ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    18DimensioN : : [จอมคนล่าสิบแปดมิติ]

    ลำดับตอนที่ #7 : [Section07]--Frist Dimension--เข้าสู่มิติระดับหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 54



    [Section07]--Frist Dimension--เข้าสู่มิติระดับหนึ่ง

    (ดนตรี) เท้าเปล่าเปลือยน้อยๆของฉันเต้นไปตามท่วงทำนองของเสียงดนตรีที่เงียบงัน


    ค่อยๆเริงระบำ...............ค่อยๆเริงระบำ..................................ค่อยๆเริงระบำ


    ท่ามกลางเศษซากแห่งอนาคตนั้น....................เท้าของฉันเต้นรำไปมา(ดนตรี)

                                                            [บทเพลงแห่งมิติที่เจ็ด-นิรนาม]

    …………………………………………………………

      เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นมาพบว่าที่เขามองดูอยู่นั้นเป็นเพดานว่างเปล่า ไม่ได้หมุนไปมาเหมือนไม่นานมานี้  รู้สึกตัวว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง  มีบางอย่างครอบปิดบริเวณจมูกและปาก  ที่ข้อมือมีเข็มน้ำเกลือพร้อมสายระโยงระยางเต็มไปหมด พันกันวุ่นวายอยู่รอบเตียงคนไข้


    “ปิ๊บ........ปิ๊บ”


       เสียงเครื่องตรวจวัดหัวใจดังเป็นจังหวะปกติ ในห้องที่เงียบงันยิ่งดูวังเวงเข้าไปใหญ่


       เด็กหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือถอดหน้ากากจ่ายออกซิเจนออก  พร้อมดึงเข็มน้ำเกลือออกมาช้าๆ ก่อนกดปิดเครื่องจ่ายออกซิเจน


    “บ้าชะมัด........เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

    เขาค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากเย็น


    “หนาวแบบนี้คนไข้คงเป็นปอดบวมตายกันหมด”

    เท้าเปล่าสัมผัสพื้นห้องที่เย็นเฉียบ ได้กลิ่นฉุนกึกของยาฆ่าเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการมึนหัวขึ้นมาทันที  เขาพยุงตัวเองเดินไปถึงหน้าประตู ใช้มือเช็ดถูไอน้ำออกจากบานกระจกของประตู ค่อยมองลอดผ่านออกไปภายนอก


       ภายนอกมีนางพยาบาลสองคนกำลังเดินคุยกันผ่านห้องไปตามทางเดิน เมื่อนางพยาบาลพ้นจากขอบเขตของการมอง สายตาเด็กหนุ่มค่อยไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่งหญิงสาวในหมวกไหมพรม สวมแว่นสีชาม่อยหลับอยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องผู้ป่วย เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที


    “ไม่น่าเชื่อ.........”


       เด็กหนุ่มสบถคำ  นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบหญิงสาวคนนี้ เป็นคนเดียวกับในฝันของเขา ซึ่งซ่งเองรู้จักดีและติดตามผลงานของเธอมาตลอด หรือว่านี่ก็เป็นความฝันเช่นกัน แต่ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง.....................


    “............”


    “ชั้นเห็นมากะตาย๊ะ................คนไข้ห้องที่สิบสามอ๊วกออกมาเป็นของเหลวสีเขียว”


    “นั่นมันมนุษย์ต่างดาวแล้วเธอ.........ดูหนังมากไปหรือเปล่า?”


    “ช่างเหอะ......เธอไม่เชื่อก็ลองไปถามหมอดูสิย๊ะ”

    “ตาหมอกิ๊กของเธอนั่นอะนะ”

    “บ้าเหรอ....”


       เสียงสนทนาของนางพยาบาลสองคนทำให้หญิงสาวค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หล่อนถอดแว่นออกเหน็บไว้ที่คอเสื้อ ขยี้ตามองไปที่ห้องผู้ป่วย ดวงตาของหล่อนกลับเบิกกว้างขึ้น อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง


    “เหลือเชื่อ....
    !!!!


       หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหน้าประตู ยืนมองดูเด็กหนุ่มผ่านบานกระจกที่เต็มไปด้วยไอน้ำเกาะจับอยู่ของประตูห้องที่เขียนไว้ว่า “ฉุกเฉิน”

       ระหว่างคนสองคน...........มีประตูคั้นกลาง...........อยู่ที่ว่าใครจะเปิดแง้มประตูบานนั้นเข้าไปก่อน


    ......หญิงสาวหมุนลูกบิดเปิดประตูออก.....


    “นี่.........ชั้นนึกว่านายตายแล้วซะอีก”
    หล่อนโพล่งออกมา ค่อยพูดต่อ


    “เดี๋ยวชั้นไปเรียกหมอมาให้”
    หญิงสาวหมุนตัวเตรียมเดินตรงไปที่เคาทเตอร์ แต่มีมือมาฉุดรั้งแขนเอาไว้  หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยมองไปที่เด็กหนุ่ม

    “ผม.........ไม่เป็นอะไรแล้ว”
    เด็กหนุ่มพูดทั้งๆที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเอื้อมมือไปจับแขนหญิงสาวตอนไหน ค่อยคลายมือลง

    “ยังไงนายก็ต้องได้รับคำยืนยันจากหมอว่าปกติหละน่า”

    หล่อนแกะมือของเด็กหนุ่มออกจากแขนค่อยเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์

    ซ่งได้แต่ยืนมองหญิงสาวเดินจากไป


    “....คุณชอบเธอ
    ?....”
    เสียงกระซิบที่คุ้นเคยดังขึ้น ดังออกมาจากภายใน


      เด็กหนุ่มถึงกับยืนนิ่ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ตระหนกตกใจเหมือนครั้งที่ผ่านมาเขาค่อยๆรวบรวมสติ คิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยพูดขึ้นเบาๆ


       “คุณอาจเป็นเสียงที่ผมหลอนไปเอง.........หรืออาจมีอยู่จริง........ทำให้ผมเห็นได้ไหมว่าคุณพูดจริง”


       “ไม่ได้ในตอนนี้.......แต่อีกสองชั่วโมง........ระบบการเชื่อมต่อของคุณจะใช้งานได้”


    “เชื่อมต่ออะไร?”


    “เชื่อมต่อกับความคิดและความฝันของผู้คน...........เพียงแค่การสัมผัส”


    “แล้วไงต่อ”


     “คำตอบนี้คุณจะเข้าใจเมื่อได้พบกับคนๆหนึ่ง.....ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า”

    เสียงกระซิบดังขึ้นและเงียบไปขณะที่หญิงสาวกำลังเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่ม


    “นี่นาย....”
    หญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อนพูดต่อ


    “นายเป็นอะไรถึงล้มลงไปกองกับพื้นนั่น.........แล้วทำไมชั้นถึงคุ้นหน้านายนัก”

       เด็กหนุ่มคล้ายทั้งตัวชาไปชั่วขณะ เมื่อพบว่าหญิงสาวมายืนอยู่ในระยะใกล้ตนเกินไป  ใกล้ขณะที่ว่าตนได้กลิ่นแม้กระทั้งกลิ่นหอมจางๆจากเสื้อผ้าของหญิงสาว ระยะนั้นใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจในอากาศของอีกฝ่ายหนึ่ง เด็กหนุ่มประมาณการว่าเธอมีส่วนสูงห่างจากตนเองไม่กี่เซนเท่านั้นแม้ว่าซ่งเองจะอายุน้อยกว่าก็ตาม


        หญิงสาวนึกขึ้นได้พึ่งรู้ตัวว่าตนเองมายืนประชิดใกล้อยู่กับเด็กหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเพราะต้องการคาดคั้นเอาคำตอบนั้นเร็วไป หล่อนถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความประหม่าเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการใดๆออกยังคงยืนมองหน้าเด็กหนุ่มเพื่อรอคำตอบหรืออะไรบางอย่างที่เขารู้


    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น...........”
    ซ่งพูดขึ้นก่อนจะก้มหน้าลงไปมองที่พื้น


    “.............”


