ตอนที่ 3 : CHAPTER.︱2
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การตามหาโปรเฟสเซอร์นนนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับผมไปแล้ว ในช่วงแรก ๆ ค่อนข้างจะลำบากสักหน่อยเพราะผมไม่รู้ตารางสอนของเขา แต่หลังจากที่ได้ให้คนไปตามสืบอยู่หลายวันก็ได้ความมาว่า เจ้าตัวมีสอนแค่สามวันต่อสัปดาห์ ซึ่งผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้านอกเหนือจากวันทำงานปกติ โปรเฟสเซอร์จะไม่เข้ามามหาลัยอย่างแน่นอน
หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมองว่านานมันก็นาน หรือจะมองว่าไม่นาน...มันก็ยังนานอยู่ดี สำหรับคนรอแล้วนั้น แค่หนึ่งวันก็ทำคนใจขาดตายเป็นผีได้แล้ว และการวิ่งตามคนอย่างโปรเฟสเซอร์นนนมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนักหรอก แม้ผมจะมีตารางสอนของเขาอยู่ในมือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเปิดช่องว่างให้ใครได้เข้าถึงตัวเลยสักครั้ง
ตัดภาพมาที่ผมผู้ซึ่งมีเรียนวันจันทร์-วันพุธ เวลาที่จะไปตามหาอีกคนก็ต้องหลังจากที่ว่างแล้วเท่านั้น และผมก็มักจะคลาดจากเขาอย่างหวุดหวิดทุกครั้งไป คลาดกันไปกันมาเป็นหนังอินเดียไปได้
และในเย็นวันศุกร์ที่ผมไม่มีเรียน ไม่มีภารกิจให้ต้องออกตามหาคนบางคน ไม่มีอะไรทำสักอย่างนอกจากรอเวลาให้ถึงช่วงค่ำของวัน ไม่มีอะไรสนุก ๆ ให้ทำจนต้องออกมาหาอะไรที่คิดว่าน่าจะสนุกทำด้วยการ...เดินห้าง เป็นตัวเลือกที่ไม่ค่อยเข้าท่าสินะ อืม รู้อยู่แล้วล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหอบเอาสังขารและอารมณ์อันแสนเบื่อหน่ายของตัวเองออกมาจากคอนโดจนได้ แม้จะไม่มีแพลนจับจ่ายใช้สอยมาก่อนเลยก็ตาม แต่การเริ่มต้นจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ติดกับประตูทางเข้าที่สุดก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ผมเลือกที่จะไม่หยิบรถเข็นหรือตะกร้า เพราะไม่ได้คิดไว้ว่าจะมาซื้ออะไรเป็นพิเศษ หรือถ้าหากผมคิดจะซื้ออะไรสักอย่างขึ้นมาจริง ๆ สิ่งนั้นก็คงเป็นแอปเปิลไม่กี่ลูกกับน้ำผลไม้ไม่กี่กล่องเท่านั้น
ผมเหลือบมองสภาพตัวเองที่สะท้อนจากกระจกของตู้แช่ แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจทิ้งด้วยความสมเพชเวทนา เสื้อยืดพอดีตัวสีเทา กางเกงวอร์มผ้าคอตตอนสีเทาเข้าคู่กัน รองเท้าแตะ Nike และแว่นสายตาหนาเตอะสำหรับคนสายตาสั้นเกือบสามร้อย ผมก็ไม่ได้หวี ข้าวของติดตัวมีแค่กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ กับกุญแจรถเท่านั้น สภาพไม่น่าออกจากบ้านได้เลย แต่ก็ออกมาแล้วอะ มาทำอะไรก็ไม่รู้ด้วยนะ เป็นงงตัวเอง
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”
แรงสะกิดเบา ๆ จากด้านหลังทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมองด้วยความสงสัย เจ้าของเสียงเรียกเป็นเด็กผู้หญิงผมเปียในชุดนักเรียนหน้าตาน่ารัก เจ้าตัวยืนยิ้มแบบไม่มั่นใจส่งมาให้คล้ายคนกำลังประหม่า ผมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่เล่นสะกิดกันขนาดนี้จะให้ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปได้ยังไงกันล่ะ
“ครับ?”
“คือ...คือว่า...”
