คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [Section05] Destiny --โชคชะตา
[Section05] Destiny
ความทรงจำหน่ะหรือ?
มันก็ทำตามหน้าที่ของมัน นั่นคือบันทึกสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั่นเอง
เหมือนฮาร์ดดิชคอมพิวเตอร์....................ใครเนื้อที่มากก็จำได้มากหน่อย บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่คนบางคนไม่ค่อยจะชอบนัก...........กับความทรงจำสีเทาๆจางๆอันเลวร้ายหน่ะ ก็เข้าใจนะว่ามันไม่สนุกนักหรอก.............
อย่าไปโทษความทรงจำสิ...................ก่อนที่เธอจะนำมาเก็บเป็นความทรงจำหน่ะ
เธอเลือกเองไม่ใช่หรอ ว่าข้อมูลไหนที่เธออยากจะเก็บเข้ามาไว้ในความทรงจำ
แต่ก็อย่างว่า ความทรงจำบางอย่างแม้เธอจะกดdeleteทิ้งกี่ครั้งมันก็ยังกู้ไฟล์กลับมาได้ทุกทีสิน่า
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
เสียงกรี๊ดร้องดังก้องยาวนาน...
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งกรีดร้องอยู่หน้ากระจก
ไม่นานมีผู้หญิงวัยรุ่นอีกสองสามคนวิ่งเข้ามาในห้องนอนของหล่อน
"ชั้นว่าแล้ว...มันต้องรับไม่ได้....เชื่อชั้นยัง"
หนึ่งในสามที่พึ่งวิ่งขึ้นมาพูดกับเพื่อนหญิงอีกคนที่วิ่งขึ้นมาด้วยกัน
"เออ...ชั้นก็นึกว่ามันไปทำผมมาใหม่ นึกว่าต้องแสดงหนังเรื่องใหม่"
เพื่อนหญิงอีกคนพูดขึ้นแทรกขณะมองดูหญิงสาวเบื้องหน้า
หญิงสาวใบหน้าดูเศร้าหมองใช้มือขยี้ผมสีขาวราวคนแก่ของเธออย่างสับสน หล่อนมองไปกระจกอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับผมของชั้นเนี่ย”
เพื่อนหญิงมองดูเจ้าหญิงผมขาวด้วยใบหน้าเห็นอกเห็นใจ
“นางเอกของชั้นทำไมผมสลวยของเธอต้องกลายมาเป็นอย่างนี้ หรือว่าที่แท้แล้วเธอเป็นนางแม่มดต่างหาก”
“งั้นชั้นจะเสกพวกเธอให้กลายเป็นกบให้หมดเลยยยคอยดู!!”
“อย่านะนางแม่มด....”
หญิงสาวทำหน้ามุ่ย นัยต์ตาแดงกร่ำเล็กน้อยค่อยฆ้อนขึ้นมา “แง้......เรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้พวกเธอยังมีหน้ามาเล่นตลกกับชั้นอีกนะ”
หล่อนจำได้ว่าชั่วโมงที่แล้วก่อนที่หล่อนจะมานั่งร้องไห้อยู่หน้ากระจกหล่อนยังอาบน้ำอยู่แล้วก่อนหน้านั้นหล่อนก็กำลังเล่นโยคะแล้วชั่วโมงก่อนหน้านั้นอีกหล่อนก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยซ้ำ..................แล้วก่อนหน้านี้หล่ะ?
อีกอย่างหล่อนยังฝันแปลกๆด้วยแต่ความฝันนั้นกลับเลือนลางคล้ายหมอกควัน
ไม่มีสิ่งใดที่สามารถนำมาปะติดปะต่อได้เลย
"ชั้นว่าแกต้องกินยาเร่งโฮโมนเกินขนาดแน่ๆเลย"
หนึ่งในสี่พูดขึ้นอีกคนได้แต่ตีหน้ายักษ์ใส่เป็นเชิงว่าให้เงียบก่อนได้ไหม...
"เมื่อคืนเธอไปไหนมา"
หนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่ดูหน้าตาพูดรู้เรื่องที่สุดถามหญิงสาวที่ยังคงนั่งมองดูกระจกคล้ายคนปลงชีวิต ก่อนที่เธอค่อยๆหันกลับมาตอบช้าๆ
"ชั้น....จำไม่ได้..."