    “งั้นตามชั้นมา........ชั้นจะพานายไปหาคำตอบที่อาณาจักรลอยฟ้านั้น”


     “อาณาจักรลอยฟ้าไหน
    ?


    “ช่างเถอะ......................นายตามชั้นมาหล่ะกัน”
    หญิงสาวจับมือเด็กหนุ่มเตรียมออกเดินทาง เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่กึ่งระหว่างความจริงกับโลกความฝัน เป็นความรู้สึกที่เหนือจินตนาการอย่างหนึ่ง

     

    “เพล้งงงงงงง”

    เสียงกระจกแตกดังขึ้น   เสียงกระจกนี้ดังมาจากห้องผู้ป่วยชั้นล่าง


       ไม่นานนักหลอดไฟตามทางเดินพลันกระพริบถี่รัว ได้ยินเสียงผู้คนเอะอะโวยวาย วิ่งชนกันอลม่าน


    “แปล๊บๆๆๆ”

    หลอดไฟกระพริบไม่นานนักหลอดไฟบนทางเดินดับไล่เรียงตามๆกัน

      
       พยาบาลที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันวิ่งไปทางประตูหนีไฟฉุกเฉิน คนไข้บางคนพาตัวเองออกมาจากห้องพร้อมทั้งรถเข็นและสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง เห็นหน่วยรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งกำลังยืนลังเลใจ เมื่อเห็นผู้คนต่างแตกตื่นก็วิ่งตาม หลงลืมหน้าที่ของตนไป...

     

          คนทั้งสองพากันวิ่งลงทางบันได หญิงสาวจับมือเด็กหนุ่มแน่นยิ่งกว่าเดิม ลงบันไดได้ไม่กี่ขั้นผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งสวนทางขึ้นมา


    “มันกำลังมาๆ”

    หนึ่งในผู้คนที่วิ่งสวนทางขึ้นมาพูดขึ้น ขณะที่วิ่งขึ้นบันไดมาอย่างกระหืดกระหอบ

      
       หญิงสาวรีบเอาหลังชิดกำแพงด้านหลังหลบทางให้ผู้ที่วิ่งสวนขึ้นมา พร้อมกับอยากรู้อยากเห็นว่าสิ่งที่คนเหล่านี้วิ่งหนีมาคืออะไร หล่อนค่อยๆมองลงไปข้างล่างซึ่งบัดนี้ชั้นล่างดูมืดมิด

       เห็นเป็นเงาตะครุ่มของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง  มีลักษณะลำตัวเป็นสีขาว ไม่สิ!!! นั่นมันเป็นชุดพยาบาล แต่บัดนี้ผู้ที่สวมชุดนั้นไม่ใช่พยาบาลอีกต่อไป เพราะดูจากลักษณะแขนขาที่ยาวผิดมนุษย์ เรียวยาวทั้งเก้งก้างกว่าที่ควรจะเป็น ไม่นานนักนางพยาบาลค่อยเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาว

       หญิงสาวตาเบิกโพลงยกมือขึ้นมาป้องปากด้วยความตกใจ เพราะใบหน้าที่เห็นนั้นเหมือนใบหน้ายุบเข้าไปรวมกันที่ตำแหน่งของจมูก ส่วนตำแหน่งของจมูกถูกแทนที่อย่างสวยงามด้วยลูกตาหนึ่งดวง นัยน์ตาเพียงไม่มีลูกตาดำเท่านั้น


       ดวงตากรอกกลิ้งพร้อมกับแขนขาที่ยาวค่อยๆปีนขึ้นมาจากชั้นล่างของตึก เร็วยิ่งกว่าสิ่งใด สิ่งมีชีวิตน่าเกลียดน่ากลัวก็มาถึงชั้นที่สองแล้ว


    “วิ่งงงง”
    เด็กหนุ่มตะโกนพร้อมดึงมือของหญิงสาวบ้างเมื่อพบว่าหญิงสาวไม่สามารถก้าวขาได้เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวค่อยพร้อมใจกันออกวิ่ง

    สิ่งมีชีวิตไล่หลังมาติดๆไม่นานมีลำแสงสีฟ้าพุ่งผ่านคนทั้งสองไป


       ลำแสงสีฟ้าขยายตัวออกเกิดเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมสีฟ้าใสครอบเจ้าสัตว์ประหลาดเอาไว้ คล้ายกรงขังสัตว์เพียงเปลี่ยนจากตะแกงเหล็กเป็นแสงอุลตร้าเลเซอร์เข้มข้นสูงเท่านั้น เจ้าสัตว์ประหลาดดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด...

