คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : ▲ DANGEROUS AREA ✗ : 24th
หนึ่งเดือนกว่าๆ ของลู่ฮานผ่านไปช้าๆ ราวกับว่ามันจะฆ่าเขาให้ตาย
บ้านหลังใหญ่ของตระกูลอู๋เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขล้นจนไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาหมดได้เช่นไร ร่างเล็กมีความสุขขึ้นมากหากนำไปเปรียบเทียบกับช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้ หากแต่ความทุกข์ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะตั้งแต่จากมากจากโซล ลู่ฮานก็ไม่เคยได้รับหรือได้ยินข่าวสารอะไรจากน้องชายอีกเลย ทุกวันนี้เขาดูแต่ข่าวการเมือง ข่าวบันเทิง ข่าวเศรษกิจ สารคดี และเกมโชว์ของฝั่งตะวันตก วันว่างก็ออกไปช่วยคนสวนทำงานบ้างตามอารมณ์และสภาพอากาศ หลังจากมาม๊าเหม่ยอิงจัดการเรื่องโอนสัญชาติและยืนยันตัวบุตรเรียบร้อยแล้ว ลู่ฮานก็ต้องไปจัดการตัวเองต่อโดยการทำไอเด็นทิตี้การ์ดเพื่อทำให้ตัวเองมีสิทธิ์ในการเข้าทำงานในร้านค้าคาเฟ่ต่างๆ แต่ยังไม่ทันจะติดปีกบินไปสมัครงานก็โดนเบรกโดยพี่อี้ชิงเสียก่อน ลู่ฮานเพิ่งรู้ว่าพี่สะใภ้คนสวยของเขาเป็นถึงดีไซน์เนอร์ มีห้องเสื้ออยู่ในเขตเมืองตรงหัวมุมถนนหมายเลขแปด มีแฟชั่นวีคทีก็จะต้องวุ่นวายกับการขนเสื้อผ้าไปนู่นไปนี่กับลูกๆ ทั้งสองคน อี้ชิงไม่ไว้ใจสามีตัวเองนัก ร่างบางจึงไม่เคยสักครั้งที่จะทิ้งลูกเอาไว้ให้อยู่บ้านในยามที่ตัวเองไม่อยู่ ยิ่งช่วงนี้เป็นตอนซัมเมอร์ เด็กๆ หยุดเรียน อี้ชิงเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วงจึงกระเตงลูกไปไหนมาไหนได้ตามประสาสาวเปรี้ยวสามีหงิม หากแต่ตอนนี้เขามีอีกเรื่องให้ห่วงแล้ว ลู่ฮานน้องรัก ( แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนลู่หนานเพราะอี้ชิงทนไม่ไหวที่จะฟังไอ้บ้านี่มันพูดจากวนอวัยวะที่อยู่ในถุงเท้าอีกแล้ว ) ของร่างบางทั้งสวย น่ารัก และในสายตาคนอื่นก็คงจะน่าทำรักด้วยซ้ำกระมัง อี้ชิงจึงกันอันตรายไว้ก่อนดีกว่าแก้ เลือกที่จะเอาน้องชายคนน่ารักนี้ไปทำงานในห้องเสื้อด้วย เขาใช้ความเป็นพี่กดขี่ข่มเหงจนได้น้องมาไว้ในครอบครองจนได้ คราแรกก็คิดเอาไว้แล้วว่าน้องจะทำงานได้ไม่ดีนัก แต่พอเอาเข้าจริงลู่ฮานก็ทำได้ดีกว่าที่เขาคิด ร่างเล็กทำตั้งแต่ยกม้วนผ้า วิ่งออกไปหากาแฟมาให้พนักงานดื่ม เดินเอาเสื้อผ้าไปแขวน วัดไซส์ให้ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนได้ไม่ขาดตกบกพร่อง แถมบางทียังอาสาเดินไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียนสอนศิลปะข้างๆ ห้องเสื้อด้วย
หลังจากวันนั้นที่พี่คริสกลับบ้านช้า อี้ชิงก็จัดการสวดพานยักษ์ชุดใหญ่ให้คุณสามีตัวดีได้หูชากันไปข้างหนึ่ง เด็กๆ ในบ้านต่างหัวเราะกันคิกคัก ไม่เว้นแม้แต่ลูกๆ ทั้งสองคนที่มองภาพนั้นด้วยแววตาล้อเลียน คิดดูเสียสิ ผู้ชายตัวโตๆ ที่เป็นถึงผู้บริหารสูงสุดของสาขาใหญ่ในนิวยอร์กมายืนเต้นเร่าๆ ส่งเสียงกระเง้ากระหงอดเมียอยู่ข้างหู อี้ชิงล่ะรำคาญ เลยบิดเนื้ออ่อนบริเวณต้นแขนให้คนหล่อได้ร้องซี้ดซ้าดสักทีสองที คราวนี้พออ้อนเขาไม่ได้ คริสเลยสะบัดหน้าไปอ้อนลูกสุดที่รักให้ช่วยง้อเขาแทน แต่กระนั้นเองคริสอู๋ก็คงไม่รู้เสียกระมังว่าเมียที่ยืนเท้าสะเอวอยู่เนี่ย ติดสินบนแครอลกับเคิร์ทไว้ด้วยไอศกรีมซันเดย์เรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารสุดหล่อเลยต้องระเห็จมากอดอ้อนเขาเหมือนเดิม สุดท้ายก็เลยจบที่อี้ชิงออกปากไล่คนตัวโตไปอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อย เพราะวันนั้นเขาจะเข้าครัวเอง
กลับมาที่ปัจจุบัน อี้ชิงกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการวาดแบบชุดชั้นในคอลเล็คชั่นใหม่ของวิคทอเรียซีเคร็ท จ๊อบเล็กๆ ที่เขามักจะรับมาทำเล่นเวลาว่างเสมอ หลังจากผ่านแฟชั่นวีคอี้ชิงก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เขาจึงสามารถทำหน้าที่ดีไซน์เนอร์ชั่วคราวได้อย่างสบายตัว แล้วยิ่งครานี้มีลู่ฮานมาช่วยงาน ก็เหมือนได้ลูกมือผู้รู้ใจ อี้ชิงชอบที่น้องชอบอะไรเหมือนๆ กับเขา ลู่ฮานชอบโทนสีอ่อนสบายตา ชอบการตัดเย็บแบบเรียบง่ายแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหรูหราที่ต้องค้นหาถึงจะได้พบ ชอบความสวยงาม อ่อนช้อย น่ารัก เป็นระเบียบและน่ามอง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากตัวเขาเลยสักนิด อี้ชิงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขากับลู่ฮานนั้นจะต้องมีเคมีตรงกันแน่ๆ ไม่เหมือนเจ้าลิงหนานที่เอะอะอะไรก็ว่าว่าแฟชั่นเป็นสิ่งไร้สาระ เหอะ มันน่ะไม่มีศิลปะในตัวเองหรอก วันๆ ก็เห็นแต่ใส่เสื้อยืดตัวหนึ่ง เดนิมตัวหนึ่ง กับร้องเท้าบู๊ทหนังเท่านั้นล่ะ คงคิดว่ามันหล่อลากกระชากใจสาวๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงตั้งแง่ตั้งง่ามใส่... เซ...เซ...อะไรสักอย่างที่เป็นคนรักของลู่ฮานหนักหนา สงสัยว่าคุณเซเขาคงมีสไตล์ที่ดีกว่ามันล่ะมั้ง มันเลยอิจฉา
“ พี่อี้ชิงครับ ทำงานบนโต๊ะอาหารนี่ไม่ดีเลยนะ ”
คนตัวขาวบางยิ้มพราย ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางดินสอสีในมือลงกับเคาน์เตอร์บาร์เย็นเฉียบ
“ โธ่ ก็สมองมันแล่นตอนเช้าๆ กับตอนมืดๆ นี่นา... เราก็รู้ เงียบๆ แบบนี้น่ะ น่านั่งระบายสีที่สุดเลย ”
ลู่ฮานเองก็ส่ายหน้าไปมา ก่อนที่จะกลับไปสนใจขนมปังตัดขอบในมือตัวเองต่อ วันนี้สองสาวสมรสีกระวีกระวาดพากันลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ( ความจริงก็ทุกวัน ) ร่างเล็กมีหน้าที่ทำอาหารเช้าใส่กล่องให้สมาชิกในบ้าน ซึ่งเมนูในแต่ละวันก็แตกต่างกันไปแล้วแต่หัวคิดสร้างสรรค์ของคนน่ารัก มือเล็กหยิบเอาผักกาดหอมมาตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ เหมือนที่เคยทำ หยิบชิ้นแฮมและแผ่นชีสออกมาวางไว้เพื่อเตรียมจะรวมร่างให้กลายเป็นคุณแซนวิชแสนอร่อย กล่องใบกลางหลากสีสันถูกยกออกมาวางเรียงรายกันบนเคาน์เตอร์ ร่างเล็กบรรจงวางขนมปังตัดขอบลงไปในกล่องทีละชิ้น ทับด้วยผักกาดหอมสีเขียวสด ตามมาติดๆ กับมะเขือเทศหั่นแว่น ทับอีกชั้นด้วยแผ่นชีสสีเหลืองสด ทบตรงกลางด้วยแฮมรสดีชิ้นบาง ก่อนวนลูปกลับไปที่การวางมะเขือเทศ วางผักกาดหอม ก่อนจะปิดท้ายด้วยขนมปังขาวตัดขอบเช่นเคย คนน่ารักทำมันด้วยความตั้งใจจนเสร็จสิ้นทุกกล่อง ลืมสังเกตไปเสียเลยว่าเขาเผลอมือทำอีกชิ้นวางไว้ในจาน แล้วยังไม่พอเท่านั้นอีก มือเล็กเอื้อมไปหยิบกล่องนมทรงสูงมาเปิด รินของเหลวสีขาวรสมันจืดลงแก้วใบโต ผินสายตามองมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ไม่นานหลังจากนั้นเท่าไหร่เขาก็หุบยิ้มลงเมื่อนึกได้ว่าที่นี่ไม่มีคนที่จะกลับมาอีกต่อไป ครั้งที่เท่าไหร่แล้วลู่ฮาน ครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วที่เพ้อเจ้อและคิดไปเองเช่นนี้ เขาได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมจึงยังไม่ลืม ทั้งๆ ที่มันก็น่าจะซาเพราะเวลาผ่านมาเดือนกว่าๆ แล้ว เซฮุนยังติดตรึงแน่นอยู่ในทุกห้วงความทรงจำ ซ้ำร้ายความชอกช้ำยังคงตามหลอกหลอน ลู่ฮานไม่เคยนอนหลับได้โดยปราศจากยานอนหลับได้เลยสักวัน แม้กระทั่งในความฝัน คนหน้านิ่งก็มักจะตามมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เสมอ บ่อยครั้งลู่ฮานต้องแอบหนีไปร้องไห้เงียบๆ ในห้องน้ำ ด้วยไม่อยากให้คนทั้งบ้านเป็นห่วง หลังจากพี่คริสกลับมา พี่เขาก็เล่นแทคทีมกับลู่หนานเสียจนลู่ฮานขยับตัวไปไหนไม่ได้ ทั้งพี่ชายและน้องชายสุมหัวกันคิดแผนรักษาร่างเล็กยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ในหลุมปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น ฝ่ายพี่สะใภ้เองก็เห็นดีเห็นงามคล้อยตามผู้ชายแมนๆ สองคนนั้นไปด้วย คนกลางอย่างเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะขัด พี่ๆ เองก็อายุมากกว่าและมีวุฒิภาวะสูง ( พี่อี้ชิงอายุยี่สิบเก้า ซึ่งเขาตกใจมาก หน้าตาพี่เขาเหมือนคนอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ไม่น่าเกินไปกว่านี้ ส่วนพี่คริสรายนั้นก็ไม่น่าเชื่อ เห็นหล่อๆ เข้มๆ เนื้อหอมหึ่งแบบนั้นก็ปาไปสามสิบสองแล้ว คงมีภรรยาดูแลดีถึงได้ดูมีราศีอยู่เสมอ ) ทุนเดิมของลู่ฮานก็มีคำว่าเกรงใจคนแปะอยู่กลางหน้าผากอยู่แล้ว เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากคัดค้านทัดทานอะไรมาก พี่กับน้องว่าผิด เขาเองก็ว่าผิด พี่กับน้องว่าถูก เขาก็พร้อมยอมรับในจุดนั้น
“ Good morning ค่ะอาลู่ Breakfast วันนี้เป็นอะไรหรือคะ เฟยเฟยอยากจะเอาไปอวดเพื่อนแล้ว ”
ร่างเล็กฟื้นขึ้นจากความนึกคิดของตัวเอง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้สดใสเหมือนเคย ใบหน้าน่ารักวาดยิ้มหวานให้หลานสาวตัวเล็กที่เดินตัวหอมฟุ้งเข้ามาในครัว วันนี้เฟยเฟยอยู่ในยูนิฟอร์มสีชมพูอ่อนของโรงเรียนบัลเล่ต์เหมือนเคย ตูตูฟูฟ่องหลบซ่อนอยู่ในกระเป๋ารูปการ์ตูนชื่อดังตัวโปรดของเด็กหญิง ซึ่งตอนนี้กระเป๋าในนั้นก็อยู่ในมือของคุณพ่อตัวโตอีกที เจ้าตัวแสบใช้อ้อมแขนของคุณพ่อใจดีเป็นที่พึ่งพิง ดูเหมือนตอนนี้จะเช้าเกินไปสำหรับเด็กผู้ชายซนๆ แบบเจ้าฟ่านที่เมื่อคืนเล่นเสียจนพลังงานในกายเหลือเพียงขีดแดงเล็กๆ ขีดเดียวเท่านั้น คริสวางตัวลูกชายบนเก้าอี้บาร์มีพนักสูงข้างๆ ตัวอี้ชิง คนตัวขาวหันกลับมายืดตัวขึ้นไปจรดจมูกที่เนื้อแก้มกร้านของสามีหนึ่งทีเพื่อเป็นของขวัญ จนคนที่มองอยู่ไม่ไกลอดจะอิจฉาไม่ได้ ลู่ฮานอมยิ้มให้กับภาพที่เห็น ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อหัวใจก็บีบรัดจนปวดหนึบไปทั่วอก
“ มีแซนวิชไส้แฮมจ้ะหลานรัก เดี๋ยวอาเอาซอสใส่ชวดให้ แล้วเรามาวาดรูปลงบนขนมปังดีไหมคะ ? ”
ลู่ฮานปั้นยิ้มอีกครั้ง ยกมือที่มีขวดบีบใสๆ ส่ายไปมาหน้าหลานสาวตัวน้อย ครันได้รับรอยยิ้มสดใสตอบกลับมาก็กระวีกระวาดถ่ายซอสมะเขือเทศจากถุงเติมลงของเล่นใหม่ของหลาน อี้เฟยยื่นมือป้อมๆ มาจับหมับเข้าที่ขวดซอส กัดริมฝีปากสีแดงสดเพราะกำลังอยู่ในช่วงคิดหาภาพที่จะนำมาวาดวันนี้ เด็กหญิงทิ้งช่วงเวลาหน่วงไปนานสองนาทีกว่าๆ ก่อนที่จะเริ่มเปิดขวดซอสและบรรจงบีบให้เป็นรูปภาพใบหน้าของใครคนหนึ่งที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ร่างเล็กยกมือขึ้นลูบหัวหลานสาวด้วยความรัก มองภาพดังกล่าวด้วยสายตามากด้วยความห่วงใย เกี่ยวปอยผมนุ่มสีน้ำตาลอ่อนทัดข้างใบหูเพราะกลัวว่ามันอาจทำให้หลานรู้สึกรำคาญยามเล่นสนุก ครั้นผินสายตาไปมองหลานชายก็เห็นเพียงว่าเจ้าตัวแสบหลับอยู่บนอกคุณพ่อ คงจะไม่สะดวกนักหากปลุกฟ่านฟ่านขึ้นมาวาดซอสลงบนขนมปัง คนน่ารักจึงหันไปจัดการงานส่วนนั้นเสียเอง ลายเส้นแบบง่ายๆ ถูกรังสรรค์จากความตั้งใจจนกลายเป็นรูปเครื่องบินเล็กบนท้องฟ้า ลู่ฮานจำได้ดีว่าเจ้าฟ่านปลาบปลื้มในตัวแฝดน้องของเขามากขนาดไหน
