ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    18DimensioN : : [จอมคนล่าสิบแปดมิติ]

    ลำดับตอนที่ #9 : [Section09]—Beautiful Heat ความกดดันที่งดงาม

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 54


    [Section09]—Beautiful  Heat ความกดดันที่งดงาม

    [ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายโลก NSCI{Network Security Center InternationaL}

       อิชิไม่ชอบกาแฟที่เลขาส่วนตัวของเขาชงให้เอาซะเลย..........เนื่องเพราะหล่อนไม่ยอมใส่น้ำตาลลงไปในแก้วกาแฟนั้น ทำให้รสชาติของมันจึงทั้งขมทั้งเฝื่อน  นั่นคงเพื่อบอกให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ได้อยู่ในช่วงอินเลิฟอย่างที่เขาคิด แม้อิชิเองก็ไม่ได้กำชับหล่อนให้ใส่น้ำตาลลงไปในแก้วก็ตาม...........หล่อนรู้ทันเขาหมดทุกอย่าง

    “ซูดดดดดด”
    เขาซดมันหมดในรวดเดียว ทำหน้าหยีเล็กน้อยค่อยหมุนเก้าอี้กลับเข้าหาเครื่องคอมพ์พิวเตอร์สเปกระดับพรีเมี่ยมที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน มองดูที่จอมอนิเตอร์ เช็คดูค่าระดับความถี่ต่างๆ


    “ไหลลื่นไม่ติดขัด”
    เขาพูดกับตัวเอง ขณะรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เพื่อป้อนคำสั่งบางอย่าง ซึ่งเป็นงานที่เขาถนัดที่สุด นั่นคือตรวจสอบความปลอดภัยของเซิฟเวอร์ของเครือข่ายต่างๆทั่วโลก

       กว่าสิบปีที่ผ่านมาเขาเชื่อมั่นว่าได้ทำมันอย่างดีในทุกๆส่วนงาน การตรวจสอบที่เข้มงวดในชั่วโมงสุดท้ายของวันนี้ก็เช่นกัน เป็นอีกวันที่ทุกอย่างในเครือข่ายเป็นปกติ  การเข้าถึงข้อมูลทำได้อย่างง่ายดาย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ยกเว้นว่า........


    “.....
    Eror....”

    ข้อความในการเข้าถึงข้อมูลของเซริฟเวอร์หนึ่งกลับขัดช้องขึ้นมาเฉยๆ


    “แกร๊กๆๆๆๆๆ” ปุ่มยืนยันถูกกดย้ำหลายครั้ง แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม


    “สัญญาณก็ไม่ได้ติดขัดนี่” เขาพูดกับตัวเอง
    “เว้นแต่.....”


       อิชิรีบหมุนเก้าอี้ไปด้านหลังเพื่อคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เมื่อปรากฏมีคนรับสายฝั่งตรงข้าม เขาค่อยพูดขึ้น


      “ชั้นอิชิเอง.......ช่วยดูเซริฟเวอร์ระบบในเขตโตเกียวที”

     
       เสียงปลายทางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คล้ายได้รับทราบบางอย่างที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น

    “ซะ..............เซริฟเวอร์ทั้งหมดจู่ๆก็หยุดทำงานไปเฉยๆ.........คะ.......ครับหัวหน้า”


      อิชิอึ้งไปพักหนึ่งค่อยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
    “เกิดอะไรขึ้น..................เรียกคนคุมระบบมารับสาย”


      ปลายทางเปลี่ยนผู้รับสาย น้ำเสียงของคนที่มารับสายอีกคนกลับยิ่งฟังดูสับสนยิ่งกว่า


    “หัวหน้าครับ...........ผมคิดว่า..........มีคนเจาะเข้าระบบทั้งหมดของเราครับ”


    “ว่าไงน๊ะ
    !!

       อิชิฟังเสียงในโทรศัพท์อย่างไม่เชื่อหู เพราะระบบป้องกันรหัสสิบกว่าชั้นของเขา ไม่มีทางแน่ที่จะมีใครสามารถเจาะเข้ามาได้พร้อมกันหมดทุกระบบ
     
      ยิ่งไม่เชื่อใหญ่ว่าคนเจาะเข้ามาโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วข้ามคืนทั้งที่ระบบพึ่งรีเซตตัวเองใหม่หมด เพราะความหนาแน่นขนาดนี้เขาคำนวณไว้ว่าอย่างเก่งก็อาจเป็นสิบๆปีกว่าที่จะสามารถแฮ็คเข้ามาได้ถึงระบบชั้นในสุด


      มือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ในหัวเกิดความสับสนขึ้นมากมาย เขาวางโทรศัพท์ลง มือทั้งสองกุมขมับ


    “ปิ๊บๆๆ” เสียงเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวโปรดดังขึ้น อิชิหันกลับไปมองดูที่จอคอมพิวเตอร์เห็นเป็นข้อความบางอย่างอยู่บนหน้าจอ อิชิขยับเข้าไปใกล้พร้อมหรี่ตามองดูข้อความที่ปรากฏ

    เขาอ่านออกเสียงข้อความนั้น


    “...ไป.....ตาย....ซะ....”

