ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NIRVANA

    ลำดับตอนที่ #3 : NIRVANA Episode 002 - สัญญาณแห่งการเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 55


                    ร่างของชายหนุ่มชุดของโรงพยาบาลที่ค่อนข้างหลวมพริ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่กำลังสูดอากาศบริสุทธิ์ไปพลาง เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเป็นพักๆพร้อมกับพู่กันอิเล็คโทรนิคส์ในมือที่ถูกสะบัดอย่างอารมณ์ดี

                    โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าที่เบื้องหลังกำลังมีร่างสามร่างกำลังจับจ้องมาด้วยอาการอยากจะเคี้ยวเขาทั้งเป็นอยู่แล้ว

                    "ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย" โอโรจิที่เป็นคนแรกที่ปรี๊ดแตกวิ่งถลาเข้าไปเพื่อจะลากเจ้าคนที่เพิ่งฟื้นจากไอซียูมาได้ไม่นานแต่กลับไม่นอนพักแล้วดันเสล่อมาระเบิดอารมณ์ศิลปินอยู่บนดาดฟ้าโรงพยาบาล แต่ก่อนที่ขาจะก้าวออกไปมือเรียวบางก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน

                    "หยุดก่อนโอโรจิ" หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ออกอาการโมโหกับความระรื่นย์ของคนตรงหน้า เบรคเจ้าคนอารมณ์ร้อนเอาไว้เสียก่อน "ปล่อยเอาไว้สักพักก็ได้"

                    "แต่ว่า..." ไม่ใช่เพียงโอโรจิเท่านั้นที่ส่งสายตาสงสัยมา ทั้งลูซี่และเร็นเองก็เช่นกัน

                    หญิงสาวจ้องไปทางร่างที่คุ้นเคยด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย ใจหนึ่งเธอก็อยากจะลากเขากลับไปนอนพัก แต่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจดีทำไมหมอนั่นถึงแอบหนีออกมานอกห้องแบบนี้

                    "ปล่อยให้หมอนั่นได้ชมวิวไปอีกสักพักเถอะ" พูดเท่านี้คนที่เหลือก็เข้าใจขึ้นมาในทันที

                    "จริงด้วยสินะ" ลูซี่เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีที่รู้ว่าซิลเวียนั้นหมายถึงอะไร ภาพทิวทัศน์ของนรกที่ลงไปชั่วครู่เพื่อช่วยเจ้าเพื่อนคนนี้ออกมาเพียงแค่นึกถึงก็อยากจะแหวะขึ้นมาทันใด แต่หมอนั่นต้องทนอยู่ในที่แบบนั้นเป็นพันปี การได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามแบบนี้อีกครั้ง การจะเก็บความยินดีเอาไว้ไม่อยู่คงเป็นเรื่องธรรมดา

                    โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปอีก ร่างทั้งสี่ก็พากันไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เพื่อคอยจับตาดูเพื่อนตัวแสบที่กำลังยืนวาดภาพอย่างสบายอารมณ์

                ****************************

                    บนโลกนี้มีอย่างหนึ่งที่ยุติธรรม นั่นคือเวลาที่ทุกคนมีในหนึ่งวัน

                    คำพูดนี้เคยเป็นจริงมาตลอดจนกระทั่งระบบเบรน เวฟ ซิสเตม ของบริษัทอิกดราซิลได้เปิดตัวสู่ตลอดโลก ระบบของบริษัทอิกดราซิลได้ล้มล้างระบบอินเตอร์เนทลงอย่างสิ้นเชิง โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทุกคนมีอยู่ในร่างกาย นั่นก็คือสมอง

                    เบรน เวฟ ซิสเตม Brain Wave System BWS ได้นำสติสัมปชัญญะของผู้ใช้เข้าสู่โลกที่อยู่ภายในสมอง และถ้าหากเพียงเท่านั้น BWS คงจะไม่สามารถล้มล้างระบบอินเตอร์เนทลงไปได้ถ้าหากปรศจากการเชื่อมต่อสติสัมปชัญญะของหนึ่งคนสู่อีกหนึ่งคน ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการสร้างเซอร์เวอร์ที่มีความจุเกินจินตนาการขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ ในปัจจุบันจึงทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใช้ระบบนี้แทนที่อินเตอร์เนต และสำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่ BWS ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เชื่อมต่อข้อมูลอวตารของตนเองเข้ากับที่เข้ากับเซอร์เวอร์ของอิกดราซิล ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

                    และสาเหตุที่ระบบ BWS สามารถล้มล้างคำพูดที่ว่ามาในตอนแรกได้นั้นก็คือความเร็วคลื่นสมองของแต่ละคน คนที่มีพัฒนาการทางสมองน้อยก็จะมีความเร็วคลื่นสมองน้อยตามไปด้วย ซึ่งปกติจะมีความเร็วเฉลี่ยของความเร็วสมองอยู่ที่ 3.0 ซึ่งก็หมายความว่าจะมีเวลาใน BWS มากกว่าโลกปกติ 3 เท่านั่นเอง

                    และด้วยความที่ระบบ BWS มีประโยชน์ในหลากหลายสาขา ทำให้ค่าความเร็วคลื่นสมองนั้นถูกตีค่ามากขึ้น ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติ คนที่มีเวลามากกว่าคนอื่นก็หมายความว่ามีต้นทุนมากกว่าคนอื่น และยิ่งคนของตนเก่งกาจมากขึ้นเท่าใด ก็หมายความว่ากำไรและอีกหลายสิ่งหลายอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

                    นอกจากนั้นยังมีการนำกีฬาจากในอดีตและปัจจุบันมาเล่นใน BWS อีกด้วย การที่นักกีฬามีเวลาซ้อมมากขึ้นก็หมายถึงฝีมือที่เพิ่มพูนขึ้น นอกจากนั้นเวลาการแข่งขันใน 1 ปีก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การทำงานต่างๆก็ได้มีการย้ายเข้ามาทำในระบบ BWS กันเพิ่มมากขึ้น จนแทบจะเรียกได้ว่าระบบ BWS ได้กลายเป็นชีวิตอีกด้านของมนุษย์ไปแล้ว

                    และจากเหตุผลที่ว่านี้ทำให้บริษัทอิกดราซิลจึงได้กลายมาเป็นผู้กุมบังเหียนของโลกเลยก็ว่าได้

                    เฮฟเว่น ทาวเวอร์ เซอร์เวอร์ลับเฉพาะผู้บริหารของอิกดราซิล

                    ภายในเซอร์เวอร์แห่งนี้มีเพียง 6 คนเท่านั้นที่สามารถล็อคอินเข้ามาได้นั่นคือ

                    ผู้นำแห่งทวีปอเมริกา

                    ผู้นำแห่งทวีปยุโรป

                    ผู้นำแห่งทวีปแอฟริกา

                    ผู้นำแห่งทวีปแอนตาร์กติกา

                    ผู้นำแห่งทวีปออสเตรเลีย

                    และสุดท้ายคือผู้กุมอำนาจสูงสุดและยังเป็นผู้สร้างระบบ BWS อีกด้วย คนผู้นั้นก็คือประธานบริษัทอิกดราซิล

                    ภายในเซอร์เวอร์นี้เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงโต๊ะตัวใหญ่และเก้าอี้ 6 ตัวตั้งอยู่เท่านั้น เบื้องหน้าเก้าอี้ทั้ง 6 มีตัวอักษรเรืองแสงที่บ่งบอกว่าใครคือผู้ใด