แต่ท่าทางแบบนี้มันออกจะคุ้น ๆ สักหน่อยนะ พูดจาติด ๆ ขัด ๆ เลิ่กลั่กอยู่ไม่สุข มือไม้เกะกะหาที่วางไม่ได้ มันก็ชัดจนไม่รู้จะชัดยังไงแล้วครับ น้องเขาเจอสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้แล้วน่ะสิ
“สนใจผมเหรอ?” ความจริงก็ไม่ได้อยากจะเร่งเร้าอีกฝ่ายนักหรอก แต่การเข้าเรื่องให้ไวเพื่อจุดจบที่ไวกว่ามันน่าจะดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้
“ค...คะ!? เอ่อ...”
“....”
“...ค่ะ”
อย่างที่คิด ความจริงแล้วน้องเขาน่าสงสารนะครับ เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิง ก็คงต้องขอปฏิเสธให้มันชัดเจนไปเลย การเห็นใจอีกฝ่ายจะเป็นการทำร้ายเจ้าตัวมากกว่าเดิม
“ขอโทษนะครับ แต่ว่าผมมีคนรักแล้ว”
ครั้นจะบอกไปตรง ๆ ว่าไม่ชอบผู้หญิงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น้องเขาต้องมารับรู้ด้วย ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากจะป่าวประกาศบอกใครนักหรอกเกี่ยวกับรสนิยมของตัวเอง
“พี่...มีแฟนแล้วเหรอคะ?”
สาวน้อยผมเปียก้มหน้ามองพื้นแล้วถามขึ้นมาเสียงอ่อย ท่าทางของน้องทำให้ผมใจอ่อนเล็กน้อย จริง ๆ น้องเป็นคนน่ารักมากเลยนะ ไม่อยากให้เศร้าเพียงเพราะผมมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันเลย แถมยังเป็นฝ่ายรับอีกต่างหาก เนื่องจากรุกใครไม่เป็น และไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นในชีวิตนี้แน่
“ครับ ขอโทษด้วยนะ”
“อ่า แต่ว่า...”
“หืม?”
“…พี่มาคนเดียวไม่ใช่เหรอคะ?”
ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามนั้น รูปประโยคดูเหมือนคำถามทั่วไปก็จริง แต่การที่น้องปักธงคำถามมาแล้วว่าผมมาคนเดียวไม่ใช่เหรอ แทนที่จะใช้คำว่ามาคนเดียวหรือเปล่า นั่นแหละพิรุธตัวโตเลย อีกความหมายก็คือโป๊ะแล้วนะครับน้อง
“แอบตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
น้องทำหน้าตกใจเหมือนพึ่งนึกได้ว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจกับคำถามที่ถามไปนักหรอก ก็แค่แปลกใจที่น้องเขาทำแบบนี้ก็เท่านั้น ต่อให้ตามมาตั้งแต่คอนโดผมก็ไม่สนอยู่ดี มันง่ายจะตายถ้าคิดจะสลัดใครสักคนให้พ้นจากชีวิต สถิติการเขี่ยคนออกไปจากชีวิตของผม ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะก็ ค่าความสำเร็จคงอยู่ที่ 99% ส่วนอีก 1% ที่เหลือ คิดเสียว่าเผื่อไว้สำหรับค่าโง่ก็แล้วกัน
“เอ่อ หนู...เห็นพี่เดินคนเดียวตั้งแต่ที่ลานจอดรถ...แล้ว” ก็ยังดีที่ไม่ได้ตามมาตั้งแต่คอนโด รอดตัวไปนะ “พอหนูเดินตามมาก็ไม่เห็นว่าพี่จะมาเจอใคร ก็เลยตัดสินใจ...เข้ามาทัก”
“ผมนัดแฟนไว้น่ะครับ แต่ยังหาเขาไม่เจอ”
ผมลังเลว่าจะจัดการเด็กคนนี้ยังไง กลัวว่าถ้าเล่นแรงไปก็จะกลายเป็นรังแกเด็กเสียเปล่า ๆ ผมไม่ได้ชอบแกล้งผู้หญิงนักหรอกนะ แต่ก็แค่ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่ได้คุกคามมากจนเกินไปเท่านั้น
ในขณะที่กำลังคิดหาทางตัดปัญหาน่ารำคาญตรงหน้า พลันหางตาก็ดันสังเกตเห็นใครบางคนเข้าเสียก่อน คนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ตอนนี้เลย ทั้ง ๆ ที่วิ่งตามหาอีกฝ่ายอยู่เป็นอาทิตย์กลับไม่เคยเจอ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวกลับโผล่มาให้เห็นเองเสียอย่างนั้น ชาติก่อนผมคงไม่ได้ไปฆ่าใครตายจนบาปหนักอย่างที่คิดเสียแล้ว วันนี้มันคงเป็นวันของผมแล้วสินะ
“ศาสตราจารย์นนนครับ! ...ขอตัวนะครับ เจอแฟนแล้ว”
“อะ...เอ๊ะ?”