    [บันทึกรายงานระบบ เวลา 2.25น. โดย อิชิ ไวด์ NSCI]

    ………………………………………………………………………………………………………………

     


      ผู้คนมากมายยังคงทยอยเป็นแถวเข้าไปสู่ช่องประตูที่เรียงรายเป็นแถวหน้ากระดานจากขอบด้านหนึ่งไปสู่อีกฝากหนึ่ง ในโลกมิติองค์รวมอันถือเป็นมิติที่สี่นี้


    “นี่.........นายหน่ะ”
    เด็กทรงผมสกรีนเฮทแถวข้างๆเด็กหนุ่มพูดขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มหันไปมองเขาค่อยพูดต่อ

    “กลัวป่ะ?”เขาถามขึ้น


      ซ่งส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาจึงพูดขึ้นอีก
    “แล้วข้างหน้านายนี่แฟนนายเรอะ..............น่ารักหว่ะ”


      คราวนี้เด็กหนุ่มได้แต่มองหน้าเด็กแนวนี่เหมือนจะเอาเรื่อง แต่เด็กแนวกลับพูดขึ้นก่อน

    “ใจเย็นพวก............ชั้นแค่แซวเล่น ว่าแต่นายรู้ปะว่าหลังจากนี้เค้าจะให้เราทำอะไร?”


    ซ่งส่ายหน้าเป็นคำตอบ


    “เมื่อก่อนที่ชั้นจะเข้ามาที่นี่หน่ะ..........มีเพื่อนชั้นคนนึงมันบอกมันก็เคยมาที่นี่ มันบอกว่าข้างในนั้นมีซากศพเป็นล้านๆกองเป็นภูเขา แล้วมันก็ปีนขึ้นไปปักธงข้างบนสุด รู้ไม๊ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”


      ซ่งส่ายหน้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่แถวค่อยๆขยับไปข้างหน้า


    “โรงพยาบาลบ้าไงพวก...ฮ่าๆๆ.........แต่ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อหรอก จนกระทั่งไอ้หน่วยอะไรเนี่ยมันพาข้ามาที่นี่”


       เด็กหนุ่มยังคงนิ่งมองดูอย่างไร้อารมณ์ เด็กสกรีนเฮทจึงเลิกสนใจมันไปโดยปริยาย แต่มันยังไม่วายหันมา


    “แต่ก็อย่างว่า.........แฟนแกนี่.....อื้อหือ”
    มันทิ้งเป็นคำพูดปริศนาเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปในช่องประตูใกล้เคียง


      ซ่งได้แต่กำหมัดแน่น เดาว่าถ้ามันอยู่ข้างนอกที่นี่ซ่งต้องเล่นงานมันเละเป็นแน่แท้ แต่เป็นเวลาเดียวกับที่หญิงสาวหันมามองดูเด็กหนุ่ม จากนั้นส่งยิ้มให้เขาพร้อมถาม

    “มีอะไรหรอ?”


    “มะ........ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มตอบ หญิงสาวค่อยหันกลับไป


    เด็กหนุ่มมองดูหญิงสาวเดินผ่านช่องประตูเข้าไปก่อน  แต่นึกบางอย่างได้


    “ไม่ถอดหมวกก่อนเรอะ?” เด็กหนุ่มถามขึ้นพร้อมชี้ไปที่หมวกไหมพรมบนศรีษะของหญิงสาว


    “ไม่อะ.....เก๋ดี.....เค้าไม่ได้ห้ามซักหน่อย”
    จากนั้นหันหลังกลับเดินเข้าสู่ประตู


    .........เธอเดินเข้าไปด้วยท่าทีเริงร่า........ยังกับว่านั่นมันทางสวนสนุกหง่ะ..........

      
       ช่องประตูมีขนาดใหญ่พอที่มนุษย์เดินผ่านเข้าไปได้ ทางผ่านเข้าประตูมีม่านพลังงานบางๆเคลือบไว้

      ม่านพลังงานเรียบบางแผ่นสีเขียวอ่อนๆ เมื่อมีมนุษย์เคลื่อนที่ผ่านจะคล้ายกำลังเดินเข้าสู่ใยไหมของผีเสื้อ ความรู้สึกแผ่วเบานุ่มนวลที่บัดนี้ชายหนุ่มค่อยๆเดินผ่านเข้าไปภายในได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากลำแสง คล้ายม่านพลังค่อยๆซึมซาบผ่านร่างกายของเขาไป แม้ทั้งอวัยวะในร่างกายก็รู้สึกถึงคลื่นพลังนี้ มันเป็นความอบอุ่นที่บอกไม่ถูก


    “วูบบบ”
    เด็กหนุ่มผ่านชั้นประตูมาสู่อีกฟากหนึ่ง เสียงของระบบดังขึ้นทันที


    “ชนาธิป แซ่ซ่ง ชื่อเล่น ซ่ง น้ำหนัก 68 สูง 177 วัดอายุหัวใจคงที่ พลังงานชีวิตคงที่ อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อ ความฉลาดวัดได้ 122 การตอบโต้ปกติ....
    [และ....บราๆๆๆ]


      ด้านซ้ายมือของเขาเป็นหน้าจอขนาดใหญ่พลาสม่าติดที่ผนัง บนจอรายงานข้อมูลทุกอย่างของเด็กหนุ่มแบบละเอียดยิบ ไม่เว้นแม้กระทั้งจำนวนของเส้นผม