"อย่าบอกนะว่ามีผู้ชายมอม...."
ไม่ทันจบประโยคเพื่อนสาวอีกคนก็รีบเอามือปิดปากเพื่อนข้างๆก่อนที่จะพูดบางอย่างต่อไป
"แล้ววันนี้เธอจะไปเรียนไม๊?" เพื่อนอีกคนถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าไปมาในใจไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
"เอางี้ วันนี้เธออยู่ที่ห้องนี่แหละเดี๋ยวพวกชั้นจะผลัดเวรกันเอาอาหารมาส่งแล้วเดี๋ยวชั้นไปถามเพื่อนชั้นที่เรียนหมอให้ ว่าแกเป็นโรคอะไร"
หญิงสาวทำหน้างงๆเล็กน้อยค่อยพูดขึ้น
"นี่ ชั้นไม่ใช่โบราณวัตถุนะต้องมียามมาเฝ้าตลอดเวลานะ"
"เอ๋ แต่ดูไปดูมาผมเธอก็ดูเก๋ดีนะ"
หนึ่งในนั้นยิ้ม
"ใช่ๆอาจเป็นเทรนแฟชั่นที่มาแรงในปีนี้ก็ได้"
เพื่อนๆของหญิงสาวต่างพยายามมองโลกในแง่ดี ต่างพยายามเสริมความคิดในแง่บวกใส่เข้าไป
"งั้นพวกเราไปเรียนก่อนนะ"
"....อ้าว....พวกเธอ"
หญิงสาวผมขาวโพลนทำหน้าเศร้าพร้อมกล่าว
"ไม่อยู่ปลอบใจชั้นกันแล้วหรอ?"
"หล่อนดูเวลา....เดี๋ยวพวกชั้นไปเรียนก่อนกลับมาตอนเย็นซื้อโจ๊กหมี่กรอบมาฝาก"
"อือ" หญิงสาวพยักหน้า
ประตูถูกปิดลงทิ้งหญิงสาวไว้ในห้องเพียงลำพัง
“แง้~~~” หญิงสาวรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้มือลูบคลำผมของตัวเองซึ่งบัดนี้เป็นสีขาวโพลนทั้งหัว
.....หญิงสาวนึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้หล่อนได้ทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง แต่กลับนึกไม่ออก
หญิงสาวมองดูรอบบริเวณห้อง มองไปที่ปฏิทินหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในปฏิทินกลับไม่มีสิ่งใดเขียนเอาไว้หล่อนค่อยเกิดความแปลกใจบางอย่างขึ้นมา
ปกติแล้ว หล่อนจะต้องเขียนบางอย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นวันนัดสำคัญหรือวันที่ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูง แต่ปฏิทินนี้กลับไม่มีแม้แต่รอยปากกาดินสอเลย แล้วก่อนหน้าหรือวันก่อนหล่ะ?
หล่อนหยิบมือถือขึ้นมากดเช็คดูข้อความที่มีอยู่ ก็ไม่พบข้อความใดผิดปกติอะไรยกเว้นบางข้อความที่....
.........ปิ๊บ.......
“อะไรเนี่ย ชั้นต้องพาเจ้าโบกี้ไปตัดขน ไม่ว่างไปกับเทอ จากยัยโบจัง”
หญิงสาวอ่านข้อความแล้วจึงค่อยนึกสงสัยขึ้นมาว่าตนเองได้นัดเพื่อนไปไหน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แต่จำได้ลางๆว่าเป็นสถานที่ที่เธอต้องไปเป็นประจำอยู่แล้ว
เธอมองดูสิ่งที่อยู่รอบตัวเธอ ห้องที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น บนผนังห้องเต็มไปด้วยรูปตัวเอง ตู้เสื้อผ้าสองตู้ใหญ่ ถัดไปเป็นทีวีจอแบนขนาดใหญ่ และโต๊ะคอมพิวเตอร์ โต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ในชั้นวางหนังสือมีนิตยสารแฟชั่นเรียงแน่นขนัด ตรงข้ามเป็นเตียงประจำปูด้วยผ้าปูสีชมพูอ่อนๆ มีรูปครอบครัววางไว้บนหัวเตียง
หล่อนสังเกตุรอบๆห้องค่อยเหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้า มีสัญลักษณ์ของห้างสรรพสินค้าสีแดงติดอยู่บนถุงและยังมีสัญลักษณ์นี้อยู่อีกหลายที่ปรากฏในห้องของหล่อน
“ใช่แล้ว ก่อนที่เราจะกลับมาที่นี้ เราไปห้างสรรพสินค้านี่นา แล้วคงเพลียจนหลับไป”
หล่อนนึกได้ว่าได้ไปที่ห้างสรรพสินค้า แต่ทำไมเหตุการณ์ดูเรือนรางมาก อีกอย่างหล่อนรู้สึกว่าฝันแปลกๆ เหมือนกับว่า........
“กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยค่อยเดินไปรับโทรศัพท์ที่วางไว้อยู่บนโต๊ะคอมพ์
“นั่นใครพูดคะ?”
“ฮัลโหล...........ชั้นเองนะ.........มีน”
“อ้าวยัยมีน............มีอะไร........ไม่มีชั้นไปเรียนด้วยเหงาหรือไง”
“เธอช่วยออกมาข้างนอกได้ไหม........ชั้นจะรอเธออยู่ที่เซเว่นตรงหัวมุมถนน”
เสียงอ้อนวอนดังออกมาจากโทรศัพท์
“แล้วเธอมีธุระอะไร...........เอ๊ะ.............ตอนนี้มันชั่วโมงเรียนนี่นา?”
“เอาเป็นว่า......ออกมาละกันน่า”เสียงนั้นยังคงยืนยันคำเดิม
“ได้ๆ...........ชั้นจะลงไปเดี๋ยวนี้”
หญิงสาววางสาย รีบแต่งตัวพร้อมหาหมวกไหมพรมมาสวมปิดทับไม่ให้ใครเห็นผมของหล่อน พร้อมใส่แว่นตาสีชา เดินไปเปิดประตูพร้อมกับเอ๊ะใจบางอย่าง....
“.........ทำไมยัยมีนไม่โทรเข้ามือถือเรานะ อีกอย่างเราไม่เคยบอกเบอร์ห้องให้ยัยมีนรับรู้เลยนี่นา” หญิงสาวได้แต่สงสัยแต่ไม่ได้ติดใจไปมากกว่านี้
“ปิ๊บ”
หล่อนรูดบัตรออกจากห้องก่อนตรงไปที่ลิฟท์
“ปิ๊ง....ป๊อง”
หล่อนขึ้นลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่างออกมาภายนอกอาคาร เดินผ่านร้านเสื้อผ้าและร้านขายเครื่องประดับด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“คลืนนนนน “
เสียงเครื่องบินบินผ่านหัวไป หญิงสาวมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
กลับต้องยืนตะลึงกับสิ่งที่เห็น หญิงสาวหยุดนิ่งกับสิ่งทีเห็นบนท้องฟ้า เห็นเป็นคล้ายแผ่นดินลอยอยู่ในความสูงระดับก้อนเมฆ เป็นผืนดินเขียวขจี มีสิ่งปลูกสร้างคล้ายปราสาทสีเขียวแปลกตา เหมือนเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ลอยนิ่งไม่เคลื่อนที่ไปไหน
บริเวณรอบๆมีเส้นแสงสีฟ้ากระจายอยู่รอบคล้ายเส้นผมสีฟ้าเรืองแสง สยายไปในท้องนภา สวยงามอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
.....มือทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกยกขึ้นมาปิดปากด้วยความตะลึงพร้อมชี้ชวนให้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นดู.....
“คุณคะ..........นั่นคืออะไรคะ”
หญิงสาวชี้ชวนให้หญิงคนหนึ่งในชุดทำงานมองตาม
หญิงในชุดทำงานมองตามหญิงสาว พร้อมพูดขึ้น
“หนูจะให้น้าดูอะไรจ๊ะ?”