                    "สาเหตุที่ผมเรียกพวกคุณมาในคราวนี้ก็คือ...เรื่องของเด็กหนุ่มคนนี้" ชายผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะ ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอิกดราซิลผายมือส่งไฟล์ภาพในมือให้กลายเป็นภาพสามมิติฉายขึ้นมาบนโต๊ะ

                    ภาพที่ว่านี้คือบุรุษที่เคยหลุดเข้าไปอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของ BWS ซึ่งเคยทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์ประตูนรกมาตลอดหนึ่งพันปีภายในระบบ BWS ผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่งจากอุบัติเหตุนเหตุการณ์ Brain Shock Effect เมื่อ 1 ปีก่อน และเป็นบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นบริษัทอิกดราซิลไม่สามารถตามไปเก็บกู้อวตารของเขาขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เหตุผลแรกคือสถานที่ๆเด็กหนุ่มผู้นี้หลุดเข้าไปคือส่วนที่ลึกสุดของ BWS หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า "นรก" ที่เป็นสถานที่ๆต้องใช้ความเร็วคลื่นสมองขั้นต่ำระดับ 10.0 ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถล็อคอินสู่โลกแห่งนั้นได้ ซึ่งนั่นเป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น ส่วนขั้นที่สองคือความสามารถของอวตารนั้นจะต้องมีระดับในโลกของ BWS มากกว่า 200 ระดับขึ้นไปตามมาตรฐานของ BWS โดยระดับของอวตารนั้นจะวัดจากความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของอวตารนั้นๆภายใน BWS นอกจากสองเหตุผลนี้ยังมีข้อแม้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟร์วอลของบริษัท ระดับความแข็งแกร่งของข้อมูลหรือบั๊กภายใน นรก แห่งนั้นที่แข็งแกร่งแบบเกินกว่าจะจินตนาการอีกด้วย

                    "เมื่อสามวันก่อนได้มีคนกลุ่มหนึ่งสามารถนำอวตารของเขาออกมาจากนรกได้เป็นผลสำเร็จ" สิ้นคำพูดของประธานใหญ่ทุกคนในที่ประชุมก็มีทีท่าประหลาดใจขึ้นมาทันที

                    "หลุดออกมาได้แล้วเหรอ" ผู้นำแห่งทวีปอเมริกาเผยน้ำเสียงแปลกใจ "แล้วใครเป็นผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูนรกแทนที่หมอนั่นล่ะ"

                    "ผมได้ใส่ A.I. ตัวเดิมทีเคยทำหน้าที่นี้เข้าไปรักษาการณ์แทนแล้ว" คำตอบทีว่าก็เรียกเสียงถอนหายใจโล่งอกมาได้จากหลายคน แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นไม่ใช่หน้าที่เล่นๆเลย ผู้เฝ้าประตูนรกจำเป็นต้องมีฝีมือสูงมาก เพื่อคอยปกป้องไม่ให้เหล่าโปรแกรมหรือบั๊กจากนรกหลุดเข้ามาในเซอร์เวอร์ปกติ และหลังจากเหตุการณ์ Brain Shock Effect ส่งผลให้อวตารของชายหนุ่มหลุดเข้าไปอยู่ในตำแหน่งสุดสำคัญนี้โดยบังเอิญ แต่ก็ยังมีโชคดีในโชคร้ายที่ชายหนุ่มคนนี้มีฝีมือพอที่จะดูแลประตูนรกได้ จึงทำให้ระบบ BWS สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติในเวลาไม่นาน

                    หลังจากรับฟังคำตอบแล้ว ผู้นำแห่งแอนตาร์กติกาก็เป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่ความเงียบเข้ามาปกคลุมได้พักหนึ่ง

                    "คุณพอจะให้รายละเอียดของเด็กหนุ่มคนนี้ได้ไหม?"

                    และดูเหมือนว่าผู้คนที่เหลือก็เข้าใจจุดมุ่งหมายนั้นในทันที ซึ่งนั่นเองทำให้ประธานแห่งบริษัทอิกดราซิลเผยรอยยิ้มขึ้นมาในทันที

                    "ดูเหมือนว่าทุกคนจะเอะใจแล้วสินะครับ" ไม่เพียงแต่ยิ้มเท่านั้นยังมีเสียงหัวเราะเบาๆลอดออกมาจากเงาสีดำที่นั่งบนหัวโต๊ะอีกด้วย "เอาล่ะ ผมจะเฉลยสิ่งที่พวกคุณอยากรู้แต่ปากแข็งไม่ยอมถามก็แล้วกัน"

                    ประธานแห่งอิกดราซิลดีดนิ้วเรียกข้อมูลใหม่ขึ้นมา ซึ่งข้อมูลในครั้งนี้เป็นรายละเอียดสมองของชายหนุ่มที่เป็นเหตุผลในการประชุมในครั้งนี้

                    หลังจากที่สายตาของผู้นำทวีปทั้งห้าไล่เรียงจนมาถึงจุดหนึ่งดวงตาก็พลันเบิกโตขึ้นมาทันที

                    "ความเร็วคลื่นสมอง 24.3 ยอดเยี่ยมจริงๆ"

                    "ดูเหมือนผลกระทบจากการถูกบังคับให้เชื่อมต่อกับนรกแห่งนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีจะทำให้สมองของชายคนนี้พัฒนาไปได้มากกว่ามนุษย์ปกติหลายร้อยเท่าแบบนี้"

                    "ถ้าคำนวณคร่าวๆจากอายุเฉลี่ยของประชากรโลกก็เท่ากับว่าหมอนี่มีอายุขัยประมาณหนึ่งพันหกร้อยกว่าปีสินะ"

                    "ช่างเป็นตัวเลขที่น่าอิจฉาจริงๆ"

                    "ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ผมคงจะให้ข้อมูลส่วนตัวของเด็กคนนี้แก่ทุกท่านไม่ได้" ด้วยคำพูดนี้เองทำเอาทั้งห้าคนหันขวับมาทางต้นเสียงทันที "ก็มันเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้านี่นา"

                    แม้จะพูดแบบนั้นแต่อีกห้าคนที่เหลือนั้นรู้ดีว่าตาแก่คนนี้มีจุดประสงค์อะไร

                    "ไม่เอาน่า ท่านประธานพวกเราก็แค่อยากจะไปขอโทษเด็กคนนี้ในฐานะคนหนึ่งในตัวแทนของบริษัทอิกดราซิลเท่านั้นเอง" ผู้นำแห่งทวีปแอฟริกาเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง "ไม่ได้จะไปขอตัวเด็กคนนี้มาทำงานให้ทวีปของผมเลยสักนิด"

                    "อะแฮ่ม ถ้าพูดอย่างนั้นทางเราเองก็มีสิทธิ์ที่จะไปเยี่ยมเยียนเด็กคนนั้นเหมือนกันนะ"

                    และก่อนที่จะมีเสียงเอะอะโวยวายมากไปกว่านี้คำพูดที่ดักคอทุกคนจนแทบจะสะอึกก็แทรกเข้ามาอีกครั้ง