ตัดจบบทสนทนากับเด็กตรงหน้าเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาอีกคนที่ชะงักฝีเท้าเพื่อหันกลับมามองตามเสียงเรียกแบบงง ๆ แต่พออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นผมที่กำลังเดินเข้าไปหา สองขายาวก็ก้าวต่อไปข้างหน้าพร้อมกับรถเข็นในมือทันที เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยจำเป็นต้องวิ่งแทนการเดินไปหาอีกฝ่าย แม้จะรู้ว่าคนเป็นอาจารย์จงใจหลบหน้ากันเห็น ๆ เลยก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดจะหยิบยกมาใส่ใจให้มันรกสมองมากนัก
“สวัสดีครับศาสตราจารย์ ไม่เจอกันหลายวันเลยนะครับ”
ผมเป็นฝ่ายทักเขาก่อนเมื่อวิ่งมาถึงตัวอีกฝ่าย ก้าวเดินช้า ๆ อยู่ข้าง ๆ รถเข็นที่มีของใช้และผักสดมากมายอยู่ข้างใน พร้อมกันนั้นก็ส่งยิ้มที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดส่งไปให้คนหน้านิ่ง ซึ่งเขาเองก็ทำแค่เพียงตอบกลับมาเป็นคำสั้น ๆ ว่า...
“ครับ”
“.....”
อืม มันก็สั้นจนไม่รู้จะต่อประโยคยังไงดีเลยแฮะ
“มาคนเดียวเหรอครับ?”
“ครับ”
“.....”
โปรเฟสเซอร์ช่างเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ติดลบแบบต่ำสุดจนน่าเหลือเชื่อ ผมดูออกว่าเขาไม่ปลื้มผมเท่าไหร่นัก แต่คิดว่าไม่น่าจะถึงขั้นเกลียดจนไม่เผาผีกันเสียทีเดียว คงจะประมาณก้ำกึ่งระหว่างรำคาญกับเอือมระอาล่ะมั้ง...?
อา...ความจริงข้อนั้นก็ทำให้ผมหน้าชาอยู่หน่อย ๆ แหละนะ
“ผมก็มาคนเดียวนะครับ”
“ครับ”
“แล้วก็คิดถึงศาสตราจารย์ที่สุดเลย”
เขาหยุดเดินทันทีเมื่อประโยคนั้นจบลง ผมก็เลยต้องหยุดเดินตามไปด้วยอีกคน ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายและไม่ลืมที่จะส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้หนึ่งสเต็ป ส่วนโปรเฟสเซอร์ก็เอาแต่มองผมนิ่ง ๆ ด้วยสายตาที่ติดจะอ่านยากอยู่บ้าง ผมพยายามตีความหมายของสายตานั้น และได้ความหมายประมาณว่า ‘น่ารำคาญ’ กลับมาอย่างชัดเจน
ผมยังคงยืนยิ้มเก้ออยู่ที่เดิม คิดไว้ว่าถ้าคนคนนี้ไม่ขยับผมก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน ซึ่งมันใช้เวลาไม่นานนัก เพราะหลังจากที่ยืนจ้องตากันสักพัก เขาก็เอื้อมมือขึ้นไปหยิบของบางอย่างบนชั้นวางข้างตัว แล้วโยนมันใส่รถเข็นโดยที่ตาก็ยังจ้องผมอยู่เช่นเดิม ก่อนจะเบือนสายตาหนีช้า ๆ พร้อมกับออกเดินอีกครั้ง
ว้าว...ใจแอบสั่นกับความเย็นชาของเขาเบา ๆ เลยนี่หว่าเรา
“ผมคิดถึงศาสตราจารย์จริง ๆ นะ ไม่เชื่อเหรอ?”
“ครับ”
“แต่มันเป็นเรื่องจริงนะครับ แถมผมยังตามหาคุณแทบทุกวัน แล้วก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้งด้วย”
“มีธุระอะไรด่วนงั้นเหรอครับ?”