      ตัวเลขบนหน้าจอดูคล้ายงานศิลปะลายเส้นที่เด็กหนุ่มดูไม่รู้เรื่อง บวกกับอาการขยาดวิชาคณิตศาสตร์ของเขายิ่งทำให้ความสนใจในหน้าจอนั้นหมดสิ้นไป เด็กหนุ่มกลับสนใจประตูที่อยู่เบื้องหน้ามากกว่า

     
      เบื้องหน้าเป็นประตูไม้ทาไว้ด้วยสีเทา ดูเรียบง่ายเรียบหรู แต่กลอนประตูก็ไม่ได้โดดเด่นน่าสนใจให้นำมาพูดถึงนัก
    เขาเดินไปที่ประตู เอื้อมมือจับลูกบิดเพื่อหมุนเข้าไป แต่ในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มโค้งไปเล็กน้อยใช้หูแนบสนิทกับประตูเพื่อฟังเสียงของสิ่งที่อยู่หลังประตูนั่น....


    “ช่วยด้วยยยยย........ซ่ง.........ช่วยด้วย”

    เสียงหญิงสาวที่เข้ามาก่อนหน้าดังขึ้น
     ซ่งหมุนลูกบิดรวดเร็วทั้งรุนแรงกลับเปิดไม่ออก

    “แกร๊กๆๆๆๆ”


    “ตูมมมมมมม”
    เขาใช้ลำตัวกระแทกเปิดออก

    “ตูมมมมมมมมม”
    และครั้งที่สอง...............

    ประตูถูกกระแทกเปิดออกเข้าสู่ภายใน


      เด็กหนุ่มกวาดสายตามองดูห้องที่ว่างเปล่า ห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กี่ตารางเมตรตรงกลางห้องมีเตียงคนไข้อยู่ตรงกลางวางไว้โดดๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นๆอีก...................กลับไม่พบหญิงสาว


      เด็กหนุ่มมองดูเพดานที่ฉาบไว้เรียบจากนั้นก้มลงมองดูใต้เตียง ก็ไม่พบสิ่งใดอื่นอีกเช่นกัน............

    “ปังงงงงงงงงง” ประตูด้านหลังกระแทกปิดเองโดยอัตโนมัติ


    “อะไรเนี่ย?” เด็กหนุ่มพึมพำขึ้นกับตนเองขณะมองไปที่ประตู


    “ซ่ง............นั่นลื้อช่ายม้าย”
    เสียงฟังดูคล้ายหญิงชราถามขึ้น ซ่งรีบหันขวับกลับไปมองดูที่เตียง

      สองตาเห็นเป็นอาม่าของเขานั่งอยู่บนเตียงสายตามองมาทางเขา แววตาของอาม่าดูหม่นหมองกว่าที่เคยเห็นมา


    “อาม่า..............อาม่ามาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
    ซ่งถามขึ้นอย่างงุนงง


    “เค้าจับอั้วมา...........” อาม่าพูดช้าๆ


    “อาม่าไม่ต้องกลัวนะ อั้วอยู่นี่แล้ว”

    เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาอาม่าของตน ขณะเข้าไปใกล้....


    “กร๊วบบบบบบบ”
    อาม่ากระโจนขึ้นกัดเข้าที่แขนข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ซ่งปกติตื่นตัวอยู่แล้วรีบสะบัดแขนอย่างรวดเร็ว หลุดออกได้ ร่างเด็กหนุ่มหงายหลังล้มลงไปก้นจั้มเบ้าอยู่ที่พื้น


    “อา............อาม่าลื้อทำอะไร
    !!” 
    เด็กหนุ่มพูดพร้อมจับที่แขนตัวเอง รอยฟันปลอมฝังเข้าไปในเนื้อของเขา รู้สึกเจ็บแปล็บไปทั้งแขน หันไปมองที่อาม่าบนเตียง


    “อั้วหิว....” อาม่าพูดขึ้น นัยตาเลื่อนลอย

    “ลื้อไม่ได้ซื้อโจ๊กหมี่กรอบมาหรออาซ่ง” อาม่าพึมพำ


    “หมี่กรอบบ้าไรเล่า........”
    ซ่งหงุดหงิดขึ้นบ้าง มองไปใต้เตียงเห็นเป็นอาวุธปืนลูกซองกระบอกหนึ่ง


    “บ้าชะมัด............นี่มันงี่เง่าอะไรเนี่ย”
    เด็กหนุ่มพึมพำ มองไปที่อาม่าที่ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง


    “อย่าเข้ามานะเว้ยยยย..........แกไม่ใช่อาม่าชั้น”
    เด็กหนุ่มประคองตัวลุกขึ้นถอยตัวไปติดกำแพงด้านหลัง

    “อั้วหิวนี่นา........”
    หญิงชราพูดพร้อมกระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่ม ซ่งรีบเบี่ยงตัวหลบรอดได้สไลด์ตัวไปใต้เตียงคว้าปืนลูกซองไว้ได้พอดี


    “อ๊ากกกกกกก”