                    "เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ในฐานะที่ผมเป็นประธานบริษัทอิกดราซิล ได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มคนนี้ล่วงหน้าเป็นเวลา 50 ปีและยังจะมอบค่าทำขวัญให้กับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นจำนวนเงิน 30 ล้านเพิร์ลอีกด้วย"

                    *ค่าเงินที่ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน

                    ถึงแม้สิ่งที่บอกออกมาจะเป็นเรื่องที่สมควรกระทำในฐานะประธานบริษัทก็ตาม แต่หลังจากที่เหล่าผู้บริหารอีกห้าคนได้ฟังทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกันไม่มีผิด นั่นก็คือ

                    ไอ้ทานูกิเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์

                    ตาแก่นี้ปกปิดข้อมูลเรื่องการขออนุญาตลงสู่นรกของคนกลุ่มนั้น ซ้ำยังรอจนผลทั้งหมดออกมาแล้วจึงเอามารายงานพวกเขา นอกจากนั้นยังเอาข้อมูลของบุคคลที่สูงค่าขนาดนี้มาล่อตรงหน้าก่อนจะตบหัวด้วยการกระทำที่กึ่งๆจะบอกว่าจองตัวเอาไว้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับตาแก่นี่ได้ เพราะสิทธิ์สูงสุดในการจัดการระบบทั้งหมดนั้นอยู่ในกำมือของชายผู้นี้

    สรุปก็คือตาแก่นี่ก็แค่อยากจะอวดให้ทุกคนได้รู้ว่าตนเองมีบุคลากรชั้นเลิศอยู่ในมือเท่านั้นเอง

                    "เรื่องที่จะพูดก็มีเท่านี้แหละ ขอโทษนะที่ต้องรบกวนเวลาอันมีมีค่าของทุกท่าน" ว่าจบร่างบนหัวโต๊ะก็โบกมือลาพวกเขาก่อนที่จะล็อคเอ้าท์ออกจากเซอร์เวอร์แห่งนี้ไป

                    หลังจากที่ผู้มีอำนาจมากที่สุดบนโลกหายไปแล้ว บุคคลทั้งห้าที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็หันมาจ้องตากันอย่างรู้ทัน ต่างคนต่างไม่ยอมคิดที่จะยอมปล่อยบุคลากรล้ำค่าเช่นนี้หลุดมือไปแบบนี้แน่นอน โดยที่ไม่มีใครได้กล่าวอะไรเพิ่มร่างทั้งห้าก็ทยอยล็อคเอ้าท์กันออกไปเพื่อเตรียมดำเนินงานสืบหาที่อยู่และข้อมูลของเป้าหมายคนนี้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะคว้าเพชรชิ้นนี้มาอยู่ในมือของตน

                    โดยที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการแย่งชิงบุคลากรในครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ตาทานูกิเฒ่าคาดการณ์จะให้เกิดขึ้นเอาไว้แต่แรกแล้วก็ได้

                    แต่ถึงจะรู้แบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้หลุดมือไปได้จริงๆ

                    ****************************

                    "จริงสิ มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามพวกนายหน่อย" ไกอาที่ไม่สามารถสู้แรงของโอโรจิและลูซี่ ได้ถูกจับลากมาทิ้งเอาไว้บนเตียงในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะพอใจกับการได้วาดรูปพอสมควรแล้วเจ้าผู้ป่วยคนนี้ก็เลยยอมให้ลากกลับห้องมาแต่โดยดี

                    "ทำไมพวกนายถึงลงไปช่วยฉันออกมาได้ล่ะ" คำถามง่ายๆจากปากของเจ้าทำเอาเพื่อนทั้งสี่ถึงกับสะอึกพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว เพราะถ้าหากจะตอบคำถามนั้น มันจะทำให้เรื่องหลายเรื่องที่ไม่ควรบอกเจ้าตัวในตอนนี้มันทะลักออกมาจนหมด

                    โอโรจิ เร็น ลูซี่ รวมไปถึงซิลเวียหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ซ้ำใบหน้าของแต่ละคนยังออกอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกด้วย ทำเอาเจ้าคนถามรู้สึกแปลกๆไปในทันที

                    แต่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะได้พูดอะไรออกไป คนที่สามารถตอบข้อสงสัยของไกอาได้ก็เดินเข้ามาในห้องอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าตัวเขานั้นกำลังรอคำถามนี้อยู่ก็ไม่ปาน

                    "เรื่องนั้นฉันจะตอบให้เอง"

                    ทันทีที่เสียงอันแสนจะเยียบเย็นดังขึ้น ทุกคนในห้องยกเว้นไกอาก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองทางต้นเสียงอย่างหวาดๆ

                    "สวัสดี เจ้าลูกหนี้ทั้งหลาย" ร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่มีความเกรงใจ พร้อมกับถอดแว่นดำออกเผยให้เห็นใบหน้ามเข้มที่คล้ายกับไกอาอยู่หลายส่วน

                    "..." ไกอาเงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยอามณ์เซ็งๆ ไม่ใช่ว่าเกลียดหมอนี่หรืออะไรเทือกนั้น เพียงแต่เขาแพ้ทางเจ้าคนๆนี้มากเกินไปต่างหาก "ไอ้คนเฮงซวย"

                    "พูดแบบนั้นกับเจ้าหนี้มันไม่ดีเท่าไหร่นะ" รอยยิ้มแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าฉายออกมาแบบไม่ปิดบัง "จริงไหม"

                    สายตาคมๆหันไปมองสี่คนที่พยายามเลี่ยงออกจากจุดเกิดเหตุแต่ดูเหมือนว่าคงจะสายเกินไปเสียแล้ว

                    "เจ้าหนี้?" ไกอาทวนคำถามอย่างไม่เข้าใจ

                    เมื่ออีกฝั่งปูทางมาแล้ว คนที่รออยู่ก็เผยยิ้มกว้างขึ้นมาพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับผู้ป่วยที่ยื่นมามารับอย่างเก้ๆกังๆ

                    และเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกระดาษแล้ว เจ้าตัวก็แทบอยากจะกลับไปอยู่ในนรกเหมือนเดิมแทนที่จะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

                    "อุปกรณ์เร่งความเร็วคลื่นสมอง ค่าใช้จ่ายของสตาฟ ค่าขนส่งเครื่องมือ ค่าเช่าบอดี้การ์ดเลเวล 400 ค่าใช้จ่ายในการทำเรื่องขอแอคเซสเข้าสู่นรก และค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆรวมเป็นเงินทั้งสิ้นหนึ่งแสนล้านเพิร์ลถ้วน"

                    ไกอาได้แต่จ้องมองตัวเลขที่มีเลขศูนย์ยาวติดกันเป็นหางว่าว มือที่กำใบเสร็จทำอะไรไม่ได้นอกจากสั่นด้วยความโกรธ "อย่ามาบ้าน่าถึงของพวกนี้มันจะแพงก็เถอะ แต่ราคาก็ไม่น่าจะสูงขนาดนี้นี่นา"

                    "ถูกต้อง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนอกจากค่าเบ็ดเตล็ดแล้วมันก็แค่พันล้านเพิร์ลต้นๆเท่านั้นเอง" อีกฝ่ายพยักหน้ารับ "ที่แพงมันค่าเบ็ดเตล็ดต่างหาก"