       เด็กหนุ่มรู้สึกแสบตาเอามือบังแสงที่สว่างจ้าตรงหน้า เห็นร่างเงาคนกว่าสิบคนวิ่งออกมาจากแสงสว่างเบื้องหน้านั้นแต่ไม่ชัดเจนนัก คนกลุ่มนี้ตัวใหญ่กว่าคนปกติเนื่องเพราะชุดเกราะสีดำทั้งตัวของพวกเขา ในมือมีปืน........ไม่ใช่!!!! นั่นไม่ใช่ปืน แต่เป็นเหมือนปืนที่ยึดติดกับแขนไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแขนของพวกเขา

       คนทั้งหมดเล็งปืนที่ติดกับแขนนั้นไปที่เจ้าตัวประหลาดพร้อมกระหน่ำยิงแสงสีฟ้าออกมาจากแขนตัวเอง ยิงเข้าใส่เจ้าตัวประหลาด ลำแสงที่กระหน่ำยิงเข้าร่างกาย

       เจ้าตัวประหลาดวิ่งแหวกอากาศเข้าทะลุทะลวงทุกส่วนของอณูร่างกายของมัน ของเหลวสีเขียวแตกกระจายออกมาแต่ไม่กระเด็นออกมาภายนอกกล่องแสงสีฟ้าที่ครอบตัวมันไว้อยู่ คล้ายระบายสีกล่องสีฟ้าให้กลายเป็นสีเขียว  ไม่นานการระดมยิงที่ดูเหมือนจะไม่จบไม่สิ้นก็หยุดลง

       หนึ่งในนั้นเมื่อหยุดยิงหันมาที่เด็กหนุ่มก่อนเดินตรงเข้ามาหา ตอนแรกใบหน้านั้นดูเหมือนเป็นหน้ากากครอบไว้อยู่กลับค่อยๆปรากฏเป็นใบหน้าคน ส่วนแขนที่เคยเป็นปืนก็เปลี่ยนเป็นมือเช่นเดิม 

    .......อะไรมันจะแฟนตาซีขนาดนี้วะเนี่ย........

    เด็กหนุ่มคิดในใจ


    “เป็นอะไรไม๊ไอ้หนู” 
    ชายวัยกลางคนผิวคล้ำหน้าดูเป็นมิตร แต่หากมีรอยแผลเป็นพาดผ่านตาซ้ายเป็นแนวยาวดูคล้ายเคยผ่านศึกสงครามบางอย่างมา เขาเอ่ยขึ้นพร้อมทำมือส่งสัญญาณให้กับหมู่คนที่ติดตามมาด้วยเป็นเชิงขอเวลานอก....


    “นี่แฟนของเธอเรอะ?” ชายวัยกลางคนมองไปที่หญิงสาวแล้วยิ้มเล็กน้อย


      เด็กหนุ่มกับหญิงสาวต่างก้มหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
    “ปล่ะ เปล่าค่ะ" หญิงสาวรีบโบ้ยมือ พร้อมเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว

    “ว่าแต่..........เกิดอะไรขึ้นคะ.........แล้วพวกคุณเป็นใครคะ”


    “พวกเธอมีลักษณะพิเศษบางอย่าง.........ที่เราก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร?”

    “คืออะไรหรอคะ?” หญิงสาวถามขึ้น

      
       ที่จริงแล้วมีคำถามมากมายที่อัดแน่นอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มและหญิงสาวจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากไหนก่อนดี...