รอยยิ้มแฝงความหมายถูกส่งไปให้คนตัวสูงในจังหวะที่ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น สองมือไขว้กันไว้ด้านหลัง ลำตัวเอียงเข้าหาและใบหน้าอยู่ห่างจากคนเป็นอาจารย์ไม่มากไม่น้อย
“ธุระคิดถึงไง”
“…..”
“อยากเจอ”
“.....”
เจ้าของดวงตาเรียวดุหันใบหน้าหนีไปมองสินค้าบนชั้นวางของแทน โปรเฟสเซอร์ยังคงรักษาสีหน้าเรียบตึงเหมือนทำโบท็อกซ์เอาไว้ได้โดยไม่มีหลุดคาร์แรคเตอร์ ถึงจะเห็นอย่างนั้นผมก็ยังไม่คิดจะหยุดหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ดี
“เขินเหรอครับ?”
“รำคาญน่ะครับ”
“.....”
ตอบแบบนี้ผมก็แย่สิครับโปรเฟสเซอร์ ก็รู้นะว่าเขารำคาญ แต่ใครจะไปคิดว่าพอเจ้าตัวออกมายอมรับเองแบบนี้แล้วมันจะจุกขนาดนี้วะ ทำไมไม่รู้จักโกหกหน่อยล่ะ ผมจะเชื่อคุณทั้งหมดจริง ๆ นะโปรเฟสเซอร์! โกหกก็ได้ไม่ใช่หรือไง!
“มาซื้อของเหรอครับ?”
ผมเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าด้าน ๆ อีกครั้ง ต่อให้ข้างในเหวอะหวะ แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ไปก่อน สักวันมันจะต้องเป็นวันของเราแน่ เป็นไงล่ะ คำคมไปเลยดิ ทั้ง ๆ ที่ผมกัดฟันถามด้วยซ้ำนะประโยคข้างบนอะ
“ครับ”
“ทำไมมาคนเดียวล่ะครับ แฟนไม่มาด้วยเหรอ?”
คนตัวสูงปรายตามองลงมาเล็กน้อย ก่อนจะเข็นรถเข็นไปโซนอื่นคล้ายไม่สนใจในคำถาม คนถามเองก็ไม่ได้ใส่ใจเอาคำตอบเหมือนกันนั่นแหละน่า เหอะ!
“ผมไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ”
“หืม? อะไรแบบแฟนน่ะเหรอ?”
“ครับ”
“อ๋อ...รู้อยู่แล้วล่ะ แค่อยากลองถามดูเฉย ๆ น่ะครับ”
อมยิ้มน้อย ๆ ขณะตอบ แล้วก็ได้รับสายตาเย็นชากลับมาแทน ผมนับถือใจเขาจริง ๆ ที่ไม่ไล่ผมไปไหนทั้ง ๆ ที่ดูก็รู้ว่ารำคาญกันเต็มทน การเป็นอาจารย์วิชาจิตวิทยานี่มันต้องจิตใจแข็งแกร่งมาก ๆ เลยสินะ ขนาดโดนก่อกวนขนาดนี้เขายังไม่แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างเปิดเผยเลย—แม้ว่าสายตาเขาเองจะไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเลยก็ตามเถอะนะ
“คุณชอบทานชีสไหมครับศาสตราจารย์?”
ตั้งคำถามขึ้นมาทำลายความเงียบอีกครั้งเมื่อสายตาหันไปเห็นโซนชีสเข้าพอดี ก็ไม่รู้ว่าจะถามทำไมเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้ชอบทานมันนัก แต่ก็ดีกว่าเดินกันเงียบ ๆ โดยมีเพียงเสียงของกระทบกันยามที่โปรเฟสเซอร์หยิบอะไรสักอย่างโยนใส่ในรถเข็น
“เรียกผมว่าโปรเฟสเซอร์เถอะครับคุณรณกฤต”
“ผมสังเกตมาสักพักแล้วนะ มีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ชอบให้ใครต่อใครเรียกว่าศาสตราจารย์หรือเปล่าครับ?”
มันจะเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า แต่ผมอยากรู้นี่นา เขาเอาแต่บอกให้ผมเลิกเรียกศาสตราจารย์อยู่ได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมหยุดเรียกชื่อจริงผมสักทีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ฟังทีไรรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์เรียกตลอดเวลา...แม้เขาจะเป็นอาจารย์จริง ๆ ก็เถอะ
เฮ้อ! ได้ยากได้เย็นจริงโว้ยย!