                    "เบ็ดเตล็ดบ้าบออะไรตั้งเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันล้านเพิร์ลฟะ" ไกอาโวยขึ้นมาทันที "แบบนี้มันโกงกันชัดๆ"

                    "พูดแบบนี้ก็ไม่สวยนะ" ชายในชุดสูทยกนิ้วขึ้นมาส่ายพร้อมกับส่งเสียงจุ๊ๆ "มันสำหรับการรวบรวมข้อมูลที่อยู่ของนายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ รวมไปถึงการแบ๊คอัพโปรแกรมที่นายไปสวมรอยแทนอีกด้วย A.I. ระดับนั้นการจะซ่อมมันน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ และที่สำคัญที่สุดในนี้น่ะรวมค่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ช่วยนายออกมาจากที่นั่นเอาไว้ด้วยไงล่ะ"

                    เมื่อลูกหนี้เริ่มคิดตามก็เริ่มรู้สึกว่ามันอาจจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดก็ได้ แต่ถึงอย่างไรแสนล้านเพิร์ลมันก็มากเกินไปจริง ปากที่หุบไปได้สักพักกำลังจะแหวสวนกลับไปอีกฝั่งก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน

                    "อุปกรณ์สำหรับพาคนในทีมกลับสู่ที่หมายที่บันทึกโดยไม่ติดไฟวอลสองพันล้านเพิร์ล ค่าไม้เท้าและโปรแกรมสำหรับล้างไฟล์ที่ส่งผลเสียต่ออวตารจัดเป็นวัคซีนระดับ SS ที่ถูกระงับเอาไว้ใช้สำหรับเชื้อพระวงศ์และผู้มีอำนาจระดับทวีปเท่านั้นหกหมื่นล้านเพิร์ล อันนี้แพงหน่อยเพราะว่ามันต้องผ่านพ่อค้าคนกลางใจร้ายหลายคนหวังว่านายคงเข้าใจนะ"

                    "แต่ก็อย่างว่าตอนนั้นนายไม่มีสติรับรู้อะไรและที่สำคัญผู้ที่เซ็นสัญญาทั้งหมดมันเป็นพวกเพื่อนของนายต่างหากนี่นะ" ว่าจบเขาก็หันไปหาลูกหนี้ทั้งสี่ที่เบียดกันอยู่ข้างกำแพงโดยพยายามที่จะเว้นระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด "แต่จะไปว่าพวกเขาก็ไม่ได้เพราะโอกาสที่จะเข้าไปในนรกได้มันมีจำกัดแค่ร้อยปีหนึ่งครั้งตามเวลาของ BWS ก็เลยไม่มีทางเลือกล่ะนะ"

                    พูดง่ายๆคือถ้าเขาจะบอกว่าทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเขาแล้วไล่ตะเพิดคนตรงหน้านี้ออกไปจากห้องก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นผู้ที่จะรับกรรมก็คือเพื่อนๆของเขาที่ตกลงทำสัญญาพวกนี้เพื่อจะช่วยเขาออกมาจากที่นั่น

                    "ต้องการอะไรกันแน่" แน่นอนว่าเจ้าคนตรงหน้าต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเสียเวลามาเปลืองน้ำลายแบบนี้หรอก

                    "โอ้ แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย" ผู้เป็นเจ้าหนี้ยิ้มพรายพร้อมกับกดรหัสบางอย่างลงไปในคอมพิวเตอร์แบบพกพารูปแบบนาฬิกาที่ข้อมือและส่งเอกสารสัญญาแบบอิเล็คโทรนิคส์มาเบื้องหน้าเขา "แค่ประทับลายนิ้วมือลงไปทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วล่ะ"

                    ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงจะอ่านเนื้อหาทั้งหมดให้เรียบร้อยแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ตอนนี้อารมณ์โมโหมันปรี๊ดขึ้นมาจนไกอาไม่อยากจะคิดอะไรเพิ่มอีกแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนอกจากจะยอมทำตามไอ้คนเฮงซวยข้างหน้านี้

                    หลังจากที่นิ้วโป้งของไกอาสัมผัสกับเอกสารที่ว่าและยืนยันรอยนิ้วมือเรียบร้อยแล้วมันก็ปิดตัวเองลงไปในทันที

                    "ขอบคุณที่อุดหนุน..." รอยยิ้มพรายึ้นมาบนใบหน้าคมเข้มอีกครั้งก่อนที่จะพูดต่อ "จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ"

                    "เอ่อ คุณเรย์...ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เป็นเอกสารอะไรเหรอคะ" ซิลเวียเค้นความกล้าเดินเข้ามาถามในสิ่งที่ตนสงสัย ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นอีกสามชีวิตข้างหลังก็ทำท่าอยากรู้ไม่แพ้กัน

                    "มันก็แค่เอกสารรับเข้าทำงานเท่านั้นแหละครับ" เจ้าตัวว่าจบก็เปิดหน้าจอสามมิติขึ้นมาและโอนไฟล์ก๊อปปี้ไปยังหญิงสาว

                    และเมื่อซิลเวียไล่สายตาไปตาเนื้อหาดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างห้ามไม่ได้

                    ท่าทางของหญิงสาวที่มักจะเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลาทำเอาคนที่เพิ่งตกลงทำสัญญาเมื่อครู่รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆพร้อมกับรู้สึกพลาดอย่างแรงที่ไม่ได้อ่านเนื้อหาให้ดีเสียก่อน

                    แต่ก็อย่างว่าผลที่ตามมามันก็คงไม่เปลี่ยน ในเมื่อคนตรงหน้าได้ปิดทางเลือกอื่นของเขาจนหมดสิ้นแล้ว

                    "เอาเป็นว่าพี่จะให้เวลาร่ำลาเพื่อนๆสักอาทิตย์ก็แล้วกันนะ" ว่าจบเรย์ก็หยิบแว่นตาขึ้นมาสวมอีกครั้งแล้วก็โบกมือเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาอาฆาตจาก น้องชาย ไล่ตามหลังไปจนกระทั่งร่างในชุดสูทหายไปจากสายตา

                    "ข้างในมันเขียนว่าอะไรงั้นเหรอซิลเวีย" เมื่อคนที่แสนจะน่ากลัวออกไปแล้วทโมนอีกสามตัวจึงเร่งเข้ามาถามหญิงสาวที่กำลังปิดตาและประมวลผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

                    ซิลเวียไม่ได้ตอบอะไรออกไปเธอเพียงแค่ส่งไฟล์ที่เธออ่านเมื่อครู่ไปให้เพื่อนๆที่ทำหน้าสงสัยกันอยู่

                    ซึ่งท่าทางของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป

                    โอโรจิเบิกตาโพลงขึ้นมา ถ้าจะให้แปลก็คือตกใจสามส่วน ยินดีเจ็ดส่วน ซึ่งโดยรวมนับว่าคล้ายกับลูซี่ ทางด้านเร็นนั้นหนักไปทางความสงสัยเสียมากกว่า

                    แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเพื่อนๆทำเอาไกอายิ่งอยากจะรู้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวว่าตัวเองได้ตกลงทำสัญญาอะไรกับเจ้าพี่ชายปิศาจคนนั้น และก็ได้รู้คำตอบเมื่อเพื่อนๆทั้งหลายส่งไฟล์อันนั้นมาอยู่ตรงหน้าเขา

                    หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที

                    "ไอ้พี่บ้าเอ้ย!!!!"

