็นหน้าที่พี่เถอะ ส่วนเราแค่ทำตัวน่ารักๆ ให้พี่ชื่นใจก็พอแล้วล่ะ ” เบาไฟลงเพื่อยืดเวลาให้ไข่สุกไม่ไวไปนัก พลางหันไปจัดการนำขนมปังทั้งสี่แผ่นเข้าเครื่องปิ้ง
“ … ”
สมองของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีกำลังประมวลผลประโยคที่เหมือนจะกำกวมออกมาให้ได้ความหมาย เริ่มต้นขึ้นจากพี่ไคบอกว่าลู่หนานเกิดมาในครอบครัวคนรวย ก็เลยทำอะไรเองไม่เป็น ต่อจากนั้นพี่ไคก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไร เพราะพี่ไคจะทำให้เอง ส่วนเขาก็ทำตัวน่ารักๆ ให้พี่ไคชื่นใจเท่านั้น... เดี๋ยวนะ นี่ครั้งที่สองแล้ว แซวอีกแล้ว แกล้งอีกแล้ว คนนิสัยไม่ดี ทำไมทำแบบนี้กับเพื่อนน้องชายไม่ทราบ ! คอยดูนะ จงอินกลับมาจากค่ายเก็บตัวเมื่อไรจะฟ้อง ! เรื่องนี้ถึงหูคิมจงอินแน่ !
“ รอบที่สองแล้วนะพี่ไค !!!! ”
“ ฮะฮะ , เอ้อ ว่าแต่เราถืออะไรมา พี่เห็นตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ”
เอาเป็นว่าลืมเรื่องแกล้งเกลิ้งไปให้หมดก่อน ไคเห็นน้องถือถุงอะไรติดมือมาแล้วก็นึกสงสัย เลยถามไปเผื่ออีกฝ่ายจะมีอะไรมาให้ช่วยอีก เขาใช้ตะหลิวเงาวับช้อนไข่ทอดที่ไม่สุกเกินไปลงบนจาน พร้อมทั้งวางขนมปังที่ถูกปิ้งจนได้ที่แล้วลงข้างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามด้วยผลไม้และผักชิ้นน้อย เป็นอันเสร็จ
“ อะ... อ๋อ ! พอดีว่าผมเอางานไปส่งมิสเอลซ่ามา แล้วถูกชมว่าถ่ายภาพสวย แถมรูปเล่มยังดูเรียบร้อยน่ามอง คะแนนดิบยี่สิบแต้มจึงตกเป็นของกริฟฟินดอร์ ! ” ยื่นมือมารับมืดและส้อมที่ถูกส่งให้พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไคดีใจที่น้องได้คะแนนเต็มจากความพยายามของตัวเองกว่าครึ่ง
“ แล้วยังไงต่อ ? ”
“ ผมก็เลยซื้อกล้องโพลารอยด์มาให้ เป็นค่าตอบแทนที่พี่ช่วยผมโดยไม่คิดเงินสักเหรียญ ”
น้องวางถุงกระดาษบนเคาน์เตอร์บาร์ หลบสายตาดุๆ ที่ส่งมาให้อย่างคาดโทษ ไอ้ที่พูดว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่ช่วยผมโดยไม่คิดเงินสักเหรียญน่ะโกหกทั้งเพเลยนะ ลู่หนานออกค่าอาหารเย็นให้ แถมตอนนี้ยังมีโพลารอยด์ให้อีก
“ พี่ไม่รับ ”
“ แต่พี่ต้องรับ ”
“ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องหามาให้เลย ลู่หนาน พี่เต็มใจช่วยเราและไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทน ”
“ แต่ผมอยากให้ ถ้าพี่ไม่รับผมจะโวยวาย ”
“ งอแงอีกแล้วเราเนี่ย ไม่ได้อย่างใจก็จะเป่าปี่ลูกเดียวเลยใช่ไหม หืม ? ”
ไคไหวไหล่ หยิบกล่องกล้องออกมาแกะออกด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะตกใจกับอภิมหาฟิล์มที่เยอะเสียจนปีนี้คงใช้ไม่หมด เรื่องเว่อร์น่ะเอาไว้ก่อนเลยอู๋ลู่หนาน ต้องสอนกันใหม่หน่อยล่ะกับพฤติกรรมการใช้เงินที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้
“ เอาไปเถอะพี่ อย่าปฏิเสธผมเลย ผมอุตส่าห์ไปหามาให้ ที่ร้านเขาบอกว่าดีมาก ถ่ายรูปออกมาแล้วคลาสสิกสุดๆ ”
พูดไปก็ก้มหน้าก้มตาไป ไม่ได้เงยขึ้นมามองเลยว่าพี่เขาทำอะไร ไคใช้ช่วงเวลาเล็กน้อยระหว่างที่น้องกำลังเผลอนั้นแกะฟิล์มใส่กล้อง ด้วยเพราะเคยชินจึงทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เขาปรับISOให้เข้ากับข้อจำกัดของฟิล์มที่ใช้และปรับรูรับแสงให้กลายเป็นอินดอร์ ก่อนจะกดถ่ายทันทีโดยไม่บอกให้อีกฝ่ายได้รู้ตัวก่อน แม้เสียงลั่นชัตเตอร์ของตัวกล้องจะไม่ดังเท่าDSLR ทว่ามันก็ไม่ได้เบาขนาดที่ว่าคนถูกแอบถ่ายจะไม่ได้ยิน ลู่ฮานตวัดสายตาขึ้นมองคนพี่ ถ้าอยู่ในการ์ตูนตอนนี้ร่างเล็กคงจะมีควันออกหู
“ พี่ไค !! ”
“ ครับ ”
“ ทำอะไร !! ”
“ ลองกล้อง ”
ไหวไหล่ไม่ได้สนใจแมวน้อยที่ขู่ฟ่ออยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงกระดาษบอกจำนวนภาพออกมา ตามด้วยตัวฟิล์มที่มีภาพเมื่อครู่นี้อยู่ ก่อนหน้านี้ไคเลือกใช้ฟิล์มสี ทำให้ต้องรอนานสักหน่อยเพื่อให้ปฏิกิริยาทางเคมีทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตลอดหกสิบวินาทีลู่หนานพยายามจะแย่งภาพไปจากเขา แต่มีหรือว่าจะยอม ? ฝันไปเสียเถอะ
“ เอามานี่เลยนะพี่ไค ! ”
“ NO ”
“ พี่ไคนั่นรูปผมนะ !! ”
“ แต่พี่ถ่าย , ฮะฮะ ไหนดูเสียหน่อยว่าจะเหวอขนาดไหน ”
เมื่อถึงเวลาแล้วมือใหญ่ก็ค่อยๆ ลอกภาพออก คนตัวเล็กยอมผละออกจากจานอาหารเช้าและยันตัวกับเคาน์เตอร์บาร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันไม่ได้แย่ จริงๆ นะ น้องน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมันเลยดูดีไปเสียหมด ริมฝีปากเล็กๆ สีชมพูคงอยู่ในรูปปกติ ไม่ยิ้ม ไม่เบะ ไม่ยู่ ดวงตากลมโตปัดมองลงยังด้านล่าง อีกครั้งที่ความเป็นธรรมชาติรังสรรค์สิ่งที่พิเศษมากๆ ขึ้นมาให้เขาเห็น
“ พี่ไคห้ามล้อ ! ”
“ ใครจะล้อเรา พี่ว่ามันน่ารักออก ”
“ ใครบอกน่ารัก ผมหล่อ ! ”