    ซ่งรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมา หันไปมองเห็นเป็นอาม่ากำลังกัดเข้าที่ข้อเท้าของเขาอย่างจัง


    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก............ปล่อยโว้ยยยยยยยยย”

    เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อฟันยิ่งฝังแน่นเข้าไปในกล้ามเนื้อ เลือดอุ่นๆซึมไหลออกมาจากข้อเท้า


    “เวรเอ้ยยยย............”
    เด็กหนุ่มสบถคำ ยกลูกซองขึ้นมาเล็งไปที่หัวของหญิงชรา หญิงชรามองขึ้นมาที่เด็กหนุ่ม
    ด้วยสายตาเศร้าสร้อยอย่างที่ซ่งเองก็ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก


    “ม่ายยยยย.............อย่าทำแบบนี้............อาม่านี่อั้วเองงงง”
    ซ่งพยายามประคองลูกซองในมือเตรียมลั่นไก

    หญิงชราถอนคมฟันขึ้นมาดึงเอาเนื้อส่วนข้อเท้าติดขึ้นมาด้วย


    “อ๊ากกกกกก”


      ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยประสบมา ซ่งมองดูเลือดของตัวเองที่ไหลออกมาราวกับท่อน้ำแตก เปรอะไปทั่วพื้นห้อง

       มองดูแผลเหวอะหว่ะอันเกิดจากรอยฟันนั้น เหงื่อไหลซึมออกทั่วใบหน้าอันซีดเซียวของเด็กหนุ่ม มันพยายามประคองสติรีบคลานลอดใต้เตียงไปสู่ประตูที่พึ่งเข้ามาได้ไม่นาน


    ริมฝีปากของหญิงชราปรากฏเป็นคราบเลือดติดอยู่โดยรอบ ไหลเยิ้มเป็นทางลงสู่พื้นเบื่องล่าง


    “เปิดสิโว้ยยยย” .............แกร็กๆๆๆๆๆ..............เด็กหนุ่มพยายามเปิดประตูแต่ประตูกลับล๊อคสนิท


    หญิงชราเดินเข้ามาใกล้ในระยะไม่ถึงสิบก้าว สายตาจับจ้องไปที่หัวของเด็กหนุ่ม


    “แฮ่”


    หญิงชรากระโดดเข้าหาเด็กหนุ่มราวกับเสือตะครุบเหยื่อ เป้าหมายคือศรีษะของเขา

    ซ่งเอามือหนึ่งขึ้นมารับไว้แทน  ฟันของหญิงชราแหลมคมกัดฝังเข้าไปในเนื้อเลือดของเด็กหนุ่ม


    เด็กหนุ่มถลึงตามองดูแขนของตนถูกงับแน่นสนิทก่อนที่จะถูกกระชากชิ้นเนื้อออก


    “ปี๊ดดดดดดด”
    เลือดฉีดพุ่งออกมาจากแขนของเขา ปล่อยผิวหนังชั้นนอกห้อยโตงเตง


    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก” นั่นเป็นเสียงตะโกนที่ดังที่สุดของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มตั้งสติ เล็งปืนไปยังหัวของหญิงชรา แต่กลับตัดใจลั่นไกไม่ได้

    “ปัดโธ่โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย” นิ้วชี้วางอยู่บนไกกลับสั่นระริก หัวใจเด็กหนุ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหว่ะ


    หญิงชราอ้าปากกว้าง เตรียมงับลงไปที่คอ


    “อ๊ากกกกกก” เด็กหนุ่มทิ้งปืนลงกับพื้น หลับตาลงเตรียมรับชะตากรรม ปล่อยให้เลือดไหลพรั่งพรูออกมาจากร่างกาย


    ............ทำไมไม่งับ?...........


       ซ่งลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พบว่าเขาเพียงมานั่งอยู่อีกฝากหนึ่งของห้อง รีบยกแขนของตัวเองขึ้นมาดู กลับไม่ปรากฏบาดแผลใดๆ ส่วนขาก็ยังมีสภาพปกติ ไม่มีอาม่า ไม่มีปืนลูกซอง ไม่มีคราบเลือดที่เปื้อนเปรอะพื้น มีแค่เตียงที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง


       เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ ความรู้สึกทั้งหมดพลันค่อยๆจางหายไปจากใจ แต่เหงื่อยังคงซึมออกมาจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง

    “บ้าอะไรวะ?” ซ่งสบถออกมา

    ไม่นานเสียงระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “กรุณาออกทางประตูฝั่งตรงข้ามของคุณค่ะ”


    ซ่งมองเห็นประตูไม้อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นมาตอนไหน

    เขาลากเท้าเดินไปยังประตูฝั่งตรงข้ามค่อยเปิดออก พบว่าเป็นม่านสแกนอีกชั้นหนึ่ง


    “การทดสอบอารมณ์และปฏิกิริยาโต้ตอบเสร็จสิ้น..............คุณมีสิทธิเลือกว่าจะจำหรือไม่จำเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น”


    “หมาย.........ความว่าไง”
    ซ่งยังคงไม่อาจปรับสภาพตัวเองได้ ใช้กำแพงพยุงตัวเดินไปสู่ม่านพลังเบื้องหน้า


    “เลือกว่าจะจดจำเหตุการณ์เมื่อครู่............ถ้าใช่เราจะไม่ลบความจำนั้นทิ้ง........ถ้าไม่....ความจำนั้นจะติดอยู่ในหัวของคุณ.........และทางเราจะไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตามมาหรืออาการทางประสาทที่เกิดขึ้น”


    “ทำไมถึงไม่ลบไปเลยหล่ะ?” ซ่งถาม


    “...............”