                   

                   

     

                     ร่างของชายหนุ่มชุดของโรงพยาบาลที่ค่อนข้างหลวมพริ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่กำลังสูดอากาศบริสุทธิ์ไปพลาง เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเป็นพักๆพร้อมกับพู่กันอิเล็คโทรนิคส์ในมือที่ถูกสะบัดอย่างอารมณ์ดี

                    โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าที่เบื้องหลังกำลังมีร่างสามร่างกำลังจับจ้องมาด้วยอาการอยากจะเคี้ยวเขาทั้งเป็นอยู่แล้ว

                    "ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย" โอโรจิที่เป็นคนแรกที่ปรี๊ดแตกวิ่งถลาเข้าไปเพื่อจะลากเจ้าคนที่เพิ่งฟื้นจากไอซียูมาได้ไม่นานแต่กลับไม่นอนพักแล้วดันเสล่อมาระเบิดอารมณ์ศิลปินอยู่บนดาดฟ้าโรงพยาบาล แต่ก่อนที่ขาจะก้าวออกไปมือเรียวบางก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน

                    "หยุดก่อนโอโรจิ" หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ออกอาการโมโหกับความระรื่นย์ของคนตรงหน้า เบรคเจ้าคนอารมณ์ร้อนเอาไว้เสียก่อน "ปล่อยเอาไว้สักพักก็ได้"

                    "แต่ว่า..." ไม่ใช่เพียงโอโรจิเท่านั้นที่ส่งสายตาสงสัยมา ทั้งลูซี่และเร็นเองก็เช่นกัน

                    หญิงสาวจ้องไปทางร่างที่คุ้นเคยด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย ใจหนึ่งเธอก็อยากจะลากเขากลับไปนอนพัก แต่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจดีทำไมหมอนั่นถึงแอบหนีออกมานอกห้องแบบนี้

                    "ปล่อยให้หมอนั่นได้ชมวิวไปอีกสักพักเถอะ" พูดเท่านี้คนที่เหลือก็เข้าใจขึ้นมาในทันที

                    "จริงด้วยสินะ" ลูซี่เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีที่รู้ว่าซิลเวียนั้นหมายถึงอะไร ภาพทิวทัศน์ของนรกที่ลงไปชั่วครู่เพื่อช่วยเจ้าเพื่อนคนนี้ออกมาเพียงแค่นึกถึงก็อยากจะแหวะขึ้นมาทันใด แต่หมอนั่นต้องทนอยู่ในที่แบบนั้นเป็นพันปี การได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามแบบนี้อีกครั้ง การจะเก็บความยินดีเอาไว้ไม่อยู่คงเป็นเรื่องธรรมดา

                    โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปอีก ร่างทั้งสี่ก็พากันไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เพื่อคอยจับตาดูเพื่อนตัวแสบที่กำลังยืนวาดภาพอย่างสบายอารมณ์

                ****************************

                    บนโลกนี้มีอย่างหนึ่งที่ยุติธรรม นั่นคือเวลาที่ทุกคนมีในหนึ่งวัน

                    คำพูดนี้เคยเป็นจริงมาตลอดจนกระทั่งระบบเบรน เวฟ ซิสเตม ของบริษัทอิกดราซิลได้เปิดตัวสู่ตลอดโลก ระบบของบริษัทอิกดราซิลได้ล้มล้างระบบอินเตอร์เนทลงอย่างสิ้นเชิง โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทุกคนมีอยู่ในร่างกาย นั่นก็คือสมอง

                    เบรน เวฟ ซิสเตม Brain Wave System BWS ได้นำสติสัมปชัญญะของผู้ใช้เข้าสู่โลกที่อยู่ภายในสมอง และถ้าหากเพียงเท่านั้น BWS คงจะไม่สามารถล้มล้างระบบอินเตอร์เนทลงไปได้ถ้าหากปรศจากการเชื่อมต่อสติสัมปชัญญะของหนึ่งคนสู่อีกหนึ่งคน ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการสร้างเซอร์เวอร์ที่มีความจุเกินจินตนาการขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ ในปัจจุบันจึงทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใช้ระบบนี้แทนที่อินเตอร์เนต และสำหรับการเชื่อมต่อเข้าสู่ BWS ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เชื่อมต่อข้อมูลอวตารของตนเองเข้ากับที่เข้ากับเซอร์เวอร์ของอิกดราซิล ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

                    และสาเหตุที่ระบบ BWS สามารถล้มล้างคำพูดที่ว่ามาในตอนแรกได้นั้นก็คือความเร็วคลื่นสมองของแต่ละคน คนที่มีพัฒนาการทางสมองน้อยก็จะมีความเร็วคลื่นสมองน้อยตามไปด้วย ซึ่งปกติจะมีความเร็วเฉลี่ยของความเร็วสมองอยู่ที่ 3.0 ซึ่งก็หมายความว่าจะมีเวลาใน BWS มากกว่าโลกปกติ 3 เท่านั่นเอง

                    และด้วยความที่ระบบ BWS มีประโยชน์ในหลากหลายสาขา ทำให้ค่าความเร็วคลื่นสมองนั้นถูกตีค่ามากขึ้น ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติ คนที่มีเวลามากกว่าคนอื่นก็หมายความว่ามีต้นทุนมากกว่าคนอื่น และยิ่งคนของตนเก่งกาจมากขึ้นเท่าใด ก็หมายความว่ากำไรและอีกหลายสิ่งหลายอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

                    นอกจากนั้นยังมีการนำกีฬาจากในอดีตและปัจจุบันมาเล่นใน BWS อีกด้วย การที่นักกีฬามีเวลาซ้อมมากขึ้นก็หมายถึงฝีมือที่เพิ่มพูนขึ้น นอกจากนั้นเวลาการแข่งขันใน 1 ปีก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การทำงานต่างๆก็ได้มีการย้ายเข้ามาทำในระบบ BWS กันเพิ่มมากขึ้น จนแทบจะเรียกได้ว่าระบบ BWS ได้กลายเป็นชีวิตอีกด้านของมนุษย์ไปแล้ว

                    และจากเหตุผลที่ว่านี้ทำให้บริษัทอิกดราซิลจึงได้กลายมาเป็นผู้กุมบังเหียนของโลกเลยก็ว่าได้

                    เฮฟเว่น ทาวเวอร์ เซอร์เวอร์ลับเฉพาะผู้บริหารของอิกดราซิล

                    ภายในเซอร์เวอร์แห่งนี้มีเพียง 6 คนเท่านั้นที่สามารถล็อคอินเข้ามาได้นั่นคือ

                    ผู้นำแห่งทวีปอเมริกา

                    ผู้นำแห่งทวีปยุโรป

                    ผู้นำแห่งทวีปแอฟริกา

                    ผู้นำแห่งทวีปแอนตาร์กติกา

                    ผู้นำแห่งทวีปออสเตรเลีย

                    และสุดท้ายคือผู้กุมอำนาจสูงสุดและยังเป็นผู้สร้างระบบ BWS อีกด้วย คนผู้นั้นก็คือประธานบริษัทอิกดราซิล

                    ภายในเซอร์เวอร์นี้เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงโต๊ะตัวใหญ่และเก้าอี้ 6 ตัวตั้งอยู่เท่านั้น เบื้องหน้าเก้าอี้ทั้ง 6 มีตัวอักษรเรืองแสงที่บ่งบอกว่าใครคือผู้ใด