“ แครอลวาดอะไรครับ ขอแดดดี้ดูหน่อยลูก ”
พี่คริสและพี่อี้ชิงติดเรียกลูกด้วยชื่อกลางภาษาอังกฤษมากกว่าลู่หนานที่ถือหางทางภาษาจีนมากกว่าใครๆ ในบ้าน ร่างหนาช้อนตัวลูกชายขึ้นติดอก สืบเท้ายาวมาชะเง้อคอมองลูกสาวด้วยความใคร่รู้
“ วาดอาลู่ค่ะแดดดี้ อาลู่ตอนยิ้ม อาลู่น่ารัก ”
คริสยิ้มเผล่ ลูบหัวลูกน้อยด้วยความรัก ความดีใจฟุ้งกระจายเต็มอกของคนเป็นพ่อ “ แล้วทำไมแครอลถึงวาดอาลู่ตอนยิ้มล่ะคะลูก ? แดดดี้อยากรู้เหตุผลของหนูจัง ” คนพูดก็พูดไปตามประสา คริสอยากสอนลูกให้คิดก่อนทำทุกๆ ขั้นตอน อยากให้ลูกคิดหาเหตุผลของการกระทำของตัวเอง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าคำตอบที่ตอบมานั้นทำเอาคนฟังสะอึกไปตามๆ กันถึงสามคน
“ หนูเห็นอาลู่แอบไปร้องให้ในห้องน้ำเกือบทุกวันเลยค่ะแดดดี้ ใครทำอะไรอาลู่ก็ไม่รู้ อาลู่เจ็บ อาลู่น่าสงสาร แต่หนูเข้าไปช่วยไม่ได้เพราะหนูยังเด็กอยู่ หนูไม่ชอบให้อาลู่ร้องไห้ อาหนานก็ไม่ชอบเหมือนกัน... แดดดี้กับมอมมี่ชอบเวลาอาลู่ร้องไห้ไหมคะ ? ”
คริสไม่ชอบให้น้องร้องไห้ แม้ลู่ฮานจะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านแต่น้องก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นน้อง อี้ฟานยังคงเป็นอี้ฟาน ลู่ฮานก็ยังคงเป็นลู่ฮานที่ใช้นามสกุลอู๋ร่วมกันอยู่วันยังค่ำ เขาเคยวางใจไปแล้วครั้งหนึ่งว่าลู่ฮานจะไม่ร้องไห้อีก เพราะลู่หนานยืนคำขาดแล้วว่าน้องชายคนกลางคนนี้ลืมคนรักเก่าได้แล้ว หากแต่ที่อี้ฟานเห็นมันไม่ใช่อย่างที่ปากน้องชายคนเล็กลั่นวาจาเอาไว้ ถ้าแครอลไม่บอกเขาก็ยังคงเป็นคนโง่ น้องในไส้ร้องไห้แต่เหมือนโดนปิดตาไม่รู้ไม่เห็น พักหลังมานี้เอาเข้าจริงร่างหนาก็ว่ามันชักจะน่าสงสัยแปลกๆ ทั้งๆ ที่มันไม่น่าสงสัยเลยสักนิด น้องยิ้มมากกว่าเดิม หัวเราะมากกว่าเดิม เขาควรจะสบายใจแต่อี้ชิงเองค้านหัวชนฝาว่าไม่ ภรรยาของเขามองออกตั้งแต่แรกว่าน้องพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ลึกๆ อู๋อี้ฟานวันนั้นช่างโง่แสนโง่ ปักหลักเชื่อใจตัวเองเสียแม่นแน่นหนา เมื่อวันเวลาผ่านไปการกระทำของน้องก็ยิ่งเด่นชัด คนตัวเล็กพยายามเหลือเกินที่จะสร้างกำแพงสูงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองจากความสุขที่ใครต่อใครก็พร้อมหยิบยื่นให้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นเลยสักนิด
“ แน่นอนว่ามอมมี่ไม่ชอบจ้ะลูกรัก แครอลวาดเสร็จแล้วใช่ไหมลูก พาแดดดี้กับเคิร์ทไปกินซีเรียลกับนมข้างในห้องทานข้าวดีกว่าเนอะ มอมมี่ขอคุยกับอาลู่หน่อยนะคะ ” ร่างบางเอ่ยยิ้มพิมพ์ใจ ยกมือลูบแก้มกลมของลูกรักเบาๆ “ พี่คริส ชิงฝากเรียกเจ้าหนานด้วยนะ บอกว่าชิงอยากคุยด้วย ” ประโยคส่งท้ายพูดกับสามีพร้อมกับการกดจูบที่ริมฝีปาก อี้ชิงวางมือลงบนแผ่นหลังของร่างหนา ออกแรงดันเบาๆ และส่งสายตาขอร้องให้คริสช่วยทำตามที่ขอ แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร คนที่อี้ชิงอยากจะเรียกหาก็เดินหน้าชื่นตาบานเข้ามาในส่วนครัวเรียบร้อยแล้ว ร่างเพรียวสับเท้ายาวเดินสวนกับพี่ชายตัวเอง มือหยาบถือกระเป๋าถือของผู้ชายใบเล็กไว้ เอ่ยทักทายหลานทั้งสองพร้อมกับจูบแก้มอรุณสวัสดิ์ พะวงกับส่วนนั้นได้ไม่นานก็ผละออกมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บาร์ เสือกกระเป๋าใบนั้นมาไว้หน้าตำแหน่งยืนของพี่ชายฝาแฝด ยิ้มประดับใบหน้าโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าลู่ฮานที่ยืนอยู่นั้นกำมือตัวเองแน่น ดวงตากลมโตสั่นไหวราวกับคลื่นทะเลที่กำลังคลั่ง อากาศเย็นยะเยือกไม่อาจยับยั้งเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวออกมาตามไรขน จะว่าเสื้อผ้าหนาไปก็ใช่เรื่อง เพราะตอนนี้ลู่ฮานใส่เพียงเสว็ตเตอร์ถักมือบางๆ กับกางเกงขาสั้นกว่าเข่ามาหนึ่งคืบมือ หน่วยความคิดในสมองประมวลผลเกี่ยวกับกระเป๋าใบนี้ได้รวดเร็วฉับไวพอๆ กับลมหายใจหอบหนัก ลู่ฮานจำได้ดีว่าเมื่อเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เขาเป็นคนตัดสินใจทิ้งมันไว้บนเครื่องบิน ในจุดที่ลับตาคนที่สุด แล้วเพราะเหตุใดมันจึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ !
“ วันนี้ผมไม่มีตารางบินครับพี่ เอ้อ..ไอ้นี่ของพี่ใช่ไหมครับเนี่ย ผมรอบคอบพอที่จะใส่แท็กแบคไว้ในกระเป๋าทุกใบของพี่ งานออฟฟิศในสนามบินสะเพร่านิดหน่อย พวกเขาไม่คิดจะตามหาเจ้าของกระเป๋าใบนี้เลย จนกระทั่งผมไปเจอถึงได้รู้ว่าพี่ลืมเอาไว้ เมื่อคืนผมเองก็กลับดึก ถึงบ้านสลัดผ้าอาบน้ำแล้วนอนเลย ไม่ได้คุยไม่ได้คืนกระเป๋าใบนี้ทันทีที่ได้เอากลับมา แต่อย่างไรก็ตาม นี่ของพี่ครับ ของข้างในน่าจะอยู่ครบ เช็คดูอีกทีเสียหน่อยกันเหนียวนะครับ ”
ลู่หนานพูดสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้รู้เลยว่าความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือลู่ฮานล้วนแล้วแต่ตั้งใจทำมันทั้งนั้น โอเค เรื่องนี้โทษร่างเล็กเองเถอะ ไม่ต้องไปโทษใครที่ไหน หากรอบคอบกว่านี้คงได้ดึงแท็กแบคออกก่อนทิ้งมันไว้บนเครื่อง ฝันร้ายกำลังหลอกหลอนลู่ฮานอีกครั้ง เขาอุตส่าห์ตัดขาดตัวเองออกจากโซเชียลเน็ตเวิร์คและสิ่งของเดิมๆ ที่เคยใช้ร่วมกับเซฮุน ( อย่างไรก็ตาม ลู่ฮานไม่อาจใจแข็งพอที่จะขว้างแหวนที่ถูกสวมไว้ตรงนิ้วนางและกำไลข้อมือหนังสลักชื่อเซฮุนที่โอบรัดข้อมือของเขาไว้อยู่ดี ) คนน่ารักก้มหน้าต่ำจนคางชิดอก น้ำตาอุ่นร้อนรื้นขอบตาน่ารำคาญยิ่งนักในเวลานี้
“ ขอบคุณนะหนาน ”
ลู่ฮานเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใบนั้นมากอดไว้ ไม่คิดจะฟังความใดๆ ต่อเพราะเกรงว่าบ่อน้ำตาจะแตกในเวลาอันใกล้นี้ เรียวขาบางออกวิ่งไปตามทางเดินใหญ่โตในบ้าน ไต่เท้าเตาะแตะขึ้นไปบนบันไดซึ่งปลายทางคือห้องนอนห้องใหญ่ของเขาและลู่หนาน ร่างเล็กดันประตูปิด ลงกลอนทันทีที่ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย แผ่นอกกระเพื่อมแรงหนักหน่วงตามจังหวะการหายใจ มือเล็กสั่นไหวจนแทบประคองวัตถุที่อยู่ในอ้อมแขนไว้ไม่อยู่ แผ่นหลังบางแนบนาบกับประตู ยื่นมืออันสั่นเทาเข้าไปล้วงเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากำเอาไว้ ลู่ฮานลังเลที่จะกดปุ่มเปิดเครื่อง ก่อนทิ้งเอาไว้เขาปิดเครื่องเอาไว้เสียดิบดีเพื่อป้องกันคนโทรหา หากแต่ว่าเมื่อเวลานี้มันอยู่ตรงนี้แล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากลองเช็คให้แน่ใจเสียก่อน ความรู้สึกส่วนลึกๆ แอบคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องหลายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีนี้ ลู่ฮานจะแอบหวังสักนิดหนึ่งได้ไหมนะว่าเซฮุนจะคิดถึงเขาบ้าง แอบหวังได้บ้างไหมว่าเซฮุนจะโทรเข้ามาจนเครื่องแจ้งเตือนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันสาย แอบหวังได้บ้างหรือเปล่าว่าเซฮุนจะส่งข้อความเข้ามาขอโทษขอโพย ขอร้องให้เขากลับมา... คนโง่อย่างลู่ฮาน ยังมีสิทธิ์จะหวังที่จะกลับไปยืนในจุดจุดนั้นได้อีกหรือเปล่า
เครื่องมือสื่อสารส่งแสงวาบขึ้นมาเมื่อมันถูกสั่งให้เปิดการใช้งาน หลอดแสดงผลแบตเตอรี่แจ้งว่ามันจะยังคงสภาพเดิมได้อีกไม่นานนัก ระบบประมวลผลเครื่องเริ่มค้นหาสัญญาณโทรศัพท์ที่ตรงกับบริการของซิมการ์ด เมื่อต่างที่ทางแล้ว เครื่องมือสื่อสารดังกล่าวจึงเตือนว่าไม่พบผู้ให้บริการอยู่แถวนี้เท่านั้น ร่างเล็กน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นว่าไอโฟนของตัวเองสั่นอย่างบ้าคลั่ง มันยังทำหน้าที่ได้ดีเสมอแม้จะถูกปิดการใช้งานไปเดือนหนึ่งเต็มๆ ไอคอนสัญลักษณ์สีเขียวแสดงการแจ้งเตือนอย่างไม่มีสิ้นสุด ชื่อของเซฮุนปรากฏอยู่ในทุกๆ การแจ้งเตือน ทั้งไลน์ เมสเสจและสายที่ไม่ได้รับ ความรู้สึกดีใจตีตื้นขึ้นมาในอก น้ำตาแห่งความรู้สึกมากมายรินไหลลงมาเป็นสายอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ลู่ฮานยิ้มทั้งน้ำตา เขารู้สึกราวกับว่าชีวิตชีวาเริ่มกลับมาทีละน้อย หากแต่ว่าก็ยังไม่ฟื้นตัวเสียจนสมบูรณ์เสร็จเสียทีเดียว ส่วนนึงในใจยังคงหวนคิดถึงวันเก่าๆ ที่ถูกทำร้าย ถูกเซฮุนทำลายความรู้สึกมานักต่อนัก มันก็คงมีบ้างกระมังที่ว่าใจเรายังคงผูกใจเจ็บอยู่เช่นนั้นวันยังค่ำ เขาจะไม่ดีใจจนออกนอกหน้า จะไม่ทำตัวเริงร่าให้ใครเขาว่าเจ็บแล้วไม่จำ ลู่ฮานจะยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ในที่ที่ตัวเองจำเป็นจะต้องอยู่ เพื่อไม่ให้ลู่หนานทำให้เซฮุนเดือดร้อนอีกเป็นครั้งที่สอง แค่เพียงครั้งแรกครั้งเดียวร่างเล็กก็เจ็บเจียนตาย แทบร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่เขารักอีกเป็นครั้งที่สอง.. ไม่มีทาง
---
หลังจากลู่ฮานจัดการกับอารมณ์ตัวเองเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เขาก็พยุงร่างตัวเองลงมาที่ห้องนั่งเล่น หลานๆ พี่คริส พี่อี้ชิงและลู่หนานต่างนั่งทำหน้านิ่วคิ้วเครียดหารือกันถึงเรื่องที่เขาวิ่งหนีขึ้นไปบนห้อง คนตัวเล็กยืนอยู่หน้าช่องประตูที่ถูกเจาเอาไว้เป็นรูใหญ่ ใบหน้าสดใสเนื่องจากลู่ฮานล้างหน้าซับตามาพอสมควร ร่างเพรียวเห็นเป็นเช่นนั้นก็ผุดลุกขึ้นมาจากโซฟาเนื้อนุ่มทันที เร่งปรี่เข้ามาหมุนหารอยบุบรอยยุบและจับผิดดวงตาของเขา ลู่หนานคว้าตัวพี่ชายฝาแฝดไปกอดไว้แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะได้เวลาที่เด็กๆ จะไปโรงเรียนกันแล้ว ส่วนสารถีคนสำคัญคงตกไปเป็นหน้าที่ของใครไม่ได้นอกจากคริสอู๋ อี้ชิงช้อนตัวลูกรักทั้งสองขึ้นมาไว้แนบอก ยกสัมภาระจิปาถะให้คุณพ่อตัวโตถือ โอกาสที่ลู่หนานและคนในครอบครัวจะว่างพร้อมกันมีไม่มากนัก ร่างบางจึงตัดสินใจหนีบเอาน้องชายคนสุดท้องไปยังห้องเสื้อด้วย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อกัปตันคุมเครื่องคนนี้ไม่อาจมีประโยชน์อะไรนอกจากไปนั่งบ่น แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ลู่ฮานอยู่คนเดียวยามที่เขายุ่งอยู่กับงานเยอะแยะ อี้ชิงจะได้ไม่ต้องห่วงหลังพะวงหน้าให้กิจการงานเรือนเสียหาย คริสรับลูกมาจากอกอี้ชิง วางร่างกลมป้อมลงบนเบาะเสริมคู่สำหรับเด็ก จัดการรัดเซฟตี้เบลท์และตรวจตราความเรียบร้อยของลูก ก่อนที่จะอนุญาตให้ลู่ฮานและลู่หนานขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังได้ ส่วนตัวเขาและภรรยาก็ครองที่นั่งด้านหน้าไปโดยปริยาย ร่างเล็กขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ที่ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อน ตามปกติอี้ชิงจะต้องไปถึงร้านตอนเวลาแปดโมงเศษ เด็กๆ จะได้มีเวลาวิ่งเล่นสักพักก่อนจะถูกส่งเข้าโรงเรียน ส่วนคริสก็ต้องไปถึงที่ออฟฟิศตอนเก้าโมงเพื่อไม่ให้พนักงานในบริษัทครหา แต่เมื่อวันนี้ทุกคนมัวแต่รอเขา การเดินทางจึงเลทออกไปเล็กน้อย คริสว่ากลั้วเสียงหัวเราะว่ามันไม่ได้เสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ลู่ฮานก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
