ตอนที่ 10 : CHAPTER.︱9
สะ...สอบเสร็จแล้ว
ตลอดสี่วันที่ผ่านมา บอกได้เลยว่าสติที่เคยมีแทบไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว ผมเหนื่อยขนาดที่ว่าสอบเช้าวิชาสุดท้ายเสร็จก็กลับมานอนตายที่บ้านทันที คิดดูต้องเหนื่อยขนาดไหนถึงไม่เดินไปหลับในห้องดี ๆ แต่กลับมานอนหมอบที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแบบนี้
ผมคิดว่าตัวเองหลับไปนานพอสมควร มันนานพอให้เจ้าของบ้านตัวจริงกลับมาและเอาผ้าห่มมาคลุมร่างให้ เขาไม่ได้ห่มให้ด้วยความทะนุถนอมนักหรอก แต่มันเป็นการโยนแบบลวก ๆ เสียมากกว่า ถ้าเกิดจากการกระทำที่อ่อนโยนผมคงไม่สะดุ้งตื่นจนรู้ว่าเป็นฝีมือใครทำหรอก แต่ก็แค่ลืมตาขึ้นมาเพราะถูกขัดจังหวะการนอนเท่านั้น และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็หลับไปอีกรอบ
มารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่จมูกได้กลิ่นของกินหอม ๆ และท้องที่เริ่มร้องประท้วงว่าต้องการอาหารแบบสุด ๆ แล้วนั่นเอง งัวเงียลุกขึ้นนั่งบนโซฟาตัวเดิมโดยที่รอบตัวไม่มีแสงไฟมากนัก มีแค่ไฟจากห้องครัวเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง ผมลุกขึ้นยืนโงนเงนเดินเข้าไปหากลิ่นหอม ๆ ตามที่ใจเรียกร้อง
เห็นพ่อครัวตัวสูงยืนหันหลังผัดอะไรก๊องแก๊งอยู่หน้าเตา ก็เลยเดินเมาขี้ตาเข้าไปหาแล้วกอดหมับเข้าที่เอวหนา พร้อมกับซบใบหน้าลงไปที่แผ่นหลังกว้างด้วยสติอันน้อยนิด ผมยังง่วงอยู่เลย แต่หิวจนแทบจะกินคนในอ้อมกอดเข้าไปแทนได้อยู่แล้ว กลิ่นตัวเขาก็หอม หอมจนน่ากินเข้าไปทั้งตัว
“หิวจัง”
“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา อย่ามาเกาะแกะมันน่ารำคาญ”
“หอมมม”
“รณ ปล่อยก่อน ฉันทำอาหารไม่ถนัด”
“…..” ขอปฏิเสธ
“รณ อย่ามึน ปล่อยได้แล้ว”
ผมก้มตัวลอดวงแขนคนตัวสูงเพื่อไปอยู่ข้างหน้า ทำให้เขาต้องขยับตัวถอยหลังนิดหน่อยเพราะผมอยู่ใกล้กระทะที่เขากำลังผัดบางอย่างอยู่มากเกินไป ผมช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยตาปรือ ๆ ที่แทบจะปิดของตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ โปรเฟสเซอร์นนนมีสีหน้าเหมือนอยากจะทุบกะโหลกผมสักทีถ้าทำได้
โหดจังเลยนะ โหดแบบนี้นี่มันน่าจับมาจูบสักทีให้หายมันเขี้ยว ส่งยิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมยอมปล่อยแขนทั้งสองข้างออกจากเอวหนาของร่างสูงแล้ว แต่ย้ายมาคล้องคออีกฝ่ายแล้วโน้มคอเขาลงมาเล็กน้อย พร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นไปประทับริมฝีปากที่หน้าผากแทน
“รณ”
ที่แก้ม
“หยุด”
อีกข้างด้วย
“นี่...”
ปลายจมูกคม
“…..”
