ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DANGEROUS AREA (HUNHAN)

    ลำดับตอนที่ #43 : The spin off dangerous area : Snow in California ( Kai x Lunhan ) 2/6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 432
      1
      28 ต.ค. 58

    ไม่แก้คำผิดให้นะคะ เป็นไฟล์ต้นฉบับที่ยังคงหลงเหลืออยู่

    ค่อยๆ อ่าน ถึงแม้จะขี้เกียจอ่านมากก็ตาม

    เพราะถึงมันจะมีแต่น้ำ แต่ถ้าไม่เก็บน้ำ ก็ไม่มีเนื้อให้กินนะ

    ฮาฮา

    ตอนอื่นถ้าแต่งไป ไม่เข้าใจ ไม่ลงให้แล้วนะ !

    เตือนแล้วไงตอนเปิดจองให้ซื้อ ไม่ฟังกันเอง :P


    - - -

    Snow in California - 2/6






    หลายชั่วโมงผ่านไป ไคตกลงเรื่องราคางานและรายละเอียดกับลูกค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาผินสายตามองบนหน้าปัดนาฬิกาและพบว่าบัดนี้เป็นเวลาสี่โมงครึ่ง เขาลืมแม้กระทั่งว่าน้องนั่งอยู่ในห้องด้วยกันกับเขา แต่ครั้นพอหันไปหาแล้วก็พบว่าร่างเล็กหายไปนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์เสียแล้ว ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ปกติแกลเลอรี่นี้เขาดูแลคนเดียว ยามเข้ามาอยู่ในสตูก็จะไม่มีใครเฝ้าเคาน์เตอร์ ไม่มีใครคอยนับคนเยี่ยมชมรายวัน และไม่มีใครคอยเตือนให้คนเหล่านั้นลงชื่อก่อนเข้าชม บัดนี้น้องกลับทำหน้าที่นั้นได้อย่างดีเยี่ยม แม้ในหูทั้งสองข้างจะมีหูฟังใส่คาเอาไว้อยู่ก็ตาม

     

     

    ไคจัดการปิดเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดลง ก่อนจะคว้ากระเป๋ากล้องคู่ใจมาพาดไว้บนบ่า ไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถและกุญแจสตูดิโอติดมือมาด้วย ประตูกระจกสีชาถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มที่พาตัวเองออกไปยังพื้นที่แกลเลอรี่ แปลกดีที่แม้จะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วน้องก็ยังไม่รู้ตัว มือใหญ่แตะเบาๆ ลงบนลาดไหล่เล็ก ดึงอีกคนขึ้นมาจากภวังค์ ปลีกตัวไปตรวจดูผู้ชมที่หลงเหลืออยู่ภายในแล้วสับคัทเอาท์ของส่วนแกลเลอรี่เมื่อเห็นว่ามันว่างเปล่า

     

     

    ลู่หนานบิดขี้เกียจเล็กน้อยพร้อมทั้งเดินออกไปรอคนเป็นพี่ที่ด้านนอก ได้ยินเสียงลงล็อคของกลอนประตูหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนเจ้าของแผ่นหลังกว้างจะนำเขาไปยังลานจอดรถด้านหลังแกลเลอรี่ที่มีรถยนต์มากมายจอดเรียงรายกันเป็นทิวแถว สองขายาวก้าวเร็วๆ ไปหยุดอยู่ระหว่างรถจี๊ปแวงเลอร์และแลมโบกินีอเวนทาดอร์สีน้ำตาล ไม่คิดว่าคนติสท์ๆ อย่างคิมไคจะมีซุปเปอร์คาร์ระดับโลกอยู่ในครอบครอง สมแล้วที่เป็นช่างภาพชื่อดัง รวยแล้วยังมีรสนิยมสูงอีกด้วย...

     

     

    คันนี้

     

     

    มือใหญ่หยิบรีโมทรถยนต์มากดปลดล็อค เปิดประตูออกและโหนพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนเบาะหนังพร้อมทั้งเหวี่ยงประตูปิด ไคคว้าเซฟตี้เบลท์มาคาดเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะไขกระจกลง เบนหน้าออกไปมองลู่หนานที่ยืนค้างอยู่ที่เดิมด้วยความสงสัย

     

     

    ทำไมไม่ขึ้นรถ ?

     

     

    พี่ไม่ได้ขับอเวนทาดอร์สีน้ำตาลหรือ... ?

     

     

    ร่างสูงเลิกคิ้วมอง เสียบกุญแจรถพร้อมทั้งสตาร์ทเครื่อง แล้วตอนนี้พี่นั่งอยู่ที่ไหนล่ะ

     

     

    “ … ”

     

     

    ร่างเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินอ้อมรถจี๊ปคันโตมาหยุดอยู่ที่ด้านขวา ค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงแฮนด์เดิลออกมาช้าๆ กราดสายตามองความสูงระหว่างพื้นถึงตัวรถแล้วก็อ้าปากค้าง เกิดมาสิบเจ็ดปียังไม่เคยปีนขึ้นรถเลยสักครั้ง รถประจำทางก็ไม่เคยได้นั่ง ส่วนรถที่บ้านเขาก็ล้วนแล้วแต่ต้องก้มตัวเข้าไปทั้งนั้น แล้วนี่อะไร ? ต้องโหนต้องปีนแบบพี่ไคน่ะหรือ ?

     

     

    ยืนทำอะไรอยู่

     

     

    ขึ้นยังไงเล่า ! ”

     

     

    ก็ทำแบบที่พี่ทำ

     

     

    ทำไม่เป็น ! ”

     

     

    ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องไป

     

     

    ผมจะไป ! ”

     

     

    ไปก็ต้องขึ้นมาให้ได้ แล้วอย่าหวังนะว่าพี่จะลงไปอุ้มช่วยเราขึ้นมา ไฮสคูลปีสองแล้วนะลู่หนาน ทำอะไรเองบ้างสิครับเด็กน้อย

     

     

    “ …..!!!! ” ตั้งท่าจะอ้าปากโวยวาย หากแต่ยังไม่ทันหลุดประโยคอะไรไปเสียงทุ้มๆ ของพี่ชายเพื่อนสนิทก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

     

     

    อย่างอแงนะเรา

     

     

    ลู่หนานฉลาดพอจะรู้ว่าพี่ไคทำจริงแน่ เขาจึงกักเก็บความไม่พอใจเอาไว้ก่อน ร่างเล็กใช้มือข้างหนึ่งจับคานหลังคาเอาไว้ พยายามเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนรถแบบเก้ๆ กังๆ ได้แต่ก็เกือบตกแหล่ ไม่ตกแหล่ ปกติจี๊ปล้อเล็กๆ ก็ว่าปีนลำบากแล้ว นี่พี่ไคเล่นไปเปลี่ยนล้อใหม่ให้มันใหญ่ขึ้น เดาว่าคงจะเป็นเพราะปัจจัยการเดินทางไกล ไม่คิดจะสงสารแฟนหรือน้องนุ่งบ้างหรืออย่างไรกัน !

     

     

    ปิดประตูด้วยนะ

     

     

    พอขึ้นมาได้ก็เชิดหน้าขึ้นสูง ดึงประตูปิดเสียงดังโครมใหญ่จนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกไปเสียก่อน สองแขนเล็กยกขึ้นกอดอก ลู่หนานนั่งเฉยส่วนพี่ไคก็ไม่ยอมออกรถ ต่างคนต่างเงียบจนน้องทนไม่ไหวต้องสะบัดหน้ากลับมามองคนพี่ด้วยความไม่เข้าใจ

     

     

    ทำไมไม่ไป ! ”

     

     

    เรายังไม่ได้คาดเบลท์

     

     

    ฮึดฮัดฟึดฟัดแต่ก็ยอมดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามที่อีกฝ่ายต้องการ ลู่หนานเห็นพี่ไคไขกระจกลงคาเอาไว้แล้วก็นึกสงสัย หากแต่ไม่ได้ถามออกไปเพราะคิดว่ามันไม่เหมาะไม่ควร รถจี๊ปแวงเลอร์คันโตเริ่มเคลื่อนตัวจากช่องจอดรถ ร่างสูงเบนสายตามองกระจกหลังครู่หนึ่งก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลัง หมุนพวงมาลัยด้วยความคล่องแคล่ว ก่อนจะนำพาหนะคู่กายทะยานออกไปบนท้องถนน เป้าหมายในวันนี้คือสนามบินนานาชาติ ไคค่อนข้างกังวลกับเรื่องเวลาการเดินทางนิดหน่อยเพราะว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุดอะไร แถมยังเย็นแล้ว รถราจากพวกมนุษย์เงินเดือนจึงออกันเต็มถนนไปหมด ไฟจราจรสีแดงสดโชว์หราเป็นทางยาว ไปทางปกติคงไม่ทันแน่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาน้องไปเส้นทางลัดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อร่นระยะทางและเวลาที่จะเสียไป ลมเย็นเอื่อยๆ พัดเข้ามาภายในห้องโดยสารทำให้เขาไม่รู้สึกเครียดนัก แตกต่างจากคนข้างตัวที่นั่งทำหน้าบูดขยับตัวยุกยิกไปมาสิบนาทีกว่าแล้ว

     

     

    ถ้าถามว่าเป็นอะไร ?