“ จริงหรือ ? ฮะฮะ ถ่ายอีกรูปไหม คราวนี้มองกล้องนะ ”
ผิดจุดประสงค์สักครั้งคงไม่เป็นอะไร แค่อยากมีภาพสักใบที่ชายหนุ่มจะเห็นความน่ารักของน้องได้ทั้งหมด
“ ถ่ายผมให้หล่อๆ นะ ”
ไคยกกล้องขึ้นรออีกฝ่ายจัดท่า ช่องมองเลนส์ตอนนี้เห็นเพียงแต่ใบหน้าของลู่หนาน คนแมนแบบคิดเองเออเองวาดยิ้มกว้าง พร้อมกับชูมือขึ้นมาทำสองนิ้วที่ข้างแก้ม
เพิ่งรู้ว่าคนแมนเขาทำกันแบบนี้
“ อยากลองดึงบ้างอะ ”
“ เดี๋ยวกระดาษขาด ”
เจ้าตัวแสบจะซนไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวเสียของขึ้นมาจะเปลืองสตางค์ไปเปล่า เขาดึงฟิล์มวางบนมือของน้อง กำชับบอกไม่ให้ลอกแผ่นกระดาษออกก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนเขาก็เดินอ้อมออกมาทานอาหารเช้าของตัวเอง ปล่อยให้ลู่หนานนั่งเล่นนู่นเล่นนี่ไปทั่ว ไคคิดว่าบางครั้งการตื่นเช้าขึ้นมาทำกิจกรรมกับเด็กหนุ่มข้างๆ นี้ก็ไม่ได้เสียหาย เขาสุขใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มสดใสนั้นเสมอๆ แม้ว่าจะต้องแลกกับการถูกโวยวายใส่ แต่การกระทำเหล่านั้นก็เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูให้กับน้องอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวเล็กคงไม่รู้หรอกว่าตนเองมีอิทธิพลมากเพียงใดในใจของผู้ชายคนนี้ ไม่รู้หรอกว่าเสียงหัวเราะของตัวเองทำให้ชีวิตของไคไม่จำเจน่าเบื่อ เขารู้สึกดีกับน้องนะ ทว่าก็ไม่ได้หวังหรอกว่าลู่หนานจะมารู้สึกดีกลับ เพราะจากที่อยู่ด้วยกันมาก็พอจะเข้าใจว่าร่างเล็กนั้นหมั่นไส้เขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำอย่างไรได้ คิมไคไม่ใช่คนตลก ไม่ใช่คนที่ยิ้มให้คนอื่นเรี่ยราด ออกจะเผด็จการเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่น้องไม่ชอบ แต่ช่างเถอะ บอกแล้วว่าไม่ได้หวังอะไร แค่ตรงนี้ยังมีพื้นที่ให้พี่ไคคนนี้มองดูความสุขของลู่หนานต่อไปก็พอ
---
ตลกดีที่ความสัมพันธ์เกือบหนึ่งอาทิตย์นั้น ดำเนินต่อเนื่องยาวนานจนทั้งคู่รู้จักกันหมดเปลือก ลู่หนานสนิทกับพี่ไค จากที่เคยไปไหนมาไหนกับจงอิน บัดนี้บางครั้งก็มีพี่ไคติดสอยห้อยตามมาด้วย แกลเลอรี่กึ่งสตูดิโอของชายหนุ่มไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เมื่อมีน้องมาคอยสร้างสีสันให้ในยามที่เจ้าตัวว่าง เคาน์เตอร์ด้านหน้ามีคนน่ารักคอยนั่งแนะนำผู้มาเยือนให้ได้รู้เกี่ยวกับข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติเมื่ออยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้ พูดตรงๆ ว่าภาระส่วนใหญ่ถูกแบ่งเบาลงไปมาก อย่างน้อยเรื่องในแกลเลอรี่เขาก็ไม่ต้องมีอะไรให้กังวลใจ ส่วนเวลาต้องออกไปถ่ายภาพนอกสถานที่นั้น ไคถนัดจะไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า อีกอย่าง เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าน้องจะรับได้ไหมกับการเดินทางที่ค่อนข้างทุรกันดารในบางพื้นที่
หากแต่ในช่วงนี้อัตราการมาเยือนของลู่หนานก็ถือว่าซาลงมาก เป็นเพราะเขาเองนี่ล่ะที่สั่งห้ามเอาไว้ ถึงอีกฝ่ายจะดื้อมาหา ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแบกหน้าออกไปรับ ไคไม่โทษใครหรอก เขาโทษตัวเองนี่ล่ะที่รับงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาอยู่ร่วมกับสิ่งที่ตนเองรักอีกหนึ่งอย่าง ช่วงนี้มีโอกาสมาให้ก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อนมันจะหลุดลอยไปไหน ช่างภาพอย่างเขาไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรมันจะถึงทางตันของอาชีพ ดังนั้นช่องทางการติดต่อเดียวที่พอจะทำให้ทั้งสองฝ่ายรับรู้ความเป็นไปของกันและกันได้คือแอปพลิเคชั่นไลน์ พูดกันตรงๆ เขาก็ไม่ได้อยากมีมันเอาไว้หรอก ปกติคุยกับใครเขาเสียที่ไหน โทรศัพท์มีเอาไว้ติดต่องานกับลูกค้า ดังนั้นเพื่อนในลิสต์จึงมีไม่เท่าไร แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คิมไคก็ยังรู้นะว่าเก็บน้องเป็นFavoriteอย่างไร
วันนี้ก็เป็นเหมือนทุกๆ วัน ร่างสูงทำงานอยู่บนชั้นสอง กำลังวุ่นวายเลยทีเดียวกับไฟล์งานที่ต้องส่งให้ลูกค้า แถมยังวุ่นวายอยู่กับภาพที่ต้องอัดเข้ากรอบขนาดใหญ่เพื่อนำไปแขวนเปลี่ยนด้านล่างแกลเลอรี่ บนโต๊ะตัวยาวมีกาแฟเย็นชืดที่พร่องลงไปกว่าครึ่งถูกทอดทิ้งอยู่กับเค้กนมเต็มชิ้น ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ทานอาหารเช้า ตื่นมาก็ทรงเครื่องชุดนอนแล้วลงมาทำงานทันที ส่วนแกลเลอรี่ก็ต้องปิดไปโดยปริยายเพราะเตรียมเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ครืด
สมาร์ทโฟนสีดำขลับตัดกับฝาหลังสีแพล็ตตินั่มสั่นส่งเสียง ไคไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนักเพราะคิดว่าคงจะเป็นพวกข้อความแจ้งเตือนจากเครือข่าย
ครืด ครืด
ดูไม่ปกติเท่าไรแล้ว แต่ก็ยังไม่หันไปสนใจอยู่ดี
ครืด ครืด ครืด....