น่าแปลกที่วันนี้ที่ห้องเสื้อมีคนมากตั้งแต่เปิดร้าน พนักงานในร้านพากันร้องไห้งอแงทันทีที่ดีไซน์เนอร์คนสวยเข้ามาประจำที่ตำแหน่งของตนเอง ลู่ฮานเลือกจะไม่ไปวุ่นวายในงานตรงนั้นเสียดีกว่า เขาจึงอุ้มหลานๆ ขึ้นมาที่ชั้นลอย ที่พักผ่อนประจำของเด็กๆ ก่อนจะไปโรงเรียน เจ้าฟ่านส่งเสียเจื้อยแจ้วได้ไม่หยุดหลังจากได้งัวเงียอย่างเต็มอิ่ม ส่วนเฟยเฟยก็ร้องเพลงของการ์ตูนตัวโปรดคลอไปไม่ได้ย่อท้อ ร่างเล็กยิ้มน้อยๆ กับความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัว วางกระเป๋าสะพายของหลานทั้งสองลงในชั้นวางก่อนจะวางตัวหลานลงบนพื้นพรมเนื้อนุ่มที่อี้ชิงคัดมาปูไว้ เขาก้มๆ เงยๆ อยู่นานเพื่อจัดเครื่องแต่งกายของเฟยเฟยให้เรียบร้อย เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถูกแปรงผมสีอ่อนช่วยหวีสางให้เข้าที่เข้าทาง โบว์ประดับลูกไม้สีชมพูอ่อนถูกปลดออกมาแล้วผูกให้เป็นปมอันใหม่ นิ้วเรียวเกี่ยวเก็บไรผมให้หลานรัก บังเอิญไม่ทันสังเกตว่าผู้มาใหม่นั้นได้มายืนซ้อนหลังตัวเองได้สักพักแล้ว ผู้ชายผิวแทนสูงชะลูดพอประมาณประเมินจากสายตาน่าจะไม่มากไปกว่าเซฮุนนัก ริมฝีปากหนาได้รูปติดยิ้มบางๆ ดวงตาสีรัตติกาลพราวเสน่ห์ มากด้วยแรงดึงดูด สันจมูกโด่งช่วยเสริมให้ใบหน้าดูหล่อเหลาขึ้นหลายขุมนัก เสื้อผ้าทั้งชุดเป็นสีดำแลดูลึกลับ
“ อ๊ะ.. คุณจงอิน มาไม่ให้ซุ่มเสียง ตกใจหมดเลย ”
คนตัวเล็กยู่ริมฝีปากเล็กน้อย พ่นลมหายใจพร้อมเอามือวางทาบลงบนหน้าอก
“ ผมไม่คิดว่าคุณลู่ฮานจะกลัวนี่ครับ เห็นกำลังเพลินกับแครอลอยู่ ฮะฮะ ขอโทษแล้วกันนะครับที่ทำให้กลัว ”
ลู่ฮานเจอจงอินเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ร่างเล็กยังจำวันนั้นได้ดีอยู่เลยว่าจงอินทักเขาผิดด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างที่คนเป็นเพื่อนเขาทักกัน ยอมรับเลยว่าในตอนนั้นก็อึ้งไปพักหนึ่ง ยืนแข็งจนต้องให้ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาเขย่าแขนเรียกสติให้กลับมาก่อนที่มันจะหลุดลอยไปไกลกว่านี้ เขารีบอธิบายให้จงอินฟังอย่างรวดเร็วว่าเขานั้นไม่ใช่คนที่เจ้าตัวคิด พอรู้เท่านั้นคนผิวแทนก็ขอโทษขอโพยใหญ่ ก้มหัวก้มหางกันวายวุ่นพัลวันไปหมด ลู่หนานหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากของเขา ผลก็คือร่างเพรียวต้องรับหมัดหนักๆ เข้าไปเต็มๆ ที่ต้นแขน ความจริงจงอินไม่ใช่คนหยาบคาย แม้จะอายุเท่ากันกับลู่ฮานแต่ทุกครั้งที่เรียกก็ต้องมีคำว่าคุณนำหน้าเสมอ เขาเป็นคนโสด ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคนเดียวมานานพอที่จะไม่อยากคิดถึงมัน พื้นฐานเป็นคนสุภาพและสุขุมพอตัว ข้อนี้คงต้องขอบคุณคุณพ่อเลี้ยงของเขาที่สอนให้เขาเป็นเช่นนี้ หลังจากแม่หย่ากับพ่อ จงอินก็ถูกโอนย้ายมาอยู่นิวยอร์กตั้งแต่ตอนอายุสิบห้า แม่แต่งงานใหม่กับโรนัล ผู้ชายตัวโตที่ท่าทางใจดี ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นถึงอธิการบดีของกรมตำรวจ เขารักและเคารพโรนัลไม่แพ้กับพ่อแท้ๆ ที่ให้ชีวิต แต่นาฬิกาและวันเวลาไม่เคยย้อนกลับไปที่เก่า เขาเติบโตมากับชาวต่างชาติ มีภาษาเกาหลีติดตัวแต่ไม่ได้ใช้ ถูกปลูกฝังให้มีนิสัยรักชาติ รักแผ่นดินเกิด รักกษัตริย์ รักบุพการีและผู้มีพระคุณ จึงไม่แปลกเลยที่จงอินจะเลือกเดินตามรอยเท้าคนเป็นพ่อ เขาสอบเข้าโรงเรียนทหารตอนอายุยี่สิบโดยการเทียบปริญญาตรีเข้าไป จบออกมามีประวัติเป็นทหารแล้วจึงสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ไต่เต้าจากชั้นจ่า สอบทั้งข้อเขียนทั้งสัมภาษณ์ปีละตัวสองตัว ทำทุกๆ งานที่ถูกมอบหมายด้วยความตั้งใจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหายามสืบเสาะเซาะประวัติ และผลของการตั้งใจก็ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ จงอินได้เป็นพันโทสมใจนึก ได้ทำคดีอาชญากรรมอย่างที่ตัวเองหวัง มีความสุขกับทุกๆ วันที่เป็น แม้จะไม่มากมายเหมือนตอนอยู่เกาหลี แต่มันก็โอเคเพราะอย่างไรก็ตาม จงอินเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าในวันที่เขาไม่มีใคร เพื่อนอย่างลู่หนานก็พร้อมจะอยู่ข้างเขาเสมอแน่นอน
“ ผมเองก็ไม่ระวังด้วย ขอโทษคุณจงอินจริงๆ นะฮะ.. แล้วนี่ ทำไมมาเสียเช้าเชียว วันนี้ไม่เข้ากรมหรือครับ ? ”
“ เข้าครับ แต่เข้าสายๆ พอดีว่าแจ็คเก็ตขาด เลยแวะมาให้พี่อี้ชิงซ่อมก่อน ”
“ ตัวโปรดสินะครับ ? เห็นไปไหนมาไหนคุณจงอินก็พกติดตัวตลอด ”
ร่างสูงยิ้มเผล่ “ ครับ แจ็คเก็ตนำโชคเลย ”
บทสนทนาดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องมื้ออาหารที่จงอินไม่ได้แวะเข้าไปกินที่บ้านใหญ่นานแล้ว เมื่อก่อนเขาจะไปร่วมโต๊ะมื้อค่ำที่นั่นแทบจะทุกวัน เนื่องจากไม่อาจอดรนทนกับความเหงาได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ จงอินต้องวุ่นวายอยู่กับคดีอาชญากรรมหลายต่อหลายคดีที่เกิดขึ้นในเมือง หัวหมุนไปหมดจนต้องกินต้องอยู่ที่กรมเลยไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องความเหงาและชีวิตโสดเหมือนเคย
ลู่หนานเดินตัวปลิวขึ้นมาสมทบ ออกปากชวนเพื่อนรักที่เล่นหายหัวไปหลายสัปดาห์ด้วยวาจาภาษาชาวบ้านเข้าไปร่วมมื้อเย็นและดูบอลนัดสำคัญด้วยกันในคืนนี้ ลู่ฮานเคยบอกแล้วหรือยังนะว่าน้องชายของเขาชอบดูบอลยิ่งกว่าอะไรดี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคือทีมบอลทีมโปรดของเจ้าตัว บางครั้งร่างเล็กกูถูกรบเร้าให้ลองดูเจ้ากีฬาน่าพิศวงนี่ด้วย แต่เขาเองก็ยอมรับตรงนี้เลยว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจมันนัก ดูทีไรก็หลับก่อนตลอด ดังนั้นตำแหน่งพาร์ทเนอร์ในการดูบอลที่ดีของลู่หนานจึงตกเป็นของจงอินไปโดยปริยาย แม้ทั้งคู่จะมีเลือดคนละสี เชียร์บอลทีก็คนละฝั่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีครั้งไหนเลยที่น้องชายของเขาจะชวนคนอื่นมาดูบอลเป็นเพื่อน ซึ่งหากคืนนี้จงอินตอบตกลง ก็เท่ากับว่าลู่ฮานจะต้องนอนคนเดียวอีกครั้ง อย่าหาว่าเขาฟ้องเลย จงอินมาทีไรลู่ฮานก็เป็นแค่หมาหัวเน่าเท่านั้นล่ะ น้องจะหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนที่ห้องฉายโปรเจคเตอร์ส่วนตัวของตัวเองทุกที ไอตอนแรกก็สงสัยว่าห้องแบบนั้นทำเอาไว้ทำไม ตอนนี้ก็พอเข้าใจอยู่ว่าลู่หนานอยากได้อรรถรสในการดูบอล จึงยอมลำบากยกโปรเจคเตอร์มาติดตั้งด้วยตัวเอง
“ อ้าว จงอิน ไม่ไปกินข้าวที่บ้านนานเลยนะ ลมอะไรหอบเรามาถึงร้านพี่เล่าเนี่ย ”
อี้ชิงที่เพิ่งตามขึ้นมาทีหลังเอ่ยทักทายน้อยชายห่างๆ อีกคนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นมิตร อ้อมแขนเต็มไปด้วยม้วนผ้าและในมือก็มีกล่องใส่คริสตัลวาววับอยู่ด้วย ร่างเล็กรีบถลาเข้าไปรับมาไว้ในอ้อมแขนตัวเองแทนเพื่อความคล่องตัวของพี่สะใภ้ กล่าวขออนุญาตแยกตัวออกไปทำงานที่ค้างของตัวเองบ้างเพราะตรงนี้ไม่มีธุระอะไรที่เป็นของเขาอีกแล้ว ลู่ฮานสับขาปลีกตัวออกไปที่ห้องกระจกใสปิดทับด้วยมู่ลี่สีฟ้าอ่อน ใช้หลังดันประตูไปเพียงเบาๆ ก็เข้าไปได้ทั้งตัว เขาวางม้วนผ้าลงบนโต๊ะทำงานสีขาวขนาดใหญ่ พื้นที่ตรงนี้เป็นของเขาคนเดียวหลังจากอี้ชิงอนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ลู่ฮานมีพื้นฐานการเรียนตัดเย็บมาตั้งแต่ยังเล็ก ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงถูกไหว้วานให้ตัดนู่นแต่งนี่อยู่เสมอ เรื่องแพทเทิร์นเสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องน่าห่วงสำหรับเขา หน้าที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของดีไซน์เนอร์คนสวย แม้จะได้ตัดเย็บเสื้อผ้าแบบผู้หญิง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีงานอะไรให้เขาทำเลย มือเล็กเลื่อนไปเปิดกล่องคริสตัล สอดส่องสายตาหาเม็ดที่เข้ากับเสื้อผ้าสีอ่อนลายดอกไม้ที่สุดแล้วค่อยๆ ติดลงไปทีละเม็ด ครู่หนึ่งเขาผละออกมาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง สอดมันเข้าไปในลิ้นชักโต๊ะเพราะมันทำให้เขารู้สึกไม่คล่องตัวในการทำงานสักเท่าไหร่ นิ้วเรียวเผลอไปสะกิดปุ่มปิดเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่เขาจะหันกลับมาทำงานต่อ ฉับพลันเหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง หน้าจอเครื่องมือสื่อสารเครื่องหรูสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับปรากฏชื่อของพี่ชายคนสนิทซึ่งตอนนี้ตัวอยู่เกาหลีเด่นหราอยู่กลางหน้าจอ ไม่มีใครรู้ได้ว่าปลายสายมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า หากแต่การโทรเข้ามาติดๆ กันหลายต่อหลายครั้งก็ทำให้เรารู้ว่าผู้ที่อยู่ปลายสายนั้น ร้อนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
---
มื้อเย็นวันนี้คึกคักกว่าที่เคยเมื่อมีคนคุ้นหน้าค่าตามาร่วมโต๊ะด้วย สองสาวสวยของบ้าน( ? )จึงพากันกรูกันเข้าครัวด้วยตัวเอง ประกอบกับลูกมือหน้าตาใจดีแบบมัมมากาเร็ต การทำงานครัวจึงง่ายมากยิ่งขึ้น ผักโขมอบชีสถาดใหญ่ถูกยกออกจากเตาอบสดๆ ร้อนๆ ควันสีขาวลอยวนส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลกระจัดกระจายไปทั่วทุกอนูในอากาศ ร่างเล็กสะบัดมือออกจากถุงมือกันความร้อนด้วยความรวดเร็ว หมุนตัวกลับมาชำเลืองมองปลาหมึกชุบแป้งถอดรวมกับหัวหอมในกระทะ เขี่ยมันไปมาเพื่อให้ความร้อนแผ่กระจายได้เท่ากันทั้งชิ้น ก่อนจะรีบวิ่งไปช่วยอี้ชิงดูหม้อต้มเส้นสปาเก็ตตี้ ช้อนมันขึ้นมาตราวจดูเล็กน้อยแล้วนำใส่ลงไปดังเดิมเมื่อมันยังไม่ได้ที่ ผละออกไปทางนู้นทีทางนี้ทีแลดูวุ่นวายไปหมด แต่ดูเหมือนภาพความวุ่นวายดังกล่าวจะเป็นเรื่องตลอกขบขันของเด็กน้อยทั้งสอง เจ้าฟ่านหัวร่อต่อกระซิกเสียงลั่นเมื่อเห็นมารดาตัวเองมีคราบซอสมะเขือเทศเปรอะที่ข้างแก้ม ส่วนลูกคู่คือหนูเฟยก็ยิ้มหวานยกใหญ่เมื่อเห็นพี่ชายตัวเองมีรอยยิ้ม อี้ฟานนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไกลนัก เขาทำหน้าหักเมื่อโดนภรรยาสุดที่รักสั่งห้ามย่างกรายเข้าไปเหยียบในพื้นที่ครัวเด็ดขาด ให้นั่งเลี้ยงลูกอยู่ไกลๆ มองเมียตัวเองเหงื่อไหล่ไคลย้อยหน้าเตาแล้วอู๋เจ็บกระดองใจ อยากประคองผ้าเช็ดหน้าไปซับให้ ..แต่บังเอิญเกรงใจเมีย
