ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    18DimensioN : : [จอมคนล่าสิบแปดมิติ]

    ลำดับตอนที่ #10 : [Section10] Heaven Zone ส่วนหนึ่งของสวรรค์

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 54



    ..
    [Section10] Heaven Zone ส่วนหนึ่งของสวรรค์

    “วันนี้เราจะมาเรียนคำว่าแดจาวูกันนะคะนักเรียน ..............แดจาวูเป็นอาการหนึ่งที่เหมือนกับว่าเราเคยเจอเหตุการณ์นั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่าเรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่วงหน้า...........เอ๊ะนายชนาธิป.............นี่นายชนาธิป...........ช่วยปลุกเขาที” ครูสาวชี้มือไปที่เด็กหนุ่มที่นอนน้ำลายยืดอยู่หลังห้องโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างพร้อมบอกให้เพื่อนข้างๆช่วยปลุก


    “ซ่ง..........ตื่นเว้ย..........อาจารย์เรียก”
    เด็กแว่นที่นั่งอยู่ข้างๆพยายามกระตุกแขนเสื้อเพื่อนร่วมโต๊ะ


    เด็กหนุ่มค่อยๆโงหัวขึ้นมา นั่งตัวตรงด้วยอาการสะลึมสะลือ

     “เมื่อกี้ครูพูดเรื่องอะไรห๊ะ” ครูสาวหงุดหงิดยิงคำถามไปที่เขาพร้อมอีกมือล้วงชอล์กขึ้นมากำไว้แท่งหนึ่ง

    เด็กหนุ่มขยี้ตามองดูบนกระดาน ค่อยพูดขึ้น
    “แดจาวูไงคับ”

    เขาตอบด้วยเสียงเนือยๆ คล้ายอดนอนมาเป็นปี


    “แล้วมันคืออะไรหล่ะค่ะคุณนักเรียน?” อาจารย์สาวคาดคั้น เตรียมเล็งชอล์กในมือไปยังเป้าหมาย


    “มันก็คือ” เด็กหนุ่มพยายามลืมตาให้กว้างขึ้นอีก

    “มานก็คือ.........สภาวะการรับรู้ในเรื่องของแสงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งจากความผิดพลาดของญาณทัศนะการรับรู้อันเกิดจากความบิดเบี้ยวของกาลเวลาที่ทับซ้อนกัน............หรือ...........ความขัดข้องทางมิติ”


      พูดจบเด็กหนุ่มฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ไม่นานค่อยส่งเสียงกรนออกมาเล็กน้อย ปล่อยให้อาจารย์และเพื่อนๆอีกหลายคนนั่งนิ่งมองดูเด็กหนุ่มด้วยสายตาแปลกประหลาด มีแค่เด็กแว่นที่พยายามจดบันทึกสิ่งที่พึ่งได้ยินลงไปในสมุด.....

    [บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิชาเรียนรอบบ่าย โดย :ร่างโคลนนิ่งของนายชนาธิป แซ่ซ่ง]

    “””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

     

      “มิติองค์รวมมีเส้นทางหลักอยู่สามเส้นทางกระจายออกจากห้องโถงส่วนกลาง .............ส่วนกลางเราเรียกมันว่าสถานีเคลื่อนย้ายความเร็วแสง เรียกเท่ห์ๆว่า วาร์ปสเตชั่น[Warp Station] ซึ่งนับรวมกับห้องโถงที่พวกนายพึ่งไปรับการปฐมนิเทศน์มา” เจซอธิบายพร้อมทำมือประกอบ แต่นั่นไม่ได้ช่วยในเรื่องความเข้าใจเท่าไหร่นัก

    “แล้วทางเดินหลักสามทางหล่ะ” หญิงสาวถามขึ้นด้วยความอยากรู้

    “ทางเดินสามทางเชื่อมต่อไปยังอาคารหลักแต่ละหลัง.........ได้แก่ อาคารระดมพล ที่เรากำลังจะไปนี่แหละ

    ส่วนอีกสองอาคารคืออาคารควบคุม อาคารนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามที่ถ้าไม่ใช่ระดับผู้บริหารแล้วก็หมดสิทธิ์”