คราวนี้มาแบบคอมโบ้เซ็ต สั่นยาวชนิดที่ว่าคงไม่เปิดดูคงไม่ได้ ไครีบสั่งอัดภาพทั้งหมดก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ไปยังตำแหน่งที่มีโทรศัพท์อยู่ หยิบมันขึ้นมาปลดล็อคและวาดยิ้มบางๆ บนใบหน้าคมเข้ม เจ้าตัวแสบเริ่มงอแงและก่อกวนเขาอีกครั้งหลังจากชายหนุ่มเอ็ดไปเมื่อวาน
Lunhan w. : พี่ไค
Lunhan w. : พี่ไคทำอะไรอยู่
Lunhan w. : พี่ไคครับ
Lunhan w. : คิมไค
Lunhan w. : หิวข้าวอะ
Lunhan w. : พี่ไค !
Luhnan w. : จะไม่ตอบใช่ไหม !
Lunhan w. : จะไม่ตอบจริงๆ ใช่ไหม !
Lunhan w. : จำไว้เลย !
KIMKAI : ฮะๆ อย่างอแงสิครับ อย่าลืมทานข้าวนะ
ไคหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับความน่ารักที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ เป็นแบบนี้ทุกทีนั่นล่ะเวลาเขาหลุดคำว่าดื้อหรืองอแงออกไปเมื่อไร อีกฝ่ายจะตัดบทและหนีหายไปให้เขานึกเป็นห่วง ลู่หนานเป็นแบบนี้เสมอ ขยันเหลือเกินที่จะทำตัวให้ขัดกับปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้ คนมงคนแมนอะไร ไคไม่เห็นว่ามันจะจริงเลยแม้แต่น้อย
---
“ ป๊า ทำอะไรอยู่อะ ”
“ หืม ? ป๊าดูสตอรี่บอร์ดของลูกน้องอยู่ พอดีว่าเมื่อบ่ายเพิ่งนำเสนอกันไป คุยๆ กับบอร์ดใหญ่แล้วเขาก็เห็นว่าน่าจะทำโฆษณาใหม่กัน ”
“ ป๊าเพิ่งทำไปไม่ใช่หรือครับ ทำไมรีบทำใหม่เสียล่ะ ”
“ ไอ้ที่เพิ่งทำไปนั่นมันล้าสมัยแล้ว อีกอย่างป๊าว่าทำใหม่ก็ดีเหมือนกัน บริษัทเราจะได้มีลูกค้ามากขึ้น ”
“ โธ่ป๊า เขาใช้บริการเราแทบจะทั้งโลกแล้วกระมัง ไม่ต้องลำบากหาแล้ว เดือดร้อนแถมยังเปลืองเงินเปล่า ”
“ เราแลกเงินกับบริการที่มีประสิทธิภาพก็ดีแล้วนี่ ป๊าต้องไปจ้างช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายโฆษณาให้ เพราะป๊าอยากให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทเราคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพวกเขาเสมอ ”
“ ลึกล้ำเกินไปอะป๊า ไม่เข้าใจ ”
ส่ายหัวดิกพลางล้มตัวลงนอนบนตักม๊าที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ มือเล็กยกสมาร์ทโฟนคู่ใจขึ้นมากดเข้าแอปพลิเคชั่นนู่นนี่นั่นไปเรื่อยเปื่อย ช่วงเวลาหัวค่ำคือช่วงที่เขาว่างเสียจนไม่รู้ว่าจะจับจ่ายเวลาไปกับอะไร พี่คริสก็ไม่อยู่ให้เล่นด้วย รายนั้นกว่าจะกลับมาก็อีกพักใหญ่ เรียนบ้าเรียนบออะไรไม่รู้ที่แวนคูเวอร์
“ สักวันถ้าแกเป็นนักธุรกิจแล้วแกจะเข้าใจ ”
“ ไม่เอา ไม่เป็นหรอก น่าปวดหัวจะตายไป เออป๊า เมื่อกี๊ป๊าบอกว่าต้องไปจ้างช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายโฆษณาให้ใช่ไหม ? ”
“ อืม ”
“ ผมมีแนะนำ สนไหม ไม่คิดค่านายหน้า ”
“ ใคร ? ไปรู้จักกันอีท่าไหน แล้วทำงานดีหรือเปล่า ”
“ เอาเป็นว่ารู้จักแล้วกันป๊า ลองไปดูงานก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไป โอเค ห้ามปฏิเสธ ”
มัดมือชกบิดาเสร็จก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หางานเพิ่มให้พี่ไคได้แล้ว คราวนี้ล่ะเขาก็มีโอกาสไปป่วนไปแกล้งอีกฝ่ายได้โดยไม่โดนบ่นสักแอะ น่าแปลกใจที่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้เขาอยากไปหาร่างสูงบ่อยๆ ลู่หนานรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถ่ายรูป แม้จะถูกพี่ไคเอ็ดบ่นอยู่บ่อยครั้งว่าใช้ฟิล์มโพลารอยด์เปลืองก็ตามทีเถอะ เหอะ ลืมไปแล้วหรือไงว่านี่ใคร อู๋ ลู่หนานเลยนะ ใช้เยอะแค่ไหนเดี๋ยวซื้อใหม่คืนให้เป็นสิบก็ยังได้ !