“เพราะไม่ชินครับ และไม่ชอบด้วย”
ถึงจะดูเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงไปสักหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตอบตรง ๆ นะ นี่คงถือเป็นข้อดีอีกอย่างของเขา ผมเรียนรู้ได้ว่าโปรเฟสเซอร์เป็นคนตรง ๆ ซึ่งบางครั้งก็ตรงไปจนคนฟังตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
“ทำไมล่ะครับ?”
“.....”
แต่บางครั้งถ้าไม่อยากตอบเขาก็จะเงียบไปเสียดื้อ ๆ ซึ่งต่อให้คาดคั้นยังไงเจ้าตัวก็จะไม่เปิดปากเด็ดขาด นี่แหละโปรเฟสเซอร์ของผมล่ะ ลิมิเต็ดไปเลยล่ะสิ
“ผมก็ไม่ชอบให้ศาสตราจารย์เรียกชื่อจริงผมเหมือนกันนะครับ”
“.....”
“ไม่ถามเหรอครับว่าทำไม?”
“ไม่อยากรู้ครับ”
จุก...ชะมัด ถ้าคุณจะปล่อยหมัดแรงขนาดนี้นะโปรเฟสเซอร์ หยิบน้ำยาล้างห้องน้ำข้าง ๆ นั่นมากรอกปากผมเลยก็ได้!
“ถามผมหน่อยสิครับว่าทำไม”
“ทำไมครับ”
สีหน้าเขาดูอดกลั้นเอามาก ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นนักศึกษาและเขามีศักดิ์เป็นอาจารย์นะ ป่านนี้ผมโดนกระทืบแหลกไปนานแล้ว ก็เล่นก่อกวนเขาไม่พักเลยนี่ ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวหรอกนะว่ายิ่งทำแบบนี้อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ชอบใจ แต่ผมมันมาโซคิสม์อยู่แล้ว ชอบนักแหละความเจ็บปวดทางด้านจิตใจเนี่ย บางทีก็งงตัวเองเหมือนกันว่าจริง ๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่
“ก็เวลาโดนเรียกชื่อเต็ม ๆ แล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์เรียกเลยไม่ใช่หรือไงกันครับ?”
“มันก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ เพราะผมเป็นอาจารย์”
“ไม่เอา”
“....?”
“ก็ไม่อยากเป็นแค่ลูกศิษย์กับอาจารย์นี่”
ประโยคนั้นดังไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ผมก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองไม่นาน สุดท้ายเมื่อตัดสินใจได้จึงเงยหน้าขึ้นมา และพูดกับคนตรงหน้าด้วยระดับเสียงปกติที่มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องได้ยินมันอย่างแน่นอน
“ผมไม่ได้อยากเป็นแค่ลูกศิษย์ของคุณสักหน่อย”
“คุณรณกฤต อย่าล้ำเส้นครับ”
“.....”
โดนไปตั้งหลายครั้งไม่มีครั้งไหนที่เจ็บเท่าครั้งนี้เลย ใจผมกระตุกวูบเมื่อได้ฟังดังนั้น แต่เลือกที่จะปัดความรู้สึกหน่วง ๆ บีบ ๆ ตรงหน้าอกออกไปแล้วปั้นหน้ายิ้มไม่เป็นไรในทันที ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก แต่ผมไม่อยากยอมแพ้ต่างหาก ความจริงที่ว่ามันยากน่ะผมรู้อยู่แล้ว ก็ไม่ได้รักได้ชอบเลยรู้สึกเจ็บปวดอะไรแบบนั้นหรอก
ก็แค่...แอบกลัวว่าจะปล่อยโอกาสหลับนอนกับเขาหลุดมือไปเท่านั้นเอง
“ศาสตราจารย์ยังไม่ได้ตอบผมเลยนะครับว่าชอบชีสหรือเปล่า”
อย่าคิดว่าเส้นที่คุณขีดมันให้ผมดูเมื่อสักครู่จะทำอะไรผมได้สิครับโปรเฟสเซอร์ คนที่มีสิทธิ์บอกให้ผมหยุดไม่ใช่คุณหรอกนะครับ อย่าเข้าใจผิด เป็นผมเองต่างหากที่จะเลือกหยุดมันเพราะเส้นหนา ๆ ของคุณ หรือจะเดินหน้าต่อเพราะความดื้อรั้นของตัวเอง และผมเลือกจะรั้นจนกว่าเส้นบ้า ๆ นั่นจะแหลกไปข้าง