    เจซพูดพร้อมแบมือออกสองข้างจากนั้นพูดต่อ
    “ส่วนอาคารที่สามซึ่งเป็นอาคารสุดท้าย เป็นอาคารที่สำคัญที่สุด นั่นคือเป็นจุดวาร์ปเพื่อไปสู่มิติอื่นๆอาคารนี้จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปก็ต่อเมื่อหัวหน้าใหญ่สั่งการมาเท่านั้น............เช่นมีการรวมพลเป็นต้น”

    “แล้วอาคารไหนใช้โคลนนิ่งพวกเราขึ้นมา?” เด็กหนุ่มถามขึ้นบ้าง

    เจซมองหน้าเด็กหนุ่มยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนตอบออกไปชัดถ้อยชัดคำ  “.....ไม่รู้หว่ะ.....”


    “อาฮะ” เด็กหนุ่มทำหน้าเซ็ง มองไปที่หญิงสาวที่อมยิ้มแต่ไม่ได้มองมาที่มัน

     

    คนทั้งสี่เดินมาถึงทางเดินที่ยาวไปด้านใน เส้นทางนี้มีผู้สัญจรไม่มากนัก ข้างๆเป็นกำแพงสีขาวทั้งสองฝั่งติดไว้ด้วยแผงสีส้มทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดกว้างยาวเท่าฝ่ามือ คล้ายเครื่องแสกนมือ ด้านบนของแผงสี่เหลี่ยมมีหมายเลขกำกับอยู่

     

    เจซเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแผงที่มีหมายเลขกำกับเขียนว่า E6 ค่อยทาบฝ่ามือลงบนแผงนั้น


    “ติ๊ดดดด” เสียงดังออกมาจากแผงสีส้มนั้นคล้ายยืนยันรหัสอะไรบางอย่าง เขาถอยออกมาให้เดม่อนเข้าไปบ้าง

    เดม่อนทาบมือลงไปยังแผงนั้น


    “ติ๊ดดดดดดด”
    ระบบยืนยันเช่นดียวกัน 

    “นายสองคนด้วย” เดม่อนพูดพร้อมถอยออกมาด้านนอก


    ซ่งเดินเข้าไปใกล้ค่อยๆยื่นมือออกไปวางทาบแผงวงจรตรงหน้า

    “ติ๊ดดดดดดด”

    ระบบยืนยันเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มค่อยถอยให้หญิงสาวทาบมือลงไปบ้าง


    และคราวนี้.......


    “ติ๊ดดดดดดด”
    ระบบก็ยังคงยืนยันเช่นทุกคนที่ผ่านมา


    “วางทาบแล้วทำไมหรอ?”
    วาหันไปถามเดม่อน 

    “ทาบแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นประชุมหารือ”


    “ว่าไงนะ?.........แค่นี้เองหรอ?”


    ซ่งถามขึ้น เดม่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     “คือ เรายืนยันตัวตนของเราแล้ว......ระบบจะสร้างฐานข้อมูลทางความคิดของเราขึ้นมาแล้วส่งไปประมวลผลรวมกับของคนอื่นๆในทีมโดยที่เราไม่ต้องเข้าไปนั่งประชุมเองหรือเข้าไปนั่งทำความรู้จักแต่ละคนให้เสียเวลา..................คล้ายเป็นตัวแทนความคิดที่เราส่งเข้าไปนั่นรวมทั้งอารมณ์และความรู้สึก”

     

    “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเราคุยหรือประขุมเรื่องอะไรกัน?”
    หญิงสาวถามขึ้นมา


    “อ้อ...............พอเรากลับมาที่นี่อีกครั้ง............เราก็แค่ทาบมือลงไปที่แผงนี้อีกทีหนึ่ง สิ่งที่ประมวลรวมชุดคำสั่งก่อนหน้านี้ก็จะแปรคำสั่งออกมาเป็นภาพแล้วโหลดเข้าสู่ความทรงจำของเราโดยอัตโนมัติ ตัวเราก็เหมือนกับว่าได้เข้าไปร่วมประชุมกับสมาชิกในทีม ทั้งภาพ ทั้งบรรยากาศ ทั้งความรู้สึก นายก็จะสามารถรับรู้ได้อีกครั้ง............แม้กระทั่งว่าถ้านายจิบกาแฟในห้องประชุมทีม นายก็รับรู้ว่ากาแฟนั้นยี่ห้ออะไร”