    เครื่องนั้นนิ่งไปพักหนึ่งค่อยตอบ
    “นั่นแล้วแต่คุณค่ะ”


    “ส่วนใหญ่เค้าเลือกอะไร?”
    ซ่งค่อยๆยืนตัวตรงจากนั้นใช้มือทั้งสองลูบหน้าตัวเอง


    “ข้อมูลนี้ไม่อาจบอกได้”


    “งั้นชั้นขอเก็บความทรงจำนี้ไว้”


    “กรุณายืนยันอีกครั้งค่ะ”


    “งั้นชั้นขอเก็บไอ้ความทรงจำบัดซบนี่ไว้”


    “ขอบคุณค่ะ....................กรุณาเดินผ่านม่านพลังตรงหน้าได้เลยค่ะ”


    ซ่งไม่ได้พูดอะไรอีก ค่อยๆเดินผ่านม่านพลัง ผ่านความอบอุ่นไปอย่างช้าๆ ออกมาสู่ห้องโถงใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง


    คนในชุดดำสองคนเดินเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมติดสติกเกอร์สัญลักษณ์บางอย่างบนอกเสื้อของเด็กหนุ่ม


    “อะไรเนี่ย?”
    ซ่งถามพร้อมมองดู ชายชุดดำได้แต่ยิ้มให้เขาพร้อมเดินไปรับคนที่กำลังออกมาจากประตูคนถัดไป


    “ดีใจด้วย.............นายผ่านการทดสอบ”
    น้ำเสียงฟังดูคุ้นหู ที่แท้เป็นเจซเอง


    “ขอต้อนรับน้องใหม่”
    เดม่อนพูด ถัดไปหญิงสาวยืนยิ้มอยู่ข้างๆ บนหน้าอกเสื้อของเธอก็มีสติกเกอร์ติดอยู่เช่นกัน


    “ผ่าน?”


    “นายมีสติกเกอร์ติดอยู่ที่หน้าอกนั่น” เจซชี้ไปที่หน้าอกของเด็กหนุ่มพร้อมยิ้ม


    “หมายความว่า?”


    “หมายความว่านายผ่านการทดสอบระดับจิตใจ...............พื้นฐานหน่ะ”


    “แล้วไงต่อ?”


    “เราก็จะได้ตัวนายไปอยู่ในทีม.............แล้วก็จะได้ไปถล่มพวกซีคหัวโกร๋นกันไงเล่า...............ส่วนคนที่ไม่ผ่านก็ไม่มีสติกเกอร์ติดไว้ที่อก...........เจ้าหน้าที่ก็จะนำตัวกลับไปสู่มิติที่ห้าและกลับไปใข้ชีวิตตามปกติ..........และเก็บร่างโคลนของพวกมันกลับมาทำลายทิ้ง............โดยที่คนที่กลับไปจะรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตพวกเขาเลย............แต่พวกเรายังมีร่างโคลนนิ่งคอยใช้ชีวิตแทนอยู่ข้างนอกนั้น” เจซอธิบายเพิ่มเติม


    “สัญลักษณ์แบบนี้หมายถึงสามารถเข้าไปเป็นหน่วยโจมตีได้” เดม่อนเสริมชี้ไปที่สัญลักษณ์บนหน้าอกเด็กหนุ่ม


    “แล้วดียังไง?”
    เด็กหนุ่มพูดพลางมองดูชายอีกคนที่พึ่งออกมาจากประตูด้านข้างอ๊วกใส่เจ้าหน้าที่


    “มันก็ดีตรงที่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถไปถึงมิติที่สิบนั่นหมายความว่านายก็จะไม่ต่างจากพระเจ้า” เจซบรรยายด้วยดวงตาชวนฝัน


     “พูดยังกะนายเคยไปมาแล้ว ขี้ปากชาวบ้าน” เดม่อนตอกกลับ

    ซ่งมองไปที่หญิงสาวค่อยพูดขึ้นต่อ

    “พี่สาวเป็นยังไงบ้าง?”


      หญิงสาวยักไหล่ พร้อมพูดคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ก็แค่เดินผ่านประตูแรกไปตามทางแล้วเปิดประตูที่สองออกมาผ่านลำแสงนั่น.............ไม่เห็นมีอะไรนี่..............ทำไมหรอ?...........นายไปเจออะไรมา?”