“ไม่ชอบและไม่ได้เกลียดเป็นพิเศษครับ”
“งั้นเหรอ...แต่ผมไม่ชอบมันเลย ผมว่ามันเหม็นและกินยากมาก”
ผมทำหน้าปูเลี่ยนเพราะเก็บอาการไม่ไหวจริง ๆ เมื่อคิดถึงรสสัมผัสของอาหารชนิดนั้น และเพราะมัวแต่โฟกัสกับความคิดในหัวตัวเอง ผมจึงมองไม่เห็นปฏิกิริยาของคนด้านข้างที่เลิกคิ้วมองมาด้วยสายตาที่แปลเป็นความหมายไม่ได้
“แต่ศาสตราจารย์ครับ”
ในที่สุดก็หันกลับมาสนใจเขาอีกครั้งหลังจากจมอยู่ในความคิดตัวเองอยู่นาน คนเป็นอาจารย์ไม่ได้กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นปกติของเขา แต่เหมือนจะกำลังอ่านฉลากสินค้าอะไรสักอย่างในมือ
“ครับ”
“การบ้านที่สั่งน่ะครับ”
“ครับ”
“ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ผมขอไปทำที่บ้านศาสตราจารย์ได้ไหม? เวลามีคำถามจะได้ไม่ต้องสงสัยนานไงครับ”
จบคำถาม เจ้าของบ้านที่ผมอยากไปเยือนก็ค่อย ๆ หันสายตาจากสินค้าในมือมาจ้องผมด้วยแววตาเย็นชาเป็นปกติของเจ้าตัว ผมมองการกระทำนั้นอย่างขบขัน เพราะเดาได้อยู่แล้วว่าปฏิกิริยาที่จะได้รับคงประมาณนี้ ที่ถามไปก็ไม่ได้จริงจังสักหน่อย แต่เขาก็เชื่อคำพูดของผมไปเสียหมดทุกเรื่องจนอดหัวเราะไม่ได้นี่นา เรื่องไปบ้านนั่นผมพูดเล่นเฉย ๆ ...แต่ถ้าได้จริง ๆ ก็ดี
“ฮะ ๆ ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ”
“คุณไม่มีอะไรทำเหรอครับคุณรณกฤต?”
ผมพยักหน้ารับคำนิดหน่อย ส่งรอยยิ้มปั้นแต่งไปให้ก่อนตอบคำถาม “มีครับ ผมกำลังยุ่งอยู่เลย”
“งั้นก็ไปทำธุระของคุณเถอะครับ อย่ามาเสียเวลากับผมเลย”
“อ้อ ธุระของผมคือการชวนศาสตราจารย์คุยนี่ไงครับ ผมยุ่งจนไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลยดูสิ”
ยกยิ้มกว้างกว่าเดิมจนคนฟังถึงกับส่ายหน้าแล้วเข็นรถเข็นหนีไปทันที อะไรกันเนี่ย เขาเองก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนี่นา ผมรู้สึกสนุกขึ้นมาเลยที่ได้แกล้งเขาแบบนี้ โปรเฟสเซอร์เป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ขัน ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ และไม่เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การที่เจ้าตัวยอมตอบคำถามไร้สาระของผมเกือบจะทุกคำถามมันก็ยืนยันได้แล้วว่า ผมสามารถก่อกวนให้เขาอารมณ์เสียได้สำเร็จ
ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีไหม แต่ผมก็ชอบนะ
“ศาสตราจารย์ชอบดื่มน้ำผักเหรอครับ?”
ผมยิงคำถามอีกครั้งหลังจากเดินตามเขามาสักพักโดยไม่ได้ก่อกวนอะไรอีก ผมต้องเว้นช่วงไว้บ้างน่ะ กลัวเขาจะทนไม่ไหวแล้วไล่ผมแบบจริงจังแล้วมันจะยุ่ง ยังไงวันนี้ผมก็คุ้มแล้ว ออกจากบ้านในสภาพที่ไม่ควรสุด ๆ แถมยังออกมาแบบไร้จุดหมายเสียด้วย แต่สุดท้ายโชคดีก็วิ่งมาหาถึงที่ เป็นการเดินเตร็ดเตร่ที่ไม่เสียเที่ยวซะทีเดียวว่าไหม?
“ไม่ชอบครับ”
“เอ้า แล้วมายืนเลือกทำไมล่ะครับ?”