เช้าวันรุ่งขึ้นลู่หนานก็รีบพาชายผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของตัวเองโดดงานช่วงเช้าไปหาช่างภาพมือดีที่ตนได้โฆษณาเอาไว้ คิมไคตกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวแสบพาลูกค้าอาวุโสมาให้ถึงที่ ร่วมงานกับบริษัทดังๆ มาก็มาก แต่ไม่เคยเลยที่จะคิดว่ามิสเตอร์อู๋จะไว้ใจให้เขาทำงานใหญ่ขนาดนี้ คราแรกร่างสูงก็ไม่กล้ารับงานนี้หรอก เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบอะไรที่มากมายขนาดนี้ ทว่าลู่หนานก็รบเร้าบิดาของตนเองให้ไคได้งานจนได้ รายละเอียดส่วนใหญ่ถูกคุยกันคร่าวๆ ให้เข้าใจตรงกัน ณ ที่ตรงนั้นทันที เจ้าตัวแสบจอมบงการอยู่เบื้องหลังระริกระรี้ พอส่งผู้เป็นพ่อกลับบริษัทเรียบร้อยแล้วตนก็เล่นซนเสียจนคิมไคเหนื่อยจะเอ็ด
ช่างภาพตัวคนเดียวกับงานมหาโหดเช่นนี้พูดเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติโฆษณาระดับนี้ต้องมีทีมงานมากกว่าสามคนขึ้นไปทั้งนั้น ไหนจะจัดองค์ประกอบ ไหนจะต้องจัดไฟ แต่เรื่องนี้คุณหยางเซิงบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเพราะไคอยู่ในฝ่ายถ่ายภาพนิ่งเท่านั้น การทำงานในสตูดิโอนอกสถานที่จึงเริ่มต้นขึ้นไม่กี่วันหลังจากนั้น ทางบริษัทมีทีมงานมาให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นคนยกไฟ หรือช่วยเซ็ตฉากให้ตรงกับความต้องการของช่างภาพที่สอดคล้องกับตัวนายจ้าง งานที่ดูเหมือนว่าจะหนักจึงเบาลงไปมากโข ทว่าตัวแสบก็ยังคงป่วนให้อะไรต่อมิอะไรมันยุ่งยาก ลู่หนานมาหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ไปช่วยขนนู่นขนนี่จากสตูพร้อมกับเสียงบ่นว่ายากว่าลำบากตลอดทาง
ไม่คิดถือสาเพราะปกติลู่หนานก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนน้องก็ยังคงทำพฤติกรรมทุกอย่างเหมือนดั่งที่เจอกันในวันแรก ปัจจัยดังกล่าวนั้นทำให้ไคเริ่มมั่นใจว่าเขาไม่ได้ชอบร่างเล็กอีกต่อไป เพราะความรู้สึกดังกล่าวนั้นมันขยับขยายกลายเป็นคำว่ารักและอยากดูแลเสียแล้ว
กล้องโพลารอยด์ กล้องฟิล์ม กล้องDSLR เรียกได้ว่าขนมาแทบจะหมดตู้ สตูดิโอขนาดใหญ่เทียบเท่าทั้งแกลเลอรี่ของไคคือสถานที่การทำงานในวันนี้ จงอินเองขอติดสอยห้อยตามมาเป็นนายเสบียงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวกลับไปก่อนเพราะคุณพ่อโทรตามไปทานข้าวนอกบ้าน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไค เขาไม่ถือว่าตัวเองเป็นลูกรักของโรนัลด์ ทั้งยังแยกตัวออกจากตระกูลนั้นโดยไม่หวนคืนเข้าไปอีก แม้หลายต่อหลายครั้งแม่จะมาหาเขาถึงแกลเลอรี่ มาขอร้องให้เขากลับไปอยู่ในบ้าน แต่ไม่ ชายหนุ่มมีบ้านหลังเดียวเท่านั้น และตอนนี้มันอยู่ที่เกาหลี
“ พี่ไค เอากล้องฟิล์มไปเล่นได้ไหมอะ ”
โอเค กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน ลู่หนานตัวแสบหาของเล่นใหม่ได้แล้ว
“ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลยหรือไงเราน่ะ หืม ”
แม้ดวงตาจะยังจดจ่ออยู่กับช่องมองเลนส์ ร่างสูงก็ยังมีกะใจตอบน้อง เมื่อครู่นี้ยังเล่นโพลารอยด์อยู่เลย ไหงคนตัวเล็กเขาจับกล้องฟิล์มตัวใหญ่ไปเสียแล้วล่ะ
“ ตกลงเล่นได้ไหม ”
เสียงเขียวมาเชียว
“ ตามใจแล้วกัน ” ตัดปัญหาเพื่อไม่ให้งานล่าช้า “ แต่อย่าไปซนนะลู่หนาน ” กำชับทิ้งท้ายแต่ไม่ได้หวังว่ามันจะได้ผล ดื้อขนาดนี้พูดไปอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ถ้าเปรียบเป็นเด็กเล็กๆ ก็ต้องฟาดให้จำกันไปข้าง
“ รู้แล้วล่ะน่า ! ”
กระโดดเหมือนกระต่ายตื่นเมืองไปทั่ว ลั่นชัตเตอร์ทางซ้ายที ขวาที เรียกรอยยิ้มจากพวกพี่ๆ ที่มารอเป็นแบบถ่ายภาพให้ ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงไคมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดนู่นจัดนี่จนลืมไปว่าในห้องนี้นอกจากเขา ทีมงาน พนักงาน แล้วยังมีน้องอยู่ด้วยอีกคน บรรยากาศการทำงานกดดันขึ้นทุกวินาที ไฟบางดวงมีปัญหา ต้องลำบากวิ่งยืมจากสตูข้างๆ กันให้วุ่นวายไปหมด แถมสภาพอากาศภายในยังร้อนอบอ้าว ทำให้อารมณ์ของมนุษย์ตาน้ำข้าวไม่ปกตินัก หากแต่ท้ายสุดแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไคได้รับคำชื่นชมจากทีมงานภายในและผู้จัดการแผนกที่ลงมาคุมงาน ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจตลอดการเดินทางนำไฟล์ภาพกลับไปแก้ไขยังสตูดิโอของตัวเอง แน่นอนล่ะว่าอู๋ลู่หนานที่ถูกลืมขอติดสอยห้อยตามมาด้วย เพราะเหตุผลที่ว่าเจ้าตัวอยากมายืมใช้ห้องมืดล้างรูป ก็ไม่รู้หรอกว่าไปหาข้อมูลมาจากไหน แต่น้องออกปากขนาดนี้เขาเองก็ไม่กล้าขัด ไหนๆ ถ้าคนตัวเล็กไม่ได้ล้างเองร่างสูงก็ต้องล้างให้อยู่แล้ว เด็กๆ คงภูมิใจกว่าถ้าได้ทำอะไรด้วยตัวเอง