    เด็กหนุ่มเข้าใจทันทีว่าหญิงสาวเลือกที่จะไม่เก็บความทรงจำในห้องนั้นไว้ เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มราบเรียบ

    พร้อมกับส่ายหน้าโกหกเป็นเชิงบอกว่าไม่พบอะไรเช่นกัน.............แต่ในใจเด็กหนุ่มภาวนาว่าอย่าให้เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเป็นเรื่อวจริงเลย


    “นายเลือกเก็บความทรงจำนั่นไว้เหรอ?” เดม่อนถามด้วยท่าทีสงบ มองดูเด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ

        บัดนี้ผู้คนเริ่มทยอยผ่านประตูออกมารวมตัวกันในห้องโถงรูปโดม ผู้ที่ไม่มีสติกเกอร์ถูกแยกไปอีกฝั่งหนึ่ง มีคนในชุดดำคุมเดินออกไปทางประตูอีกฝากหนึ่งของโดม

       หนึ่งในนั้นซ่งสังเกตเห็นเด็กแนวผมทรงสกรีนเฮทรวมอยู่ด้วย นั่นแปลว่าชายคนนั้นไม่ผ่านการทดสอบ และต่อไปพวกเขาก็จะโดนล้างความทรงจำในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด


    “เครื่องล้างความทรงจำไม่ได้มาตฐาน” เจซพูดขึ้น “บริษัทเซฟไลฟ์ผลิตขึ้นหน่ะ”


    “เครื่องแบบนั้นหน่ะ.................โลกจริงๆยังไม่มีเลยไม่ใช่เหรอ?”หญิงสาวถามขึ้น


    “อย่าใช้คำว่าโลกจริงพี่สาว................อย่าพึ่งใช้คำว่าโลกจริง” เจซพูดขึ้น


    “เทียบไม่ได้กับเทคโนโลยีของพวกซีคแม้แต่นิดเดียว” เดม่อนเสริม


    “ฟิบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” หน้าจอสี่เหลี่ยมคล้ายแผ่นกระดาษที่ลอยอยู่กลางอากาศปรากฏขึ้นรอบบริเวณด้านบนของโดม คนทั้งหลายต่างฮือฮาคล้ายไม่เคยพบเห็นมาก่อน


    ไม่นานภาพบนหน้าจอปรากฏขึ้นมากลางอากาศบนหน้าจอเหล่านั้น เป็นใบหน้าของคนผู้หนึ่ง


    “สวัสดีหนุ่มสาวทั้งหลาย...............”
    คนในหน้าจอส่งคำทักทายมายังผู้คนเบื้องล่าง


    “ผมจะมาพูดในสิ่งที่ผมพูดทุกวี่วัน...............และนี่ไม่ใช่บันทึกเทปหรืออะไรทั้งนั้น............พวกคุณควรดีใจที่ผมให้เกียรติมาปฐมนิเทศน์ให้พวกคุณทุกวันโดยไม่ได้หยุดพักแม้เพียงวันเดียว”

    “นั่นใครหน่ะ?” หญิงสาวถามเจซ


    “เค้าคือผู้บัญชาการของระดับหนึ่งทั้งหมด...............ที่ระดับหนึ่งคนๆนี้ใหญ่สุด.............เป็นคนเดียวที่เคยไปถึงมิติที่สิบแปดมาแล้ว”


    “มิติที่สิบแปด?” หญิงสาวถามขึ้นอีก  “มิติที่สิบแปดอะไร?..............แล้วที่แบบนี้มันมีกี่ระดับกันแน่”


    “มีแค่สามระดับ...........เราอยู่ในระดับแรก..............แต่การเข้าถึงมิตินั้นมีถึงสิบแปดมิติด้วยกัน”


    “เฮ้................ฟังเค้าพูดก่อน” เดม่อนบ่ายหน้าไปด้านบนเป็นเชิงให้ฟังกันก่อน ทุกคนจึงค่อยเงียบแล้วมองขึ้นไปฟังต่อ


    ...........”ผมไม่สนว่าพวกท่านจะมาที่นี่ได้ยังไง ชนชาติไหน เคยประสบอะไรมาในชีวิต ไม่สนกระทั่งว่าชื่อของท่านขึ้นด้วยตัวสะกดตัวไหนในอักษรโรมัน หรือกรีก หรืออียิปต์ นั่นผมไม่สน”....

       ซ่งมองดูใบหน้าของชายที่ปรากฏบนหน้าจอ ที่แท้คนผู้นี้ก็เป็นคนเอเชียเช่นเดียวกัน โครงหน้าของเขาเข้ารูปได้สัดส่วน ทรงผมไว้ยาวประบ่า แววตาคมเข้มเป็นประกาย จะมีก็แต่ผิวที่ขาวซีดราวกับขาดสารอาหารนั่น หรืออาจเป็นเพราะหน้าจอมอนิเตอร์ ซ่งเองก็ไม่รู้

     

    .............”ผมสนเพียงแค่ว่า พวกเราจะไปถล่มไอ้หัวโกร๋นพวกนั้น........ยิงกระสุนอัดเข้าไปในก้นของพวกมัน........แล้วโกยพลังชีวิตที่พวกมันขโมยจากพวกเราไปกลับมาให้หมด.......เพื่ออิสรภาพที่ยั้งยืนของมนุษย์ชาติเรา”...........