     

    ตอบได้เลยว่า ร้อน ! ’

     

     

    นรกแตกเถอะ ขับรถในเมืองก็เปิดกระจกให้ควันพิษเข้า รู้อยู่หรอกนะว่าติสท์แตก แต่สติอย่าแตกไปด้วยได้ไหม ร้อนจะตายอยู่แล้ว แอร์มีก็ไม่ยอมเปิด น้ำมันก็แทบล้นถังยังจะงกอีก

     

     

    อยากเข้าห้องน้ำหรือยังไง ?

     

     

    ถามทั้งๆ ที่สองตายังมองตรงไปบนท้องถนน ลู่หนานพ่นลมหายใจแรง สะบัดเสื้อตัวนอกออกมากองไว้ที่ตัก

     

     

    ผมร้อน

     

     

    ก็ใส่มาเสียเต็มยศ

     

     

    พี่ไม่ยอมเปิดแอร์

     

     

    ปกติพี่ก็ไม่เปิด

     

     

    นี่มันไม่ปกติ มีแขกติดรถมาด้วย ถามจริงๆ เถอะนะ แฟนพี่ไม่เอือมหรือเวลาต้องนั่งรถเปิดกระจก

     

     

    พี่ไม่มีแฟน อีกอย่างนะ นั่งรถเปิดกระจกมันก็ไม่ต่างจากการนั่งรถเปิดประทุนคันละหลายล้านหรอก

     

     

    อ๋อ ตรรกะแบบนี้ไงถึงว่าไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที

     

     

    ลู่หนาน พี่ยังนั่งอยู่ตรงนี้

     

     

    เจ้าตัวดีกลั้วหัวเราะในลำคอก่อนจะจำใจไขกระจกลงเพื่อรับลมที่ไม่มีความเย็นเลยแม้แต่น้อยไปพลางก่อน โชคดีที่วันนี้เสื้อข้างในเป็นเสื้อยืดแขนสั้น เนื้อผ้าบางสบายเหมาะกับหน้าร้อน ลมธรรมชาติอาจไม่ทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเท่าที่ควร แต่ก็ยังดีกว่านั่งอู้ในสภาพกระจกปิดทึบ พี่ไคพาเขาไปเปิดหูเปิดตา พาออกนอกเส้นทาง เข้าตรอกนู้นนี้บ้าง แบบที่ออสตินไม่เคยพาไป แถมยังหลบหลีกเรื่องปัญหารถติดได้อีกด้วย

     

     

    กินลมชมวิวอยู่ไม่นานแวงเลอร์คันโตก็พาผู้โดยสารทั้งสองถึงที่หมายเป็นอันเรียบร้อย ร่างสูงขับอ้อมสนามบินมามากพอสมควร จนพบกับรั้วตะแกรงเหล็กกั้นอาณาเขตพื้นที่สนามบินกับพื้นที่สาธารณะภายนอก แสงแดดสีส้มอ่อนๆ ยามเย็นทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูพิเศษกว่าช่วงเวลาอื่นระหว่างวัน เสียงหวีดหวิวของลมที่เคลื่อนผ่านตัวเครื่องดังเสียจนอยากหาที่อุดหูมาป้องกันเอาไว้ ไคดับเครื่องยนต์ กระโดดลงจากรถแล้วก็คว้าเอากระเป๋ากล้องมาเปิดอ้าบนเบาะ หยิบจับอุปกรณ์ทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว ปรับนู่นปรับนี่ให้เข้ากับสภาพแสงนิดหน่อย เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย เริ่มทำงานได้แล้ว

     

     

    ครั้นหันไปมองทางคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็พบว่าฝ่ายนั้นเองก็กำลังค่อยๆ เปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองแผ่ออกบนเบาะหนัง ไคเห็นโมเดลกล้องDSLRราคาแพงนอนแอ้งแม้งขาดการเอาใจใส่ถูกหยิบขึ้นมาเปิดชิ้นส่วนตรงนั้นตรงนี้ เปิดมันทุกที่ตราบใดที่มันแงะเปิดได้

     

     

    ทำไมไม่เก็บกล้องในกระเป๋ากล้อง

     

     

    คนไม่เป็นก็ไม่รู้เรื่อง ลู่หนานเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพี่แล้วยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

     

     

    ไม่มีกระเป๋ากล้อง เกะกะ

    แล้วทำไมไม่ซื้อ รู้ไหมว่าแรงเหวี่ยงอาจทำให้อุปกรณ์เสียหาย

     

     

    ไม่รู้ ผมไม่สนใจด้วย ถ้าเสียเดี๋ยวซ่อมก็ได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

     

     

    ไม่สนไม่ได้ เราซื้อมาด้วยเงิน ไม่ใช่ด้วยเบี้ย แล้วศึกษาข้อมูลกล้องดีแล้วหรือไงถึงเลือกเล่นตัวนี้

     

     

    ก็แค่ให้ร้านเขาหยิบมาให้ โธ่ พี่ไค อย่าซีเรียสเลย หลังจากงานนี้ผมก็คงไม่ได้ใช้แล้ว

     

     

    รู้ว่าไม่ได้ใช้แล้วทำไมถึงไม่ซื้อตัวที่ราคาต่ำกว่านี้

     

     

    คนอายุมากกว่าสับเละเสียจนไม่เหลือชิ้นดี หากแต่ร่างเล็กก็ไม่คิดจะใส่ใจ สะบัดหน้ายกกล้องหนีไปถ่ายรูปเสียอย่างนั้น ความดื้อรั้นและความไม่รู้จักประมาณตนของลู่หนานทำให้ไคค่อนข้างไม่พอใจเท่าไร คนมีเงินเหลือเฟือคงไม่เข้าใจว่าการใช้ชีวิตมันลำบาก มีครั้งหนึ่งที่เขาได้ร่วมงานกับช่างภาพชื่อดังของอเมริกา เป็นโปรเจ็คที่จะถ่ายทอดความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของของชนเผ่าในแอฟริกาให้คนเมืองได้รับรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของเงินและคุณค่าของปัจจัยสี่ที่ตนเองพึงมีอยู่ มันทั้งร้อน ทั้งลำบาก น้ำหายาก อาหารก็ต้องแย่งกันกิน เด็กๆ มากมายไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา หลายคนเป็นโรคเพราะขาดสารอาหาร ไม่มีแสงสี ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก

     

     

    เตือนไปก็คงไม่มีประโยชน์ แถมยังโดนน้องถอนหงอกกลับมาอีก ชายหนุ่มเหวี่ยงประตูรถปิด เดินทอดน่องไปตามทางเท้าเล็กๆ พร้อมสังเกตทิศทางของแสง และมององค์ประกอบโดยรอบ ก่อนจะเริ่มเก็บภาพในส่วนของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย โดยที่มีเสียงลั่นชัตเตอร์รัวๆ คอยรบกวนอยู่ตลอด ลู่หนานไม่พูดอะไรเลย น้องเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาถ่าย และนั่นมันก็เป็นเรื่องดี หากแต่ครั้นพอหันไปมองแล้วไคก็อดเอ็ดน้องไม่ได้ เมื่อเห็นว่าความจริงแล้วคนตัวเล็กถ่ายภาพไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย

     

     

    ทำไมไม่มองภาพผ่านช่องมองเลนส์

     

     

    นั่นคือคำถามแรกที่เขาสงสัย ไม่ได้ถ่ายภาพที่ต้องชูตัวกล้องขึ้นสูงอะไร ทำไมน้องถึงไม่ใช้งานviewfinder

     

     

    ปวดตาจะตายไป

     

     

    เป็นเหตุผลที่ไม่สมควรจะเป็นเหตุผล ไคพ่นลมหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันก็ไม่อาจทราบได้

     

     

    ไม่ปวดตาแล้วจะได้รูปดีๆ ไหม

     

     

    ยังไงพี่ก็ต้องถ่ายให้ผมอยู่แล้วนี่ มันดีอยู่แล้วล่ะ ใช่ไหม ?