ไม่นานนักโต๊ะอาหารเย็นก็จัดพร้อม อี้ชิงกับลู่ฮานต้องขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนเพราะร่างกายนั้นพราวมากไปด้วยเม็ดเหงื่อไคล มัมมากาเร็ตก็เอาตัวเด็กๆ ไปอาบน้ำชำระร่างกายเช่นเดียวกัน ซึ่งเท่ากับว่าเวลานี้ เหลือเพียงสามโทนทโมนอยู่ในห้องอาหารขนาดใหญ่ อี้ฟานนั่งตรงกลางแทนที่ประมุขในบ้าน เยื้องย้ายมาซ้ายขวาก็ประกบไปด้วยลู่หนานและคิมจงอิน ไม่บ่อยนักที่สามหนุ่มจะมีเวลาเสวนาพาทีกันเช่นนี้ ส่วนมากไม่อี้ฟานติดอี้ชิง ลู่หนานติดงาน จงอินก็ติดคดี แบบนี้มันจึงไม่มีเวลาว่างเพื่อพูดคุยกันเสียที พอมีเวลาเข้าหน่อยก็เปิดปากคุยกันน้ำไหลไฟแลบ ส่วนมากก็ไม่พ้นเรื่องความรักความวุ่นวายในครอบครัว คนแก่สุดในกลุ่มเขาชอบนักแลที่จะอวดเมียสุดที่รักให้น้องได้อิจฉาเล่น พ่อคุณเขาหาข้อดีใหม่ๆ มาได้เสมอทุกทีจนลู่หนานเองก็รู้สึกเบื่อ เห็นแก่คนแก่กลัวเมียหรอกนะ จึงไม่พูดขัดอะไรให้ใครเขาหน้าเสีย
“ เออนี่ เจ้าหนาน... เมื่อเช้ายัยหนูบอกพี่ว่ายัยหนูเห็นลู่ฮานร้องไห้ ”
ลู่หนานชะงักมือ ลดแก้วกาแฟวางไว้บนจานรองเมื่อครู่ “ ซีเรียสนะพี่ ”
อี้ฟานตบเข่าฉาด หางคิ้วกระตุกฉับ ตวัดตาใส่น้องชายในไส้ด้วยความไม่พอใจปนขุ่นเคือง “ เออสิวะ พี่จะโกหกแกไปเพื่ออะไรกันเล่า ” มือกร้านยกถ้วยกาแฟร้อนของตัวเองขึ้นมาจิบพอให้ชุ่มคอ อ้าปากเล่าต่อด้วยสีหน้าและท่าทางที่เคร่งขรึมกว่าเดิมเล็กน้อย “ แถมเมื่อเช้าแกก็เห็นไม่ใช่หรือ น้องวิ่งขึ้นห้องไปร้องไห้ ตกลงเกิดอะไรขึ้นวะ แกยังไม่ได้เล่าอะไรละเอียดๆ ให้พี่ฟังเลยนะ ” ร่างหนาว่าตามความจริง ตอนนี้คนทั้งบ้านรู้อะไรน้อยกว่าลู่หนานทั้งหมด เจ้าตัวกวนประสาทนี่ไม่ยอมปริปากอะไรที่มันควรค่าแก่การได้รับรู้เลยสักนิด
ร่างเพรียวเอนตัวพิงเบาะนวมนุ่ม ปัดสายตาขึ้นมองคนขี้สงสัยทั้งสองตรงหน้า ก่อนลดมือลงมาวางไว้บนหน้าตัก “ ผมไม่อยากพูด ” ลู่หนานหมายความตามที่ว่า เขารู้ดีว่าพี่คริสเป็นคนใจร้อนเพียงใดหากอยู่คนเดียว เล่าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ดูตาสีตาสาตาม้าตาเรือเมื่อไหร่พ่อได้ฉวยปืนไปเป่าหัวเซฮุนเป็นแน่ “ แต่ถ้าพี่อยากให้ผมพูด สัญญาก่อนได้หรือเปล่า ว่าจะไม่ใจร้อน ”
คริสเดาะลิ้นดังเต๊าะ เห็นเขาเป็นคนใจร้อนวู่วามขนาดนั้นเลยหรือไง บอกตรงๆ ไอนิสัยแบบนั้นหมดไปตั้งแต่มีเมียแล้วล่ะ “ แกก็รู้ไม่ใช่หรือว่าไอสันดานแบบนั้นฉันสลัดมันทิ้งไปแล้ว ตั้งแต่มีชิง มีเฟยกับฟ่าน หน้าที่สามีและพ่อที่ดีควรมาเป็นที่หนึ่งเว้ย ” ร่างหนายกยิ้มราวกับสุขใจเสียเต็มประดา กำลังจะพูดโอ้อวกสรรพคุณตัวเองอยู่แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“ พี่ลู่ฮานโดนข่มขืนมา ”
“ ฮะ! / พูดจริงหรือวะไอ้หนาน ”
สองทโมนตะโกนก้องขึ้นมาพร้อมกัน แตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่คริสลุกขึ้นตบโต๊ะดังปึง ส่วนจงอินทำเพียงผุดลุกขึ้นมายืนจนสุดความสูงเท่านั้น ลู่หนานกลอกตาหน่าย ว่าแล้วว่าต้องทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม “ เงียบๆ กันหน่อยได้เปล่าวะ พี่อี้ชิงรู้ได้โดนเด็ดหัวกันหมดเสียพอดี ผมยังอยากขึ้นบินเป็นกัปตันอยู่นะเว้ย เงียบเสียง แล้วฟังเฉยๆ ” ทั้งคริสและจงอินทรุดตัวลงนั่ง สะบัดหน้ามองหาคนที่พวกเขากลัวหนักหนาแล้วก็โล่งใจ อี้ชิงยังไม่ลงมาจากห้อง สาวๆ( ? ) มักจะอาบน้ำแต่งตัวนานเสมอ ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีไปสำหรับหนุ่มๆ ที่สุมหัวคุยกันเรื่องลับๆ อยู่
“ เมื่อกี๊ผมซีเรียสนะ ลู่ฮานโดนข่มขืนมาจริงๆ ได้ยินมากับหู พูดแล้วยังแค้น ไอ้นายแบบหน้าเป๊ะนั่น ฮึ่ย ” ร่างเพรียวเคี้ยวฟันกรอด นึกถึงวันนั้นแล้วก็พาลโมโหขึ้นมาเสียเฉยๆ “ ไม่รู้มันเอาคารมที่ไหนไปหลอกล่อพี่เขา ตอนผมไปเอาพี่เขาออกมา มันพูดอย่างกับลู่ฮานไม่มีค่า เป็นแค่ของเล่น เป็นพี่พี่จะโมโหป่ะวะ ” เมื่อครู่ลู่หนานปรามชาวบ้าน หากแต่ตอนนี้เขากลับทำเองเสียแทบทุกอย่าง “ วันนั้นเลยซัดมันไปจนหมอบ แต่แปลกว่ะ มันไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้ ปกติคนเหี้ยๆ มันน่าจะลุกขึ้นมาป่ะวะ แบบแลกหมัดกันสักสองสามหมัด ไอ้นี่นอนนิ่งเลย ” คนหน้าเข้มปนหวานหัวเราะขลุกขลักในลำคอ “ สงสัยกากจัด ”
“ ว่าไปหนาน ใครจะไปรู้ มันอาจพูดเพราะโกรธก็ได้ ” คริสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ โกรธบ้าไรวะพี่ ก็เห็นๆ กันอยู่ป่ะว่ามันจงใจฟันแล้วทิ้งลู่ฮาน เหอะ.. ”
“ แกจะรู้ลึกตื้นหนาบางอะไรหนาน เขาอยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปี ดูเราสิ อยู่ด้วยกันแค่เดือนกว่า บางทีอาจมีบางอย่างที่เรายังไม่รู้ เราน่ะอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเลย ”
คริสพูดในฐานะคนเจนโลก ครั้นหันไปหาแนวร่วมตัวดำก็ได้รับการพยักหน้าหงึกหงักมาเป็นคำตอบ หากมองในพื้นฐานความจริง มูลเหตุคำบอกเล่าจากปากลู่หนานไม่ค่อยน่าเชื่อถือเสียเท่าไหร่ เพราะดูจากกริยาท่าทางที่เคยเห็นมาแล้ว คริสค่อนข้างเชื่อว่าทั้งสองต้องมีความรักให้ต่อกันไม่มากก็น้อย ลู่ฮานยังคงผูกใจเจ็บอยู่ขนาดนี้ แถมยังห่วงอีกคนมากขนาดไหนอี้ชิงเองก็มาเล่าให้ฟังออกจะบ่อยไป ทุกครั้งที่น้องรู้สึกเหงา เปล่าเปลี่ยว อี้ชิงจะเป็นคนแรกที่ลู่ฮานจะยอมปริปากบอก
“ ไม่รู้ล่ะ ก็มัน... ”
“ คุยอะไรกันจ้อกแจ้ก เสียงดังไปถึงข้างนอก ”
ลู่หนานรีบนั่งขดตัว ไรขนที่ไขสันหลังพากันลุกชันขึ้นเกรียวกราว เสียหวานหยดย้อยดังขึ้นด้านหลังไม่ได้น่าฟังเลยสักนิด หากพี่อี้ชิงได้ยินเรื่องเมื่อครู่จะเป็นอย่างไรบ้าง หากลู่ฮานเอ่ยปากถามเขาจะตอบว่าอะไรเล่า ตอนนี้ร่างเพรียวมีความกลัวจับใจ ไอที่ว่าแน่เจอพี่อี้ชิงยังแพ้ กะจะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่คริสเจ้าตัวเขาก็ทำเป็นมองนกมองไม้จิบกาแฟไปเรื่อย ส่วนจงอินรายนั้นไม่ต้องกล่าว ทำตาพราวใส่อาหารตรงหน้ากลบเกลื่อนเรียบร้อยแล้ว
รักตูกันมากเลยสินะ
“ไฟลท์บินน่ะครับ คือ พี่คริสแค่ถามผมว่ามีบินอีกวันไหน ..แล้วก็เลยเพลิน คุยยาวไปถึงเรื่องแอร์บนเครื่องเลย สวยๆ ทั้งนั้น ”
ร่างเพรียวแถจนสีข้างถลอก ไม่วายโดนทั้งคริสทั้งจงอินตวัดตาใส่จนได้ แต่ก็ยังดีที่ลู่ฮานและอี้ชิงไม่ได้ใส่ใจอะไร สองสาวจึงพากันเคลื่อนตัวไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง ตามติดมาด้วยมัมมากาเร็ตและเจ้าตัวแสบสองตัวที่พากันทั้งวิ่งทั้งกลิ้งเข้ามาในห้องทานอาหาร หนูเฟยคนสวยยังคงไม่ยอมแพ้เจ้าฟ่าน เบียดกันไปมาจนคนเป็นมารดาเกรงว่าจะล้มลุกคลุกฝุ่นที่พื้นเข้า อี้ชิงคนสวยเอ่ยปรามเสียงแข็ง ส่งสายตาดุๆ ไปให้ลูกรักทั้งสอง จนคนเป็นพ่ออดจะหงอแทนไม่ได้ มากาเร็ตรับเด็กๆ เข้าในอ้อมแขน พาเฟยเฟยและฟ่านฟ่านไปนั่งยังเก้าอี้เด็กที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ เสร็จกิจแล้วนางจึงขอตัวออกไปจัดการงานในครัวหลังจากที่ทำหน้าที่ตรงนี้เสร็จสิ้น อี้ชิงคนงามพยักเพยิดอนุญาตให้แทนคำพูดตอบ เสใบหน้ากลับมามองอาหารบนโต๊ะแล้วเริ่มตักหาอาหารให้คนเป็นสามีตามบัญญัติหน้าที่ของภรรยาที่ดี โดยไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ให้ลูกรักทั้งสอง น้องชายทั้งคู่ และแขกสำคัญคนหล่อด้วย
---
นาฬิกาเรือนโตบอกเวลาเที่ยงคืน
เสียงอึกทึกคึกโครมยังดังลั่นอยู่ด้านล่าง หากแต่มันไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ลู่ฮานรู้สึกไม่สบายตัวจนนอนไม่หลับ
เขากำลังคิดถึงเซฮุน คิดถึงคนใจร้ายที่อยู่เกาหลี
ร่างเล็กนึกโทษตัวเองว่าทำไมถึงหาเรื่องเดือดร้อนให้หัวใจอยู่เรื่อย ลู่ฮานลืมตาโพลงในความมืด ผินเนตรดวงกลมออกไปยังนอกหน้าต่างกระจกใสที่มีแสงสว่างเรืองๆ อยู่นานหลายนาที เขาพลิกตัวไปทางซ้าย พยายามข่มตาหลับแล้วก็ไม่ได้เรื่อง ย้ายตัวเองมาทางขวา บังคับเปลือกตาปิดแต่ก็ยังไม่ระงับความว้าวุ่นในหัวใจได้เลยแม้แต่น้อย โทรศัพท์มือถือสีดำสนิทถูกสั่งการให้ล็อคไว้ มันเงียบสนิทและไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เช้า หรือบางทีอาจมี แต่ลู่ฮานเองก็ไม่รู้ ร่างเล็กยอมรับว่าไม่กล้าพอที่จะเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง มันจึงถูกวางแอ้งแม้งอยู่เช่นนั้นไปโดยปริยาย เรียวขาทั้งสองข้างตัดสินใจวาดวางลงบนพื้น ยันตัวเองขึ้นยืนด้วยแรงและน้ำหนักที่มั่นคงที่สุดในตอนนั้น คอกว้างๆ ของชุดนอนสีฟ้าตัวโคร่งไหลตกลงมากองอยู่ที่หัวไหล่ขาว สองเท้าเริ่มยกย่างไปตางทางเดินปูพรมภายในห้อง ลู่ฮานอยากจะไปหาอะไรดื่มเสียหน่อยเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาคลายความกังวลไปได้ โถงใหญ่ชั้นสองถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงไฟตามบางแห่งเท่านั้นที่ยังถูกเปิดเอาไว้เพื่อให้แสงสว่าง แต่กระนั้นเอง ถึงแม้จะดึกมากขนาดนี้แล้ว ช่องว่างเล็กๆ ใต้ประตูห้องนอนของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาก็ยังมีแสงไฟลอดออกมาให้เห็นอยู่เสมอ แผนการเดินลงไปหานมดื่มจึงกลายเป็นการชงกาแฟขึ้นมาเผื่อแผ่ผู้ใหญ่ในบ้านที่ทำงานดึกจะดีกว่า
ถาดทองเหลืองฉลุลายอ่อนช้อยตามแบบราชวงศ์ตะวันตกถูกยกไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มันค่อนข้างลำบากไม่น้อยเลยทีเดียวกับการที่ผู้ชายตัวเล็กๆ ต้องกลั้นใจประคองถ้วยกาแฟดำ ถ้วยชาดอกไม้กลิ่นหอมอ่อน และแก้วนมร้อนขึ้นมาบนชั้นสอง แถมยังต้องใช้แรงมือที่ยังเหลือเพื่อเคาะประตูไม้เนื้อหนานี่อีก คริสละมือออกจากกองแฟ้มงานที่ตนกำลังขะมักเขม้นเซ็นไม่ลืมหูลืมตา เครื่องหมายคำถามค้างคาในหัวใจตัวใหญ่ๆ ว่าใครเข้ามาให้ดึกดื่นคำคืนจนป่านนี้ หากแต่เมื่อเปิดประตูออกไปทุกอย่างก็คลายความสงสัยจนหมดสิ้น น้องชายคนรองของเขายืนยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูห้อง พร้อมกับเสบียงในถาดทองที่ส่งกลิ่นหอมอวลอบไปทั่วห้องกว้าง ร่างหนาหลีกทางให้ร่างเล็กสอดตัวเข้ามาด้านในได้ถนัดถนี่ ลู่ฮานแจ้งความจำนงให้พี่ชายตนรู้ พร้อมๆ กับยื่นแก้วกาแฟดำขมรสเข้มให้
“ ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เลยออกมาหาอะไรดื่ม แต่เผอิญเห็นแสงไฟยังเปิดอยู่เลยรู้ว่าพี่คงยังไม่นอน เผื่อพี่จะเพลีย ก็เลยชงกาแฟดำมาให้ รสชาติจะถูกปากไหมผมไม่ทราบนะครับ ” เขาว่าเสียงขันในลำคอ