     

    “เพื่ออิสรภาพพพพพพ”
    คนจำนวนหนึ่งเบื้องล่างที่เห็นด้วยร้องตะโกนด้วยท่าทางหึกเหิม

     

    “พวกเราทุกคนล้วนมาจากมิติที่ห้าที่เราเรียกกันว่าโลก......................ยอมทิ้งบ้านทิ้งชีวิตเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังต่อต้านไอ้โกร๋นพวกนั้น ยอมให้ร่างโคลนนิ่งไปใช้ชีวิตแทนเราโดยไม่หันหลังกลับไปอีกนับว่าเป็นวาระอันประเสริฐ...........เป็นวาระอันยิ่งใหญ่............เป็นความปิติน่าประทับใจ”


    “ชั้นไม่ได้บอกว่าจะมาอยู่ที่นี่ซักหน่อย”
    หญิงสาวพูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เจซเลยพูดปลอบ


    “ไม่หรอก..............หลังจากนี้พวกเขาจะให้นายกลับไปที่มิติห้าเพื่อสะสมพลังชีวิตก่อน”


    “นั่นหมายความว่า............เราจะได้กลับไปที่บ้านของเราอีกครั้งหนึ่ง”หญิงสาวทำท่าดีใจ แต่เมื่อนึกบางอย่างได้ค่อยทำเสียงหงอยเหงาลงเล็กน้อย

    “กับทรงผมทรงนี้เนี่ยนะ.....”
    หล่อนถอดหมวกไหมพรมออก เผยให้เห็นผมยาวสีขาวโพลนของหล่อนสยายไปในอากาศ ซ่งมองดูด้วยสีหน้าแปลกๆ แต่ชายอีกสองคนกลับมองดูด้วยท่าทีปกติ

    “เธอโดนดูดพลังชีวิตไปนิดหน่อย...............แต่เนื่องจากมีคนขัดขวางกระบวนการดูดพลังนั่น.........ทำให้กระบวนการหยุดกลางคัน.........ผมของเธอเลยเป็นแบบนั้น”
    เจซตอบพร้อมยักไหล่


    “เกิดได้หลายกรณี............เมื่อวันก่อนผู้หญิงคนหนึ่งถูกขัดขวางกระบวนการเช่นกัน........ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วง” เดม่อนเสริม


    “แล้วอาณาจักรนั่นหล่ะ?” หญิงสาวนึกขึ้นมาได้จึงถามขึ้นมา


    “อาณาจักรนั่น?” เดม่อนทวนคำถาม “เธอหมายถึงอาณาจักรแห่งมิติที่เจ็ดหรอ?”


    “เราไม่รู้” เจซตอบแทน   ”..............เราเคยได้ยินมาว่านั่นเป็นที่สถิตของทวยเทพ เมื่อมนุษย์เข้าสู่กลียุค พวกเทพจะปรากฏให้พวกมนุษย์เห็นเพื่อเตือนสติและทั้งมาเพื่อผดุงค์สันติสุข เพื่อห้ามไม่ให้สงครามเกิดขึ้น ทั้งๆที่มันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและดูเหมือนว่าจะไม่มีวันจบ” เจซพูดขึ้นด้วยเสียงดังกว่าเสียงปฐมนิเทศที่กำลังจะจบลง คนทั้งหมดเงยหน้าขึ้นไปฟังอีกครั้ง


    “.............และสุดท้ายนี้ ก่อนที่พวกคุณทั้งหมดจะถูกส่งตัวกลับไปที่โลกหลังจากเราปรับระบบชีวภาพให้คุณเรียบร้อยแล้ว...............ผมอยากจะบอกว่า หนึ่งในพวกคุณที่อยู่ในนี้อาจจะเป็นผู้นำที่จะพาเราไปสู่มิติที่สิบแปดและนำพวกเราไปสู่ความจริงแท้..........ของชีวิตเรา.............สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกท่านอีกครั้ง......”

    เขายิ้มให้กับผู้คนเบื้องล่าง พร้อมโบกมืออำลา


    “ฟิบๆๆๆๆๆๆๆๆ”
    หน้าจอบนอากาศค่อยๆหายไปทีละหน้าจอ จนกระทั่งมีแต่เพดานเปล่าๆ


    “ชั้นไม่ค่อยชอบขี้หน้าของเจ้านั่นเท่าไหร่นักหรอก”
    เจซพูดขึ้นหลังจากทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

    “แต่ยอมรับที่เจ้านั่นเคยไปถึงมิติที่สิบแปดมาแล้ว..............ในประวัติศาสตร์มีแค่สามคนที่เคยไปถึงระดับมิติที่ลึกขนาดนั้น” เจซพูดต่อ

      คนเริ่มทยอยกันออกจากห้องโถงตรงไปยังประตูอีกฝั่งที่เชื่อมต่อกันคล้ายรังผึ้ง

    “เอาหล่ะ...........ก่อนที่พวกนายจะได้กลับไปยังที่ๆจากมา.........ชั้นจะพานายไปรู้จักทีมของเรากัน.......ตามชั้นมาพวก”



    “จะไปไหนกันสาวๆ”
    หนึ่งในคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินสวนมาทักขึ้น



    “ชั้นเกียจสวะนี่ยิ่งกว่าไอบนจอนั่นอีก”
    เจซพึมพำกับตัวเอง ขณะที่คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาทางซ่ง คนที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่ยิ้มให้เจซ