“นั่นไงคะ ที่ลอยอยู่ข้างบนเป็นคล้ายๆปราสาท........ไม่สิ..............เป็นเหมือนเมืองลอยฟ้า”
หญิงสาวพยายามใช้มือวาดเป็นภาพในอากาศยืนยันสิ่งที่เห็น
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่จ๊ะ” หญิงในชุดทำงานพูดอีกครั้ง พร้อมมองดูหญิงสาวด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนเดินจากไป
“
ห๊ะ......นั่นมันห่าอะไรวะนั่น”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังของหญิงสาว
หญิงสาวรู้สึกชื้นใจเมื่อมีผู้ที่เห็นสิ่งเดียวกับที่ตัวเองเห็น จึงหันไปยิ้มให้
ชายที่อยู่เบื้องหลังยืนยิ้มพร้อมมองไปบนท้องฟ้า ชายผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม แบกกระสอบปุ๋ย ใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว
หญิงสาวทำท่าหมดแรง ที่แท้คนที่ทักขึ้นมาคือคนบ้าหรือนี่.........ได้แต่ฝืนใจถามออกไป
“ลุงเห็นอะไรคะ?”
คนบ้าหันมามองที่หญิงสาว............ค่อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังและสั่นเครือ
“หายนะ...........หายนะ.............ไปที่นั่น.............เจ้าจงไปที่นั่น...........ฮ่าๆๆๆๆๆ”
พูดจบหัวเราะขึ้นเหมือนคนบ้า ก่อนเดินตรงไปที่ถังขยะเก็บกระป๋องน้ำอัดลมใส่ในถุงปุ๋ยและค้นถังขยะไม่สนใจใครอีก
หญิงสาวขยี้ตามองที่คนบ้าพบว่าคนบ้าก็ยังอยู่ หล่อนขยี้ตาอีกทีมองไปบนท้องฟ้า ก็ยังเห็นอาณาจักรนั้นอยู่ แต่คนที่เดินผ่านไปมากลับมองไม่เห็น....
......หรือว่าชั้นบ้าไปแล้ว.....
หญิงสาวสับสนในชีวิตขึ้นมา มองไปที่คนบ้า......อยากจะถามว่าทำไมถึงต้องไปที่นั่น แต่คราวนี้คนบ้ากลับไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว........
หล่อนมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เห็นเส้นแสงเส้นหนึ่งจากอาณาจักรลอยฟ้านั้นพาดยาวลงมาเป็นเส้นตรงจากอีกหลายเส้นเป็นร้อยเป็นพันที่ยังลอยเคว้งคว้างอยู่บนท้องฟ้า ค่อยคว้ามือถือขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อเก็บเอาไว้
“บ้าชะมัด” หล่อนเอามือถือขึ้นมาดูรูปท้องฟ้าที่ว่างเปล่า กลับไม่อาจถ่ายติดด้วยกล้อง
“เราต้องไปที่นั่น............ต้องรีบไปที่นั่น”
จิตสำนึกสั่งให้หญิงสาวค้นหาคำตอบว่าที่แท้แล้วหล่อนบ้าจริงหรือว่าคนทั่วไปต่างหากที่มองไม่เห็นในสิ่งที่หล่อนเห็น หล่อนรีบเดินตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้า หวังว่าจะเดินทางไปพิสูจน์ด้วยตนเอง หล่อนเองเคยอ่านนิยายแฟนตาซีมาก็มาก ไม่คิดว่าวันนี้จะมาพบเจอกับตนเอง บางครั้งเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่ผมของหล่อนกลายเป็นสีนื้ก็อาจเป็นได้...............ลืมเรื่องที่นัดเพื่อนเอาไว้เสียสนิท...............