ไคไม่ได้เปิดแกลเลอรี่แม้นี่จะเพิ่งเป็นเวลาเพียงบ่ายสามโมงกว่าๆ เท่านั้น เขามีงานที่ต้องส่งให้ถึงมือลูกค้าด่วนจึงไม่ว่างลงมารับแขก ส่วนลู่หนานก็คงจะซนในห้องมืดอยู่นาน การไม่เพิ่มภาระให้ตัวเองคงจะดีเสียกว่า บรรดากล้องที่อยู่ในกล่องกันความชื้นถูกลำเลียงเข้าไปยังตู้เก็บของมันด้วยสองแรงแข็งขันของคนพี่และคนน้อง ร่างสูงจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศ ระบบไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในออฟฟิศ ระหว่างรอให้ความเย็นแผ่กระจายทั่วห้อง คิมไคก็จัดการพาลู่หนานเข้าไปยังห้องมืดที่อีกฝ่ายต้องการจะใช้งาน ขั้นตอนการล้างภาพแบบอนาล็อกโบราณค่อนข้างยาก มือใหม่แบบน้องไม่รู้ว่าจะทำภาพเสียหรือเปล่า เขาจึงทำหน้าที่ดึงปลายฟิล์ม โหลดฟิล์มใส่รีลพร้อมทั้งบรรจุใส่แทงค์ให้ภายในห้องมืดสนิท ตากล้องอย่างเขาชินแล้วกับความมืดระดับนี้ จำได้ว่าสมัยเรียนมันรู้สึกแย่เสมือนกับว่าเราตาบอด นักศึกษาบางส่วนก็ตื่นกลัว บางส่วนก็ตื่นเต้น แต่สำหรับเขาขอเป็นบางส่วนที่เหยียบเรือสองแคมก็แล้วกัน กลัวก็กลัวไม่สุด ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นไม่สุด
มือเล็กจับปลายเสื้อของคนตัวโตเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปไหน ไครู้ว่าน้องกลัวจึงรีบทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้เร็วที่สุด น้ำยาเคมีที่จำเป็นต้องใช้ทั้งสามชนิดก็มีอยู่แล้วไม่ต้องผสมใหม่ ทำให้ระยะเวลาในการอยู่ในห้องมืดสนิทที่แสนน่าอึดอัดนี้ถูกร่นลงไปอีก มีใครเคยบอกคุณไหมล่ะว่าหลังจากเราแช่น้ำยาโฟโต้โฟลเสร็จแล้วเรายังต้องมีการนำฟิล์มออกมาล้าง เช็ดให้สะอาด และตากให้แห้งอีก มันซับซ้อน ยากเย็น แต่ก็คลาสสิกจนช่างภาพหลายต่อหลายคนอดหลงใหลไม่ได้ แน่นอนล่ะว่าสำหรับลู่หนาน น้องไม่ใช่ช่างภาพ รายนั้นบ่นยาวเลยพอรู้ว่าต้องรอฟิล์มแห้งอีกพักใหญ่
การรอคอยคุ้มค่าเสมอ เมื่อหนึ่งชั่วโมงผ่านไปบรรดาฟิล์มก็แห้งตามใจร่างเล็ก อีกครั้งที่หน้าที่อัดภาพด้วยเครื่องต้องเป็นของไคไปโดยปริยาย แต่อย่างไรก็ตามน้องเป็นคนเลือกรูป เขาไม่มีสิทธิ์ได้เห็นหรอก เจ้าตัวขู่ฟ่อๆ เหมือนลูกแมวว่ายังไงก็ให้เขาเห็นไม่ได้ หลังจากปรับแสงจับเวลาเรียบร้อยแล้วอาศัยมองแค่ลางๆ ยังไม่ทันได้รู้ว่ามันคืออะไร ครั้นพอกระดาษอัดภาพมีรายละเอียดที่ชัดเจนแล้วก็ต้องรีบโยนมันลงในน้ำยาสร้างภาพ น้ำยาหยุดภาพ และน้ำยาคงสภาพ สามขั้นตอนเกือบสุดท้ายนั้นลู่หนานรับขันอาสาทำมันด้วยตัวเอง
หลังจากอัดภาพให้เสร็จพี่ไคก็ไร้ค่า ร่างเล็กบอกเสียงหนักแน่นว่าหน้าที่ตรงนี้จะทำต่อเอง ทั้งการล้างน้ำยาด้วยน้ำสะอาด การผึ่งภาพให้แห้ง และการตากภาพ คนอายุมากไม่ลืมจะกำชับเรื่องความปลอดภัยในการใช้เวลาอยู่ภายในห้องมืดเช่นนี้ เซฟไลท์ให้ความสว่างมากพอที่จะมองเห็นทุกอย่างก็จริง แต่ไม่มีใครรับประกันว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น น้ำยาล้างภาพนี่ล่ะที่เป็นตัวดี หกรดใส่หน้าใส่ตามีหวังได้บอดกันไปข้าง ไคไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับลู่หนาน แค่คิดเขาก็ยังไม่อยากจะคิดเลย
“ ระวังนะ เอาลงน้ำยาให้ใช้คีมคีบขึ้นมา ห้ามใช้มือสัมผัสโดยตรงเด็ดขาดไม่ว่าจะกรณีไหน พี่จะออกไปย้ายไฟล์เข้าคอมพ์ก่อน ครู่เดียว อย่าซนนะ ”
“ บลาบลาบลา ผมรู้แล้วน่ะ พี่ไม่ต้องสั่งหรอก ไปนะไป ไปเลย บ้ายบาย ”
อยากจะดึงแก้มนิ่มๆ นั้นสักที หากแต่ชายหนุ่มก็ทำเพียงแค่ตีหน้านิ่งใส่น้อง ช่วงขายาวพาตัวเองออกมาจากห้องมืดพร้อมทั้งหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานมีล้อ ส่วนมากภาพที่ถ่ายมาในวันนี้ไม่มีอะไรต้องตกแต่ง แสงไฟ องค์ประกอบอะไรต่อมิอะไรก็ดีเสียจนช่างภาพอย่างเขาทำเพียงแค่คัดรูป ไรท์ใส่แผ่นให้นายจ้างควบตำแหน่งบิดาของลู่หนานเท่านั้น เมื่อเห็นว่าภายในห้องมืดเงียบและเหมือนจะปกติดีชายหนุ่มก็เผลอนำเอางานที่คั่งค้างออกมาทำเสียให้มันเสร็จๆ ไปเป็นอย่างๆ แย่หน่อยที่งานถ่ายรูปผลิตภัณฑ์อีกตัวต้องประโคมแสงผ่านโปรแกรมเข้าไปมาก เพราะแสงธรรมชาติไม่พอ เขาลองเช็คงานซ้ำๆ แล้วก็ยังไม่ได้อย่างใจ กำลังจะเพิ่มแสงเข้าไปอีกสักสองสามเปอร์เซ็นหากแต่เสียงโครมครามภายในห้องมืดก็ทำให้เขาทิ้งทุกอย่างตรงหน้า คิมไคสับเท้ายาวๆ ด้วยความร้อนใจเข้าไปดูว่าภายในเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นคือถาดใส่น้ำยาทั้งสามถาดกับสารเคมีในรูปของเหลวกระจัดกระจายอยู่บนพื้น รวมถึงคนน่ารักนั่งขาพับกองอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกันกับเจ้าของสองอย่างนั้น ลู่หนานกดคางลงต่ำ ทำท่าจะยื่นมือไปหยิบภาพที่หน้าคว่ำอยู่ในกองน้ำยาโดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นกระชากสติของคนเป็นพี่ให้ขาดผึง ทั้งที่บอก ทั้งที่เตือนแล้ว ย้ำซ้ำๆ ว่าอย่าไปสัมผัสมัน แต่น้องก็ยังฝ่าฝืนทำโดยไม่คิดถึงผลกระทบที่ตามมาเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่คว้ากระชากร่างเล็กให้ยืนขึ้นด้วยความโมโหร้าย พร้อมทั้งตวาดใส่ไปเช่นคนไร้สติ