                    "สาเหตุที่ผมเรียกพวกคุณมาในคราวนี้ก็คือ...เรื่องของเด็กหนุ่มคนนี้" ชายผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะ ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอิกดราซิลผายมือส่งไฟล์ภาพในมือให้กลายเป็นภาพสามมิติฉายขึ้นมาบนโต๊ะ

                    ภาพที่ว่านี้คือบุรุษที่เคยหลุดเข้าไปอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของ BWS ซึ่งเคยทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์ประตูนรกมาตลอดหนึ่งพันปีภายในระบบ BWS ผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่งจากอุบัติเหตุนเหตุการณ์ Brain Shock Effect เมื่อ 1 ปีก่อน และเป็นบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นบริษัทอิกดราซิลไม่สามารถตามไปเก็บกู้อวตารของเขาขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เหตุผลแรกคือสถานที่ๆเด็กหนุ่มผู้นี้หลุดเข้าไปคือส่วนที่ลึกสุดของ BWS หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า "นรก" ที่เป็นสถานที่ๆต้องใช้ความเร็วคลื่นสมองขั้นต่ำระดับ 10.0 ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถล็อคอินสู่โลกแห่งนั้นได้ ซึ่งนั่นเป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น ส่วนขั้นที่สองคือความสามารถของอวตารนั้นจะต้องมีระดับในโลกของ BWS มากกว่า 200 ระดับขึ้นไปตามมาตรฐานของ BWS โดยระดับของอวตารนั้นจะวัดจากความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของอวตารนั้นๆภายใน BWS นอกจากสองเหตุผลนี้ยังมีข้อแม้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟร์วอลของบริษัท ระดับความแข็งแกร่งของข้อมูลหรือบั๊กภายใน นรก แห่งนั้นที่แข็งแกร่งแบบเกินกว่าจะจินตนาการอีกด้วย

                    "เมื่อสามวันก่อนได้มีคนกลุ่มหนึ่งสามารถนำอวตารของเขาออกมาจากนรกได้เป็นผลสำเร็จ" สิ้นคำพูดของประธานใหญ่ทุกคนในที่ประชุมก็มีทีท่าประหลาดใจขึ้นมาทันที

                    "หลุดออกมาได้แล้วเหรอ" ผู้นำแห่งทวีปอเมริกาเผยน้ำเสียงแปลกใจ "แล้วใครเป็นผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูนรกแทนที่หมอนั่นล่ะ"

                    "ผมได้ใส่ A.I. ตัวเดิมทีเคยทำหน้าที่นี้เข้าไปรักษาการณ์แทนแล้ว" คำตอบทีว่าก็เรียกเสียงถอนหายใจโล่งอกมาได้จากหลายคน แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นไม่ใช่หน้าที่เล่นๆเลย ผู้เฝ้าประตูนรกจำเป็นต้องมีฝีมือสูงมาก เพื่อคอยปกป้องไม่ให้เหล่าโปรแกรมหรือบั๊กจากนรกหลุดเข้ามาในเซอร์เวอร์ปกติ และหลังจากเหตุการณ์ Brain Shock Effect ส่งผลให้อวตารของชายหนุ่มหลุดเข้าไปอยู่ในตำแหน่งสุดสำคัญนี้โดยบังเอิญ แต่ก็ยังมีโชคดีในโชคร้ายที่ชายหนุ่มคนนี้มีฝีมือพอที่จะดูแลประตูนรกได้ จึงทำให้ระบบ BWS สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติในเวลาไม่นาน

                    หลังจากรับฟังคำตอบแล้ว ผู้นำแห่งแอนตาร์กติกาก็เป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่ความเงียบเข้ามาปกคลุมได้พักหนึ่ง

                    "คุณพอจะให้รายละเอียดของเด็กหนุ่มคนนี้ได้ไหม?"

                    และดูเหมือนว่าผู้คนที่เหลือก็เข้าใจจุดมุ่งหมายนั้นในทันที ซึ่งนั่นเองทำให้ประธานแห่งบริษัทอิกดราซิลเผยรอยยิ้มขึ้นมาในทันที

                    "ดูเหมือนว่าทุกคนจะเอะใจแล้วสินะครับ" ไม่เพียงแต่ยิ้มเท่านั้นยังมีเสียงหัวเราะเบาๆลอดออกมาจากเงาสีดำที่นั่งบนหัวโต๊ะอีกด้วย "เอาล่ะ ผมจะเฉลยสิ่งที่พวกคุณอยากรู้แต่ปากแข็งไม่ยอมถามก็แล้วกัน"

                    ประธานแห่งอิกดราซิลดีดนิ้วเรียกข้อมูลใหม่ขึ้นมา ซึ่งข้อมูลในครั้งนี้เป็นรายละเอียดสมองของชายหนุ่มที่เป็นเหตุผลในการประชุมในครั้งนี้

                    หลังจากที่สายตาของผู้นำทวีปทั้งห้าไล่เรียงจนมาถึงจุดหนึ่งดวงตาก็พลันเบิกโตขึ้นมาทันที

                    "ความเร็วคลื่นสมอง 24.3 ยอดเยี่ยมจริงๆ"

                    "ดูเหมือนผลกระทบจากการถูกบังคับให้เชื่อมต่อกับนรกแห่งนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีจะทำให้สมองของชายคนนี้พัฒนาไปได้มากกว่ามนุษย์ปกติหลายร้อยเท่าแบบนี้"

                    "ถ้าคำนวณคร่าวๆจากอายุเฉลี่ยของประชากรโลกก็เท่ากับว่าหมอนี่มีอายุขัยประมาณหนึ่งพันหกร้อยกว่าปีสินะ"

                    "ช่างเป็นตัวเลขที่น่าอิจฉาจริงๆ"

                    "ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ผมคงจะให้ข้อมูลส่วนตัวของเด็กคนนี้แก่ทุกท่านไม่ได้" ด้วยคำพูดนี้เองทำเอาทั้งห้าคนหันขวับมาทางต้นเสียงทันที "ก็มันเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้านี่นา"

                    แม้จะพูดแบบนั้นแต่อีกห้าคนที่เหลือนั้นรู้ดีว่าตาแก่คนนี้มีจุดประสงค์อะไร

                    "ไม่เอาน่า ท่านประธานพวกเราก็แค่อยากจะไปขอโทษเด็กคนนี้ในฐานะคนหนึ่งในตัวแทนของบริษัทอิกดราซิลเท่านั้นเอง" ผู้นำแห่งทวีปแอฟริกาเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง "ไม่ได้จะไปขอตัวเด็กคนนี้มาทำงานให้ทวีปของผมเลยสักนิด"

                    "อะแฮ่ม ถ้าพูดอย่างนั้นทางเราเองก็มีสิทธิ์ที่จะไปเยี่ยมเยียนเด็กคนนั้นเหมือนกันนะ"

                    และก่อนที่จะมีเสียงเอะอะโวยวายมากไปกว่านี้คำพูดที่ดักคอทุกคนจนแทบจะสะอึกก็แทรกเข้ามาอีกครั้ง

                    "เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ในฐานะที่ผมเป็นประธานบริษัทอิกดราซิล ได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเด็กหนุ่มคนนี้ล่วงหน้าเป็นเวลา 50 ปีและยังจะมอบค่าทำขวัญให้กับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นจำนวนเงิน 30 ล้านเพิร์ลอีกด้วย"