ผมสบตากับร่างสูงอย่างมีความหมาย หลุดยิ้มเล็ก ๆ เมื่อบนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไปแล้ว ผมชอบสายตาเกรี้ยวกราดของเขา มันทำให้ผมคลั่ง...และอดใจไม่เคยได้เลยสักครั้งที่จะเอ่ยปากร้องขอ
“จูบเราหน่อย...”
“…...”
“นะครับลุง...อื้อ!”
ริมฝีปากเรียบตรงจู่โจมเข้ามาโดยไม่ปล่อยให้ได้ตั้งตัวเลยสักนิด ผมที่ก่อนหน้านี้ยังอึน ๆ มึน ๆ จากการนอนนานเกินไปก็ถึงกับช็อกกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของอีกฝ่าย แต่ผมไม่มีเวลาให้ทำแบบนั้นนานนักหรอก เพราะเมื่อเขาเริ่มต้นจูบนี้...ผมก็ยินดีจะตอบรับรสจูบกะทันหันของเขาด้วยความเต็มใจ
ขยับริมฝีปากไปตามการชักนำของอีกฝ่าย มันเป็นการจูบภายนอกที่ผมรู้สึกใจสั่นจนต้องคว้าลำคอแกร่งเอาไว้อย่างแน่นหนา เอียงใบหน้ารับจูบนั้นด้วยความช่ำชองไม่ต่างกัน ผมเริ่มไล้เรียวลิ้นไปตามกลีบปากบาง จุมพิตที่มุมปากเขาเบา ๆ อย่างยั่วเย้า เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของเขาทำให้ผมหลุดยิ้มอย่างย่ามใจก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกเสียเอง
เอวบางถูกแขนแกร่งตวัดรัดไว้ในอ้อมแขน ร่างถูกดันไปเรื่อย ๆ จนแผ่นหลังชิดกับประตูตู้เย็นโดยที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่อง มีแต่จะเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
เราจูบกัน ดูดดึงริมฝีปาก ตวัดเรียวลิ้นหยอกล้ออยู่อย่างนั้นจนความสุขจะจุกอกตายอยู่แล้ว สัมผัสของโปรเฟสเซอร์นนนดีอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เขาเก่งจนผมแปลกใจว่าเอาเวลาไหนไปฝึก แต่ก็ต้องปัดความคิดตลก ๆ พวกนั้นทิ้งไปเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ผู้ชายอายุ 33 ไม่ใช่ตาแก่หัวโบราณทุกคนหรอกนะ อย่างน้อย ๆ ประสบการณ์ชีวิตของคนรุ่นนี้ก็ไม่น่าจะน้อยไปกว่ากัน ดีไม่ดีโปรเฟสเซอร์อาจจะเจนโลกมากกว่าเด็กที่พึ่งจะผ่านวัย 20 ปีมาได้แค่ปีเดียวแบบผมด้วยซ้ำ
“อื้มม”
โปรเฟสเซอร์นนนถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง มีชั้นเชิงในการยุติกิจกรรมสานสัมพันธ์เล็ก ๆ นี้ลงให้ผู้สมรู้ร่วมคิดไม่รู้สึกเหมือนถูกขัดความต้องการมากจนเกินไป ผมค่อย ๆ ปรือตามองอีกฝ่ายช้า ๆ หอบหายใจเล็กน้อยหลังจบฉากจูบที่ค่อนไปทางร้อนแรงของเราทั้งคู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลของคนตรงหน้า
ภายในดวงตาคู่นั้น...ผมมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากตัวเอง ผมเดาความคิดเขาไม่ออก และไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอจะเดาด้วย มันจะด้วยเพราะเหตุอันใดก็ช่างมันเถอะ ผมไม่ตามหาเหตุผลของจูบนี้หรอก ผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น รู้แค่ว่าสิ่งที่ต้องการผมได้มันมาแล้วหนึ่งอย่าง จูบที่ไม่ใช่แค่ปากแตะปากเหมือนจูบแรกสมัยมัธยม
“เด็กใจแตก” คู่กรณีพูดเบา ๆ หลังถอนริมฝีปากออกไปแล้ว
“เราร้ายกว่านั้นเยอะ”
“พอใจแล้วใช่ไหม?”