“ อู๋ ลู่หนาน !!!! พี่พูดกับนายว่าอะไร !!! ”
“ … ”
ไม่รู้ว่าจะอาลัยอาวรณ์อะไรหนักหนากับอีแค่รูปถ่ายใบเดียว ไคไม่เข้าใจ มันสำคัญกว่าความปลอดภัยของน้องหรืออย่างไร
“ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเอามือไปสัมผัสน้ำยาโดยตรง ทำไมไม่เชื่อฟังพี่ !! ”
ขาดสติฉุดรั้ง ยั้งความชั่งใจ มือใหญ่บีบต้นแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่คิดจะปรานี ยิ่งเห็นว่าน้องไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสู้รบปรบมือกันเหมือนเคยก็ยิ่งโมโหร้าย เพิ่มแรงกดให้ลู่หนานต้องเบ้หน้า
“ ลู่หนาน !! พี่พูดกับนายอยู่นะ !! ”
“ แต่นั่นมันรูปที่ผมตั้งใจถ่าย ผมจะไม่ให้มันเสีย !! ”
น้องสะบัดตัวออกจากพันธนาการ โน้มร่างลงไปทำท่าจะเก็บภาพดังกล่าวนั้นขึ้นมาใส่ถาดน้ำสะอาด แต่ก็โดนขัดขวางโดยมือใหญ่คู่เดิม ครานี้ไคไม่หยุดที่แขนแน่ เด็กดื้อไม่เชื่อฟังต้องถูกลงโทษ เขาบีบคางน้องด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่ล็อคเอวเอาไว้ ริมฝีปากร้อนป้อนทาบจุมพิตจาบจ้วงลงไปโดยไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เกลียวลิ้นสอดแทรกเกี่ยวกระหวัดช่วงชิงความหวานล้ำนำกลับมาเป็นของตน กวาดต้อนให้คนตัวเล็กจนมุม ไร้ทางหนี เขาตะกละตะกราม หิวกระหาย ไม่รู้จักพอ ตักตวงทุกรสสัมผัสซ่อนเร้นและลิ้มลองมันราวกับเป็นอาหารรสเลิศ ทุกพฤติกรรมดิบเถื่อนเป็นกระจกสะท้อนสภาพอารมณ์ของร่างสูง เขาโมโหเพราะลู่หนานไม่คิดจะเชื่อฟังหรือนำพาคำสอนใดๆ ไปใช้ ทั้งที่มันขึ้นอยู่กับอันตรายที่อาจจะเป็นภัยคุกคามได้ ไคห่วงน้องยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น เรื่องภาพถ่ายจะเสียหายนั่นช่างหัว มันไม่คุ้มกันเลยหากน้องจะต้องเป็นอะไรขึ้นมา
“ อย่าทำแบบนี้อีก รู้ไหมพี่เป็นห่วงเราแทบแย่ ”
“ … ”
จะมุดอกก็ไม่ใช่ จะก้มหน้าก็ไม่เชิง รู้แค่ว่าตอนนี้ลู่หนานไม่ได้มองตาคนตัวสูงกว่าอยู่ก็พอ
“ น้ำยาพวกนั้นมันอันตราย เกิดเราเป็นอะไรขึ้นมาเมื่อไร พี่จะเอาหน้าที่ไหนไปบอกคุณอู๋ ”
ก็หวัง ( ลมๆ แล้งๆ ) ว่าจะเอาลูกเขามาดูแล ถ้าทำพังตั้งแต่ตอนนี้คงแย่ไปหมด ปลายนิ้วเรียวแตะเบาๆ ที่ข้างพวงแก้มนิ่ม เชยใบหน้าหวานให้เชิดเงยขึ้นมาสบตากันกับเขา สิ่งเดียวที่ไคเห็นคือน้องน้ำตาคลอและแววตาตัดพ้อน้อยใจ สองอย่างที่ไม่เคยได้เห็นและไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าลู่หนานจะมีอารมณ์เช่นนี้ ภายนอกอาจจะดูแข็งแรง แข็งแกร่ง ขี้ดื้อขนาดไหน สุดท้ายแล้วภายในช่างแตกต่างจากสิ่งที่มองเห็น
“ อย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก พี่ขอ ไม่เห็นแก่ตัวเราเองก็เห็นแก่ใจคนที่ห่วงเราหน่อยนะคนดี ”
“ … ”
“ กลับบ้านเถอะ พี่ว่ามันเย็นแล้ว เดี๋ยวไปส่งนะ ”
ขืนปล่อยให้น้องอยู่ที่นี่เขาคงทำอะไรมากกว่านี้แน่ ไคจึงตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในสภาพนั้น แล้วตัวเองก็ลากน้องออกมาจากสตู ลั่นกลอนประตูทั้งหน้าทั้งหลังเรียบร้อย พาน้องขึ้นแวงเลอร์คู่ใจ คาดเบลท์ให้แถมยังเปิดแอร์แทนการเปิดกระจก ร่างเล็กเสี่ยงเหลือเกินกับการอยู่กับผู้ชายคนนี้ ยิ่งนานวันอันตรายที่เคยหลับใหลในตัวคิมไคมันยิ่งถูกปลุกให้ตื่น แรกเพียงแค่สัมผัสเนื้อต้องตัว หากแต่เมื่อครู่นี้มันข้ามขั้นไปถึงการจูบจาบจ้วง น้องคงไม่พอใจอยู่ไม่น้อยจึงปิดปากเงียบตลอดการเดินทาง บรรยากาศภายในรถเสมือนกับว่ามีกำแพงอิฐหนาๆ กั้นบุคคลทั้งสองเอาไว้ให้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในห้วงความคิดของไคเต็มไปด้วยความกังวลใจกับการกระทำขาดสติของตนเอง ส่วนลู่หนานนั้นก็เหมือนกับว่าถูกล้างสมอง มันขาว มันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าต้องคิดอะไร
สภาพการจราจรแย่ๆ ก็ช่างเป็นใจ บรรยากาศภายในทวีความอึดอัดมากยิ่งขึ้น มือใหญ่กำกรอบพวงมาลัยแน่น ฟันคมกัดริมฝีปากล่างของตนเองจนแทบห้อเลือด ภาวนาให้ไฟแดงหายไปทุกสี่แยกแต่แท้จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ครั้นพอเสหน้าหันหาน้องหัวใจก็บีบรัดจนปวดหนึบไปหมด ดวงตากลมโตคู่นั้นยังคลอน้ำ ทอดมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกราวกับมันน่าพิสมัยอะไรมากนัก ไคอยากรับน้องเข้ามาไว้ในอ้อมกอด อยากปลอบ อยากขอโทษที่ตวาดใส่ ขอโทษที่โวยวายไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