“ ใช้ได้ทีเดียว แต่สู้รสมือเมียพี่ไม่ได้ ต้องไปฝึกมาใหม่อีกรอบนะ ”
มือหนายกขึ้นขยี้กลุ่มผมสีคาราเมล เรียกให้คนโดนกระทำต้องยู่หน้าขึ้นมาอย่างอดเสียไม่ได้
“ ใครจะไปสู้พี่อี้ชิงได้เล่าครับ เรื่องนั้นผมรู้ดีเลยล่ะ บู่.. อื้อนี่ ว่าแต่ พี่อี้ชิงนอนแล้วหรือยังครับ ผมชงชาดอกไม้มาด้วย กลิ่นหอมผ่อนคลาย ได้จิบสักหน่อยคงจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ”
คริสยิ้มติดมุมปาก หัวเราะหึในลำคอและเสหน้ามองไปยังห้องกระจกห้องเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานเขาสักเท่าไหร่ มู่ลี่สีอ่อนเรียงตัวปิดแน่นราวกับว่ากำลังปกปิดความลับที่อยู่ภายในนั้น
“ มาดามอู๋นั่งอยู่ในห้องนู้นแน่ะ เขาว่าต้องวาดรูประบายสี พี่ฝากไปดูทีนะ เดี๋ยวเซ็นตรงนี้เสร็จแล้วจะเข้าไป ”
ลู่ฮานพยักหน้ารับ ยกกระชับถาดทองเหลืองขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้งก่อนจะพาตัวเองเดินไปยังทางที่พี่ชายตัวโตบอกเมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งเคยได้เข้ามาในห้องนอนพี่คริสเป็นครั้งแรก ฟังจากปากลู่หนานหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าห้องนี้มันใหญ่แต่ก็ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งได้มาเจอได้มาเห็นกับตาก็ถึงได้รู้ ภายในห้องขนาดใหญ่ประกอบด้วยสี่ห้องหลักๆ ซึ่งหนึ่งก็คือห้องทำงานของพี่คริส สองคือห้องนอนของคู่สามีภรรยา สามคือห้องรวมของเด็กๆ และสี่คือห้องกระจกขนาดเล็ก พื้นที่ทำงานเงียบๆ ของพี่อี้ชิงที่พี่คริสลงทุนทำให้ มือบางยกขึ้นแนบกับประตูกระจก เคาะมันเบาๆ เพื่อขออนุญาตคนด้านใน ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ได้ฟังสดับ รับเสียงหวาน ว่าให้เขาเข้าไปรบกวนได้ตามสบาย
อี้ชิงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเขียนแบบขนาดใหญ่ โคมไฟสีชมพูลายดอกไม้ถูกตั้งติดเอาไว้ไม่ไกลจากตรงนั้น ห้องทำงานของอี้ชิงเต็มไปด้วยของตกแต่งมากมายที่สามารถบอกรสนิยมของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน ลู่ฮานเผลอนึกว่าตัวเองอยู่ในดินแดนขนมหวาน เครื่องใช้ทุกอย่างที่นี่น่ารักและมีสีอ่อนอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปเขาชอบ เจ้าของห้องแหงะกลับมามองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ครู่หนึ่ง วาดยิ้มกว้างจนลักยิ้มขึ้นรอยบุ๋มลึก ผายมือไปทางโซฟาตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ตั้งอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้า ก่อนจะละมือจากงานที่อยู่ตรงหน้าแล้วผละออกมานั่งอยู่ข้างๆ
“ ดึกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกหรือเรา ”
เสียงหวานนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง มือคู่บางยื่นไปรับถ้วยชาดอกไม้ที่น้องส่งมาให้ จับยกขึ้นจิบเล็กน้อยและระบายยิ้มอ่อน ผินใบหน้าสะสวยไปยังคงเป็นน้องชายพร้อมๆ กับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ รู้สึก.. นอนไม่ค่อยหลับน่ะฮะ เลยลุกขึ้นมาหาอะไรดื่ม เห็นไฟในห้องพี่เปิดอยู่เลยชงชาเข้ามาเผื่อ.. มันช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายนะครับ ”
อี้ชิงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ลดถ้วยชาวางลงบนจานรองถ้วย “ คิดมากเรื่องอะไรล่ะถึงนอนไม่หลับ ? ” ใครจะโง่ไม่โง่อี้ชิงไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ อี้ชิงไม่โง่ น้องนอนไม่หลับบ่อยๆ ก็เพราะคิดมาก ดวงตากลมโตนั่นไม่มีแววสดใสมานานนับเดือนแล้ว หากช่างสังเกตสักหน่อยก็คงจับพิรุธได้ง่ายๆ “ อย่าคิดจะโกหกพี่เชียว เราก็รู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่ชอบให้โกหก ? ” เขาเอ่ยปรามคนน่ารักก่อนที่น้องจะตัดสินใจพูดอะไรออกมา กี่ครั้งแล้วไม่รู้ที่ถูกโกหกตบตาว่าไม่เป็นอะไร สุดท้ายก็กลายเป็นว่าอี้ชิงต้องมาเห็นมารู้เอง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิดเดียว
“ พี่อี้ชิง... ”
“ รู้ไม่ใช่หรือว่าเราไว้ใจพี่ได้ ? พี่ไม่ใช่เจ้าหนานที่หุนหันพลันแล่น ถือหางฟังความข้างเดียวหรอกนะ ” เขารับน้องชายตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เวลานี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการอยู่เคียงข้างคนที่กำลังอ่อนแอและถึงจุดต่ำสุดของชีวิต อี้ชิงเข้าใจถึงจุดนี้ดีกว่าใครๆ ในบ้าน ด้วยตัวเองก็ได้ผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายคล้ายๆ กันมาแล้ว “ ไหน เล่าให้พี่ฟังสิเด็กดี ไม่ต้องเครียดนะ ค่อยๆ เล่า ” มือบางวางลงบนศรีษะทุย ลูบมันไปมาเบาๆ ราวกับว่าจะปลอบประโยน
“ พี่อี้ชิงฮะ.. ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน... คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ผมเป็นห่วงน้อง ” ร่างเล็กซุกใบหน้าลงบนเนื้อหน้าอกของคนเป็นพี่ พยายามเหลือเกินที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้อยู่ “ วันนี้ผมเปิดมือถือ ไม่คิดเลยว่าจะมีมิสคอลมากมายจากเขา.. ใจนึงก็ดีใจที่เขาโทรมา แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็รู้สึกกลัว... ” เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท เมื่อสุดท้ายแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม จนอี้ชิงต้องเพิ่มแรงกอดให้แน่นขึ้นอีกเท่าตัว “ ผมกลัวครับพี่อี้ชิง... กลัวคำว่ารักของเขา กลัวใจตัวเอง กลัวว่ามันจะจบแบบเดิมอีก.. ฮึก.. ” เสื้อนอนตัวบางของพี่สะใภ้คนสวยเปียกชื้น กลีบปากแดงฉ่ำพร่ำบอกคำประโลมโลนเป็นระยะไม่ได้ขาด “ เขาบอกว่าเขาไม่รักผม เขาบอกว่าเขาเกลียดผม ..ฮึก มันเจ็บจังครับพี่ เจ็บที่สุดเลย ” ลู่ฮานจิกเล็บลงบนฝ่ามือของตัวเองจนมันแดงช้ำ อี้ชิงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับต้องรุดมาแกะมือของน้องออก ไม่ชอบ... อี้ชิงไม่ชอบเอาเสียเลยเวลาที่คนที่อี้ชิงรักร้องไห้ มันเจ็บ และเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งดู
“ ผมอิจฉาพี่อี้ชิงจังเลยรู้ไหมฮะ.. พี่อี้ชิงมีสามีดีๆ แบบพี่คริส มีความรักที่งอกเงยและงดงาม.. ฮึก.. เซฮุนบอกผมเอาไว้ว่าเขาอยากมีลูก แต่ผมมีให้เขาไม่ได้ฮะพี่อี้ชิง.. ผมมันแย่ ผมมันแย่แบบนี้เซฮุนถึงหมดรักผม ”
ร่างบางคลายอ้อมกอดออก ประคองใบหน้าของคนเป็นน้องชายให้อยู่ในระดับเดยวกับเขา ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ก่อนที่อี้ชิงจะค่อยๆ ระบายยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง
“ ลู่ฮานรู้ไหม... กว่าที่คนเราจะได้รักกัน มันไม่มีอะไรง่ายทั้งนั่นล่ะ ” มือบางปลดออกไปกุมกระชับมือเล็กเอาไว้ หวังจะถ่ายทอดความอบอุ่นล้นที่มีอยู่ในหัวใจให้แด่คนที่กำลังอ่อนแอ “ กว่าพี่จะมายืนตรงจุดนี้ กว่าพี่จะมีความสุข มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิดไว้หรอกนะเด็กดี ทุกอย่างมันซับซ้อน กว่าจะได้รักกับคริส กว่าจะได้เข้าใจกัน มันต้องใช้เวลาและความอดทนสูง พี่กับคริสเราผ่านอะไรกันมามาก ทะเลาะกันเป็นร้อยครั้ง ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ บ้านจะแตกสาแหรกจะขาดหลายต่อหลายหน แต่เราก็ยังคงอยู่ด้วยกันได้ เพราะอะไรรู้ไหม ? ” อี้ชิงได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้า ร่างบางจึงตัดสินใจเริ่มเล่าเรียงเรื่องราวของทางเดินความรักอันไม่สวยงามนักให้คนน่ารักขี้สงสัยได้ฟังและนำไปคิด หากจะพูดถึงเรื่องนี้กันจริงๆ อี้ชิงก็ว่าเราต้องย้อนเวลาไปเมื่อเก้าปีที่แล้ว เขากับคริสเจอกันตั้งแต่สมัยตอนมหาลัยปีสอง อี้ชิงเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหน้าตาซื่อๆ ที่ดิ้นรนชิงทุนมาเรียนถึงแวนคูเวอร์ พ่อแม่ของเขาไม่ได้รวยล้นฟ้า มีเพียงบ้านหลังเล็กอันอบอุ่นที่ตั้งอยู่ในเมืองฉางซา มลฑลหูหนาน ประเทศจีนเท่านั้น คราแรกที่ได้ทุนอี้ชิงดีใจจนเนื้อเต้น วิ่งแล่นกลับบ้านขาแทบขวิดไปบอกพ่อกับแม่ว่าเขาจะไปเรียนต่างประเทศ แต่แทนที่จะได้รับคำสนับสนุน ร่างบางกลับโดนขัดขา ตัดสิทธิ์ขาดอย่างไร้เยื่อใยโดยคำพูดของคนเป็นพ่อ อี้ชิงอยากเป็นดีไซน์เนอร์ แต่พ่อท่านไม่ยอมเด็ดขาด ท่านว่ามันเป็นอาชีพและสาขาการเรียนที่เสมือนไม้หลักปักขี้เลน ทำมาหากินได้แต่หากไม่เป็นที่รู้จักมากพอชีวิตก็ดับ อี้ชิงในวันนั้นเลือดร้อนเกินกว่าจะเชื่อฟังคำปรามของพ่อ มันเปรียบเสมือนคำยุแยงตะแคงรั่วให้เป็ดขี้เหร่ตัวนี้ติดปีกบิน เขาตัดสินใจตอบรับทุนนั้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น วันบินก็เดินทางคนเดียวโดยไร้พ่อแม่ผู้ปกครองไปส่งอย่างคนอื่นเขา ในกระเป๋ามีเงินติดตัวอยู่เพียงหนึ่งก้อนใหญ่ๆ จากแม่ เพื่อเอาไว้ใช้ดำรงชีวิตในเดือนแรก โชคดีเหลือเกินที่โรงเรียนมีโฮสให้ จึงได้ประหยัดเงินค่าเช่าหอและค่ากินอยู่ไปเรื่องหนึ่ง
อี้ชิงเจอคริสครั้งแรกในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์โบราณคดี เขาเลือกวิชานี้เป็นวิชาย่อยเพราะไม่รู้จะลงเรียนอะไรในสาขาอีกแล้ว คริสเป็นคนตัวสูง ผิวขาว ผมสีดำสนิท คิ้วเข้มและดวงตาคมเรียวราวกับพญาเหยี่ยวสะกดให้ร่างบางแข็งทื่อ ยังจำได้อยู่เลยว่าเขาต้องให้เพื่อนในชั้นมาสะกิดเรียกถึงประคองสติตัวเองไปนั่งที่ได้ แต่กระนั้นพระเจ้าคงยังสนุกไม่พอ ห้องประชุมก็ออกจะใหญ่โตแต่กลับมีที่นั่งว่างเหลือเพียงที่เดียวคือข้างๆ คริส สารภาพเลยนะว่าวันนั้นอี้ชิงไม่เป็นอันเรียน หัวใจมันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ดังกลบเสียงโพรเฟสเซอร์จนหมดสิ้น สุดท้ายกรรมก็เลยตามตก ต้องไปยืมแลคเชอร์เพื่อนในคลาสมาก๊อปปี้ไปอ่าน แต่หัวใจกับปากก็ยังไม่วาย เผลอถามไถ่ถึงผู้ชายชื่อคริสกับเพื่อนหญิงคนหนึ่ง หล่อนว่าคริสเป็นคนดัง ยังโสด รักสนุก เจ้าชู้แพรวพราว สาวๆ รุมล้อม งานอดิเรกคือดื่มสุราปาร์ตี้เคล้านารีเป็นกลุ่ม จากคำบอกเล่าแค่นั้นอี้ชิงก็เบ้หน้า หล่อก็จริงแต่ทำนิสัยแบบนี้เขาก็รับไม่ได้ ขอเลิกยุ่งกันดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง
หากแต่เรื่องมันไม่จบเท่านั้น ดูเหมือนอี้ชิงยิ่งตีตัวออกห่าง คริสก็ยิ่งไล่ต้อนให้อี้ชิงจนมุม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องมาสนใจใยดีอะไรกับผู้ชายจีนหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาๆ แบบเขาหนักหนา คริสเข้ามาทำความรู้จักก่อน เข้ามาทำให้รักก่อน เข้ามาเทคแคร์ให้หัวใจดวงน้อยของคนคนนี้สั่นเล่นๆ ปั่นหัวให้วุ่นวาย ทำให้จะเป็นจะตายยามห่างกัน และสุดท้ายก็ฆ่าให้ตายอย่างเลือดเย็น !