    “เราไม่อาจลบความทรงจำของพวกเธอ......”
    ชายกลางคนพูดขึ้น  กวักมือเรียกคนๆหนึ่งจากในทีมที่มาด้วย แล้วกล่าวต่อ


    “ปกติหน่วยเก็บกวาดของเราและระบบไทม์ฟีสเซอร์ของเราไม่เคยทำงานผิดพลาด

    ดูเหมือนก่อนหน้านี่ที่พวกเธอเจอคือทีมระดับเอ พวกเราเป็นทีมระดับบี ไม่ใช่เพราะฝีมือห่วยหรอกนะ แต่เป็นเพราะ”


    “เค้าโดนนามิทิ้ง....”
    หนึ่งในนั้นช่วยตอบให้ ชายกลางคนยกมือห้ามปรามว่าไม่ต้องพูดต่อ ก่อนที่ตนจะพูดต่อไปอีก


    “ทีมของเราใช้ไทม์ฟีสเซอร์เพื่อหยุดเวลาในช่วงขณะหนึ่งไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ทีมเก็บกวาดจะทำการคืนสภาพให้กับสภาพแวดล้อมทั้งหมด ขณะที่เวลาหยุดหรือเคลื่อนตัวช้าลงเราก็จะทำการลบความทรงจำทั้งหมดของคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่ว่าคนๆนั้นจะได้ยินเสียงกระจกแตกแค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม”

    “เรียกผมเรอะ”
    คนที่มาใหม่ค่อยๆละลายหน้ากากออกจากใบหน้า หน้ากากทำด้วยลำแสงชนิดหนึ่งค่อยๆจางลง เผยให้เห็นใบหน้าชัดเจนขึ้น

    คนผู้นี้ดูลักษณะคงแก่เรียน ใบหน้าคมคาย ภายใต้แว่นสายตาเล็กๆนั้น คนๆนี้อายุยังน้อยนัก


    “เรียกผมว่าเซน”
    ชายสวมแว่นกล่าวขึ้นพร้อมยกมือที่สวมไว้ด้วยถุงมือสีดำขึ้นมาเพื่อขอจับมือทักทาย


    ซ่งค่อยยื่นมือออกมาจับอย่างงงๆ หญิงสาวก็เช่นกัน


       ชายสวมแว่นมองไปที่หญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งค่อยหันกลับมาที่ซ่ง ชายวัยกลางคนค่อยพูดต่อ   “ปกติแล้วการลบล้างความจำด้วยเครื่องลบความจำนั้นจะสามารถลบความรู้สึกและความทรงจำต่างๆที่บุคคลนั้นได้รับรู้มาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเธอสองคน ไม่รู้สิ ทำไมนะ?”

    “พวกนายพิเศษแฮะ” หนุ่มแว่นโพล่งออกมา “ให้ไปกับเราได้ไม๊ครับ?”


    “อืม ยังไงในกรณีนี้ต้องไปอยู่แล้ว เด็กคนนี้เคยเข้าไปรีเซ็ทระบบแล้ว”


    “เร็วกว่าที่คิดแฮะ อยากเข้าไปเที่ยวในเซฟโหมดของชั้นปะ” หนุ่มแว่นทำหน้ายิ้มๆ


    “ค่อยเอาไว้คุยกันวันหลัง ตอนนี้พวกเธอต้องมากับเราทางนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรื่อเรื่องการเรียน เราจัดการให้หมดแล้ว............”
    ชายกลางคนพูดขึ้น พร้อมกับเรียกรวมพล


    “เราจะสร้างร่างโคลนนิ่งให้พวกเธอ.................ก๊อปปี้ทุกการกระทำแล้วปล่อยให้ไปใช้ชีวิตแทนพวกนายเธอสองคนชั่วคราว”


    “ล้อเล่นใช่ไม๊ค่ะ
    !!!” หญิงสาวโพล่งชึ้น


    “หน้าตาอย่างชั้นมันชอบล้อเล่นนักหรือ?” ชายกลางคนพูดพร้อมทำหน้าจริงจัง หญิงสาวค่อยพยักหน้า