    “นี่มันเจ๋งแฮะ” ซ่งพูดขึ้นชี้ไปที่แผงสแกน

     
    “ประโยคเดียวกับที่ชั้นเจอเจ้าเครื่องนี้ครั้งแรก” เจซสมทบ


    “ไปต่อเหอะพวก.............เรามีอีกหลายอย่างจะอวดนาย” เดม่อนกล่าวขึ้น


    ...คนทั้งหมดพากันเดินต่อไปตามทางเดินที่ทอดยาว ผ่านม่านพลังสีฟ้าไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง


       สถานที่แห่งนี้ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าสถานที่อื่นๆที่ซ่งและหญิงสาวได้ไปพบเจอมา เพราะเด็กหนุ่มและหญิงสาวยังไม่เคยเห็นผู้คนเดินเบียดเสียดยัดเยียดกันมากขนาดนี้มาก่อน ผู้คนมากหน้าหลายตาในชุดสีต่างๆเดินมั่วไปหมด


    “นี่คือแหล่งบันเทิงที่เป็นย่านเสน่ห์ของอาคารระดมพลเลยก็ว่าได้”
    เจซพูดมองไปที่หญิงสาวที่ดวงตาเป็นประกาย


    “ช๊อปปิ้งงงงงงงงง”

    หล่อนพูดขึ้นมา มองดูผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินอยู่บนลานกว้างมีตึกก่อสร้างรูปทรงกลมเรียงรายอยู่สองข้างทางนับได้สี่ตึก

     

    “แต่ร้านค้าขายของมีเพียงสามแห่งเท่านั้นนะอีกที่เป็นบาร์ ต่ำกว่าสิบหกห้ามเข้า” เดม่อนอธิบาย

    “ร้านค้าขายอะไร?” ซ่งถามขึ้น

    คนทั้งหมดเดินเบียดผู้คนเลาะไปด้านข้าง เจซชี้มือไปที่ป้ายร้านแรกทึ่เขียนเป็นภาษาแปลกๆ

    “ร้านขายอาวุธ.............”
    เขาพูดพร้อมยิ้ม

    “หนึ่งในลูกทีมชั้นรู้จักกับเจ้าของร้าน..............อาวุธพวกนี้มีมาใหม่อยู่ตลอดเวลาแต่ราคาแพงจิ๋บเป๋ง”

    “แล้วนายจ่ายด้วยอะไร?” หญิงสาวถามขึ้น เจซเบ้ปากก่อนพูด

    “จ่ายด้วยพลังชีวิต”


    “พลังชีวิตอีกแล้ว?...............รูปร่างมันเป็นยังไงนะ”หญิงสาวถามต่อ


       เจซยื่นแขนไปให้หญิงสาวดู หญิงสาวมองไปที่ข้อมือของเขาพบว่ามีแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กคล้ายชิพคอมพิวเตอร์ฝังอยู่ในข้อมือแม้จะเห็นเลือนลางแต่แผ่นนั้นก็เรืองแสงออกมาเล็กน้อยพอให้เห็น


    “นี่ชั้นลืมบอก หลังจากนายเข้ามาได้พักหนึ่งเค้าจะฝังแผ่นซิลิไดร์ฟ
    [Silice Drive]เข้าไปที่แขนของนาย ติดตั้งไว้เพื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เวลานายซื้อของเค้าจะใช้เครื่องอ่านค่าพลังแล้วดึงพลังชีวิตนายออกไปจากแผ่นๆนี้”


      เดม่อนยกแขนขึ้นมาแสดงให้ดู ข้อมือของเดม่อนก็มีแผ่นชิพนั่นเหมือนกัน ก่อนชี้ให้ดูร้านค้า


    “ส่วนร้านตรงหัวมุมนั่น...............เป็นร้านขายแร่..............แร่ที่มาจากมิติต่างๆ เค้าโฆษณาว่าอย่างนั้น”


    เดม่อนยกมือหนึ่งขึ้นมาจับหัว 
    “รู้แค่ว่าเจ้าของร้านเป็นลูกสาวของหัวหน้าใหญ่ที่นี่”