     

     

    พี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อถ่ายรูปให้นาย ลู่หนาน ลืมไปได้เลยนะ งานตัวเองก็ทำเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นทำให้แล้วเอาไปส่ง

     

     

    ก็ผมทำไม่เป็นนี่ ! ”

     

     

    ไม่เป็นก็หัด มานี่ พี่จะสอน

     

     

    มือหนากระชากให้คนตัวเล็กเซเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะประท้วงโดยการโวยวายเช่นไร ไคประคองสองมือของน้องให้จับกล้อง ตั้งองศาจนเข้าที่เข้าทาง ปิดการทำงานของจอแสดงผลดิจิตอล บังคับให้ลู่หนานต้องใช้ช่องมองเลนส์ไปโดยปริยาย พี่ชายเพื่อนสนิทกลายเป็นคีมยักษ์บีบร่างเขาเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน

     

     

    รูตรงนี้เขาเรียกว่าช่องมองเลนส์ ถ้ามองผ่านตรงนี้เราจะเห็นสีและภาพที่ดูสมจริงกว่าการมองผ่านจอดิจิตอล ถึงจะปวดตาหน่อย แต่ทำบ่อยๆ ก็ชิน นิ้วยาวเคาะลงบนตำแหน่งนั้นเบาๆ ให้อีกคนได้รับรู้ มือซ้ายประคองตัวกล้องกับเลนส์ มือขวากระชับกริป นิ้วชี้วางบนปุ่มชัตเตอร์ จัดท่าจัดทางให้โดยที่ร่างเล็กไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น คราวนี้ก็เอาตาข้างที่ถนัดส่องช่องมองเลนส์ ถ้ามันเบลอก็กดเบาๆ ที่ปุ่มชัตเตอร์ แค่สเต็ปเดียว ไม่ต้องกดให้ปุ่มมันจมลงไป ตั้งออโต้โฟกัสไว้แล้วนี่

     

     

     ล...แล้วไงต่อ

     

     

    ลู่หนานไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ โดยเฉพาะพวกผู้ชายทั้งหลายทั้งแหล่ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในสังคมมิดเดิลสคูลแล้วเขาก็ถูกเพ่งเล็งมาแต่ไหนแต่ไร แม้ไม่ใช่คนเอเชียเพียงคนเดียวในโรงเรียน หากแต่ในคลาสนั้นมีเพียงเขาและจงอินเท่านั้นที่เป็นคนเอเชีย ความแตกต่างดังกล่าวนั้นไม่ใช่ปัจจัยเดียวหรอกที่ทำให้คนตัวเล็กเป็นที่สนใจ อีกข้อหนึ่งคือใบหน้าและรูปร่างของเขาที่มันดูเล็กน่ารักไปเสียหมด ครั้งหนึ่งลู่หนานเคยตัดพ้อตัวเอง หากได้ยีนป๊ามามากกว่านี้สักนิดเขาก็คงมีใบหน้าหล่อเหล่าแบบพี่คริส ไม่ใช่ใบหน้าสวยหวานน่ารักแบบม๊า

     

     

    ได้มุมที่ชอบหรือยัง แสงพอไหม ?

     

     

    อือ...

     

     

    มั่นใจแล้วก็กดถ่ายเลย ไม่ต้องรอ แสงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เครื่องบินก็ไม่ได้อยู่เฉยตลอด ภาพแต่ละภาพแม้จะดูเหมือนกัน แต่องค์ประกอบโดยรอบจะทำให้อารมณ์มันแตกต่าง พี่อยากให้เราสังเกตจุดนี้เอาไว้ด้วย

     

     

    เพราะความสูงของพี่ไคมากกว่าลู่หนาน เวลายืนข้างๆ ปลายผมของคนน้องก็จะอยู่แค่ปลายจมูกของคนพี่เท่านั้น การให้คำแนะนำจึงใกล้ชิดแนบสนิทเสียจนไร้ช่องว่าง เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นข้อจำเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ตอนนี้คางมนของพี่ไคถูกวางเอาไว้บนหัวไหล่ของเขา กลิ่นอายของน้ำหอมเย็นๆ ในแบบผู้ชายลอยวนอยู่รอบกายแต่ก็ไม่ได้มากเกินไปจนเกิดอาการเวียนหัว ลู่หนานนึกหมั่นไส้ ผู้ชายติสท์ๆ ขับจี๊ป ขี้เก๊ก บ้างาน แถมยังเผด็จการสุดๆ แบบนี้ใครเขาจะเอาไปเป็นแฟน ขอสาปแช่งให้พี่ไคไร้สาวมาสนใจตลอดชีวิต !

     

     

    เห็นไหม ถ่ายรูปมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ลองเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายหลายๆ มุม อีกพักค่อยกลับมาเจอกัน พี่ว่าจะไปข้างหน้านั้นเสียหน่อย

     

     

    พูดจบก็ผละออกไปทันที ทิ้งไว้ก็แต่คนตัวเล็กที่ยังคงไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ แต่ไม่ เขาจะไม่พูด รอจบงานนี้ก่อนเถอะพ่อจะสับให้เละ ลูกชายคนเล็กของตระกูลอู๋ที่ไม่เคยมีใครมาสั่ง วันนี้ก็โดนสั่ง ไม่เคยโดนขัดใจไม่ว่าเรื่องจะเล็กน้อยขนาดไหน วันนี้ก็โดนขัดใจมันเสียอย่างนั้น คิมไคคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงมาเชิดหน้าชูคอแผ่ขยายอำนาจใส่เขาได้ ร่างเล็กจงใจบึนปากใส่แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไปด้วยความหมั่นไส้ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวจะได้รู้ฤทธิ์ของตระกูลอู๋ !

     

     

    ลู่หนานคนแมนจะรู้ไหมนะว่าเวลาอยู่กับคนที่เขาหมั่นไส้ อะไรๆ ที่เขาทำมันก็ดูน่ารักไปเสียหมด

     

     

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา ร่างสูงตัดสินใจหยุดการเก็บภาพบรรยากาศของสนามบิน ก่อนจะเดินกลับมาที่รถจี๊ปลูกรักของตนเอง ดวงตาสีนิลสอดส่ายหาคนตัวเล็กหากแต่เขาก็ไม่พบ จำได้ว่าสั่งเอาไว้ให้มาเจอกันในอีกพักหนึ่ง แถวนี้ถ้ามีคนเดินก็คงเห็น แต่นี่แม้แต่เงายังไม่มีเลยสักนิดเดียว ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีเหลืองอมส้มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงหม่นๆ เจือสีเหลืองอ่อน ฉับพลันในใจนึกเป็นห่วงน้อง ไคจึงรีบสืบเท้าไปที่รถ หมายจะค้นหาไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดไว้เสมอ ทว่าเขาก็พบเจอกับร่างของลู่หนานที่นอนหลับคอพับอยู่บนเบาะหนัง แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาโลกลับไปยังพอทำให้เขาเห็นใบหน้าของคนน่ารัก ริมฝีปากกระจับแลดูมีสุขภาพ แพขนตายาวเรียงตัวสวย พวงแก้มที่หากได้จับแล้วก็คงนุ่มนิ่มลื่นมือ ตามประสาพวกลูกคุณหนูที่ไม่เคยสัมผัสงานหนักตรากตรำอะไร

     

     