คริสรักอี้ชิงจริงๆ หากแต่ความรักดังกล่าวไม่ได้มีเพียงอี้ชิงเท่านั้นที่ได้รับ คริสยอมรับว่าเขามีความสุขยามที่อยู่ข้างอี้ชิง มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของคนที่เขารัก มีความสุขยามที่เห็นอี้ชิงมีความสุข แต่อย่างไรก็ตามเขาเลิกสันดานเลวๆ แบบนี้ไม่ได้ ตลอดเวลาที่มีอี้ชิงเป็นแฟน คริสออกไปคั่วกับผู้หญิงคนอื่นสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเพื่อดับความต้องการทางเพศในผู้ชายวัยกลัดมันทั่วๆ ไป เขาใช้เวลาช่วงที่อี้ชิงมีโปรเจคใหญ่ หรือไม่ก็มีงานพิเศษเยอะจนยากจะขยับตัวไปไหนปลีกตัวไปสนุกกับวงเหล้าและสาวๆ ตบตาได้ยาวเกือบหนึ่งปีจนกระทั่งวันหนึ่งที่ความแตก อี้ชิงกลับมาจากมหาลัยในตอนเช้าตรู่ หลังจากเมื่อคืนที่ร่างบางลุยโปรเจคใหญ่จนเหนื่อยสายตัวแทบขาด เขาเลือกจะไม่กลับบ้านโฮสเพราะมันค่อนข้างไกลอยู่โข อี้ชิงแวะเข้าไปในคอนโดของคริส หวังจะได้อาบน้ำอุ่นๆ และนอนหลับไปในอ้อมกอดของคนเป็นแฟน แต่ไม่.. ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่สำหรับอี้ชิงอีกต่อไปแล้ว พื้นที่บนเตียงหลังใหญ่ที่เขาเคยหลับนอนกลับแทนที่ด้วยหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าใคร วินาทีนั้นความไว้ใจทุกอย่างพังทลายลงราวกับภูเขาหินผาถล่ม อี้ชิงแทบไม่มีแรงพยุงให้ตัวเองยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง น้ำตาอุ่นร้อนไหลกลิ้งทั่วกรอบแก้มและใบหน้า มือบางกำบีบเข้าหากันจนแน่น ก่อนที่อี้ชิงจะแผดเสียงกรี้ดลั่นห้อง ถลาตัวเข้าไปทุบตีร่างหนาที่นอนสลบอยู่บนเตียงเนื่องจากกิจกรรมอันเหนื่อยล้าเมื่อคืน คริสเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังประทุษร้ายเขาอยู่คือใคร หัวใจทั้งดวงกระตุกวูบเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ตนเองแสนรักแสนหวงมีน้ำตานอง เขาพยายามเหลือเกินที่จะอธิบายให้อี้ชิงฟังสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ ณ ตอนนั้นอารมณ์อยู่เหนือทุกๆ อย่าง ร่างบางสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของคนที่ได้ชื่อว่าแฟน เหวี่ยงมือลงบนแก้มกร้านเต็มแรงแล้วหอบเอากระเป๋าเป้วิ่งออกมาจากห้อง อี้ชิงสับเท้าให้เร็วที่สุด เขาไม่สนใจเสียงทุ้มๆ ที่ตะโกนไล่หลังมาว่าให้รอก่อน ไม่สนใจแม้คริสจะใส่เพียงบ็อกเซอร์หนึ่งตัววิ่งตามออกมาไล่หลัง เขาโบกแท็กซี่ แจ้งเจตจำนงว่าจะไปสนามบิน และตัดสินใจบินกลับฉางซา ณ วันนั้นในตอนบ่าย
พ่อด่าอี้ชิงเสียยกใหญ่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านไม่พอใจอย่างมากที่อี้ชิงยังเรียนไม่จบแล้วรีบกลับมาจากต่างประเทศกลางคันเสียก่อน แต่คนประสบเท่านั้นล่ะที่จะรู้ อี้ชิงไม่พูดกับพ่อ ยอมรับว่าตัวเองโง่เองที่ไม่ฟังคำพูดของพ่อ เขาไม่กินข้าว ไม่มีแรงไปเรียน ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิตจนเกือบกลายเป็นโรคซึมเศร้า เขารอแล้วรอเล่า หวังจะให้คริสมาตามหาทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันอาจเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ห้าวันก็แล้ว เจ็ดวันก็แล้ว หน้าประตูบ้านยังเงียบงัน ไม่มีร่างของชายคนที่อี้ขิงรักอยู่ที่นั่น ไม่มีแม้แต่เสียงเต้นของหัวใจที่เคยดังก้องอยู่ในหัว ร่างบางกำลังตายลงไปช้าๆ ความทรมาณกำลังกัดกินสัญญาณชีพที่เหลืออยู่ให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ หากแต่ว่า..ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น คริสก็มา...
คริสเสียเวลากับการตามหาที่อยู่ของร่างบางนับสัปดาห์ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากฝ่ายวิชาการซึ่งนั่นแปลว่าการหาตัวอี้ชิงยิ่งยากขึ้น ที่อยู่บ้านที่แท้จริง เบอร์ หลักฐานยืนยันตัวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งส่วนบุคคลที่หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเป็นลายลักษ์อักษรก็ไม่สามารถขอให้ใครเปิดดูได้ คริสคิดแล้วคิดอีก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความเสี่ยง เขาไม่อยากมีเรื่องกับฝ่ายวิชาการ และเช่นเดียวกันก็อยากได้ข้อมูลของอี้ชิงเร็วๆ ด้วย ทางเลือกสุดท้ายบีบให้เขากลายเป็นขโมย ให้ตายเถอะ คุณคงไม่เชื่อใช่ไหมว่าคนอย่างคริสอู๋จะยอมเป็นขโมยเพื่อคนที่ตัวเองรัก ? แต่ก็อยากบอกไว้เลยเหมือนกันตรงนี้ว่า คริสอู๋เนี่ยล่ะที่วางแผนเอง จัดการเองทุกอย่าง ไม่ต้องไปพึ่งมือใครให้เป็นภาระและเพิ่มความเสี่ยงให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคริส หัวใจที่หายไปก็ของคริส จะไปตามกลับมาก็ต้องไปด้วยตัวเอง คริสปฏิญาณไว้เช่นนั้น
ถึงแม้จะหวังว่าคริสจะตามมา และคริสก็มาแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับแก้วใบบางๆ เต็มไปด้วยรอยร้าว ที่พร้อมจะแตกออกทุกเมื่อ อี้ชิงคิดถึงคริส แต่เขาไม่ออกไปหา ไม่ออกไปพบและไม่ใยดีคริสเลยสักนิด ร่างบางมองคนรักตัวเองจากบานหน้าต่างทุกวัน เห็นทุกการกระทำและทุกอิริยาบถ คริสยังนั่งอยู่หน้าบ้าน คุกเข่าถือช่อดอกไม้ไฮเดรนเยียสีม่วงช่อเดิมอยู่นานสามวันเต็มๆ เขาไม่ลุกไปไหนเลย แม้แม่และพ่อของอี้ชิงจะไปบอกให้กลับบ้านกลับช่องไปแต่คริสก็ค้านเสียงแข็ง เขาอยากขอโทษอี้ชิง ขอให้กลับมาเป็นคนรักกันเหมือนเดิม และอยากให้อี้ชิงได้มาฟังคำว่ารักจากปากเขาสักครั้ง หากเหตุการณ์หลังจากนั้นมันแย่ คริสก็พร้อมจะไปจากสนามแข่งนี้ด้วยตัวเอง
เข้าสู่วันที่ห้า ภูมิอากาศในฉางซาเข้าสู่สถานการณ์วิกฤติ จู่ๆ พายุก็เข้ามาโดยไม่ทราบสาเหตุ ฝนตกลมแรงตั้งแต่ย่ำรุ่ง อี้ชิงหวังเหลือเกินว่าตื่นมาเขาจะไม่เห็นคริสนั่งอยู่ตรงนั้น เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาตัดใจได้ง่ายขึ้น แต่อี้ชิงคงลืมไปเสียแล้วกระมังว่าแฟนเขาเป็นใคร คนอย่างคริสอู๋ถ้าไม่ตายก็ง้อกันต่อไปเรื่อยๆ ร่างหนานั่งก้มหน้าสำนึกผิดท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีหลังคาหรือชายคาอะไรที่ให้ที่พักพิงเขาเลยสักนิด คริสทลายกำแพงหัวใจอี้ชิงลงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันแตกต่างเพราะอี้ชิงไม่คิดเผื่อไว้ว่าตัวเองจะเสียใจมากมายขนาดไหนหากให้ความช่วยเหลือคนนิสัยไม่ดีเช่นนี้ มือบางคว้าร่มคันใหญ่ สะบัดกางและทะยานออกไปนอกบ้าน พยุ่งร่างคนตัวสูงที่มีอุณภูมิผิวเนื้อร้อนจัดจนน่ากลัวเข้าไปด้านใน ก่อนจะจัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ในฐานะแฟนที่ดี
คริสกับอี้ชิงกลับมาคบกันเหมือนเดิม โดยที่มีข้อตกลงต่อกันว่าทั้งคู่นั้นจะไม่มีความลับอะไรปิดบังต่อกันอีก คริสให้สัญญาว่าจะเลิกเจ้าชู้ จะเลิกกินเหล้ามายา เลิกปาร์ตี้และเลิกเคล้านารีหากอี้ชิงกลับไปด้วย ร่างบางตอบตกลงไปเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรติดค้าง คริสไปคั่วกับผู้หญิงอื่นนั้นนั่นเป็นเรื่องเก่าสำหรับเขาไปแล้ว ณ ตอนนี้ เวลานี้ คนที่คริสเลือกคืออี้ชิง แล้วจะมีเหตุผลอะไรต้องลังเลอีกในเมื่อหัวใจเราก็ต่างเรียกร้องกันและกัน หากแต่ครั้นความควายหายขาด ความวัวก็รี่เข้าแทรกชำแรกให้วุ่นวายมากขึ้นอีก พ่อของอี้ชิงไม่ชอบคริสนักหลังจากรู้ว่าไอ้หนุ่มหน้านกแดงนี่แอบกิ๊กกั๊กกับลูกชายท่านอยู่ แถมยังเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายของเขาเสียใจจนต้องหนีกลับมาฉางซาก่อนจบการศึกษา แผนเด็ดของท่านคือการขัดขาไอ้หนุ่มหน้านกนี่ทุกวิธีทางเท่าที่จะทำได้ ทั้งแยกให้ห่างจากกัน บังคับไม่ให้เจอกัน ทำตัวร้ายๆ ใส่ไม่สมกับการเป็นพ่อตาที่ดี แต่คริสก็ยังไม่ยอมแพ้ เข้าทางพ่อตาไม่ได้ก็ขอเข้าทางแม่ยาย คนตัวโตตามตื้ออยู่เรื่อยจนคุณนายจางใจอ่อน ไล่กลับไปแคนาดาทั้งคู่
ทั้งคู่คบกันยาวนาวจนถึงวันจบการศึกษา อี้ชิงส่งเงินก้อนหนึ่งกลับมาให้พ่อให้แม่และแนบจดหมายแจ้งว่าเขาคงจะอยู่ทำงานที่นี่ ไม่กลับไปฉางซาอีก เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด แต่งานการและอาชีพของเขาจะรุ่งเรืองกว่าหากอยู่ที่นี่ แม้อี้ชิงจะไม่ชอบที่พ่อขัดขวางงานที่เขารัก แต่อย่างไรพ่อก็ยังเป็นพ่อ ร่างบางอยากให้ครอบครัวของตัวเองอยู่สุขสบายที่สุด ไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ลำบาก แบกหน้าไปทำงานเป็นลูกน้องคนอื่นอีกต่อไปแล้ว เขาจึงตั้งต้นจากที่นี่ เริ่มเขียนแบบง่ายๆ ตัดเย็บมันขายทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ก่อร่างสร้างตัวไปพลางระหว่างรอคริสเรียนต่อโทให้จบ หากถามถึงปัญหาระหว่างคนทั้งคู่ว่ามีอีกไหม อี้ชิงก็จะตอบให้มั่นใจว่าเรื่องเก่าๆ นั้นไม่มีอีกแล้ว คริสทำอย่างที่ให้สัญญา ไม่ออกไปกินเหล้าเมายาหรือเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเขาอีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีและเป็นพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน
กว่าคริสจะเรียนจบ แบรนด์Fanxingก็เป็นที่รู้จักจนเกือบทั่วแวนคูเวอร์ไปเสียแล้ว อี้ชิงไม่อยากทิ้งที่นี่ไป แต่คริสก็ไม่ยอมท่าเดียว เขาอยากให้คนรักหน้าหวานกลับไปอเมริกาด้วยกัน กลับไปทำความรู้จักกับครอบครัวและจัดการอะไรต่อมิอะไรให้มันเสร็จๆ อย่างที่ใจหวังไว้ คริสไม่เคยคิดว่าเขาจะได้พบกับคนที่รับเขาได้ทุกอย่าง อี้ชิงเรียนรู้นิสัยทั้งดีทั้งแย่ของเขาจนหมดสิ้น ( แม้นิสัยแย่จะมากกว่าก็ตามที ) บางครั้งคริสก็หุนหันพลันแล่น บางทีก็เอาแต่ใจ บางเวลาก็ชอบที่จะอาอารมณ์เป็นใหญ่ในการแก้ปัญหา แต่เชื่อหรือไม่ว่าไม่เคยมีวันไหนเลยที่อี้ชิงหมดรักคริส ร่างบางยังคงยืนอยู่ตรงนี้ คอยสนับสนุน ให้กำลังใจ เป็นขุมพลังผลักดันอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต คริสเชื่อว่าเขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เขาไม่ต้องการไขว่คว้าอะไรที่สูงกว่านี้ ไม่ต้องการมีผู้หญิงมากมายรายล้อม เพราะเขาเชื่อมั่นเหลือเกินว่า อี้ชิงคือนางฟ้าที่ให้แสงสว่างในวันที่มืดมิด คือคนที่คริสเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตราบจนวันสุดท้ายของลมหายใจ
นับเป็นโชคดีที่คนตระกูลอู๋ค่อนข้างมีทัศนะคติที่เปิดกว้างทางด้านความรัก คุณแม่ไม่ขัดคุณพ่อก็ไม่คิดจะตักรอนให้เสียเรื่อง ทุกคนรักและเอ็นดูอี้ชิงราวกับลูกคนหนึ่งของบ้าน ไม่ได้มีทีท่าขับไล่ไสส่งอะไรให้ร่างบางรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย จะเว้นไว้ก็แต่ลู่หนานที่วันนั้นทำตัวเป็นไอเข้ขวางคลอง หวงคริสเสียยิ่งกว่าอะไรดี ร่างเพรียวพยายามเหลือเกินที่จะกันคริสออกจากอี้ชิง ยิ่งรู้ว่ามีแพลนจะแต่งงานกันสติสตางค์ยิ่งพลันจะขาดผึง อี้ชิงในวันนั้นแสนจะท้อใจ จะทำเช่นไรหากโดนน้องชายคนที่เขารักตั้งกำแพงต่อต้านเช่นนี้ ร่างบางพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถร้อยแปดพันเก้า ทำเช่นนั้นอยู่เกือบปีจึงได้รับการยอมรับ พร้อมๆ กับคำสารภาพที่ว่า ‘ ลู่หนานแค่ไม่อยากให้พี่ชายตัวเองแต่งงานก่อน ’ ก็เท่านั้น