    “หมายถึงคนที่ขึ้นจอทีวีวันนี้เนี่ยนะ”
    หญิงสาวถาม เมื่อเจซพยักหน้าหล่อนค่อยชักเริ่มสนใจขึ้นมา


    “คนเราจะซื้อแร่ไปทำไมกัน?” ซ่งถามขึ้น


    “แร่ธาตุบางชนิดสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมายในแต่ละมิติ อันนั้นชั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่า ค่อยๆเรียนรู้ไปดีกว่า”


    ...ซ่งมองดูร้านถัดมาที่ตกแต่งด้วยแสงไฟแปลกตา ตัวหนังสือมากมายเลื่อนไปมาในอากาศด้านหน้าร้าน  ทั้งเป็นสถานที่ๆมีผู้คนเข้าไปมากที่สุด


     .......ไม่บอกก็รู้ว่านั่นเป็นบาร์....


    “อีวานคลับ [Evan Club]กิจการดีอย่างเหลือเชื่อ ในมิติองค์รวมแม้ว่าเราไม่ต้องการอาหาร ไม่ต้องกิน ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ต้องนอน  แต่ถือได้ว่าคนเรายังคงเสียดายถ้าไม่ได้ใช้ลิ้น” คำพูดสองแง่สองง่ามหลุดออกมาจากปากของเจซ  “อย่าลืมว่าสมัยนี้เราไม่ได้กินเพื่ออยู่”

    เจซย้ำคำ


    “แล้วร้านสุดท้ายหล่ะ?”
    ซ่งชี้มือไปอีกฝากหนึ่งของทางเดิน เห็นว่ามีผู้คนเข้าไปไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นเด็กชาย

    “ร้านนี้กำลังจะปิดกิจการเต็มที...........เพราะคำสั่งของหัวหน้าใหญ่”

    “ขายอะไรหรอ?”
    หญิงสาวถาม สังเกตดูรอบบริเวณร้านดูเรียบง่าย ไม่ได้ตกแต่งอะไร


    “ขายทุกอย่าง...”เดม่อนตอบ


    “แบบนี้คนน่าจะเข้าเยอะนะ”หญิงสาวสงสัยขึ้นมา


    “ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นของเถื่อน ไม่ก็ของที่เป็นอันตรายหรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลว่ามันเป็นอันตรายต่อมิติ เจ้าของร้านคือคนหนึ่งที่เคยไปถึงมิติสิบ เพราะเค้ามีของที่ได้มาจากมิตินั้น”

    ซ่งมองดูร้านขายของเถื่อนด้วยความสนใจใคร่รู้

    “ไปดื่มกันหน่อยไม๊เพื่อน”
    เจซชักชวนคนทั้งหลายเดินมุ่งเข้าสู่อีวานคลับ


      ซ่งชมดูผู้คนด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่เคยเห็นความหลากหลายเช่นนี้มาก่อน บางคนมีผิวสีเขียว ผู้หญิงบางคนบนหัวไม่มีผมสักเส้น ผู้ชายบางคนมีดวงตาอีกดวงเกิดขึ้นตรงกลางระหว่างคิ้ว บ้างหูแหลม บ้างในดวงตามีลูกตาสองลูก พิลึกพิลั่น

     

    ..........................................................................................................................................................

    “..........ตึงตึงตึงตึงตึงตึง..............” เสียงเพลงอิเล็คโทรดังกระฮึ่มรอบทิศทาง

    waaaaaaaaaaaaaa....................................Haaaaaaaaaaa

    ดีเจฝาแฝดกำลังโยกไปมา ณ  ชั้นบนของคลับอีวาน


       แสงไฟกระพริบถี่รัว แสงสีขาว สีเขียว แสงรูปร่างยาว สั้น วงกลม สี่เหลี่ยม รูปดาว สลับไปมา ด้านบนคล้ายมีกระแสไฟฟ้าเห็นเป็นเส้นแสงสีขาววิ่งไปมาคล้ายการจราจรบนถนนทางด่วน ตรงกลางมีฟอร์เต้นฐานทรงกลมลอยเหนือพื้นขึ้นมาหลายเมตร ผู้คนด้านบนสะบัดอวัยวะไปตามเสียงดนตรีอย่างเมามัน.......