“ถ้าหมายถึงจูบเมื่อกี้ละก็...เราคลั่งมันเลยล่ะ” ประโยคหลังผมกระซิบเสียงพร่าชิดใบหูอีกฝ่าย นิ้วเรียวบีบนวดที่หลังคอแกร่งด้วยจังหวะที่ทำให้คนถูกกระทำรู้สึกดีได้ไม่ยาก
“ใจง่ายจังนะรณกฤต เป็นแบบนี้กับทุกคนเลยสินะ”
“ก็คงอย่างนั้น แต่กับลุงมันพิเศษกว่าทุกคนนะครับ”
ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนที่ใบหน้ายังไม่ได้ถอยห่างออกไปเท่าไหร่ เขามองผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะแกะแขนที่กอดคอตัวเองออกเบา ๆ ทางนี้ก็ไม่คิดจะดื้อดึงและยอมทำตามอย่างว่าง่าย วันนี้พอใจแล้วล่ะ ไม่สิ...มันยอดเยี่ยมกว่าที่คาดไว้เสียอีก ผมหลงใหลเขามากขึ้น มากขึ้นจนรู้สึกว่าถ้ามากกว่านี้เห็นทีจะไม่ไหว ผมอาจจะหน้ามืดตามัวและเผลอทำอะไรลงไปได้โดยง่าย ซึ่งแบบนั้นมันคงไม่ดีแน่ ๆล่ะ
“ดูเหมือนฉันต้องทำผัดผักใหม่ มันไหม้ กินไม่ได้แล้ว”
เจ้าของฉายาลุงเปรยขึ้นมาเบา ๆ คล้ายกับจะบ่นเมื่อกลับไปยืนอยู่หน้าเตาอีกครั้ง ผมเดินเข้าไปดูผัดผักที่ว่าด้วยคน ก็ต้องย่นจมูกมองมันด้วยความไว้อาลัย มันกินไม่ได้จริง ๆ ด้วยล่ะ เกรียมเชียว
“น่าเสียดายจัง” พึมพำกับตัวเองด้วยความสงสารผักเหี่ยว ๆ ในกระทะที่บางส่วนก็ดำเป็นถ่านไปแล้ว
“มันเป็นเพราะเธอ รู้ตัวใช่ไหม?”
“ทำไมโยนให้มันเป็นความผิดของเราล่ะ?”
ผมหันหน้าไปแย้งกับเขาทันทีเมื่อรู้สึกเหมือนถูกกล่าวหา ก็ทำลงไปด้วยกันทั้งคู่ ทำไมกลายเป็นผมที่ทำผิดต่อผัดผักในกระทะนั้นอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เห็นจะยุติธรรมตรงไหน
“เพราะเธอหาเรื่องเอง”
“เราเปล่า”
“เธอยั่ว” เออ ยอมรับก็ได้ว่ายั่ว ก็เป็นฝ่ายรุกก่อนแบบนั้น ไม่เรียกว่ายั่วแล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่ผมไม่มีทางยอมรับผิดอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
“แล้วลุงจะคล้อยตามทำไมล่ะ”
“ถ้าไม่เล่นด้วยเธอก็ไม่หยุดสักทีน่ะสิ สาบานไหมว่าถ้าฉันไม่ทำเธอก็จะไม่ทำมันเหมือนกัน จูบนั้นน่ะ”
“เราไม่สาบานอะไรที่มันเสี่ยงต่อชีวิตตัวเอง เราจะจูบลุงไม่ว่าลุงจะจูบเราหรือไม่ก็ตาม ที่เราพูดขอไปก็แค่ยั่วให้ลุงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เรารักจูบนี้ยิ่งกว่าจูบไหน ๆ ที่เคยจูบมา”
“.....”