    สุภาพบุรุษจะไม่ฉวยโอกาส ไคคิดเช่นนั้นมาเสมอ แม้เขาจะอยากทดลองสัมผัสคนตรงหน้านี้มากแค่ไหน แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ทำเพียงแค่ยกกล้องโพลารอยด์อีกตัวในกระเป๋าขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้แทน กล้องหรูราคาแพงของลู่หนานนอนแอ้งแม้งอยู่บนตัก เจ้าของมือใหญ่ถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดูผลงานภายในด้วยความใคร่รู้ เขาพบว่าฝีมือการถ่ายภาพของน้องไม่ได้แย่นักหรอก หากพูดกันตามสภาพการณ์ ทว่าด้วยเกียรติของช่างภาพ ไคย่อมอยากให้น้องได้สิ่งที่ดีกว่ากลับไปส่ง คิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็เปิดช่องใส่เมมโมรี่กล้อง ดึงหน่วยความจำของลู่หนานออกมาและแทนที่ด้วยหน่วยความจำของตัวเอง

     

     

    พี่ยกให้ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเรื่องรูปที่พี่แอบถ่ายเรามาวันนั้นนะ

     

     

    ไคยกยิ้มในใจ วางตัวกล้องกลับไปที่เดิมก่อนดึงเซฟตี้เบลท์มาคาดให้คนตัวเล็ก ค่อยๆ ดันประตูปิดให้สนิทโดยที่เกิดเสียงเบาที่สุด ร่างสูงเดินอ้อมแวงเลอร์ลูกรักของตนเองมายังฝั่งคนขับ เก็บอุปกรณ์การถ่ายภาพทั้งหมดเข้ากระเป๋าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยกมันไปวางไว้ด้านหลังและเหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งบนเบาะหนัง สตาร์ทเครื่องพร้อมทั้งจัดการไขกระจกขึ้นทั้งสองข้าง ปลายนิ้วกดปรับระดับเครื่องปรับอากาศภายในห้องโดยสารเพื่อให้น้องรู้สึกสบายตัวที่สุด ไคกลับรถอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะบังคับพาหนะให้ทะยานไปตามท้องถนนที่มุ่งหน้ากลับสตูดิโอของตนเอง

     

     

    พื้นที่หน้าสตูดิโอกึ่งแกลเลอรี่ของชายหนุ่มคือที่จอดรถชั่วคราวในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าบ้านน้องอยู่ที่ไหนและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมให้ไปส่ง กว่าสิบนาทีแล้วที่ไคทำเพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆ มองคนน่ารักนอนหลับอยู่เช่นนั้นเงียบๆ ไม่มีการรบกวน หากแต่เขาก็คิดได้ว่าถ้ายังสูญเวลาไปโดยเสียเปล่าเช่นนี้น้องอาจจะกลับถึงบ้านตัวเองดึกได้ มือใหญ่จึงวางทาบลงบนหัวไหล่เล็ก จับเขย่าเบาๆ หวังจะให้ลู่หนานรู้สึกตัว

     

     

    ลู่หนาน ตื่นได้แล้ว

     

     

    อือ...

     

     

    โชคดีที่น้องไม่ใช่คนปลุกยากอะไรขนาดนั้น เพราะหลังจากที่เขย่าอยู่ไม่กี่ครั้ง ลู่หนานก็งัวเงียตื่นขึ้นมามองหน้าเขาได้แล้ว คนตัวเล็กขยี้ดวงตากลมโตของตัวเองเบาๆ เปิดปากหาวอย่างเสียมารยาท

     

     

    พี่ไค...?

     

     

    ถึงสตูแล้ว โทรให้ที่บ้านเรามารับสิ

     

     

    หรอ... อื้อๆ

     

     

    ค่อนข้างมั่นใจว่าน้องไม่ได้มีสติสักเท่าไร แต่ก็ยังพอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนที่บ้านได้อย่างฉะฉาน จับใจความได้ว่าอีกครู่หนึ่งออสตินสารถีประจำตระกูลจะนำรถมารับที่หน้าสตูดิโอแล้วก็วางสายไป ไคไม่ใจร้ายดับเครื่องยนต์ให้ร่างเล็กทนร้อน เขานั่งทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย รวมถึงหยิบกล้องขึ้นมาเช็คภาพต่างๆ ที่เป็นฝีมือของลู่หนานไปพลางด้วย อย่างที่บอกว่ามันไม่ได้แย่ แต่ก็มีอีกตั้งหลายจุดที่ต้องปรับปรุง และมันคงเข้าท่ากว่านี้หากน้องสนใจจะเรียนถ่ายภาพต่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีทางใดเลยที่คุณหนูคนเล็กของตระกูลอย่างอู๋ ลู่หนานจะหันมาจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะถูกเคี่ยวเข็ญจากใครก็ตาม และไคก็ไม่คิดว่ามันไม่ใช่ธุระอะไรของเขาด้วย โครงการชวนน้องถ่ายภาพจึงถูกพับเก็บไปโดยปริยาย

     

     

    ต่างคนต่างอยู่กันพักใหญ่ Bentley Mulsanne คันหรูก็แล่นเข้าจอดเทียบท่า ไคเห็นชายวัยกลางคนในชุดสูทผมเรียบแปล้ก้าวลงมาและเปิดประตูรถด้านหลังคาเอาไว้

     

     

    ขอบคุณนะครับวันนี้ที่ลำบาก ผมไปนะ

     

     

    จะเอาแต่ใจอย่างไรก็ยังไม่ลืมว่าคำขอบคุณเป็นสิ่งสำคัญ ลู่หนานวาดยิ้มน้อยๆ ประดับใบหน้าสวยหวานผิดกับนิสัย ก่อนจะกระโดดลงไปจากจี๊ปแวงเลอร์ของพี่ไค เดินอ้อมพาตัวเองขึ้นเบนท์ลีย์ที่มีสารถีคอยเปิดประตูให้ด้วยท่าทีสุขุมเรียบร้อย ใจจริงแล้วไคอยากไปส่งเพื่อให้แน่ใจว่าน้องคาดเบลท์และคนขับปิดประตูสนิทดีแล้ว ทว่าเขากลับถูกสะกดให้นิ่งค้างอยู่กับที่ด้วยรอยยิ้มนั้นอยู่นานหลายนาที ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋า ล้วงเอาโพลารอยด์ที่แอบถ่ายคนน่ารักเอาไว้เมื่อครู่นี้ออกมาพินิจพิจารนาดูอีกครั้ง แม้จะพบเจอกันเพียงสองหนแต่ไคก็ไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเขาชอบน้องเข้าแล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะน้องน่ารัก หวาน หรืออะไรพวกนั้น ลู่หนานมีเสน่ห์ภายในที่จำเป็นต้องค้นหาให้ลึกลงไปใต้ใบหน้าและนิสัยเอาแต่ใจของเจ้าตัว ความดื้อรั้น ความหยิ่งผยอง ทิฐิ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือสิ่งที่ไคอยากจะเอาชนะให้ได้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตามที

     

     

     

     

    ---

     

     

     

     

    อุตส่าห์ไม่หวังว่าจะได้เจอ แต่สุดท้ายก็ได้เจอจนได้ บ่ายสามโมงเย็นของวันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าเขาอยู่มากโขก็วิ่งโวยวายเข้ามาในสตูดิโอ ตีหน้ายักษ์กอดอกว่าทำงานฝีมือไม่เป็น พระเจ้า ให้นรกเย็นเถอะนะ ไคไม่เห็นว่าเขาจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับงานนี้ของน้อง แถมยังลำบาก เสียเวลาทำงานของตัวเองอีกด้วย ครั้นพอเขาขัดใจบอกว่าติดงาน เจ้าตัวก็แทบลงไปนอนตีแปลงดิ้นเร่าๆ หน้าเคาน์เตอร์ ส่งผลให้ช่างภาพใหญ่ต้องลงทุนปิดแกลเลอรี่ก่อนเวลาเพื่อพาคนตัวเล็กไปหาซื้ออุปกรณ์DIYสำหรับทำสมุดภาพ ระหว่างทางก็ลองถามแบบงานคร่าวๆ ในหัวน้องไปเรื่อยเปื่อย แต่เจ้าตัวดันให้คำตอบว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรอยู่ในหัวทั้งสิ้น ซึ่งนั่นทำให้ไคปวดหัวอยู่ไม่น้อย