                    *ค่าเงินที่ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน

                    ถึงแม้สิ่งที่บอกออกมาจะเป็นเรื่องที่สมควรกระทำในฐานะประธานบริษัทก็ตาม แต่หลังจากที่เหล่าผู้บริหารอีกห้าคนได้ฟังทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกันไม่มีผิด นั่นก็คือ

                    ไอ้ทานูกิเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์

                    ตาแก่นี้ปกปิดข้อมูลเรื่องการขออนุญาตลงสู่นรกของคนกลุ่มนั้น ซ้ำยังรอจนผลทั้งหมดออกมาแล้วจึงเอามารายงานพวกเขา นอกจากนั้นยังเอาข้อมูลของบุคคลที่สูงค่าขนาดนี้มาล่อตรงหน้าก่อนจะตบหัวด้วยการกระทำที่กึ่งๆจะบอกว่าจองตัวเอาไว้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรกับตาแก่นี่ได้ เพราะสิทธิ์สูงสุดในการจัดการระบบทั้งหมดนั้นอยู่ในกำมือของชายผู้นี้

    สรุปก็คือตาแก่นี่ก็แค่อยากจะอวดให้ทุกคนได้รู้ว่าตนเองมีบุคลากรชั้นเลิศอยู่ในมือเท่านั้นเอง

                    "เรื่องที่จะพูดก็มีเท่านี้แหละ ขอโทษนะที่ต้องรบกวนเวลาอันมีมีค่าของทุกท่าน" ว่าจบร่างบนหัวโต๊ะก็โบกมือลาพวกเขาก่อนที่จะล็อคเอ้าท์ออกจากเซอร์เวอร์แห่งนี้ไป

                    หลังจากที่ผู้มีอำนาจมากที่สุดบนโลกหายไปแล้ว บุคคลทั้งห้าที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็หันมาจ้องตากันอย่างรู้ทัน ต่างคนต่างไม่ยอมคิดที่จะยอมปล่อยบุคลากรล้ำค่าเช่นนี้หลุดมือไปแบบนี้แน่นอน โดยที่ไม่มีใครได้กล่าวอะไรเพิ่มร่างทั้งห้าก็ทยอยล็อคเอ้าท์กันออกไปเพื่อเตรียมดำเนินงานสืบหาที่อยู่และข้อมูลของเป้าหมายคนนี้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะคว้าเพชรชิ้นนี้มาอยู่ในมือของตน

                    โดยที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการแย่งชิงบุคลากรในครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ตาทานูกิเฒ่าคาดการณ์จะให้เกิดขึ้นเอาไว้แต่แรกแล้วก็ได้

                    แต่ถึงจะรู้แบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้หลุดมือไปได้จริงๆ

                    ****************************

                    "จริงสิ มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามพวกนายหน่อย" ไกอาที่ไม่สามารถสู้แรงของโอโรจิและลูซี่ ได้ถูกจับลากมาทิ้งเอาไว้บนเตียงในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะพอใจกับการได้วาดรูปพอสมควรแล้วเจ้าผู้ป่วยคนนี้ก็เลยยอมให้ลากกลับห้องมาแต่โดยดี

                    "ทำไมพวกนายถึงลงไปช่วยฉันออกมาได้ล่ะ" คำถามง่ายๆจากปากของเจ้าทำเอาเพื่อนทั้งสี่ถึงกับสะอึกพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว เพราะถ้าหากจะตอบคำถามนั้น มันจะทำให้เรื่องหลายเรื่องที่ไม่ควรบอกเจ้าตัวในตอนนี้มันทะลักออกมาจนหมด

                    โอโรจิ เร็น ลูซี่ รวมไปถึงซิลเวียหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ซ้ำใบหน้าของแต่ละคนยังออกอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกด้วย ทำเอาเจ้าคนถามรู้สึกแปลกๆไปในทันที

                    แต่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะได้พูดอะไรออกไป คนที่สามารถตอบข้อสงสัยของไกอาได้ก็เดินเข้ามาในห้องอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าตัวเขานั้นกำลังรอคำถามนี้อยู่ก็ไม่ปาน

                    "เรื่องนั้นฉันจะตอบให้เอง"

                    ทันทีที่เสียงอันแสนจะเยียบเย็นดังขึ้น ทุกคนในห้องยกเว้นไกอาก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองทางต้นเสียงอย่างหวาดๆ

                    "สวัสดี เจ้าลูกหนี้ทั้งหลาย" ร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่มีความเกรงใจ พร้อมกับถอดแว่นดำออกเผยให้เห็นใบหน้ามเข้มที่คล้ายกับไกอาอยู่หลายส่วน

                    "..." ไกอาเงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยอามณ์เซ็งๆ ไม่ใช่ว่าเกลียดหมอนี่หรืออะไรเทือกนั้น เพียงแต่เขาแพ้ทางเจ้าคนๆนี้มากเกินไปต่างหาก "ไอ้คนเฮงซวย"

                    "พูดแบบนั้นกับเจ้าหนี้มันไม่ดีเท่าไหร่นะ" รอยยิ้มแบบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าฉายออกมาแบบไม่ปิดบัง "จริงไหม"

                    สายตาคมๆหันไปมองสี่คนที่พยายามเลี่ยงออกจากจุดเกิดเหตุแต่ดูเหมือนว่าคงจะสายเกินไปเสียแล้ว

                    "เจ้าหนี้?" ไกอาทวนคำถามอย่างไม่เข้าใจ

                    เมื่ออีกฝั่งปูทางมาแล้ว คนที่รออยู่ก็เผยยิ้มกว้างขึ้นมาพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับผู้ป่วยที่ยื่นมามารับอย่างเก้ๆกังๆ

                    และเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกระดาษแล้ว เจ้าตัวก็แทบอยากจะกลับไปอยู่ในนรกเหมือนเดิมแทนที่จะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

                    "อุปกรณ์เร่งความเร็วคลื่นสมอง ค่าใช้จ่ายของสตาฟ ค่าขนส่งเครื่องมือ ค่าเช่าบอดี้การ์ดเลเวล 400 ค่าใช้จ่ายในการทำเรื่องขอแอคเซสเข้าสู่นรก และค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆรวมเป็นเงินทั้งสิ้นหนึ่งแสนล้านเพิร์ลถ้วน"

                    ไกอาได้แต่จ้องมองตัวเลขที่มีเลขศูนย์ยาวติดกันเป็นหางว่าว มือที่กำใบเสร็จทำอะไรไม่ได้นอกจากสั่นด้วยความโกรธ "อย่ามาบ้าน่าถึงของพวกนี้มันจะแพงก็เถอะ แต่ราคาก็ไม่น่าจะสูงขนาดนี้นี่นา"

                    "ถูกต้อง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนอกจากค่าเบ็ดเตล็ดแล้วมันก็แค่พันล้านเพิร์ลต้นๆเท่านั้นเอง" อีกฝ่ายพยักหน้ารับ "ที่แพงมันค่าเบ็ดเตล็ดต่างหาก"

                    "เบ็ดเตล็ดบ้าบออะไรตั้งเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันล้านเพิร์ลฟะ" ไกอาโวยขึ้นมาทันที "แบบนี้มันโกงกันชัดๆ"