     

      เด็กหนุ่มสองยกสองมือขึ้นมาปิดหู แต่กลับคงได้ยินเสียงดนตรีบางส่วนเล็ดลอดเข้าไปในโสตประสาท

    “วุ่นวายชะมัด” เดม่อนพูดขึ้น


    ...รอบๆฟอร์เต้นมีชุดโซฟาฟองน้ำใสวางอยู่โดยรอบ เงาคนมากมายนั่งสนทนากันสั่งเครื่องดื่มเข้ามา ไม่ต่างจากมิติที่ห้านัก


    ถัดจากบริเวณที่นั่งไปเป็นเคาท์เตอร์สำหรับนั่งเดี่ยว และเครื่องเล่นบางอย่าง.....


    “คนมุงดูอะไรกัน”
    หญิงสาวชี้ไปที่เครื่องเล่นที่มีลักษณะคล้ายตู้กระจกขนาดใหญ่ เห็นคนกำลังเชียร์กันอย่างเอิกเกริก


    “เครื่องประลองภาพ”
    เดม่อนพูดขึ้น ขณะที่หญิงสาวเดินนำเข้าไปดูด้วยความสนใจ


    “เอาเลยพวกกกกกกก................คำถามต่อปายยยยยยยย” คนที่มุงดูอยู่ต่างโห่ร้องเชียร์ขึ้นมา


      ตู้กระจกคล้ายตู้ปลาแต่ทำขึ้นมาด้วยแผ่นพลังงานประกอบขึ้นมา สามารถมองเห็นได้รอบทิศทางด้านในบรรจุผงคล้ายผงทรายแต่เป็นสีดำ เป็นเม็ดทรายสีดำ?

     

      ชายสองคนยืนอยู่ตรงตำแหน่งตรงข้ามประเชิญหน้ากัน สามารถมองเห็นหน้ากันได้ชัดเจน ทั้งคู่กำลังตั้งสมาธิเพื่อรอบางอย่าง

     

    “ปิ๊ป”
    แผงหน้าจอขนาดเล็กปรากฏขึ้นตรงกลางตู้เป็นข้อความภาษาอังกฤษอ่านได้คำว่า
    “เก้าอี้


    “เก้าอี้?” หญิงสาวทวนคำ............แล้วยังไงต่อ?


    ...ไม่นานนักทรายสีดำของแต่ละฝั่งค่อยๆขยับเขยื้อนขึ้นมารวมตัวกัน มันก่อเป็นรูปร่างของสิ่งของบางอย่าง


    “เก้าอี้ๆๆๆๆๆๆๆ”

    คนที่อยู่รอบบริเวณเชียร์กันเต็มที่ พร้อมหัวเราะเฮฮา


    “ซ่าๆๆๆๆ”
    ทรายฝั่งซ้ายก่อตัวขึ้นเป็นเก้าอี้รูปร่างสมส่วน................แต่ของอีกฝั่งหนึ่งนี่สิ


    “ฮ่าๆๆๆๆ” นั่นมันเก้าอี้หรือว่าโต๊ะญี่ปุ่นวะ  คนที่แซวชี้มือพร้อมกับหัวเราะ

      เด็กหนุ่มเพ่งดูก็ทราบว่าอีกคนพยายามทำรูปร่างเป็นเก้าอี้แต่มีลักษณะบิดเบี้ยวทำให้ดูเหมือนกับโต๊ะ

      ผู้คนโห่ร้องยินดีกับผู้ขนะพร้อมประคองคนแพ้ลงมาเพี่อเปลี่ยนผู้เข้าแข่งขัน พร้อมทรายสีดำค่อยๆไหลกลับคืนลงสู่สภาพเดิม

     

    “ชั้น..........ไม่เข้าใจ?”
    หญิงสาวพูดขึ้น


    “ก่อนขึ้นมาบนนั้นต้องดื่มมาก่อน................พอเมาได้ที่ค่อยมายืนประจันหน้ากันที่ตำแหน่งวงกลมที่กำหนดไว้ จากนั้นรอโจทย์แบบสุ่มที่ระบบประมวลผลสร้างขึ้นมาให้ ใครได้โจทย์ก็ต้องรีบสร้างภาพจากจินตนาการขึ้นมาให้เร็วที่สุด ใครสร้างได้ดีกว่าหรือเร็วกว่าก็เป็นผู้ชนะไป” เดม่อนอธิบาย