     

     

    ช้อปปิ้งมอลล์ที่ใหญ่ที่สุดในละแวกคือที่หมายของวันนี้ หลังจากจัดการเรื่องรถเสร็จลู่หนานก็ทะยานเข้าห้างไปโดยที่ไม่เหลียวหลังมามองเขาเลยแม้แต่น้อย จากที่ตกลงกันเอาไว้ว่าจะมาซื้ออุปกรณ์ทำงาน ก็กลายเป็นว่าน้องวิ่งเข้าหาเคาน์เตอร์ขายเกมเสียอย่างนั้น เดือดร้อนยันคิมไคที่ต้องไปยืนตีหน้าดุอยู่เกือบสามนาทีให้ร่างเล็กรู้สึกตัว เดินตามไปจัดการงานของตัวเองให้เสร็จๆ ไปเสียที

     

     

    เราจะทำหน้าปกสีอะไร กระดาษข้างในล่ะ

     

     

    เจ้าของงานยืนอยู่ด้านหลังพลางทำท่าครุ่นคิด หน้าปกสีเขียว กระดาษข้างในสีเหลือง ส่วนพวกตัวหนังสือเอาสีแดงสด

     

     

    โฟโต้บุ๊คหรือไฟจราจร ?

     

     

    ก็ผมไม่เก่งศิลปะนี่ ! ”

     

     

    ไม่เกี่ยว เราไม่make senseเองมากกว่า

     

     

    ไคส่ายหัวน้อยๆ กับความคิดตลกๆ ของร่างเล็ก เขาเลือกที่จะเพิกเฉยข้อเสนอเหล่านั้น ก่อนจะเริ่มค้นหาอุปกรณ์ทำงาน ( ให้น้อง ) ด้วยตัวเอง กระดาษสีดำที่มีความหนาพิเศษสองแผ่นถูกหยิบใส่รถเข็น รวมทั้งห่อกระดาษถนอมสายตา และเชือกสำหรับเย็บมุม การทำหนังสือหรือสมุดทำมือไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ทว่ามันคงยากมากสำหรับเด็กหนุ่มที่ไม่เคยทำอะไรเองอย่างลู่หนาน มีอุปกรณ์เท่านี้ก็ไม่รู้ว่าน้องจะใช้หมดหรือเปล่า เผลอๆ คงเหลือเสียด้วยซ้ำหากเจ้าตัวไม่คิดจะตกแต่งอะไรเพิ่ม คิดได้เช่นนั้นร่างสูงจึงรีบเดินออกไปชำระเงินค่าสินค้าทั้งหมดทันที โดยมีเสียงโวยวายของน้องไล่หลัง รายนั้นบอกจะเอาบัตรพ่อมารูด หากแต่ในความคิดของไค ของเหล่านี้ไม่ได้มีราคาค่างวดมากมายอะไรขนาดนั้น การจ่ายเงินสดจึงดูเข้าท่ากว่าหลายต่อหลายเท่า คนตัวเล็กจึงปั้นหน้าบึ้ง บอกว่าเขาไปดูถูกตัวเองเสียอย่างนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้การออกเงินแทนกันมันคือการดูถูกตรงไหน

     

     

    เสร็จจากธุระของน้อง ไคก็มีธุระของตัวเองต่อ ก่อนออกมาจากสตูเขาเพิ่งติดต่อกับบริษัทไอศกรีมว่าจะเข้าไปเอาสินค้าออกมาถ่ายภาพให้ตามที่ติดต่อเอาไว้ ซึ่งจากช้อปปิ้งมอลล์ไปช็อปที่ใหญ่ที่สุดของทางบริษัทนั้นก็ไม่ได้ไกลจากกันมากนัก เขาจึงเลยไปรับสินค้ามาก่อนจะกลับไปสตูดิโอ ไอศกรีมหลากหลายรสชาตินับสิบกระปุกถูกเก็บอยู่ในกล่องเก็บความเย็นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไคยกมันขึ้นวางด้านหลังรถ รีบเดินทางกลับด้วยเพราะกลัวว่าไอศกรีมจะละลายไปเสียก่อน เพราะการถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงถ่ายภาพแบบผิวเผิน ไม่ใช่การถ่ายภาพบรรจุภัณฑ์ธรรมดา ผู้ว่าจ้างแจ้งเจตจำนงว่าอยากให้เขาลองจัดองค์ประกอบภาพด้วยสินค้าจริง ให้เห็นเนื้อไอศกรีมจริงๆ ที่ไม่ต้องใช้กราฟิกทำให้ดูสวยเกินไปนัก

     

     

     ลู่หนานดูตื่นเต้นเสียเต็มประดา น้องบอกว่าจะฟาดไอศกรีมให้หมดนั่นหลังจากที่เขาทำงานส่งลูกค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพอไคนับดูแล้วล็อตนี้มีประมาณยี่สิบกว่ากระป๋องได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่น้องจะกินมันจนหมด อีกครั้งที่เขาหลุดหัวเราะให้กับความคิดเด็กๆ เหล่านั้น ร่างเล็กทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น โลกของไคเคยเป็นสีขาวและสีดำมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่แม่กับพ่อเริ่มทะเลาะกัน เขารับรู้ความจริงข้อนั้นแต่ไม่คิดว่ามันจะถึงจุดแตกหักเข้าจริงๆ ทุกข์ระทมทั้งหัวใจ พูดอะไรไม่ได้ บุตรชายคนโตของตระกูลคิมเก็บงำทุกความรู้สึกไว้ภายใน ไม่เคยให้ใครได้ล่วงรู้ และมันก็กลายเป็นตุ้มเหล็กถ่วงหัวใจให้ดำลึกลงสู่ห้วงมืดโดยสมบูรณ์

     

     

    แต่เพียงแค่รอยยิ้มของลู่หนาน เพียงการกระทำอันสดใสนั้น กลับแต่งแต้มผืนผ้าใบสีเทาให้กลับมามีสีสันอีกครั้งหนึ่ง...

     

     

    ถือของเรามาแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ยกลังไอศกรีมขึ้นไปเรียงในฟรีซตู้เย็นด้านบนก่อน

     

     

    หลังจากจัดการเปิดสตูดิโอเรียบร้อยแล้ว ไคก็รีบยกกล่องเก็บความเย็นขึ้นไปจัดการยังพื้นที่ส่วนตัวด้านบนทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทิ้งไว้ก็แต่ลู่หนานที่ยืนงงกอดถุงใส่กระดาษอยู่กลางแกลเลอรี่ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ แล้วก็พาตนเองออกมาจากส่วนนั้น ก่อนเรียวขาจะก้าวเข้าไปยังสตูดิโอที่คุ้นเคยมากกว่า ร่างเล็กวางถุงพลาสติกลงบนเก้าอี้ริมห้อง เลื่อนมือไล่ไปตามแผงสวิตช์ไฟและคัทเอาท์ของเครื่องปรับอากาศ เปิดการทำงานของทุกๆ อย่างในห้อง นั่งจ๋องอยู่เหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่สั่งว่าไม่ให้ไปไหน กำลังจะหันหน้าไปหยิบกระดาษกรรไกรอกมาเตรียม หากแต่มุมภาพถ่ายเล็กๆ ของพี่ไคน่าสนใจกว่างานที่ตระหนักได้ว่าต้องทำ คิดได้เช่นนั้นก็ค่อยๆ ย่องไปยังมุมนั้น.. ทว่า เสียงทุ้มๆ ก็ขัดขาเขาเอาไว้เสียก่อน

     

     

    งานเสร็จแล้วหรือไงลู่หนาน

     

     

    ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะถอยกรูดไปนั่งอยู่ที่เดิม ยัง...

     

     

    ก็ทำเสียที จะได้ไม่ต้องกลับบ้านมืด รูปที่สั่งอัดก่อนไปอยู่ในเครื่อง เปิดเอาเลย อย่าลืมกระดาษมาตัดๆ ทำเล่มไปก่อน ส่วนที่เจาะตาไก่อยู่ลิ้นชักสีขาวบนสุดนะ เอาไว้เจาะข้างเล่ม เดี๋ยวพี่ต้องไปถ่ายงานให้ลูกค้า อย่าซนนะครับ

     

     

    พี่ว่าใครซน ! ”

     

     

    อยู่กันสองคนจะให้พี่ว่าใครล่ะ หืม ?