แน่นอนว่านั่นเป็นความคิดของชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากหลุดไฟแดงเข้าสู่เขตหมู่บ้านทั้งคู่ก็ยังคงไม่พูดไม่จากันอยู่เหมือนเดิม ร่างสูงบังคับแวงเลอร์คู่ใจของตนเทียบท่า หยุดล้อตรงหน้าประตูรั้วขนาดใหญ่ ถอนลมหายใจและทอดสายตามองไปรอบๆ หลีกเลี่ยงการจ้องหน้าน้องให้มากที่สุด
“ … ”
“ … ”
“ พี่ทำแบบนั้นทำไม... ”
คนทลายกำแพงครั้งนี้คือลู่หนานที่ปิดปากเงียบมาตลอดการเดินทาง เขาไม่ได้ไม่อยากพูด แค่กำลังคิดอยู่ว่าต้องเรียบเรียงประโยคออกมาอย่างไรให้มันดูดีเท่านั้น
“ … ”
“ พี่ไคทำแบบนั้นกับผมทำไม ”
เมื่อน้องถามคำถาม หน้าที่ของเขาจึงกลายเป็นคนตอบไปโดยปริยาย ไครู้ว่าหลังจากนี้ทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดบังความรู้สึกที่มีต่อลู่หนานเอาไว้ ร่างสูงปลดสายเข็มขัดนิรภัย โน้มกายเข้าใกล้จนลมหายใจของทั้งคู่เป่ารดปลายจมูกของกันและกัน ปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติของน้องคือการหดคอหนี ดวงเนตรกลมโตกลิ้งกลอกเลิ่กลั่ก
“ พี่ว่าเราก็น่าจะรู้คำตอบนะครับ ”
“ ผมไม่... ”
“ ชู่ว พี่ให้เวลาเราไปคิดนะ แล้วไว้ถ้าพร้อมกว่านี้สักหน่อย เราก็คงต้องคุยเรื่องของเราอย่างจริงจังกันเสียที ”
พูดจบประตูข้างผู้โดยสารก็ถูกเปิดออกโดยฝีมือของออสตินคนขับรถของทางบ้าน โชคดีที่ไคผละกายออกมาทันตนจึงไม่มีกระสุนปืนชนิดใดมาประดับไว้ในหัวสมอง น้องไม่มีแม้แต่โอกาสโต้แย้งอะไร เพราะหลังจากชายวัยกลางคนดังกล่าวแทบจะอุ้มเอาร่างเล็กออกไปจากห้องโดยสารเรียบร้อยแล้ว ออสตินก็จัดการปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย ไคขยับกระปุกเกียร์เล็กน้อย ก่อนจะกดคันเร่งให้แวงเลอร์ลูกรักทะยานออกไปจากหมู่บ้านอันใหญ่โตแห่งนี้ด้วยสภาพจิตใจที่ฟื้นตัวขึ้นมากหากเทียบกับตอนที่มาส่ง เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย หากระยะเวลาหลายเดือนที่เราใกล้กันมันไม่ได้ทำให้หัวใจดวงนั้นหวั่นไหวเลยล่ะก็ คิมไคพร้อมจะถอยออกไปให้ห่าง ไม่ให้รกหรือรำคาญตาน้องอีกต่อไป
ร่างสูงกลับมาถึงสตูดิโอกึ่งแกลเลอรี่ของตัวเองสองชั่วโมงหลังจากนั้น ด้วยเพราะไปพิรี้พิไรกับการซื้อของเข้าตู้เย็นไปเสียมาก กว่าจะรู้ตัวว่าทำงานทิ้งไว้ของสดก็เต็มรถเข็นเสียแล้ว บิลค่าไฟฟ้าเดือนนี้คงขึ้นอื้อ ทั้งแอร์ ทั้งไฟ ทั้งคอมพิวเตอร์ ไม่น่ารีบร้อนอะไรขนาดนั้นเลยจริงๆ เขาวางบรรดาถุงพลาสติกลงบนโต๊ะตัวยาวที่ว่างอยู่ พาเรือนกายสูงใหญ่เข้าไปยังห้องมืดที่ถูกเปิดเซฟไลท์ทิ้งเอาไว้ คว้าเอาไม้ถูพื้นมาซับน้ำยาที่หกกระจายเป็นวงให้แห้งก่อนจะเก็บเศษซากโศกนาฏกรรมที่น้องทำเอาไว้ และตอนนั้นเองที่ไคสังเกตเห็นภาพถ่ายหนึ่งใบที่คว่ำหน้าอยู่บนพื้น คีมคีบขนาดใหญ่ถูกใช้หยิบจับแทนมือทั้งสองข้าง เขาพบว่ามันไม่ได้เสียหายจึงหย่อนลงในน้ำสะอาดสำหรับชะล้าง เพื่อนำขึ้นมาผึ่งเหมือนกับภาพใบอื่นๆ
ไม่รู้ว่าจะตกใจ ประหลาดใจ ดีใจ หรือจะอะไรดี เมื่อดวงตาสีนิลเหลือบไปเห็นเหล่าบรรดาภาพถ่ายที่แห้งแล้วถูกหนีบไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และทั้งหมดนั้นมันเป็นภาพคิมไคคนนี้ที่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเช็คกล้อง คุยรายละเอียดกับพวกทีมงาน หรือแม้แต่ยืนทำหน้านิ่ง
โอเค เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วล่ะว่าตัวเองไม่ได้คิดไปคนเดียว
---
“ พี่ไค ! ผมต้องการความชัดเจน ! ”
สามวันเต็มๆ ที่ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอหน้ากัน คราวนี้มันนานเสียจนลู่หนานทนไม่ได้ ก่อนเกิดเรื่องเคยห่างกันเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่นี่มันไม่ใช่ เมื่อพี่ไคมาจูบเขาแล้วทิ้งให้หาคำตอบคนเดียว ! มือเล็กฟาดลงบนเคาน์เตอร์สีขาวสะอาดอย่างไม่กลัวเจ็บ ใบหน้าน่ารักบูดบึ้งเหมือนวันแรก คนพี่เงยหน้ามองคนน้องอย่างไม่เข้าใจนัก ทั้งๆ ที่ภายใต้หน้ากากแห่งความเรียบเฉยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ ครับ ? ”
“ ผมต้องการความชัดเจน ! ไม่ได้ยินหรอ ”
โอเค เริ่มเสียงดังไปแล้ว ไคส่ายหน้าน้อยๆ นำป้าย ‘ เซ็นชื่อก่อนเข้าชม ’ วางเอาไว้บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะพาตนเองขึ้นไปยังพื้นที่ชั้นสอง โดยไม่หันมองร่างเล็กที่กำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ด้านหลัง ลู่หนานไม่ลดละ เรียวขาทั้งสองข้างเดินตามพี่ชายเพื่อนสนิทไปติดๆ หมายว่าวันนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่งั้นไม่กลับ นอนสตูนี่แหละ
“ พี่ไค ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ”
พอถึงด้านบนแล้วเสียงดังได้เต็มที่ สงครามน้ำลาย ( ฝ่ายเดียว ) ของลู่หนานจึงเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ร่างสูงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ ก้มหน้าก้มตาเช็คข้อมูลลูกค้าอย่างขยันขันแข็ง พลิกปึกกระดาษในมือพลางป้ายไฮไลท์ไปด้วย การเมินเฉยของไคนั้นทำให้อีกฝ่ายทวีคูณความโกรธ หากนี่อยู่ในการ์ตูน ก็จะเป็นอีกครั้งที่ตัวเอกของเรามีควันออกหู