     

    “ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหน”
    หญิงสาวพูดพร้อมหมุนตัวกลับไปยังพื้นที่ที่นั่ง


    “นี่แหละสตรี”
    เจซแสร้งเดินชนไหล่ซ่งเล็กน้อยพร้อมยักคิ้ว เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหัวค่อยเดินตามหญิงสาวไปยังบริเวณที่นั่ง

     

    “ทางนี้ๆๆๆๆๆ”เ
    ด็กหญิงอีกคนตะโกนพร้อมกวักมือเรียกพวกเขา

    เดม่อนสะดุ้งโหยง มองไปที่เจซด้วยสีหน้าลำบากใจ


    “ยัยบีบีจอมแสบนี่อีกแล้ว ไม่เอาน่าเจซที่นั่งมีตั้งเยอะแยะ”
    เดม่อนพยายามโน้มน้าวเจซให้ไปทางอื่น


    เจซส่ายหน้าคล้ายจนปัญญา หันไปบอกซ่ง
    “น้องหมวยแสบนั่นชื่อบีบีที่นายเจอครั้งแรกตอนพบพวกเรา ส่วนที่นั่งอยู่ด้วยอีกสองเป็นสมาชิกในทีมของเราเอง อยู่กันพร้อมหน้า”


    คนทั้งหมดค่อยเข้ามานั่งรวมกัน แม้บางคนจะไม่เต็มใจนัก


    “สั่งเครื่องดื่มไม๊”
    ชายแปลกหน้าหนึ่งในสองพูดขึ้น พร้อมจอแสงปรากฏเป็นเมนูขึ้นมาในอากาศ


    “นี่ชื่ออินแซน...........ถัดไปชื่อเต้”
    ดม่อนแนะนำชายอีกสองคน พร้อมชี้ไปที่เด็กชายผมยาวตัวผอมกับหนุ่มหน้าไทยอีกคน


    “อินแซนเป็นมือระบบของเรา.................ส่วนเต้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผู้หญิง”  เจซแนะนำตัวชายทั้งสองพร้อมหัวเราะขึ้นมา

    “เค้าแพ้ผู้หญิงหน่ะ............แต่ไม่ใช่เกย์หรือกระเทยหรอกนะสาวๆมาติดเจ้านี่ตรึมจนชั้นก็แอบอิจฉามันนิดๆ”

    “นี่อย่าแซวสิ”
    คนชื่อเต้พูดขึ้นมาด้วยเสียงสุภาพ ท่าทางและการแต่งกายที่เนียบรับกับทรงผมที่หวีเรียบแปร่ทำให้ซ่งเริ่มคล้อยตามคำแซวของเจซ เจซค่อยพูดต่อ

    “นายไปเข้าประชุมหรือยัง?”

    หนุ่มทั้งสองคนพยักหน้า ซ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นเครื่องที่ต้องทาบฝ่ามือลงไป


    “ส่วนอินแซนหน่ะ...................”
    เดม่อนมองไปที่เด็กชายผมยาวปิดหน้า ในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนกระต่ายยิ้ม

    พร้อมกับพูดขึ้น

    “ไหนอินแซน...............แนะนำตัวให้เพื่อนใหม่เราได้รู้จักหน่อย” เดม่อนพูด


    “ชะ............ช้านชื่ออินแซน”
    เด็กผมยาวแนะนำตัวช้าๆ “และช้านหน่ะ......”
    เขาหยุดไปครู่หนึ่ง


    “ช้านชื่ออินแซนไม่ได้เป็นแฟนกับใครแต่ถ้าให้ไปไหนช้านก็พร้อมเต็มใจ........ไม่ได้คิดอะไร.....หรืออย่างไรไม่ว่าจะยังไงก็อยากจะเป็นไท นั่นอาจฟังดูทุกทนที่ถูกทุ่มเททิ่มแทงเทอถึงทำแท้งทอดทิ้งที่ทำทุกที”