    “ผมจะลองวัดระดับพลังชีวิตของพวกเขาดูนะครับ” ชายอีกคนที่เดินมาด้านหลังถือแผ่นสแกนเนอร์ลำแสงเข้ามาหาคนทั้งสอง


    “ไม่ต้องมั้งคิส” ชายแว่นห้ามปราม


    “ปิ๊บๆๆ” แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ฟัง เขายกแผ่นสแกนไปเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม ซ่งเห็นตัวเลขวิ่งไปมาอยู่บนหน้าจอแสกนนั้น ในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม รู้สึกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ตัวเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้แต่ในอินเตอร์เน็ตก็ตาม


    “ปิ๊บๆๆ”
    เครื่องแสกนเปลี่ยนเป็นไปสแกนเบื้องหน้าหญิงสาว จากนั้นผู้สแกนนำมาอ่านค่า พร้อมเลื่อนมือปรับไปมาอย่างชำนาญ ก่อนที่จะพูดขึ้น


    “พลังชวิตของหญิงสาวคนนี้อยู่ในระดับมนุษย์ปกติ............แต่ที่น่ากังวลคือ...”


    “อะไรหรอ”
    ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาถาม ก่อนจะได้รับคำตอบ


    “เด็กหนุ่มคนนี้พลังชีวิตใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว........แต่ทำไมยังดูแข็งแรงอยู่?”
    ชายที่ทำหน้าที่วัดพลังพูดขึ้น


    !!!!!!~
    หญิงสาวแม้ไม่รู้ความหมายแต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมตนเองถึงเกิดกังวลใจขึ้นมาเช่นกัน


    “หมอบอกผมจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน”
    ซ่งสารภาพ

    “ผมเป็นลูคีเมียระยะที่สี่”


    “มีด้วยเหรอ?” ชายแว่นถามขึ้น

    “...........”


    “ช่างเถอะ...........พวกเราอาจช่วยนายได้”
    ชายกลางคนผิวคล้ำเอื้อมมือจับไหล่ของเด็กหนุ่ม “อย่ามัวเสียเวลาเลยไอ้หนู นายได้มาถึงจุดนี้ถือว่านายกำลังก้าวไปสู่ความจริง ชาวโลกส่วนใหญ่ใช้เวลาราวกับว่าชีวิตพวกเขานั้นเป็นอมตะ แต่นาย”

       เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ค่อยๆลุกขึ้นยืน ขณะที่คนในชุดดำอีกหลายคนกำลังเดินเข้ามา


    “จุดวาร์ป(
    warp) พร้อมครับ”
    หนึ่งในกลุ่มคนพูดขึ้น


    ...ผู้คนกว่าสิบคนมายืนรวมกันรอบวัตถุทรงกลมประหลาดที่มีแสงไฟสว่างอยู่รอบตัวเรืองแสงสีเขียวนวลๆ  แต่ด้านในมองเห็นแผงวงจรเล็กๆมากมายดูซับซ้อนเกินกว่าเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน    ชายกลางคนให้ทุกคนจับมือกันเป็นวงกลมรวมทั้งเด็กหนุ่มและหญิงสาวด้วย

       
        ไม่นานเกิดแสงสว่างจ้ากระทั้งมองไม่เห็นสิ่งภายรอบ ซ่งรู้สึกตัวว่าเหมือนตัวของตัวเองหดเล็กลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีแรงดึงดูดมหาศาลดูดเข้าไปสู่ห้วงแห่งอากาศ ทุกอณูของร่างกายคล้ายยืดขยายไม่มีที่สิ้นสุด ผ่านแสงสว่างเป็นชั้นๆ ร่างกายแยกออกจากกันทั้งถูกแรงดึงดูดมหาศาลดูดเข้าไปภายใน

     

    Zooooooooooooooooobbbbbbbbbbbbbbbbbbb

     

    .......แสงนั้นกำลังดึงดูดคนทั้งหมดเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง........

    ......มิติแห่งจิตองค์รวม.......


    C://Section07 /<End>

    /To be Continue.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×