“เราง่ายมาก ๆ ถ้าลุงอยากได้ และใช่...มันจะเป็นแค่กับลุงคนเดียว”
เราทั้งคู่สบตากันตลอดเวลาที่ผมพ่นประโยคเหล่านั้นออกไป สองสายตาที่สื่อความหมายต่างกันไม่ละจากไปไหน ผมส่งสายตาท้าทายให้กับคนตรงหน้า ยกยิ้มบางเบาไร้แววเขินอายต่อคำพูดของตัวเอง ทางด้านคนโตกว่าก็ยังคงมีสีหน้าและแววตาเรียบนิ่งเช่นเคย แต่มุมปากกระตุกยิ้มพึงพอใจเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“เธอมันเป็นเด็กใจแตก”
“เราเสียใจนะที่ลุงว่าเราแบบนั้น” คนที่บอกว่าเสียใจไม่มีทางยิ้มกว้างได้แบบผมแน่
“เธอชอบใจต่างหากที่ฉันใช้คำพูดใจร้ายกับเธอ”
“ลุงรู้จริง ๆ ด้วยว่าเราต้องการอะไร”
เขานั่นแหละตัวดี ใบหน้าแสนสุภาพ แววตาที่ซ่อนความร้ายกาจไว้ด้านใน ใครกันแน่ที่เป็นปีศาจ...ถ้าไม่ใช่เขา
“เพราะเธอมันดูออกง่ายยังไงล่ะ”
“เอ๋? เราเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
“เลิกทำตัวใสซื่อกับฉันได้แล้ว มันไม่ได้ผลหรอก”
คุณก็เลิกห่มหนังแกะได้แล้วครับ หูเริ่มโผล่แล้วนะพ่อหมาป่า คิดจะอยู่ใต้หนังแกะไปอีกนานแค่ไหน จะอดทนต่อกันและกันได้อีกนานเท่าไหร่ ผมจะคอยดูวันที่คุณกระชากหนังปลอม ๆ ที่ห่อหุ้มร่างจริงของตัวเองออกนะครับ มันคงน่าดูไม่น้อยเลย
“แล้วแบบไหนถึงจะได้ผลล่ะ ต้องให้พูดตรง ๆ ว่าเราอยากให้ลุงทำกับเราบนโต๊ะอาหารแบบนี้เหรอ? ลุงต้องการแบบนั้นหรือเปล่าครับ?”
“ฉันต้องการให้เธอไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าว รู้ไหมว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว อย่าให้ต้องพูดซ้ำอีก”
“ครับพ่อออ รับทราบครับบบ”
ผมรับคำกวน ๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทางห้องนอนตัวเองอย่างว่าง่าย วันนี้ผมจะเป็นเด็กดี วันต่อ ๆ ไปก็ด้วย ถ้าเขาให้รางวัลเป็นจูบเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมก็จะไม่ดื้อไม่ซน นี่หัวใจยังพองโตคับอกไม่ลดลงเลย
ชอบจริง ๆ ...ชอบจูบนั้นมากจริง ๆ
ใช้เวลาในการจัดการสภาพยุ่งเหยิงของตัวเองในห้องไม่นานนัก พอกลับเข้ามาที่ครัวอีกครั้งก็เห็นว่าอาหารทุกอย่างพร้อมทานแล้ว ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งโดยที่มีโปรเฟสเซอร์เดินมานั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมกับขวดน้ำเปล่าและแก้วน้ำสองใบในมือ มื้อค่ำเริ่มต้นขึ้นไม่ต่างจากทุกวัน เขาถามเรื่องสอบบ้าง ผมถามเรื่องที่เขาไปทำมาวันนี้บ้าง มันไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น แต่เราก็มักจะทำมันอยู่บ่อยครั้งหากมีโอกาส
“ข้อสอบยากมาก เรานึกว่าตัวเองจะตายอยู่ในห้องสอบแล้ว อาจารย์วัลจีลีนไม่ปรานีนักศึกษาเลยสักนิด”
“อาจารย์วัลจีลีนท่านมักเข้มงวดแบบนี้เสมอ”
“เราว่าเธอควรจะปลง ๆ ได้แล้ว ออกข้อสอบแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ”
“แล้วทำได้ไหมล่ะ?”