     

     

    ทิ้งระเบิดกองโตไว้ให้คนตัวเล็กโมโหเล่น ก่อนจะเดินเข้าไปในมุมหนีบภาพและลากฉากกั้นมาปิดเอาไว้ เป็นสัญญาณให้ลู่หนานรู้ว่าพี่ไคไม่ต้องการให้ใครมารบกวนในตอนนี้ คนน้องก่นด่าคนพี่ในใจอยู่เป็นนิจ กี่ทีๆ ก็เอาแต่สั่งๆ ๆ ให้เขาทำนู่นทำนี่ ไม่ถามสักคำว่าทำเป็นไหม แล้วไอ้ตาไก่อะไรนั่นมันคือตัวอะไรแน่ ทำไมเขาต้องใช้มันเย็บเล่ม แล้วจะตัดกระดาษยังไง ตัดทำไม ในเมื่อมันมาเป็นเอสี่ ส่วนกระดาษสีดำนี่คงต้องใช้กรรไกรตัดหญ้า หนาจนทำให้ขี้เกียจ ลู่หนานเบ้ปาก เลื่อนเก้าอี้ไปลากเอาลิ้นชักเครื่องอัดภาพออกมาแล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ภาพถ่ายของเขาสวยเสียจนเทียบกับพวกมืออาชีพได้ อยากอวดพี่ไคแต่พี่เขาคงไม่ว่าง ไว้ออกมาแล้วค่อยให้ดูรูปเล่มสำเร็จก็ได้ น่าภูมิใจกว่าเยอะ

     

     

    เริ่มต้นจากการตัดกระดาษ ลู่หนานใช้senseที่มีน้อยนิดคิดเอาเองว่าถ้าสมุดภาพมีขนาดเอสี่อาจจะทำให้ซ้ำจำเจกับคนอื่น เขาจึงตัดด้านยาวออกสี่นิ้ว ด้านกว้างหนึ่งนิ้วครึ่ง เสร็จแล้วจึงกองแยกเอาไว้ไม่ให้ปนกับส่วนที่ยังไม่ได้ตัด วันนี้ลูกชายคนสุดท้องของตระกูลอู๋ได้ตระหนักแล้วว่าความจริงงานประดิดประดอยหาใช่สิ่งยากลำบากไม่ มันแค่ต้องการการใส่ใจมากกว่างานอื่นๆ แต่ถามว่าลู่หนานชอบที่จะทำหรือไม่ คำตอบก็ยังคงเป็นไม่อยู่ดี ด้วยเพราะเขาเป็นผู้ชายแมนๆ งานแบบนี้จึงไม่เหมาะสมกับสองมือหยาบๆ ของเขา ( ความจริงแล้วนิ่มมาก ) ปล่อยให้พวกผู้หญิงทำไปนั่นล่ะดีกว่า จำนวนรูปภาพที่พี่ไคคัดมาให้มีประมาณยี่สิบห้าภาพ คนตัวเล็กจึงต้องนั่งตัดกระดาษจนมือแดงไปหมด อีกทั้งยังซุ่มซ่ามทำคัตเตอร์บาดนิ้วอีก

     

     

    ฮึ แต่คนแมนไม่ร้องหรอก ฮึบไว้ เดี๋ยวพี่ไคจะมาหาว่างอแง !

     

     

    ว่าแต่ไอ้กระดาษบ้านี่มันตัดยังไง

     

     

    ส่วนไส้ในเสร็จสงครามก็ยังไม่จบ ลู่หนานยังต้องมาพบอภิมหาฟาเทอร์มาเทอร์กระดาษแข็ง ที่จำเป็นต้องใช้กรรไกรตัดหญ้าในการตัด คนอายุน้อยนั่งหน้าบูด เหวี่ยงมันกองกับพื้นและหันกลับมาสนใจภาพถ่ายที่วางกองอยู่บนโต๊ะ อีกครั้งที่เขาระดมสมองจุดประกายกึ๋น พยายามคิดหาวิธีอื่นที่จะติดภาพลงไปโดยไม่ใช้กาวหรือเทปสองหน้า ลิ้นชักสีขาวขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายแจ้งเอาไว้ว่ามีอุปกรณ์ชื่อประหลาดๆ จึงเป็นจุดสนใจจุดใหม่ในตอนนี้ ร่างเล็กค่อยๆ เปิดมันเบาๆ และพบว่าภายในอัดแน่นไปด้วยแฟนซีเทปหลากลวดลายหลายสี บางม้วนใช้แล้ว บางม้วนก็ยังไม่ได้ใช้ รวมถึงพวกอุปกรณ์ตกแต่งอีกมากมายที่เขาไม่คิดว่าจะได้พบในลิ้นชักของผู้ชาย

     

     

    ลู่หนานค่อยๆ หยิบเทปลายที่ตัวเองชอบออกมาเรียงต่อกันบนโต๊ะ พลางนึกว่าตัวเองจะอะไรกับเจ้าพวกนี้ได้บ้าง ร่างเล็กจึงลองนำภาพมาวางทาบบนกระดาษถนอมสายตาที่ถูกเตรียมไว้ ตัดเทปเป็นชิ้นเล็กๆ และแปะลงไปด้วยความตั้งใจให้ครบทั้งสี่มุม คนตัวเล็กวาดยิ้มกว้าง ชื่นชมผลงานตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ เริ่มทำแผ่นต่อไปช้าๆ ด้วยเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนมาทั้งวี่ทั้งวัน มันก็มีบ้างที่ต้องเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา แถมวันนี้ทั้งวันยังไม่มีข้าวสักมื้อตกถึงท้อง พอจงอินไม่อยู่ก็เหมือนอะไรต่อมิอะไรมันยากเย็นไปหมด ร่างกายก็เลยร้องประท้วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ลู่หนานได้แต่ภาวนาว่าอาการจะไม่หนักไปกว่านี้ เพราะถนนหนทางแถวแกลเลอรี่พี่ไคใช่ว่าจะคุ้น ร้านอาหารที่ดูสะอาดก็เหมือนจะไม่มีตั้งอยู่เลยสักร้าน รบกวนพี่ไคก็ไม่กล้า เพราะหลังม่านกั้นห้องทึบแสงนั้นท่าทางจะวุ่นวายไม่น้อย ลู่หนานเบือนหน้าไปมองเป็นพักๆ ก็เห็นว่าแสงไฟที่ลอดออกมาตามแนวรางม่านนั้นติดๆ ดับๆ อยู่เป็นนิจ เห็นครู่นี้บอกว่าต้องถ่ายโฆษณาไอศกรีม คงลำบากไม่น้อยเพราะไฟสตูดิโอดวงใหญ่มีความร้อนสูง มันคงหลอมละลายของหวานอุณหภูมิต่ำให้กลายเป็นของเหลวแน่ๆ

     

     

    อีกด้านหนึ่งลำบากอย่างที่คิดเอาไว้ ไคต้องคอยปิดไฟและเปลี่ยนไอศกรีมกระป๋องใหม่อยู่ตลอด เมื่อรสหนึ่งละลายแล้ว เขาก็ต้องเปลี่ยนเอาอีกรสมาถ่ายเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเปล่า แต่กว่าจะครบยี่สิบห้ากระป๋องก็หนักเอาการ นาฬิกาข้อมือสีดำเรือนโตบ่งบอกเวลาทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มรีบยกไอศกรีมที่อยู่ด้านนอกกลับเข้าไปใส่ในตู้เย็นขนาดเล็ก ถอดสายสะพายกล้องออกวางลงบนเก้าอี้กลมขนาดกะทัดรัด รูดม่านกั้นให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมและเสหน้ามามองการทำงานของร่างเล็ก ก่อนจะพบว่าน้องหลับคอพับฟุบคาโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว

     

     