หลังจากทุกอย่างลงตัว คริสก็ดำเนินเดินหน้าทำตามแผน เขาขออี้ชิงแต่งงานตอนที่คนรักหน้าหวานกำลังหั่นหัวหอมอยู่ในครัว ตอนแรกอี้ชิงหาว่าเขาบ้า แต่เมื่อเห็นแหวนเพชรวงเล็กในกล่องกำมะหยี่เท่านั้นล่ะ อี้ชิงก็ยอมวางมือ ผินใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากลับมาถามว่าร่างบางฝันไปเองหรือเปล่า คริสตอบไปว่าไม่ พร้อมๆ กับการรับร่างคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมกอด อี้ชิงตัวน้อยร้องไห้จนตัวโยน กระซิบขอบคุณคนตัวโตเสียงแหบพร่าไม่ได้ขาดไปแม้แต่เสี้ยวของวินาที นิ้วนางข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่าถูกประดับด้วยแหวนเงินวงเล็ก ฝังเพชรศูนย์จุดเจ็ดศูนย์กะรัตพอให้เหมาะสมกับการหมั้นหมายของทั้งคู่ คริสลงทุนโทรไปโดนพ่อตาด่าด้วยตัวเองโดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น วินาทีนั้นหากคุณจางจะเอาไรเฟิลมาเป่าหัวเขาเขาก็คงตายอย่างมีความสุข คริสเห็นอี้ชิงยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา เห็นคนรักของเขามีความสุขที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น ชีวิตคู่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ที่จะถึงนี้
ขึ้นชื่อว่างานแต่งงาน ก็ต้องมีทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว คราแรกอี้ชิงจะใส่สูทแต่งแต่แม่เหม่ยอิงไม่ยอมอยู่เท่าเดียว หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็อยากจะเห็นลูกสะใภ้ของตัวเองใส่ชุดแต่งงานสีขาวพิสุทธิ์ให้ได้ คู่รักที่กำลังจะแต่งงานนั้นแสนอ่อนใจ จะคัดค้านเช่นไรท่านก็ไม่ยอมอยู่ท่าเดียว ยังไม่จบแค่นั้นหรอกนะ คุณจางกับคุณนางจางเองก็บินมาสมทบ ประกาศเสียลั่นบ้านว่าถ้าอี้ชิงไม่ใส่ชุดแต่งงานก็จะไม่ให้แต่งเด็ดขาด คำตัดสินของผู้ใหญ่ในวันนั้นทำให้อี้ชิงต้องตกปากรับคำว่าจะใส่ชุดแต่งงานแน่ๆ แต่ต้องให้เวลาเขาตัดและตกแต่งมันเองทั้งหมด ลูกเสือเขายังไว้ลาย ดีไซน์เนอร์อย่างอี้ชิงก็ต้องยกเอาวิชาที่เรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เขาออกไปหาซื้อผ้าในการตัดชุดเอง วางแพตเทิร์น ตัดผ้าแยกเป็นชิ้นๆ ประกอบมันด้วยจักรไฟฟ้า ติดลูกไม้ เก็บชายกระโปรงยาว รวมถึงการตรวจความเรียบร้อยของรอยตะเข็บด้วยตนเองทั้งหมดทั้งสิ้น อี้ชิงอยากให้มันออกมาให้ดีที่สุด เพราะมันคือวัสำคัญของเขาทั้งคู่ คริสเองคงไม่อยากให้เจ้าสาวของตัวเองมีชายกระโปรงรุ่ยตอนเดินขึ้นแท่นพิธีหรอก ใช่ไหม ?
พิธีแต่งงานจัดขึ้นง่ายๆ ที่บ้าน มาดามอู๋ลงทุนเชิญบาทหลวงที่คิวแน่นที่สุดในเมืองมาสวดอวยพรให้ลูกๆ ที่เขารักทั้งคู่ อี้ชิงสวยมาก สวยจนเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นผู้หญิงจริงๆ ราศีดับจนหมดสิ้น ใบหน้าสวยสง่าถูกแต่งแต้มเพิ่มสีเข้าไปให้แลดูเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากอิ่มแดงฉ่ำน้ำเคลือบกลอสใส วิกผมลอนสีน้ำตาลเข้มถูกปล่อยยาวถึงกลางหลัง ชุดเจ้าสาวสีขาวพิสุทธิ์กับรองเท้าส้นสูงถูกสวมและจัดระเบียบโดยมัมมากาเร็ต อี้ชิงสั่นไปหมดทั้งตัว เขากลัวว่าเขาจะดูไม่ดีในสายตาแขกเหรื่อในงาน กลัวว่าจะเป็นที่ครหาว่าเขากับคริสคือพวกวิปริตผิดเพศ กลัวว่าคริสจะถูกต่อว่าเสียๆ หายๆ เพราะความรักที่ก่อตัวขึ้นระหว่างผู้ชายสองคน อี้ชิงไม่รู้จะทำเช่นไรดี เขาอยากหนีออกจากงานแต่งในตอนวินาทีสุดท้าย แต่ยังไงก็ทำไม่ได้.. เขาจะทิ้งคริสให้อยู่ตรงนี้คนเดียวไม่ได้ เขาจะต้องออกไปเผชิญปัญหากับคริส ออกไปหาคริส จับมือคริสไว้และผ่านปัญหานี้ไปพร้อมๆ กัน
ร่างบางได้รู้ซึ้งเสียแล้วว่าสายตาผู้คนมากมายที่มองมาไม่อาจดึงความสนใจจากตนเองไปได้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ฝ่าเท้าเล็กภายในรองเท้าส้นสูงสีขาวค่อยๆ เดินไปตามทางเดินหินที่ถูกปูไว้ หัวใจดวงน้อยก็เต้นระรัวจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก มือบางกุมจิกแขนเสื้อคนเป็นพ่อแน่น ส่วนอีกข้างที่มีช่อดอกไม้ป่าก็ชื้นเหงื่อไปหมด ร่างหนายืนอยู่บนแท่นพิธีในชุดสูทสีดำสนิท เรือนผมสีเข้มถูกหวีและจัดให้เป็นทรงสุภาพ ใบหน้าหล่อเหลามียิ้มประดับพราย ยิ่งทำให้ใจของอี้ชิงทำงานหนักขึ้นไปอีก เสียงคำพูดในใจดังก้องฟ้องว่าร่างบางกำลังจะแต่งงาน กำลังจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายที่รักที่สุดรองจากพ่อ กำลังจะต้องเปลี่ยนนามสกุลให้กลายเป็นสกุลอู๋ แทนสกุลจาง จะต้องจากบ้านมาใช้ชีวิตร่วมกับคริสอย่างจริงๆ จังๆ เสียที ความประหม่าในตัวเขาหลุดลอยไปชั่วครู่ เมื่อมือคู่อุ่นของพ่อเอื้อมมาประคองสองมือน้อยของลูกไว้ คุณจางมองใบหน้าสวยหวานของลูกชายคนสวยทั้งๆ ที่น้ำตาคลอเบ้า เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แก้มใสเจือสีชมพูระเรื่อ กดจมูกสูดดมกลิ่นอายของอี้ชิงเอาไว้ให้เต็มปอด ก่อนจะค่อยๆ ส่งมือของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นทุกๆ อย่างของตนเองให้ชายแปลกหน้าที่ชื่อว่าคริส เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น สั่งกำชับลูกเขยตัวเองเสียงแข็งว่าให้ดูแลดวงใจของเขาให้ดีที่สุด ถ้าหากวันใดอี้ชิงจะมีน้ำตาอย่างที่ผ่านๆ มา รับรองว่าคนเป็นพ่อตา ( หมาดๆ ) อย่างเขาจะไม่ยอมเป็นครั้งที่สองแน่
บาทหลวงเริ่มกล่าวบทให้สาบานกับพระเจ้า ตามด้วยการกล่าวสัญญาของคู่บ่าวสาวทั้งสอง ประสาทการรับรู้ทางเสียงของอี้ชิงพิการไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของคริสเอ่ยถามว่าเขาจะรับคริสเป็นสามีด้วยความเต็มใจหรือไม่ คนบ้า ก็เขาอยู่ตรงหน้านี่แล้วยังจะมาถาม ส่วนของพิธีน่ะอี้ชิงรู้ แต่ไอสายตาแพรวพราวที่ส่งมานั่นแม่อยากจะควักออกมาเหยียบด้วยส้นรองเท้าให้เละกันไปข้าง คนตัวบางกระแอมอาย ตอบอ้อมแอ้มกลับไปว่ารับแล้วก็เตรียมจะเบี่ยงตัวหนี เมื่อได้ยินว่าพี่น้องเพื่อนพ้องพ่อแม่พากันส่งเสียงเชียร์ให้คริสกับเขาจูบกัน จะบ้าหรือไง ! นี่กลางแดดนะ แต่งก็แต่งที่สวนในบ้าน แขกเหรื่อในงานก็เยอะแยะ ทำอะไรก็อายมนุษย์มนาเขาบ้าง หากแต่อี้ชิงก็ทำได้แค่บ่นในใจ เมื่อหลังจากนั้นเพียงสองถึงสามลมหายใจคริสก็ประคองใบหน้าของเขาเข้าไปจูบ กลีบปากแดงฉ่ำถูกบดเบียดเบาๆ ราวกับจะขออนุญาต คนตัวบางไม่อยากจะขัดให้เสียเรื่องจึงยอมเผยอปากรับเกลียวลิ้นร้อนให้เข้ามารุกล้ำยังพื้นที่ด้านในได้ คริสประคองลำตัวของภรรยาเอาไว้ไม่ให้ห่าง คลอเคลียอยู่นานถึงจะยอมผละออก ดวงตาอันตรายจ้องมองใบหน้าของคนที่ตนเองรักแล้วก็เผยยิ้ม เขากระซิบเสียงแผ่วใกล้ริมฝีปากอิ่มว่ารักอี้ชิงมากขนาดไหน พร้อมทั้งให้สัญญาว่าจากนี้จะทำตัวให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก เพื่อสมกับการเป็นสามีที่ดีของมาดามอู๋ อี้ชิง
หกเดือนหลังจากการใช้ชีวิตคู่ คริสและอี้ชิงก่อร่างสร้างตัวจนมีเงินเก็บมากมายพอที่จะเลี้ยงตัวเองไปตลอดชีวิต ความฝันที่จะมีลูกของคนทั้งสองถูกสานต่อ บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าคือปลายทางที่คนทั้งสองหวังจะไปรับเด็กสักคนสองคนมาเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อสืบทอดธุรกิจของตระกูล ร่างบางหวังเอาไว้ว่าอยากจะได้ลูกสาวมาเลี้ยง แต่คริสค้านเพราะเขาบอกว่าลูกสาวนั้นเลี้ยงยาก บอบบางไม่แข็งแกร่งเหมือนกับลูกชาย หากแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันจนบ้านแตกไปข้าง แม่ครูก็เดินหน้ายิ้มแย้มออกมา พร้อมกับแจ้งข่าวดีที่ว่าเมื่อสองวันก่อนเพิ่งมีคู่แฝดคนละฝาถูกฝากเข้ามาในบ้าน อี้ชิงดีใจเสียยกใหญ่ รีบรุดเข้าไปดูเด็กน้อยที่ตนกำลังจะรับไปเลี้ยง ,น่าแปลกที่เหลือเกินที่เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก แถมโครงหน้าค่าตาก็มีลักษณะคล้ายกับเขาและคริสในวัยเด็ก ตระกูลอู๋จึงได้หลานเข้ามาเพิ่มเติมความอบอุ่นในครอบครัว ซึ่งก็คือหนูแครอลและเจ้าเคิร์ทตัวแสบ
“ เห็นไหมว่าความรักไม่ได้ง่ายเลย พี่กับคริสผ่านอะไรมากันตั้งเยอะแยะ เราเจอแค่นี้.. จะยอมแพ้แล้วหรือ ? ”
อี้ชิงยิ้มบาง ยกมือขึ้นลูบหัวคนเป็นน้องชายอีกครั้ง ดวงใจดวงน้อยแช่มชื่นขึ้นเยอะหลังจากเห็นว่าใบหน้าน่ารักของลู่ฮานมีเลือดฝาดเพิ่มขึ้นมาก คราบน้ำตาที่เคยเกรอะกรังก็หายไปแล้ว
“ ผมไม่ได้ยอมแพ้.. แต่ ”
“ พี่ครับ ! โทรศัพท์มาแน่ะ ดีนะผมขึ้นมาเอาแพร์รี่เน่า ไม่งั้นคุณจุนมา...ยวน อะไรนี่คงวางสายไปแล้ว ”
เสียงประตูกระจกเปิดขึ้นพร้อมๆ กับเสียงทุ้มนุ่มของลู่หนาน ร่างเพรียวใช้ร่างกายของตัวเองดันประตูให้เปิดค้างไว้ แขนข้างหนึ่งก็วุ่นวายกับการล็อคคอตุ๊กตาตุ่นปากเป็ดแพร์รี่หน้าตาโง่ๆ ส่วนมืออีกข้างที่เหลือก็ถือประคองโทรศัพท์เครื่องหรูของคนเป็นพี่ชายเอาไว้ แสงสว่างค้างจากหน้าจอบ่งบอกว่าเจ้าตัวทำการกดรับเรียบร้อยแล้ว มือเล็กอันสั่นเทาจึงยื่นไปรับมันมาแล้วกล่าวขอบคุณคนเป็นน้อง ลู่ฮานกลัวไปหมด ไม่รู้จุดประสงค์และเจตจำนงค์ของพี่จุนมยอนว่าจะโทรมาทำไมตอนนี้
“ ไม่กล้าคุยคนเดียวก็เปิดสปีกเกอร์โฟน เจ้าหนานอยู่นี่ พี่ก็อยู่นี่ เดี๋ยวคริสก็เข้ามา เขาจะว่ายังไงก็ให้รู้กันไปเลยตรงนี้ สู้คือสู้ เสียน้ำตาคือเสียน้ำตา.. มาเถอะ มาทำให้มันจบกันนะเด็กดี ”
อี้ชิงฉวยเอาไอโฟนวางลงบนโต๊ะตั้งกาแฟ กดเปิดสปีกเกอร์โฟนโดยไม่ได้ทำการขออนุญาต ส่วนลู่หนานก็ย้ายตำแหน่งจากหน้าประตูเข้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามร่างเล็กเรียบร้อยแล้ว พูดถึงคริส รายนั้นตามเข้ามาทีหลัง เขาเชื่อว่าความอยากรู้สำคัญกว่างานตรงหน้าเสมอ ( อี้ชิงกระซิบมาว่าคริสจุ้นจ้านเสียไม่มี )
“ ส..สวัสดีฮะพี่จุนมยอน ”
เสียงหวานสั่นเครือเหลือเกิน ด้วยเพราะลู่ฮานไม่อาจควบคุมให้ตัวเองหยุดสั่นได้ ลำพังแค่อี้ชิงกอดเอาไว้เหมือนจะไม่เพียงพอสักเท่าไหร่ คริสจึงต้องเลื่อนมือไปกุมกระชับมือเล็กไว้อีกแรง
( พระเจ้า! นั่น..นั่นลู่ฮานจริงๆ ใช่ไหม ฮึก.. ขอบคุณนะที่รับโทรศัพท์พี่ ขอบคุณจริงๆ ฮึก.. )
ทันทีที่เสียงของจุนมยอนรอดกลับมา ก็พาให้คนทั้งห้องขมวดคิ้วฉับ.. ถ้าหูยังไม่พิการหรือเป็นน้ำหนวกไปเสียก่อน ฟังดูก็คงจะรู้ว่าปลายสายนั้น... ร้องไห้อยู่
“ พี่จุนมยอน.. พี่จุนมยอนเป็นอะไรครับ พี่จุนมยอนหยุดร้องไห้ก่อนนะครับ ใจเย็นๆ นะครับ แล้วค่อยๆ เล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น.. นะครับ ”
กลายเป็นว่าตอนนี้คนร้องไห้ต้องมาปลอบคนร้องไห้ด้วยกันเสียอย่างนั้น ลู่ฮานว่ามันไม่น่าใช่เรื่องเล็ก เขาจึงกดปิดสปีกเกอร์โฟน ยกมันขึ้นมาแนบหู รอฟังคำตอบจากคนอีกคนด้วยหัวใจที่จดจ่อ
( ฮือ.. ลู่ฮาน.. ลู่ฮานช่วยพี่ด้วยนะ ช่วยเซฮุนด้วยนะ.. ) ปลายสายตอบกลับมาอย่างพร่ำเพ้อ ( พี่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พี่แก้ปัญหาไม่ได้ ฮึก.. มันแพร่ไปเร็วมากลู่ฮาน พี่ซื้อกลับมาได้ไม่หมด ที่เกาหลีมีแต่คนพูดเรื่องนี้.. น้องไม่เหลือใครแล้วลู่ฮาน ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ) จุนมยอนพูดไปก็สะอื้นในลำคอไป เขาสติหลุด ไม่รู้จะเรียบเรียงอะไรก่อนอะไรหลัง ( นักข่าวเต็มหน้าคอนโดไปหมดเลยลู่ฮาน มันน่ากลัวมาก ..ฮึก )
อะไรกันที่ว่าซื้อกลับมา อะไรกันที่ว่าแพร่ไปเร็วมาก ? ลู่ฮานงงไปหมดแล้ว !