ที่ถามก็เพราะว่าเห็นอีกฝ่ายมาก้ม ๆ เงย ๆ แถวโซนน้ำผลไม้ไง ก็ถ้าไม่ชอบดื่มแล้วจะซื้อไปทำไมกันล่ะ?
“ไม่ชอบแต่ก็ต้องดื่มครับ”
“เพื่ออะไรครับ?”
“มันมีประโยชน์ไงคุณ คุณก็ควรจะดื่มบ้าง จะได้มีประโยชน์”
พูดจบก็โยนน้ำมะเขือเทศกับน้ำผักรวมใส่รถเข็นแล้วเดินนำออกไปก่อน ส่วนผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ในหัวกำลังประมวลผลว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อมันคืออะไร หืม? เขาคงไม่ได้จะบอกว่าผมมันไร้ประโยชน์หรอกใช่ไหม?
ไม่หรอก...ผมว่าเขาหมายความตามที่พูดนั่นแหละ!
“โปรเฟสเซอร์นนน”
ผมได้แต่ครางชื่ออีกฝ่ายด้วยความคับแค้น มือเอื้อมออกไปหยิบน้ำส้มขึ้นมากอดไว้ก่อนจะกัดฟันระงับความหมั่นไส้ไว้ในใจ ได้! โปรเฟสเซอร์ ยกนี้ผมต่อให้ แต่จำไว้เลยว่าไม่ใช่แค่ผมที่กวนประสาทคุณแล้วนะ เพราะคุณเองก็เล่นผมคืนแล้วเหมือนกัน!
“รอด้วยสิครับ”
ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเมื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับตัวเองจนพอใจแล้ว เขาไม่ได้เดินไปไกลจากจุดที่ผมอยู่นัก แม้อาจจะฟังดูคิดไปเองบ้าง แต่ผมรู้สึกเหมือนเขาเดินช้ากว่าปกติ...เหมือนกำลังเดินให้ช้าเพื่อรอผม
ซะที่ไหน! เขาเดินเลือกโยเกิร์ตต่างหาก!
“ฝาก ผมไม่ได้หยิบตะกร้ามา”
เขาเหลือบตามองน้ำส้มที่ผมโยนลงไปรวมกับของของเขานิดหน่อย ก่อนจะเบือนสายตากลับไปมองโยเกิร์ตอีกครั้ง แต่เอ๊ะ? ผมตาฝาดไปเหรอ ทำไมรอยบุ๋มข้างแก้มนั่น...
“ยิ้มอะไรครับ?”
ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้คนที่ตัวสูงกว่าแบบไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่วายตวัดสายตาดุ ๆ ลงมามองผมเหมือนจะปรามในที อะไรเล่า ก็เมื่อกี้มันเหมือนว่าเขายิ้มจริง ๆ นี่ แต่ทำไมพอมองใกล้ ๆ แล้วรอยบุ๋มข้างแก้มนั้นมันหายไปล่ะ?
“ถอยออกไปหน่อยครับ”
“เมื่อกี้ศาสตราจารย์ยิ้มใช่ไหมครับ?”
“เปล่าครับ”
“แต่ที่แก้มมันมีรอยบุ๋มไม่ใช่เหรอ?”
ผมจิ้มนิ้วลงไปข้างแก้มคนตรงหน้าเบา ๆ อย่างลืมตัว เพราะในตอนนี้ความสงสัยมันมีมากกว่า โปรเฟสเซอร์ไม่ได้ปัดป้องหรือขยับถอยห่างไปไหน เขาทำเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ มองลงมาที่ผมเพียงเท่านั้น และไม่พูดอะไรขึ้นมาอีกนอกจากนิ่งอย่างเดียว
เฮ้! ผมถามคุณอยู่นะ
“คุณยิ้มจริง ๆ สินะ”
“ทำไมผมต้องยิ้มครับ”
“เอ๊ะ? ก็ศาส...ตรา...”
ผมติดอ่างทันทีเมื่อไม่ใช่แค่คำถามที่พุ่งเข้ามาใส่ แต่เป็นใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยที่ค่อย ๆ ขยับชิดใบหน้าผมมากขึ้นเรื่อย ๆ โอเค จริง ๆ แบบนี้มันก็ดี แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่ผมไม่มีสติหรือตั้งตัวไม่ทันแบบนี้สิ! ผมจะไปสู้เขาได้ยังไงถ้าเขายังใช้สายตาเรียวนั่นสะกดผมให้หาสติตัวเองไม่เจออยู่แบบนี้!