“ก็...น่าจะได้อยู่ เราอ่านมันทั้งคืนไม่ได้นอนเลยนะ ทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ขอน้ำหน่อยครับลุง”
เขาหยิบขวดน้ำมาเทน้ำใส่แก้วให้ แต่ตาก็ยังมองมาที่ผมนิ่ง ๆ สลับกับมองแก้วน้ำไปด้วย ผมไม่ได้ถามหรือสงสัยว่าอีกฝ่ายมองทำไม เพราะมันก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกครั้งที่เขาทำตัวแบบนี้ อาจจะ...ชินมั้ง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันที่นี่ ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างกำลังขับเคลื่อนไปพร้อมกับเรา เหมือนฟันเฟืองที่หมุนตามการก้าวย่างของเราช้า ๆ
“งั้นก็ไม่เห็นต้องบ่น มันผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ขอบ่นหน่อยเถอะ เราเหนื่อยจริง ๆ นะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเข้าจะได้รีบไปนอน เหนื่อยนักก็พัก อีกไม่นานก็หาย”
“ไม่ล่ะ นอนทั้งวันแล้ว คืนนี้เราจะออกไปข้างนอกนะ พรุ่งนี้ก็ไม่มีสอบแล้วด้วย ว่างยาวไปทั้งอาทิตย์”
ผมปฏิเสธการนอนพักที่อีกฝ่ายเสนอ ถ้าต้องนอนมากกว่านี้เห็นทีว่าสมองผมคงไหลมารวมกันแน่ คืนนี้ต้องปล่อยผีกันหน่อย ผมไม่ได้ดื่มมานานแล้วด้วย ร่างกายโหยหาการเมาหัวราน้ำแล้ว
“ไหนบอกเหนื่อย?”
“ก็เหนื่อยไงเลยจะออกไปรีแล็กซ์ร่างกายอยู่เนี่ย...หรือลุงจะช่วยเราล่ะ เราโอเคนะ”
ผมยิ้มมุกปากขณะพูด คนตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปทานข้าวต่อคล้ายจะไม่สนใจคำพูดนั้น ก็ทุกทีแหละ เขาเคยแคร์ที่ไหน ผมจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว เมื่อก่อนผมออกไปข้างนอกแทบทุกคืน มาหยุดไปก็ตอนช่วงสอบเพราะต้องอ่านหนังสือ เรื่องอย่างว่าก็งดไปเต็ม ๆ อาทิตย์เหมือนกัน ตอนนี้มันรู้สึกว่าเริ่มจะมีความต้องการบ้างแล้ว
อาจจะเป็นเพราะจูบนั้นแหละมั้ง มันเป็นจูบที่ปลุกสัญชาตญาณดิบเถื่อนในตัวได้ดีทีเดียว
“ไม่สนใจหน่อยเหรอ?”
“.....”