    “ออเคพอก่อน....”
    เดม่อนห้ามปราม

    “เค้าเป็นโรคแร๊พลิซึ่ม คือ ความคิดของเขาพอดีมันสะดุดเป็นจังหว่ะแร็พหน่ะ ให้พูดเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่นั่นชั้นว่ามันเป็นความพิเศษ”


    “เมื่อตระกี้เมื่อครู่นี้เมือ่ไม่นานมานี้ที่ผ่านมาวูบก่อนนั้นนายพูดถึงช้าน...........คล้ายนินทาคล้ายว่าร้ายคล้ายอะไรบางอย่างที่ช้าน.........ไม่รับรู้เรื่องราวเลื่อนลอยร้อนรนลึกลับนั่น” อินแซนพูดขึ้นเมื่อเอ๊ะใจว่าตัวเองเหมือนโดนนินทา


    “สาบาน........มันไม่ใช่การนินทา” เดม่อนพูดพร้อมเอนตัวพิงโซฟาน้ำ


    “ช่างเถอะ..........เรามาทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งกว่านี้ดีไม๊.....แบบว่า” บีบีชายตามองไปที่ซ่ง แม้หล่อนจะดูเด็กเกินกว่าที่ใครจะคิดว่าถ้าคบกับหล่อนอาจโดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์ก็ตาม แต่ความแก่นและแก่แดดนั้นเกินกว่าผู้ใหญ่ในวัยรุ่นใหญ่เสียอีก

    หญิงสาวมองดูบีบี ค่อยขัดจังหว่ะขึ้นมา
    “หนูเรียนอยู่ชั้นประถมที่ไหนจ๊ะ?”

      หล่อนทักขึ้น เป็นถ้อยคำแทงใจดำบีบีอยู่หลายส่วน เด็กหญิงมองหน้าหล่อนก่อนที่ทำหน้าบูดเบี้ยว


    “ที่ไหนก็ช่าง....................ชั้นไม่ชอบพี่สาวคนนี่อะ”
    หล่อนพูดออกมาตรงๆพร้อมหันหน้าไปขอความเห็นจากเดม่อน


    มองดูเดม่อนยิ้มอย่างสะใจ


    “นี่นายก็สะใจหรอ?....................แง้...........พวกผู้ชายงี่เง่า”
    หล่อนทำท่าคล้ายจะร้องไห้ แต่เมื่อมองไปรอบๆไม่มีคนสนใจ จึงค่อยนั่งเงียบยกเครื่องดื่มบลูเบอรี่ขึ้นมาดูดอย่างเจียมตัว


    ..
    ..........ตึงๆๆๆๆๆๆ..............เสียงดนตรีอิเล็คทรอนิคดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง ไม่นานเสียงดนตรีคล้ายๆค่อยเบาลงเรื่อยๆ................

     

    “กึง...................กึง...............กึง”

    แสงไฟสว่างจ้าถูกเปิดขึ้นแทนที่แสงไฟหลากสีพร้อมกันกับเสียงดนตรีเงียบลง

    อารมณ์ของผู้คนต่างสะดุดขึ้นมา บ้างหยุดเต้นพร้อมงุนงง บ้างตะโกนโวยวายขึ้น บ้างกำลังคลอเคลียกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็หยุดกิจกรรมนั้นลงชั่วคราว


    “........เกิดอะไรขึ้น.......” วามองดูบรรยากาศโดยรอบพร้อมพูดขึ้น แต่ไม่มีใครให้คำตอบเหมือนเช่นที่ผ่านมา

     

    กลุ่มคนในชุดสูทรัดรูปสีดำกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนเดินฝ่าผู้คนเข้ามาในคลับ

    “พวกปฏิบัติภารกิจระดับเอนี่นา...................มาทำอะไรที่นี่?”  เด็กหนุ่มหน้าสวยชื่อเต้พูดขึ้นบ้าง

    กลุ่มผู้มาเยือนเดินขึ้นไปบนฟอร์ คนทั้งหลายแหวกทางให้ด้วยท่าทีสงบ

    หนึ่งในกลุ่มคนชุดดำก้าวออกมาข้างหน้า คนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่น อายุน่าจะสามสิบแล้ว