    กระดาษมากมายกระจัดกระจายรอบกายคนตัวเล็ก ไคละเลยงานทุกอย่างของตัวเองแล้วเดินไปเก็บวัสดุจากธรรมชาติเหล่านั้นขึ้นมากองไว้ให้เป็นระเบียบดังเดิม ดวงตากลมโตถูกบดบังด้วยเปลือกตาสีอ่อน แพขนตายาวเรียงตัวสวย พวงแก้มเจือสีระเรื่อ ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีชมพูอมยิ้มเล็กน้อยราวกับเด็กอิ่มนอน

     

     

    อีกครั้งที่ใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเด็กหนุ่มที่ชื่อลู่หนาน

     

     

    ร่างสูงเลือกที่จะไม่รบกวนการพักผ่อนของคนตัวเล็ก เขาค่อยๆ ยกกองกระดาษที่ถูกตัดเรียบร้อยขึ้นมาตรวจดูความเรียบร้อย จุดยิ้มบางเมื่อเห็นว่าภาพทุกภาพถูกแปะด้วยแฟนซีเทปที่เจ้าจงอินขนซื้อมาเก็บเอาไว้ในสตู เขาหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เล็ก หยิบแผ่นรองตัดสีเขียวขนาดใหญ่มาวางบนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทำงานของน้องที่คั่งค้างเอาไว้โดยไม่ปริปากบ่น ทั้งยังใช้วิชาเปเปอร์คัทที่เรียนมาในวันวานให้เป็นประโยชน์ เครื่องบินพาณิชย์สองมิติถูกตัดออกมาเพื่อประดับบนหน้ากระดาษ รวมทั้งบอลลูน ไอพ่นและก้อนเมฆด้วย สมุดภาพของน้องเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเข้าไปทุกที ตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงจัดเข้ารูปเล่ม ผูกเชือกที่ด้านข้างเพื่อความสวยงามมากยิ่งขึ้น

     

     

    ไคหยิบเครื่องเจาะตาไก่ออกมาเจาะบนที ท้ายทีแล้วก็วางมันกลับที่ สอดริบบิ้นสีขาวเข้าไปในรูนั้นและนำปลายทั้งสองข้างมาผูกให้กลายเป็นโบว์เล็กๆ ยึดมันด้วยปืนกาวอีกครั้งเพื่อกันหลุดกันลุ่ย ชายหนุ่มวาดยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าผลงานของน้องเสร็จลุล่วงตามที่เจ้าตัวได้ตั้งเป้าหมาย เขาเอื้อมมือไปคว้าเอาถุงกระดาษมาสวมครอบเอาไว้สำหรับให้ลู่หนานได้ถือกลับบ้าน เริ่มเก็บเศษขยะลงถังเพราะเกรงว่าพวกมุมกระดาษจะระคายผิวน้อง ชายหนุ่มสังเกตเห็นคราบเลือดบนปลายนิ้วและรอยแดงบริเวณข้อ จึงรีบจับมือเล็กขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง คงจะเป็นเพราะฤทธิ์กรรไกรแข็งๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ร่างสูงรีบรุดออกไปค้นหากล่องปฐมพยาบาลที่จำเป็นต้องมีติดบ้านกลับเข้ามาภายในห้อง ค่อยๆ ประคองมือเล็กข้างขวามาหยอดยาแดงและคลึงยานวด แม้จะมั่นใจว่าสัมผัสที่กำลังมอบให้น้องนั้นเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หากแต่ลึกๆ แล้วไคก็ยังกลัวว่าการกระทำของเขาอาจจะทำให้ลู่หนานเจ็บมากยิ่งขึ้น พลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนที่หลวมตัวซื้อมาตุนเอาไว้ถูกแปะลงบนรอยบาดรอยช้ำเหล่านั้นอย่างทะนุถนอม ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าตนเองโชคดีแค่ไหนที่คนซุ่มซ่ามไม่ตื่นขึ้นมาโวยวายระหว่างการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

     

     

    หลังจากเก็บของทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วจริงๆ ร่างสูงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตลอดทั้งวันนี้เขาไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องนอกจากกาแฟดำแก้วเล็กในตอนเช้าและแครกเกอร์สองถึงสามชิ้น หากอยู่คนเดียวก็คงเดินตัวปลิวออกไปฝากท้องเอาไว้กับซับเวย์แล้ว ปัญหามันอยู่ที่ว่าไคไม่กล้าทิ้งน้องเอาไว้ เจ้าตัวเล็กคงตีโพยตีพายแน่ๆ ถ้าตื่นมาแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

     

     

    ลู่หนาน ตื่นเร็ว สองทุ่มแล้วนะครับ

     

     

    อือ...

     

     

    ตื่นก่อน พี่จะออกไปทานข้าว เราจะไปด้วยไหม

     

     

    ข้าว !!!!! ”

     

     

    ปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติของคนหิวโซคือการหายงัวเงียและนั่งยืดตัวจนหลังตรง ไคหลุดหัวเราะเมื่อได้เห็นอาการและได้ยินเสียงโหวกเหวกของน้อง มือใหญ่เอื้อมหยิบถุงกระดาษส่งให้พร้อมกับรอยยิ้มติดมุมปาก

     

     

    ครับ ข้าว ไปกับพี่ไหม ? , อา... แล้วนี่งานของเราครับ พี่ทำให้แล้ว ค่าตอบแทนขอเป็นเช็ดน้ำลายที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานพี่แล้วกันนะ

     

     

    คนน่ารักรีบสะบัดหน้ากลับไปยังจุดเกิดเหตุ กราดสายตามองหากองน้ำลายที่อีกฝ่ายว่าแล้วก็ไม่พบเห็น ครั้นหันมามองตัวต้นเหตุก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ไคแกล้งเขาเข้าให้เสียแล้ว เสียงหัวเราะน้อยๆ ที่คล้ายกับว่าจะกลั้นกักเอาไว้ในลำคอถูกทำลายด้วยหมัดเล็กๆ ของน้อง ลู่หนานฟาดมือไม่ยั้ง แทบจะกรี๊ดใส่หน้าเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ติดที่ว่ามันไม่แมน ส่วนคนที่ถูกประทุษร้ายก็ได้แต่ปัดป้อง หัวเราะร่วนอย่างที่ตัวเองไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยเจอคนที่น่าแกล้งเท่าคนคนนี้ และถึงแม้ว่าจะมีเขาก็ไม่แกล้ง

     

     

    พี่ไคแกล้งผมหรอ ! คนนิสัยไม่ดี ! ตายซะเถอะ

     

     

    ฟาด ทุบ ต่อย ข่วน ทุกกระบวนท่า ไม่หยุด ไม่ยั้ง จนกว่าจะพอใจตัวแล้วถึงได้ผละออกมาหอบเป็นลูกหมาวิ่งหนีเจ้าของ คนอายุน้อยคว่ำปาก ตวัดสายตามองคนอายุมากด้วยความเคืองขุ่น เกิดมาสิบเจ็ดปีไม่เคยมีใครกล้าแกล้งลู่หนาน แม้แต่จงอินเองก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะทำให้ไม่พอใจ แล้วนี่อะไร คิมไค รู้จักกันไม่เท่าไรอีกฝ่ายก็ขยันขัดใจเขาไปเสียทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเล็ก ไปจนเรื่องใหญ่ เจอหน้ากันทีไรต้องแว้ดใส่อยู่เรื่อย

     

     

    นี่ผมปรานีนะ พี่ถึงรอดมาได้ เห็นทำงานให้หรอก

     

     

    เป็นบุญของพี่มากเลยครับคนเก่ง

     

     