                    "พูดแบบนี้ก็ไม่สวยนะ" ชายในชุดสูทยกนิ้วขึ้นมาส่ายพร้อมกับส่งเสียงจุ๊ๆ "มันสำหรับการรวบรวมข้อมูลที่อยู่ของนายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ รวมไปถึงการแบ๊คอัพโปรแกรมที่นายไปสวมรอยแทนอีกด้วย A.I. ระดับนั้นการจะซ่อมมันน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ และที่สำคัญที่สุดในนี้น่ะรวมค่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ช่วยนายออกมาจากที่นั่นเอาไว้ด้วยไงล่ะ"

                    เมื่อลูกหนี้เริ่มคิดตามก็เริ่มรู้สึกว่ามันอาจจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดก็ได้ แต่ถึงอย่างไรแสนล้านเพิร์ลมันก็มากเกินไปจริง ปากที่หุบไปได้สักพักกำลังจะแหวสวนกลับไปอีกฝั่งก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน

                    "อุปกรณ์สำหรับพาคนในทีมกลับสู่ที่หมายที่บันทึกโดยไม่ติดไฟวอลสองพันล้านเพิร์ล ค่าไม้เท้าและโปรแกรมสำหรับล้างไฟล์ที่ส่งผลเสียต่ออวตารจัดเป็นวัคซีนระดับ SS ที่ถูกระงับเอาไว้ใช้สำหรับเชื้อพระวงศ์และผู้มีอำนาจระดับทวีปเท่านั้นหกหมื่นล้านเพิร์ล อันนี้แพงหน่อยเพราะว่ามันต้องผ่านพ่อค้าคนกลางใจร้ายหลายคนหวังว่านายคงเข้าใจนะ"

                    "แต่ก็อย่างว่าตอนนั้นนายไม่มีสติรับรู้อะไรและที่สำคัญผู้ที่เซ็นสัญญาทั้งหมดมันเป็นพวกเพื่อนของนายต่างหากนี่นะ" ว่าจบเขาก็หันไปหาลูกหนี้ทั้งสี่ที่เบียดกันอยู่ข้างกำแพงโดยพยายามที่จะเว้นระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด "แต่จะไปว่าพวกเขาก็ไม่ได้เพราะโอกาสที่จะเข้าไปในนรกได้มันมีจำกัดแค่ร้อยปีหนึ่งครั้งตามเวลาของ BWS ก็เลยไม่มีทางเลือกล่ะนะ"

                    พูดง่ายๆคือถ้าเขาจะบอกว่าทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเขาแล้วไล่ตะเพิดคนตรงหน้านี้ออกไปจากห้องก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นผู้ที่จะรับกรรมก็คือเพื่อนๆของเขาที่ตกลงทำสัญญาพวกนี้เพื่อจะช่วยเขาออกมาจากที่นั่น

                    "ต้องการอะไรกันแน่" แน่นอนว่าเจ้าคนตรงหน้าต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเสียเวลามาเปลืองน้ำลายแบบนี้หรอก

                    "โอ้ แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย" ผู้เป็นเจ้าหนี้ยิ้มพรายพร้อมกับกดรหัสบางอย่างลงไปในคอมพิวเตอร์แบบพกพารูปแบบนาฬิกาที่ข้อมือและส่งเอกสารสัญญาแบบอิเล็คโทรนิคส์มาเบื้องหน้าเขา "แค่ประทับลายนิ้วมือลงไปทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วล่ะ"

                    ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงจะอ่านเนื้อหาทั้งหมดให้เรียบร้อยแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ตอนนี้อารมณ์โมโหมันปรี๊ดขึ้นมาจนไกอาไม่อยากจะคิดอะไรเพิ่มอีกแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนอกจากจะยอมทำตามไอ้คนเฮงซวยข้างหน้านี้

                    หลังจากที่นิ้วโป้งของไกอาสัมผัสกับเอกสารที่ว่าและยืนยันรอยนิ้วมือเรียบร้อยแล้วมันก็ปิดตัวเองลงไปในทันที

                    "ขอบคุณที่อุดหนุน..." รอยยิ้มพรายึ้นมาบนใบหน้าคมเข้มอีกครั้งก่อนที่จะพูดต่อ "จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ"

                    "เอ่อ คุณเรย์...ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เป็นเอกสารอะไรเหรอคะ" ซิลเวียเค้นความกล้าเดินเข้ามาถามในสิ่งที่ตนสงสัย ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นอีกสามชีวิตข้างหลังก็ทำท่าอยากรู้ไม่แพ้กัน

                    "มันก็แค่เอกสารรับเข้าทำงานเท่านั้นแหละครับ" เจ้าตัวว่าจบก็เปิดหน้าจอสามมิติขึ้นมาและโอนไฟล์ก๊อปปี้ไปยังหญิงสาว

                    และเมื่อซิลเวียไล่สายตาไปตาเนื้อหาดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างห้ามไม่ได้

                    ท่าทางของหญิงสาวที่มักจะเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลาทำเอาคนที่เพิ่งตกลงทำสัญญาเมื่อครู่รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆพร้อมกับรู้สึกพลาดอย่างแรงที่ไม่ได้อ่านเนื้อหาให้ดีเสียก่อน

                    แต่ก็อย่างว่าผลที่ตามมามันก็คงไม่เปลี่ยน ในเมื่อคนตรงหน้าได้ปิดทางเลือกอื่นของเขาจนหมดสิ้นแล้ว

                    "เอาเป็นว่าพี่จะให้เวลาร่ำลาเพื่อนๆสักอาทิตย์ก็แล้วกันนะ" ว่าจบเรย์ก็หยิบแว่นตาขึ้นมาสวมอีกครั้งแล้วก็โบกมือเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาอาฆาตจาก น้องชาย ไล่ตามหลังไปจนกระทั่งร่างในชุดสูทหายไปจากสายตา

                    "ข้างในมันเขียนว่าอะไรงั้นเหรอซิลเวีย" เมื่อคนที่แสนจะน่ากลัวออกไปแล้วทโมนอีกสามตัวจึงเร่งเข้ามาถามหญิงสาวที่กำลังปิดตาและประมวลผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

                    ซิลเวียไม่ได้ตอบอะไรออกไปเธอเพียงแค่ส่งไฟล์ที่เธออ่านเมื่อครู่ไปให้เพื่อนๆที่ทำหน้าสงสัยกันอยู่

                    ซึ่งท่าทางของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป

                    โอโรจิเบิกตาโพลงขึ้นมา ถ้าจะให้แปลก็คือตกใจสามส่วน ยินดีเจ็ดส่วน ซึ่งโดยรวมนับว่าคล้ายกับลูซี่ ทางด้านเร็นนั้นหนักไปทางความสงสัยเสียมากกว่า

                    แน่นอนว่าปฏิกิริยาของเพื่อนๆทำเอาไกอายิ่งอยากจะรู้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวว่าตัวเองได้ตกลงทำสัญญาอะไรกับเจ้าพี่ชายปิศาจคนนั้น และก็ได้รู้คำตอบเมื่อเพื่อนๆทั้งหลายส่งไฟล์อันนั้นมาอยู่ตรงหน้าเขา

                    หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที

                    "ไอ้พี่บ้าเอ้ย!!!!"

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×