“ พี่จุนมยอนครับ ใจเย็นๆ แล้วจับประเด็นให้ได้ก่อนนะครับ ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเซฮุนเป็นอะไรครับ ”
คนตัวขาวปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ร่างเล็กได้ยินเสียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปทุกส่วน
( ฟังพี่ดีๆ นะลู่ฮาน.. พี่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว.. มีมือดีที่ไหนก็ไม่รู้ตามเราไปที่ห้าง ถ่ายรูปตอนที่เรากับเซฮุนจูบกันมาปล่อยให้นักข่าว.. ฮึก ละ..แล้วยังไม่พอเท่านั้น.. เราจำตอนที่ไปเกาะส่วนตัวของคุณแม่กับเซฮุนได้ไหมลู่ฮาน ..มัน..มันตามเราไป แล้วก็ถ่ายวีดีโอตอนที่เรามีอะไรกับเซฮุนปล่อยให้นักข่าว.. พี่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นยิ่งกว่าไวรัส แพร่สะพัดไปทั่วทุกสื่อ ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ทัมเบลอร์ ยูทูป ไม่เว้นแม้แต่เหว๋ยโป๋.. )
“ … ”
( น้องบอกพี่ว่าน้องจะแถลงข่าวลาออกจากวงการพรุ่งนี้ จะบอกให้โลกรู้ว่าเขาเป็นประเภทชายรักชาย.. แต่จะไม่พาดพิงถึงเราเลย น้องรักเรามากนะลู่ฮาน พี่ไม่อยากให้น้องแย่แบบนี้ ทุกวันนี้มันก็เลวร้ายพออยู่แล้วเราคงไม่รู้ เซฮุนกินเหล้าเมาทุกวัน โหมทำงานหนักเวลานอนก็น้อยนิด )
“ … ”
( ไม่มีวันไหนที่น้องไม่ร้องไห้เลยนะลู่ฮาน.. พี่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราทั้งคู่ แต่อย่างน้อย.. ก็ขอให้เรากลับมาช่วยน้องทีเถอะนะ.. ไม่เห็นแก่เซฮุนก็เห็นแก่พี่นะ พี่กราบล่ะลู่ฮาน )
มือบางไร้เรี่ยวแรง ร่างเล็กไม่มีแม้แต่แรงจะประคองให้ตัวเองยืนอยู่ ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขากำลังทำอะไรอยู่ ? เขากำลังนึกว่าเซฮุนเกลียดเขาอย่างนั้นหรือ ? กำลังมีความสุขกับการมีครอบครัวใช่หรือไม่ ? เขาทิ้งน้องมาโดยที่ไม่คิดจะถามความจริงจากปากน้องเลยสักคำ ซึ่งนั่นเป็นความผิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่น่าให้อภัยเลยสักนิดเดียว ลู่ฮานไม่เคยรู้ว่าเมื่อปราศจากเขาน้องจะเมามายเช่นนี้ ไม่เคยรู้ว่าน้องจะเสียใจมากมายขนาดไหนยามไม่มีเขาอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะหนีหัวใจของตัวเองมาไกลขนาดนี้ทำไม เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิดเดียว !
“ งะ..งานแถลงข่าวจัดที่ไหนหรือครับพี่จุนมยอน.. รบกวนส่งพิกัดเข้ามาในโทรศัพท์ผมด้วยนะครับ.. ”
---
“ จงอิน เอาปืนไปแบบนั้นแล้วจะผ่านด่านได้หรือนั่น ”
“ โชว์บัตรพ่อตม. ก็หงอแล้วครับพี่ เอาไปไว้ก่อน เผื่อจะได้ใช้ ”
อี้ชิงพูดไปสับเท้าไปเร็วกว่าความคิด ร่างบางอยู่ในสภาพชุดนอนสีหวานสดใส ดูโครงแล้วไม่น่าจะมาเดินในสนามบินได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว หลังจากที่ได้รู้พิกัดและถามไถ่เรื่องราวความจริงจากปากน้องชายคนรองเสร็จสิ้น เขาก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินชนิดที่ว่าไม่สนใจสายการบินและไม่สนใจคลาส ปล่อยให้คริสไปจัดการหมาบ้าชื่อลู่หนานให้สงบลงก่อน จึงค่อยออกรถมาที่สนามบินในเวลาดึกดื่น เขาว่าเขาตัดสินใจดีแล้วหลังจากเห็นว่าลู่ฮานร้องไห้หนักเพียงใดยามอ้อนวอนขอให้เขาพาน้องกลับไปเกาหลี อี้ชิงไม่ใช่คนประเภทใจไม้ไส้ระกำขนาดที่ว่าจะพรากให้คนรักเขาขาดจากกันโดยไร้เหตุผล เขาเชื่อเสมอว่าความรักคือเรื่องของคนสองคน หากไม่ให้ทั้งคู่แก้ปัญหา แล้วเรื่องวุ่นวายนี่จะจบได้อย่างไร ?
“ หนาน ของเราล่ะ ”
“ เหน็บอยู่ที่เอว ใช้บัตรพ่อจงอินมันก็คงเข้าได้ ”
ร่างบางพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนผินหน้าไปหาคนน่ารักที่ยังร้องไห้ไม่หยุดไม่หย่อน ต้องแต่ออกจากบ้านมาลู่ฮานก็เอาแต่สะอื้น อ่อนใจเหลือเกินที่จะปลอบ “ ลู่ฮาน อย่าลืมกินยาเสียก่อนเครื่องขึ้นนะ เดี๋ยวจะเวียนหัวจนไม่สบาย ”
“ ฮะ พี่อี้ชิง ”
คริสผละจากร่างของภรรยาแล้วรับหน้าที่ถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กของทั้งสามคนตามไปส่งที่หน้าเกท ไม่ลืมที่จะกำชับลู่หนานกับจงอินอีกครั้งเรื่องการใช้ปืน หุนหันพลันแล่นทั้งคู่ เกิดโมโหใครขึ้นมาแล้วควักออกมายิงจะเกิดเรื่องใหญ่ เจ้าของร่างเพรียวตอบรับแบบขอไปที ก่อนจะประคองตระกองกอดพี่ชายฝาแฝดตัวเล็กเข้าไปยังด้านใน ตามติดตูดไปด้วยคิม จงอินที่ไม่วายหันกลับมาโบกไม้โบกมือลาพี่ชายคนสวยและสามีหน้านกแดงทีสองทีและรีบวิ่งตามเข้าไป จงอินยอมรับว่าลู่หนานในตอนนี้น่ากลัวมาก น่ากลัวกว่าหน่วยสวาทแต่งหน้าดำๆ ตอนถือปืนยาวในทีมเขาอีกกระมัง คนหน้าหวานมีดวงตาที่ดุดันกว่าทุกทีที่เขาเคยเห็นมา แถมทีท่าจริงจังนั่นก็แผ่รังสีไกลจนทำให้เขาหงอ คงจะโกรธคนปล่อยคลิปไม่น้อยล่ะที่ทำแบบนั้น พี่ชายมันทั้งคน.. มีประวัติแปดเปื้อนแบบนี้มีหวังไอ้หนานได้เอากระสุนฝังกระโหลกเล่นสักนัดสองนัด
ต้องขอบคุณพี่อี้ชิงที่จองเวลาบินได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน เพราะหลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนอพยพกันขึ้นมาด้านในเพียงห้านาที ประตูเครื่องบินก็ปิดสนิทพร้อมกับลงระบบล็อค แอร์โฮสเตสสาวสวยเริ่มสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ สำหรับช่วงเวลาฉุกเฉิน แต่ลู่หนานไม่สนใจมันนักเพราะสิ่งสำคัญที่สุดนั้นนั่งอยู่ข้างๆ เขา พี่ชายฝาแฝดมีดวงตาที่เหม่อลอยและหม่นแสง หยดน้ำร้อนๆ ยังไหลออกมาไม่ได้ขาดสาย แม้เขาจะรู้สึกโกรธแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจทำร้ายลู่ฮานโดยการปล่อยให้พี่ชายทุกข์ระทมเช่นนี้ มือหยาบหยิบยื่นยานอนหลับให้ร่างเล็กสองเม็ด ส่งแก้วน้ำตามไปติดๆ เมื่อเห็นว่าคนน่ารักรับเอายาเข้าไปในโพรงปากเรียบร้อยแล้ว ลู่หนานโลกใจไปหนึ่งเปราะ อย่างน้อยตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ใช้เดินทางลู่ฮานก็คงจะหยุดร้องไห้ได้เพราะฤทธิ์ยา ไม่ต้องจำฝืนทรมาณกับความจริงอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น เขาเบือนหน้าหนีจากภาพดังกล่าว ปิดตาลงไม่รับทุกการกระทำ ทุกสรรพเสียง ของทุกสิ่งรอบกาย เก็บกักความโกรธแค้นเอาไว้ลงกับคนผิดที่รอขึ้นเขียงที่เกาหลีจะดีกว่า
ฝ่ายลู่ฮานเองก็ปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ฤทธิ์ยานอนหลับหลายมิลลิกรรมกำลังสั่งดับประสาทเขาทีละส่วน หัวทุยๆ กลิ้งลงไปพิงกรอบหน้าต่างสีขาว ลมหายใจสูดเข้าออกแผ่วเบาเป็นจังหวะเป็นสัญญาณบอกให้ใครๆ รู้ว่าคนคนนี้กำลังจะหลับ.. แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ริมฝีปากเล็กแห้งผากก็ขยับสร้างเสียงกระซิบแผ่วเบาเป็นประโยคเล็กๆ .. ฝากให้ลมพัดพามันไปถึงคนที่เขารักที่สุด
‘ พี่กำลังจะกลับไป.. รอหน่อยนะเซฮุนนา ’
Ms.9
ลืมกันไปแล้วหรือยังคะทุกคน?
ว้า.. เขียนมาถึงฉากนี้แล้วหรือเนี่ย แอบใจหายเหมือนกันนะคะ เพราะอีกไม่ถึงสิบตอนมันก็จะจบแล้ว
อ๋อรนมากเลยค่ะสำหรับตอนนี้ แต่งยาวมาก ยาวที่สุด ยาวกว่าที่เคยแต่งมา
ดังนั้นระวังตาลายกันด้วยนะคะ
เอาล่ะ ถ้าทุกคนงงกัน ไม่ต้องถามนะคะ
เพราะอ๋อเองก็งงนะ 55555555 อ๋อเหนื่อย ตาลายมากเลยเป็นแบบนี้
ยังไงตรงไหนผิด ตรงไหนแปลก ช่วยบอกกันด้วยนะคะ
จงอินออกมาแล้ว คลิปก็ออกมาแล้ว รอดูว่าใครคือปาปารัซซี่คนนั้นดีกว่าค่ะ XD
ทายซิว่าใคร ?
ยังไงก็ อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ หรือถ้าขี้เกียจก็ติดแท็ก #พื้นที่อันตราย กันในทวิตนะคะ
เจอกันตอนหน้าน้า <3
ปล. ยอดรวมทั้งหมดหลังจากจัดหน้า คือ 42 หน้า 15,364 คำ ระวังตาลายอีกครั้งค่ะ
ปล.2 นี่คือแพร์รี่โง่ๆ ล่ะ55555555555555555555555555
ความคิดเห็น