“งั้นเราไปทำกับคนอื่นก็ได้ ไม่ง้อหรอก”
พูดไปหัวเราะไปก่อนจะหยิบจานเปล่าของตัวเองไปล้าง เสียงพูดเจื้อยแจ้วของผมยังดังเรื่อย ๆ ภายในครัวขนาดกำลังพอดีนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าคำพูดอวดดีของผมมันก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้นแหละ
‘ไปทำกับคนอื่นอะไรกัน แค่ลบสัมผัสของคุณผมยังทำไมได้เลยโปรเฟสเซอร์’
คุณได้ฝัง...ตัวตนของคุณลงในใจของผมอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
คืนนี้ผมอยากเป็นอิสระ อิสระจากทุกสิ่ง จากการเอาแต่คิดถึงโปรเฟสเซอร์แก่ ๆ ที่บ้าน ลืมเรื่องที่น่าปวดหัวทิ้งไปก่อน เราจะดื่มด่ำกับแสงสีเสียงในยามราตรี ผมต้องการให้มันเป็นแบบนั้น และเมื่องานเลี้ยงเลิกรา ผมจะกลับรังของตัวเองโดยทิ้งหิ่งห้อยแสนสวยทุกตัวไว้ด้านหลัง
เพราะผมไม่สามารถหยิบหิ่งห้อยเหล่านั้นกลับไปได้เลยสักตัว
“มาคนเดียวเหรอครับหนุ่มน้อย”
เสียงและสัมผัสจากฝ่ามือเย็นชืดทำให้ต้องวางเครื่องดื่มในมือแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ ผมจำน้ำเสียงและสัมผัสของเขาได้ มันไม่ใช่สัมผัสที่อ่อนหวาน แต่มันเป็นสัมผัสที่ทำให้สบายใจ
“ผมรู้แล้วว่าหลายอาทิตย์ที่ไม่ได้มาเหยียบที่นี่ ผมคิดถึงอะไรมากที่สุด”
คนฟังเลิกคิ้วเล็ก ๆ ที่มุมปากประดับรอยยิ้มพราวเสน่ห์อย่างคนที่รู้ว่าทำแบบไหนตัวเองถึงจะดูดีที่สุด ซึ่งผมว่าเขาเลือกได้ดีกับท่าทางแบบนี้ เพราะมันทำให้เขาดูฮอตสุด ๆ ไปเลย
“แล้วมันคืออะไรล่ะครับ คุณรณ”
“โกหกก่อนสิว่าคุณไม่รู้” รอยยิ้มแสนซนที่ตั้งใจแสดงออกไปช่างน่ารักจนคนมองอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“หึ ๆ ผมไม่รู้ครับ”
“ผมคิดถึงคุณ”
“คำนั้นควรเป็นผมที่ต้องพูดนะ”
พูดจบก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดเบา ๆ ผมซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดนั้นไม่นานก่อนที่เขาจะคลายมันลงแล้วก้มหน้ามาประทับริมฝีปากลงบนศีรษะย้ำ ๆ อยู่หลายหน ผมหัวเราะน้อย ๆ กับท่าทางแบบนั้นของเขา มันเหมือนว่าผมเป็นน้องชายเขาอย่างนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่เรารู้กันดีว่าพี่กับน้องจะไม่นอนด้วยกันเด็ดขาด แต่ครั้งหนึ่งเราสองคนเคยทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้ว ถึงแม้มันจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ไม่มากพอให้เปลี่ยนความจริงข้อนั้นไปได้
“คุณดื่มวอดกาอีกแล้ว มันเป็นเครื่องดื่มที่คุณโปรดปรานอย่างนั้นใช่ไหม?”
“เพราะผมไม่ชอบให้ใครผสมเครื่องดื่มให้ต่างหาก”
ผมไม่ได้โกหก การที่จะต้องดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ในที่อโคจรมันเสี่ยงสำหรับตัวผมเองแค่ไหน เรื่องนี้ผมรู้ดี ผมเคยถูกวางยาปลุกเซ็กซ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็เพราะรับเครื่องดื่มจากคนไปทั่วนี่แหละ หลังจากนั้นก็ระวังในการรับเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้ามากขึ้น อ้อ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้คนที่กล้าวางยาผมถูกจัดการไปแล้วเรียบร้อย ส่วนผมก็แค่หิ้วใครสักคนกลับไปด้วย สนุกกันจนถึงเช้า แม้ว่าฤทธิ์ยาโง่เง่านั่นจะหมดไปนานแล้วก็ตาม
“แม้กระทั่งผม?”