“ ผมพูดกับพี่อยู่นะคิมไค ย๊า ! ”
“ มีอะไรครับ ? ”
ยอมวางมือเมื่อเห็นว่าน้องคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ยกท่อนแขนขึ้นกอดอกทั้งสองข้าง
“ ผมไม่ได้โง่นะ ผมรู้ว่าผมชอบพี่ แล้วพี่ก็ชอบผมด้วย ”
ใช่ อย่างที่เขาบอกไป ลู่หนานไม่ได้โง่ ความจริงแล้วการกระทำของพี่ไคมันก็ไม่ใช่วิสัยของพี่เขาต้องแต่แรก จงอินเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนไม่สนใจอะไรเท่าไร ยิ่งกับพวกคนทั่วๆ ไปยิ่งแล้วใหญ่ พ่อคุณเขาไม่แม้แต่จะเสียเวลาปรายตามอง ความเอาใจใส่ก็ถือว่าติดลบเลยก็ว่าได้ ส่วนรอยยิ้มนั้นไม่ต้องพูดถึง กับลูกค้าคนสำคัญพี่ไคยังไม่ลงทุนบริหารกล้ามเนื้อให้เมื่อยหน้า น้องชายอย่างจงอินอยู่ด้วยกันมาสิบเจ็ดปี ยังนับครั้งได้เลยคุณเชื่อไหม โอเค ตอนแรกลู่หนานก็ไม่ได้สนใจมันหรอก คิดว่าพี่เขาคงอยากแกล้งตามประสาช่างภาพที่ขาดความรักจากญาติมิตร ทว่ามันเริ่มไม่ปกติก็ตอนที่อีกฝ่ายเริ่มมีอิทธิพลกับหัวใจเขามากขึ้น จากตอนแรกก็คิดว่ามันจะค่อยเป็นค่อยไป หากแต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็พลิกผันข้ามขั้นไปไกลแล้ว สิบเจ็ดปีของลู่หนานกับจูบแรก มันไม่แมนเอาเสียเลยหากเราทั้งสองฝ่ายยังคงเมินเฉย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้
มันไม่แมน มันไม่ใช่สไตล์ของอู๋ ลู่หนาน !!
“ แล้วเราจะเอายังไง หืม ? ”
ร่างเล็กเม้มปาก แสดงแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นออกมา “ พี่ต้องมาเป็นแฟนกับผม ” ข้อเสนอนี้แฟร์สุดๆ ( แน่นอนว่าลู่หนานคิดไปเองฝ่ายเดียว )
“ หืม ? ”
“ ไม่ต้องกังวลไปนะ พี่คนเดียวผมเลี้ยงได้อยู่แล้ว พี่บอกมาเลยดีกว่าว่าพี่อยากได้อะไร บ้าน รถ เครื่องบิน ยานอวกาศ ดาวเทียม ถ้าผมหามาให้ได้ ผมจะหามาให้ ถ้าพี่ตัดสินใจเป็นสะใภ้ตระกูลอู๋เมื่อไรเลิกคิดเรื่องอดตายไปได้เลย ”
คิมไคกลั้วหัวเราะในลำคอ ยันตัวเองลุกขึ้นยืนจนสุดความสูง กวาดต้อนลูกแมวตัวน้อยให้เข้ามุมอับ ร่วมด้วยช่วยกันกับท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างที่ยกกักกางกั้นร่างเล็กเอาไว้ให้ไร้ซึ่งทางหลบหนี
“ นี่เราเข้าใจสถานะตัวเองหรือเปล่าครับตัวเล็ก ? ”
“ … ”
พวงแก้มทั้งสองข้างฉีดสีแดงเหมือนลูกตำลึงสุก ไคกดยิ้มข้างมุมปาก ผละออกมาและพาตัวเองเข้าไปยังห้องมืดอีกครั้งเพื่อนำน้ำยาเคมีขวดใหม่ไปเก็บ เดือดร้อนยันเจ้าแมวน้อยที่ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ในใจต้องตามเข้าไปโดยปริยาย ลู่หนานยืนกอดอกปั้นหน้ายักษ์ พร้อมหาเรื่องเต็มที่
“ ที่พี่พูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าไง ”
ไม่รู้ว่าวันนี้เขาหลุดหัวเราะไปกี่ครั้งแล้ว ผิดวิสัยชายหนุ่มผู้เย็นชาไปอยู่มากโข มือใหญ่จัดเรียงขวดน้ำยาเล็กใหญ่ที่ถูกแปะป้ายวันผสมและวันหมดอายุไว้เรียบร้อย ก่อนจะดันประตูตู้ปิดแผ่วเบา ตบเท้าเข้ามาหาน้องช้าๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ครั้นพอมองในสภาพไฟเซฟไลท์แล้วดูน่ากลัวชอบกล “ พี่ว่าต้องเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่านะครับ ” รู้ตัวอีกทีก็พลาดท่าให้พี่เขากอดแบบอ้อมๆ ลู่หนานช้อนตามอง ผู้ชายคนนี้ขยันทำให้เขาเข้าใจอะไรยากเก่งเสียจริงๆ “ ไม่ใช่พี่ที่จะต้องเป็นแฟนเรา แต่เราต้องเป็นแฟนพี่ พูดครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ” ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชายคงได้มีกรี๊ดอัดหน้าให้หูดับไปข้าง ใกล้เกินไปนะแบบนี้ “ เพราะถ้าพูดอีกครั้ง พี่คงต้องพาเราไปนอนคุยกัน...บนเตียง ”
นิ่งไปเลยคราวนี้ อู๋ ลู่หนานถึงกับพูดอะไรไม่ออก อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ ฝ่ามือใหญ่แตะประคองใบหน้าน่ารัก ก่อนจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากเล็กแผ่วเบาอย่างให้เกียรติอีกฝ่าย “ เป็นแฟนกันแล้วนะครับ ต่อไปนี้ดื้อกับพี่ได้คนเดียว งอแงกับพี่ได้คนเดียวนะ ” วาดยิ้มละมุนให้น้องด้วยความจริงใจ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการกดจมูกลงบนพวงแก้มนุ่มนิ่ม “ หิวข้าวหรือยังครับ หืม ? ไปทำอะไรทานกันดีกว่า พี่ไม่อยากปิดแกลเลอรี่ตอนนี้ ” รวบรัดตัดตอนเสร็จสรรพก็ยกแขนขึ้นคล้องคอน้อง พาเดินขึ้นไปบนพื้นที่ส่วนตัวที่มีห้องครัวพร้อมทำอาหาร ลู่หนานจึงต้องเดินตาม แม้จะยังครุ่นคิดเกี่ยวกับการกระทำเมื่อครู่นี้ของพี่ไค
สรุปว่าเป็นแฟนพี่เขาแล้ว....หรือ ? เอ่อ คือว่ายังไงก็ว่าตามนั้นไปแล้วกัน
ความคิดเห็น