    “นี่ลูกทีมนาย?.............มีสาวสวยด้วยแฮะ”
    เขามองไปที่วา พร้อมส่งยิ้มให้


    “นายได้ลูกทีมชั้นไปคนนึงยังไม่พอใจอีกหรอ?”
    เจซถามผู้มาเยือนพร้อมมองไปที่เด็กหญิงผมเปียด้านหลังที่พยายามหลบสายตาเขา


    “ใจเย็นๆพ่อบึก..............”
    ผู้มาเยือนพูดขึ้นพร้อมทำหน้ากวนเล็กน้อย จากส่วนสูงที่พอกับเจซ ทั้งใบหน้าเจ้าชู้นั่นยิ่งทำให้ลมหายใจของเจซหนักขึ้นเรื่อยๆ

    “ชั้นไม่เชื่อว่าระบบจะจัดคนให้นายอย่างยุติธรรมอีกทั้งคนทั้งหมดผ่านการทดสอบจิตใจเฮงซวยนั่น”

      เขาพูดพร้อมยิ้มอย่างยียวนพอๆกับท่าเดินล้วงกระเป๋าโอนเอนไปมาคล้ายเคยเป็นเด็กแร๊พมาก่อน

    “คราวที่แล้วชั้นเกือบตายเพราะนาย” เจซพูดโดยไม่มองหน้าผู้มาเยือน

    “นั่นมันอุบัติเหตุหน่ะ...............นายก็รู้ว่าพวกซีคมันโหดแค่ไหน..............น่าตลกหว่ะ”
      เสียงยียวนนั้นดังขึ้นกว่าเดิม รบกวนโสตประสาทของเจซคล้ายแมลงวันบินวนอยู่รอบๆหัวของเขา ค่อยอดทนฟังต่อแต่เสียงนั้นเข้ามาอยู่ใกล้ๆหูของเขาแล้ว

    “นายไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ..............นายมันห่วย.............ไปช่วยตัวเองเหอะ”

    เสียงกระซิบข้างหูทำให้เจซไม่อาจคุมตัวเองได้อีกต่อไป  จู่ๆดวงตาของเขากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่ทั้งร่างกายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน


    “จะมากไปแล้ววววว” เ
    จซพูดพร้อมจับคอเสื้อของผู้มาเยือนไว้แน่น เดม่อนรีบเข้ามาแยกเจซออก

    “บ้าเอ้ยยยย.......อย่าแหกกฎได้ไม๊........รีบไปเลยไป”
    เดม่อนตะโกนใส่ผู้มาเยือนพร้อมดึงเจซถอยไปด้านหลัง

      
       ซ่งสังเกตว่าสีแดงที่ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ใช้สีแดงที่เกิดขึ้นมาจากเลือดลมในอารมณ์โกรธของคนปกติแน่ แต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร ที่น่าแปลกคือดวงตาต่างหาก


       ดวงตาของเจซค่อยๆเปลี่ยนกลับเป็นสีธรรมชาติตามเดิม เขาหอบเล็กน้อยคล้ายกับพึ่งใช้พลังงานไปกับบางอย่าง


    “ฮ่าๆๆๆๆ” ผู้มาเยือนหัวเราะยาวนานพร้อมกวักมือเรียกลูกทีมให้ติดตามไป พร้อมหันมาทิ้งท้าย


    “เจอกันในสนามจริงนะเจซ”
    เขาพูดพร้อมชี้ไปที่ซ่ง “นายด้วยไอ้หน้าตี๋”


    พูดจบหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้กลุ่มของเด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น


    “ชั้นจะฆ่ามัน..........ชั้นจะฆ่ามัน”
    เจซพูดไม่เป็นสำเนียงพร้อมก้มลงหอบ มีเดม่อนคอยลูบหลังทั้งพูดขึ้น


    “พวกอยากดังหน่ะ..............อย่าไปยุ่งกับมันเลย” เดม่อนพูดคล้ายก็รู้จักชายที่มาเยือนดี ค่อยหันหน้าไปทางซ่ง


    “เจ้านั่นถือเป็นวายร้ายของระดับนี้เลยก็ว่าได้.........อยู่ห่างมันไว้ดีที่สุด.......ครั้งที่แล้วมันใช้พลังชีวิตซื้อคนของเราไปแต่เจซไม่ยอมให้............มันเลยโกง”


    “เด็กพวกนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย”
    วาพูดขึ้น จากนั้นหล่อนค่อยๆใส่หมวกไหมพรมกลับเข้าตามเดิม

    “ช่างเถอะ..............เราไปต่อกันดีกว่า” เจซยืนขึ้นตรง สูดลมหายใจเข้าลึก

    “โรคกำเริบหน่ะ”
    เขาทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้นค่อยเดินนำคนทั้งสามฝ่าฝูงชนไปยังประตูทางเข้าที่มีหมายเลขกำกับว่า
    E182

    หญิงสาวเอื้อมมือไปจับมือเด็กหนุ่มไว้โดยไม่ได้มองดูมัน

    ซ่งสะดุ้งเล็กน้อย..........แต่ไม่ได้หันกลับมามองที่หญิงสาวเช่น

    กัน..........รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


    คนทั้งสี่เดินไปตามทางเดิน

    โดยไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา

    .............................................................................................................................................

     

    C://Section09 /<End>

    /To be Continue.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×