“ทำไมครับ?”
“คุณกำลังสะกดจิตผมอีกแล้วใช่ไหม?”
“ผมกำลังถามคุณว่าทำไมต่างหาก ทำไมผมต้องยิ้มเหรอครับคุณรณกฤต”
“คือ...นะ...นั่นน่ะสิครับ ทำไม...”
“หึ”
นั่นยังไงเล่า! เขายิ้มจริง ๆ ด้วย! แม้จะเป็นการกระตุกยิ้มแต่มันก็คือยิ้มไม่ใช่หรือไง บ้าจริง! แต่ก็เพราะไอ้รอยยิ้มแบบนั้นนี่แหละที่มันทำให้ผม...ขาอ่อนจนต้องคว้ารถเข็นเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มทั้งยืน
ไม่แฟร์เลย ทำไมผมไม่มีสายตาร้อนแรงแบบนั้นบ้างนะ
“ผมจะไปจ่ายเงิน ถ้าไม่เอาอะไรแล้วก็ตามมารับน้ำส้มของคุณด้วย”
“.....”
“รับทราบนะครับคุณรณกฤต”
“…ทราบแล้วครับ”
ตอบรับทั้ง ๆ ที่ยังหาสติของตัวเองไม่เจอ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้มันอะไรกัน? ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนรุกกลับทั้ง ๆ ที่คิดว่าเป็นคนคุมเกมตั้งแต่แรกแล้วแท้ ๆ ยิ่งมองเห็นแผ่นหลังกว้างที่เดินนำออกไปก่อนก็ยิ่งทำให้ผมสับสนเข้าไปใหญ่ พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาให้ตั้งเป็นข้อสงสัย
นี่ผม...แพ้เหรอ?
ในหัวมีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด แม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายยืนให้พนักงานคิดเงินค่าสินค้าผมก็ยังไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอยู่ดี สายตาหันไปเห็นกล่องถุงยางอนามัย อืม เกรียนดีไหมนะ ไหน ๆ สติก็ไม่ครบแล้วนี่ มีอะไรต้องเสียอีกล่ะ
“ศาสตราจารย์ครับ”
“....?”
“ใช้ถุงยางไซส์ไหนเหรอครับ?”
ตุบ!
เสียงอะไรสักอย่างตกกระทบพื้นทำให้ผมต้องเบนสายตาไปมอง เห็นสีหน้าพนักงานผู้หญิงดูตกใจอะไรบางอย่างก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย หันไปมองคนข้างกายเขาก็เอาแต่ทำหน้าดุส่งมาให้เหมือนผมทำอะไรผิดร้ายแรงเสียอย่างนั้น
“ขนาดนี้ไหม?”
ผมหยิบมันขึ้นมาจากในบรรดาหลายกล่องหลายขนาดและหลายกลิ่นแล้วยื่นให้อีกฝ่ายดู พลันมือหนาก็ฉกชิงไปและมันวางกลับเข้าไปที่เดิมด้วยความรวดเร็ว ทำไมล่ะ? ที่ถามก็แค่อยากรู้เองนะ ทำไมไม่ตอบผมล่ะครับโปรเฟสเซอร์?
“อ้าว? ไม่ใช่ไซส์นี้เหรอ?”
“คุณรณกฤต”
“หรือไซส์นี้กันนะ?” หยิบอีกกล่องขึ้นมาพลิกดู แต่เพียงไม่นานก็ถูกมือหนาแย่งกลับไปเก็บไว้ที่เดิมอีกครั้ง
“นี่”
“หรือว่าคุณชอบแบบมีกลิ่น?”
“.....”
คนตัวโตสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากกำลังเก็บกลั้นอารมณ์ ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะถามออกไปอีกสักคำถาม
“ตกลงไซส์...”
“ไซส์ใหญ่สุดครับ และที่ไทยก็ไม่มีขายด้วย เลิกสงสัยได้หรือยัง...คุณรณกฤต”
Damn! สติผมได้หายไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
วันนี้...ผมกลับคอนโดโดยมีเพียงน้ำผลไม้กล่องเดียวในมือ โดยทิ้งสติไว้ที่ไหนสักที่ แถว ๆ หน้าชั้นวาง Condom นั้น

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เเเพ้อะไรเเบบนี้????
ใหญ่มากกกกก แอ้