    “ไม่ได้คิดจะมาขัดจังหว่ะ...........................เราได้รับสัญญาณมาว่ามีพวกสายลับของพวกซีคแฝงตัวเข้ามาที่นี่” เขาพูดเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกชุดดำต่างกวาดสายตามองดูคนที่อยู่ภายในคล้ายกำลังค้นหาผู้บุกรุกที่ว่านี้

     

    “ใครก็ตามที่เป็นสาย..................พวกเรารู้อยู่แล้ว.........มันย่อมรู้แก่ใจของมันดี หากกล้ารับผิดตอนนี้ ทางเราจะแค่ลบความทรงจำแล้วปล่อยไป” เขาพูดพร้อมเดินช้าๆมองไปรอบๆ สายตาพลันไปหยุดอยู่ที่ซ่ง

    เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายชุดดำเดินลงมาจากฟอร์เข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม แต่หนึ่งในทีมชุดดำกลับเอ่ยขึ้น

    “ฮารากิ............ไม่ใช่เด็กนั่นหรอก” เขาเรียกเพื่อน “ควบคุมตัวเองหน่อยสิ” คนเดิมย้ำ

     

    “นี่ไม่จริง.........”
    คนในชุดดำเบื้องหน้าเด็กหนุ่มพูดบางอย่างขึ้น


    “ไม่มีอะไรน่าฮารากิ............เค้าแค่คล้ายๆ..........ไม่ใช่อย่างที่นายคิด” คนในกลุ่มยังคงตะโกนมา


       นั่นทำให้ทั้งเจซ เดม่อน อินแซน เต้ บีบี รวมทั้งวา ต่างมองไปที่เด็กหนุ่มเป็นจุดเดียว

        คนชุดดำยืนมองเด็กหนุ่มครู่หนึ่งค่อยหมุนตัวกลับขึ้นไปบนฟลอร์ จากนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงดัง

    “ใครก็ตามรู้เห็น................ให้ที่หลบซ่อน แก่สายลับนั่น มันต้องถูกกำจัด” พูดจบนำลูกทีมเดินผ่านผู้คนเพื่อออกไปภายนอก

    “พวกนี้มีส่วนใหญ่เคยไปถึงมิติที่สิบกันมาแล้วทั้งนั้น” เจซพูดขึ้นพร้อมหันไปหาซ่ง ทันทีที่หันไปดวงตาของเขากลับเบิกโพลงขึ้นพอๆกับเด็กหนุ่ม

    หญิงสาวชุดดำหนึ่งในทีมเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มพร้อมประกบริมฝีปากลงไปบนปากมันแล้วจูบอย่างดูดดื่ม

       เด็กหนุ่มได้แต่ส่งเสียงอู้อี้..............ทุกสายตาก็เช่นกัน............มองดูเหตุการณ์อย่างตะลึง


    หัวหน้าทีมชุดดำเดินเข้ามาพร้อมฉุดดึงหญิงลึกลับนั่นหันกลับไป


    “นามิ..................เธอเสียสติไปแล้ว........นั่นไม่ใช่เค้า”  
    ฮารากิผู้เป็นหัวหน้าทีมในขุดดำพูดขึ้น พร้อมดึงมือหล่อนกลับ


       หญิงสาวลึกลับผมสั้น ใบหน้าสวยซึ้ง ริมฝีปากชมพูอ่อนบางของหล่อนคล้ายสั่นระริกส่งสายตามองไปที่เด็กหนุ่มราวกับพยายามตัดใจกับอะไรบางอย่าง

    เด็กหนุ่มได้แต่ยืนตะลึง................ไม่ทราบว่าผู้หญิงคนนี้ที่แท้เป็นใคร...............ไม่สิ!!!!

    เขาต่างหาก........................เคยเป็นใครมาก่อน?

     

       ทุกคนมองดูกลุ่มคนชุดดำเดินออกไปจนลับตา ไม่นานสายตาทุกครู่มาหยุดนิ่งที่ซ่งเป็นจุดเดียว

    เด็กหนุ่มหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ได้แต่มองกลับไปที่ผู้คนรอบๆตัว

       แต่สายตาที่ตะลึงยิ่งกว่าอยู่ใกล้ๆเด็กหนุ่มนั่นเอง


    หญิงสาวผมขาวที่ชื่อวา...


    C://Section10 /<End>

    /To be Continue.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×