“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปสายใต้ กรุณาขึ้นบันไดที่ทางเข้าB3คะ”
เสียงประกาศดังก้องอยู่ทั่วบริเวณสถานีรถไฟฟ้า ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัด เป็นคลื่นมนุษย์ทยอยไหลไปตามช่องโดยสาร คลื่นมนุษย์นี้ส่วนใหญ่อยู่ในชุดสูทไม่ก็ชุดทำงานสีดำ มนุษย์เงินเดือนเหล่านี้พากันมุ่งไปสู่สถานที่ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับว่าเป็นสาวกที่มั่นคงในพระเจ้าที่เรียกกันว่า”เงิน” เขาจะไม่หยุดหย่อน ไม่สนใจใคร....................แม้กระทั่งตัวของพวกเขาเอง
หญิงสาวก็เป็นหนึ่งในคลื่นนั้นกำลังเบียดแทรกฝูงชนพาตนเองเข้ามาในตู้โดยสารเป็นผลสำเร็จ ค่อยหาที่ยืนทรงตัวให้กับตัวเอง ไม่นานนักมีเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหญิงสาวพร้อมยื่นสมุดเล่มหนึ่งเปิดหน้าว่างไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ พี่สาว ช่วยเซ็นให้หนูหน่อย”
เด็กหญิงพูดจบพร้อมส่งปากกาให้แก่หญิงสาว
“เอ่อ........พี่ว่าหนูคงจำคนผิดแล้วมั้ง”
หญิงสาวทำทีห้ามปามเพราะไม่อยากให้ใครล่วงรู้
“แต่พี่สาวเป็นดาราเล่นเรื่องนี้นี่คะหนูจำริมฝีปากของพี่สาวได้”
เด็กหญิงยังคงยืนยันด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งชี้มือไปที่ป้ายโฆษณาหนังที่ติดไว้เป็นแผงบนรถไฟฟ้า และไม่นานผู้คนก็เริ่มซุบซิบพร้อมมองมาที่หญิงสาว บางคนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ บ้างก็กำลังเตรียมกระดาษกับปากกา บ้างก็พยายามเบียดแทรกเข้ามาใกล้......
“ตึงงงงงง”
เสียงล้มตึงของคนๆหนึ่งดังขึ้น ผู้คนต่างหันไปมองตามเสียงพบว่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งล้มลงหน้าคว่ำลงกับพื้น บางคนก็ตะลึงงัน บางคนก็ไม่สนใจ พยายามเบียดแทรกผู้คนเข้ามาเพื่อจะขอลายเซ็น ขอถ่ายรูปกับหญิงสาวให้ได้
หญิงสาวขบคิดอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่รีบลงป้ายหน้ามีหวังไม่ได้กลับกันพอดี นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“กรี๊ดดดดด........นั้นญาติของชั้นเองคะ...........ชื่อโบกี้.........เค้าเป็นโรคสลบไม่เป็นเวลาคะ.............ต้องรีบพาเค้าไปหาหมอก่อนที่อาการจะทรุดหนักกว่านี้”
ผู้คนเกิดความงุนงงสับสนขึ้นมาเล็กน้อย หลีกทางให้หญิงสาวเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น บางคนตะโกนร้องถามว่าใครเป็นหมอบ้าง บางคนก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆ บางคนก็ยังนั่งหลับโดยไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
หญิงสาวเข้าไปประคองเด็กหนุ่มขึ้นมา บ่นอุบอิบเล็กน้อยด้วยเพราะน้ำหนักของเด็กหนุ่มนั้น ค่อยพยุงเด็กหนุ่มขึ้นแหวกกลุ่มผู้โดยสารไปรอที่ประตูรถไฟหวังจะลงป้ายหน้า
“ครืดดดดดด” ประตูรถไฟเปิดออก หญิงสาวพยุงเด็กหนุ่มออกมาจากรถไฟพร้อมไม่ลืมที่จะหันกลับไปกล่าวขอบคุณแฟนๆที่กำลังโบกมือให้ยกใหญ่
“ขอบคุณทุกคนนะคะ............ขอบคุณคะ”
“ครืดดดดด..............”
ประตูรถไฟปิดลงพร้อมกับรถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชรา ไม่นานมีเจ้าหน้าที่เดินเข้าช่วยประคองเด็กหนุ่มพร้อมกับถามขึ้น
“จะให้ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหมครับ?”
หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ค่อยมองดูหน้าเด็กหนุ่ม
“!!!!!!”
เมื่อมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับประหลาดใจขึ้นมา ว่าเด็กหนุ่มนี้หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่ทราบ
“เดี๋ยวคะ...........ขอฉันไปที่โรงพยาบาลด้วย”
หญิงสาวตัดสินใจว่าจะไปโรงพยาบาลเพราะเหตุที่เชื่อว่าเด็กหนุ่มอาจเป็นผู้ที่ฟ้าส่งมาเพื่อตอบคำถามสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆนี้ ก่อนมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
ใบหน้านิ่งๆของเด็กหนุ่มนั้นกลับมีเหงื่อซึมออกมา..........คล้ายในฝันนั้นกำลังพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่คาดไม่ถึง
........................................
C://Section05 /<End>
/To be Continue.
ความคิดเห็น