    ไม่มีเหตุผลรองรับการกระทำ ไคแค่รู้สึกอยากจะทำ และทำไปแล้ว สองมือใหญ่ยกขึ้นดึงพวงแก้มนุ่มนิ่มไปมาราวกับกำลังดึงขนมมาร์ชเมลโลว วาดยิ้มบางก่อนจะถูกปัดมือออก เห็นได้ชัดเลยว่าน้องไม่ชอบการถูกแตะนู่นจับนี่ สัมผัสเหล่านั้นคงทำให้ลู่หนานรู้สึกว่าตัวเองโดนรุกราน หรือทำให้รู้สึกว่าตัวเองน่ารัก ชายหนุ่มไม่คิดจะขัดใจ เขาโดนร่างเล็กโวยวายใส่หน้าเป็นครั้งที่สอง เจ้าตัวพูดว่าห้ามทำแบบนี้อีก เพราะมันไม่ใช่วิถีคนแมนเขาทำกัน ตรรกะเด็กคนนี้ตลกเสียจนไคหลุดหัวเราะ ชายหนุ่มเออออห่อหมกตามความต้องการของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยปากชวนลู่หนานเรื่องทานข้าวมื้อเย็น ( พูดว่าเป็นมื้อดึกจะถูกกว่า ) ซึ่งคนตัวเล็กก็ตกลงพร้อมทั้งบอกว่าจะเป็นคนจ่ายค่าเสียหายเองทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อเป็นค่าตอบแทน แต่อย่างไรมันก็ไม่แฟร์นะคุณว่าไหม คิมไคเป็นช่างภาพ ทำงานแล้ว มีเงินแล้ว แต่กลับให้เด็กมัธยมมาเลี้ยงข้าว สงครามน้ำลายขนาดย่อมจึงเกิดขึ้นตลอดการเดินทางหาร้านฝากท้อง แน่นอนล่ะว่าลู่หนานส่ายหัวดิกทันทีที่เห็นเขาหยุดรถหน้าซับเวย์ อีกฝ่ายยื่นคำขาดว่าจะไม่ทานอาหารร้านนี้ ส่วนไคก็จะไม่ไปร้านอื่น การยื่นข้อเสนอจึงเริ่มต้นขึ้น คนตัวสูงจะยินยอมให้น้องจ่ายเงินค่าเสียหายได้ก็ต่อเมื่อมื้อเย็นของวันนี้คืออาหารจากซับเวย์ เขาไม่ชอบไปร้านหรูๆ เพราะค่อนข้างเบื่อหน่ายสายตาพวกไฮโซตะแคงเท้าเดิน ซึ่งแตกต่างจากลู่หนานที่ไปร้านแบบนั้นจนชินไปเสียแล้ว

     

     

    คุณคิดว่าใครจะชนะ ?

     

    แน่นอนล่ะว่าเป็นผม

     

     

    ไคไม่ไปต่อ ลู่หนานก็ขัดไม่ได้ คนอายุน้อยยอมจำนนเดินคอตกตามเข้าไปในร้านอาหารจังก์ฟู้ด แม้จะเป็นเวลากว่าสองทุ่มครึ่งแล้วก็ตาม หากแต่ผู้คนมากมายก็ยังคงอัดแน่นเสียจนเต็มร้าน โชคดีที่ส่วนหนึ่งพากันซื้อกลับบ้าน โต๊ะภายในร้านจึงพอจะเหลือให้ทั้งสองเมียงมองเอาไว้บ้าง ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ไปยืนต่อแถวที่สั้นที่สุดเพื่อให้เร็วต่ออาหารมื้อนี้ นี่มันดึกแล้ว การรีบทานรีบกลับคงจะดีที่สุดต่อตัวน้อง ไคไม่อยากเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ลู่หนานโดนดุ

     

     

    แซนวิชสองชิ้น โค้กไดเอ็ท แล้วก็น้ำแอปเปิ้ลครับ

     

     

    ค่อนข้างมั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าน้องจะไม่สั่งเอง ช่างภาพใหญ่จึงสั่งให้เสร็จสรรพ โดยมีคนตัวเล็กคอยจ่ายเงินเพียงเท่านั้น ไม่กี่นาทีหลังจากการสั่ง ถาดอาหารร้อนๆ ก็ถูกวางเสิร์ฟลงบนเคาน์เตอร์ ร่างสูงกล่าวขอบคุณพนักงาน ก่อนจะรีบเดินตามลู่หนานไปหาโต๊ะนั่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เขารีบจัดการแซนด์วิชชิ้นโตตรงหน้าทันที

     

     

    ในขณะที่ไคกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการทานมื้อค่ำของตัวเองอยู่นั้น คนตัวเล็กข้างๆ กลับไม่ทำอะไรนอกจากนั่งเฉยๆ และสะบัดหน้าไปทางซ้ายทีขวาที จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรคนที่หิวจนยอมตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราถึงไม่ยอมทำอะไรให้มันเสร็จๆ ไป

     

     

    ทำไมไม่ทาน ?

     

     

    ผมรอซอส พนักงานไม่ยอมเอาซอสมาให้

     

     

    ล้อเล่นหรือเปล่า...

     

     

    ลู่หนาน ที่นี่บริการตัวเองนะ

     

     

    ชี้นิ้วไปทางป้าย ‘ By yourself ’ ให้อีกฝ่ายได้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์ของร้านค้า ดวงตากลมโตผินมองไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายบอกแล้วก็เก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน แต่ถือว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิดนะ เพราะปกติเขาเข้าร้านแบบนี้เสียที่ไหนล่ะ จะกินทีป๊ากับพี่คริสก็ต้องซื้อกลับมาให้

     

     

    อะไรนะ !? นี่เสียเงินจ่ายค่าอาหารแล้วยังต้องมาบริการตัวเองอีกหรือ !? พี่ไคทานอาหารร้านแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

     

     

    พี่ไม่มีทางเลือกมาก อีกอย่างรสชาติมันก็ไม่ได้แย่ ทานเถอะ เราจะได้กลับบ้านเสียที

     

     

    ผมบอกแล้วให้ไปทานร้านในห้างในโรงแรมพี่ก็ไม่เชื่อ เอาแต่เถียงผมอยู่นั่น ! ”

     

     

    ตกลงกันแล้วนะว่าถ้าเราจ่าย พี่ก็จะมาร้านนี้ เพราะฉะนั้น อย่างอแงนะครับ

     

     

    ร่างสูงก้มหน้าก้มตาจัดการแซนด์วิชในส่วนของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะปั้นหน้าบูดบึ้งขนาดไหน น้องกอดอกเชิดหน้า ไม่ยอมแตะอาหารมื้อเย็นทั้งๆ ที่ร่างกายร้องประท้วงอยู่หลายคราหลายครั้ง เขาถอนหายใจเสียงแผ่ว ยอมหยิบทิชชู่มาทำความสะอาดมือที่เปรอะเศษขนมปัง ก่อนจะย้ายไปบิแซนด์วิชขนาดหกนิ้วให้เหลือเป็นคำเล็กๆ เพื่อสะดวกต่อการทานของน้อง ไคลงทุนเดินไปกดซอสใส่ถ้วยมาให้เพราะเกรงว่าลู่หนานจะไม่พอใจหนักขึ้นไปอีก เขาเห็นรอยยิ้มสดใสฉาบทับบนใบหน้าของคนอายุน้อยกว่า สุขใจเหลือเกินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมลงมือทานอาหารมื้อเย็นโดยไม่งอแงอิดออด คนน่ารักบรรจงป้ายซอสลงบนชิ้นขนมปัง กัดคำโตลิ้มรสผักกรอบๆ และแฮมหวานๆ ส่งผลให้ซอสเปื้อนมุมปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

     

    อร่อยไหม ?

     

     

    อื้อ

     

     

    ตอบอะไรไม่ได้มากเพราะแซนด์วิชยังเต็มปาก มืออีกข้างที่ว่างยกน้ำผลไม้ที่ถูกเจาะเรียบร้อยแล้วมาดื่ม

     

     

    ค่อยๆ ทานสิ เดี๋ยวก็สำลัก เรานี่เหมือนเด็กๆ เลย เลอะแก้มเลอะปากไปหมด ฮะๆ

     

     

    คนถูกกล่าวหารีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดปาก ไม่พอใจอยู่ไม่น้อยเลยที่พี่ไคทำเหมือนเขาเป็นตัวตลก ลู่หนานไม่ใช่คนตลกนะ ! นี่ไม่ได้กินบ่อยต่างหากมันเลยเลอะไปหมด ปกติใช้มีด ช้อนกับส้อม ต้องมาใช้มือมันถึงไม่สะดวกหรอก ! ร่างเล็กแลบลิ้นใส่คนเป็นพี่ ลอยหน้าลอยตากินอาหารเย็นของตัวเองต่อ โดยไม่ทันได้เห็นแววตาที่ฉาบทับไปด้วยความเอ็นดูของพี่ชายเพื่อนสนิทซึ่งมองมาทางตนเองอย่างไม่ปิดบัง

    PORCELAIN THEMEs
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×