“ยกเว้นคุณ” นี่ก็ไม่ได้โกหกเช่นกัน มีแค่คนตรงหน้าที่ผมไว้ใจให้ผสมเครื่องดื่มให้ เหตุผลแรกคือถูกใจรสชาติ เหตุผลที่สองคือถูกใจตัวบุคคล ก็คุณโชฉลาดพูด อยู่กับเขาแล้วรู้สึกสบายใจดี
“คุณกำลังอ้อนผมอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”
“แล้วมันไม่ได้ผลเหรอครับ?”
เขาสบตากับผมยิ้ม ๆ แววตาของอีกฝ่ายดูจะสนุกสนานที่ได้คุยหยอกล้อกับผม ผมเองก็ชอบที่ได้คุยกับเขานะ คุณโชเป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัด เขาเปิดเผย ไม่ละลาบละล้วง และมือเร็วแบบรู้เวล่ำเวลา เขาเป็นผู้ชายที่จัดอยู่ในหมวดไม่น่าเบื่อสำหรับผม และเป็นผู้ชายส่วนน้อยจริง ๆ ที่ผมยอมคุยด้วยโดยที่ไม่มีเรื่องอย่างว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในทุก ๆ บทสนทนา
“คุณก็รู้ว่าคุณทำมันสำเร็จเสมอคนสวย”
“เพราะคุณหลงผมแล้วต่างหาก”
“ฮะ ๆ ใช่ ข้อนี้ผมไม่เถียง ก็คุณออกจะน่าหลงใหลขนาดนี้” มือแกร่งยกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าผมแผ่วเบา ผมไม่นึกรังเกียจสัมผัสของเขา เพียงแต่สัมผัสของใครบางคนมันเด่นชัดจนเกินไป อา...ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากนึกถึงเลยแท้ ๆ
“ผมอยากดื่มเครื่องดื่มจากคุณแล้ว ช่วยทำเมนูพิเศษให้หน่อยได้ไหมครับคุณโช”
“รับทราบครับคุณหนู หึ ๆ”
ผมขำกับสรรพนามหยอกเย้าของอีกฝ่าย มันเป็นเรื่องตลกร้ายนะ คุณหนูอะไรกัน อย่างผมน่ะมันต้องนายน้อยถึงจะถูก ผมไม่ได้อ่อนหวานอ้อนแอ้นขนาดนั้นเสียหน่อย ผมมันก็แค่คนคนหนึ่งที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกันเองมากกว่าสตรีเพศเท่านั้น
คุณโชเดินหลบเข้าไปหลังเคาน์เตอร์บาร์ เขามองผมยิ้ม ๆ โดยที่ผมเองก็กำลังส่งยิ้มให้เขาเช่นกัน เรายิ้มขำให้กันไปมาเหมือนมีเรื่องตลกให้ทำแบบนั้น คุณโชพับแขนเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าของเขาทีละข้างด้วยท่วงท่าที่สาว ๆ เห็นเป็นต้องหลงหัวปักหัวปำเป็นแน่ ผมก็แอบรู้สึกเสียดายเขานิด ๆ เหมือนกันนะ บางครั้งก็แอบสงสัยว่าถ้าไม่มีโปรเฟสเซอร์...มันจะเป็นเขาได้ไหม จะเป็นคุณโชได้หรือเปล่า ในตอนนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งสับสนอยู่แบบนี้
“คุณอยากเมาแค่ไหนครับ?”
เขาถามแต่มือก็หยิบจับเครื่องมืออย่างคล่องแคล่วไปด้วย ผมมองการกระทำของเขาอย่างสนใจ แต่สุดท้ายก็ยอมคิดและตอบคำถามกลับไปสั้น ๆ
“ผมไม่อยากเมาครับ”
“หมายถึงไม่อยากดื่ม?”
“ผมอยากดื่ม แต่ไม่อยากเมาน่ะ”
“เป็นโจทย์ที่ยากมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่คุณผมคงโยนแก้วใส่ไปแล้ว”
“พูดเป็นเล่นไป ฮะ ๆ”
เขายักไหล่พอเป็นพิธีแล้วหันกลับไปเริ่มผสมเครื่องดื่มต่อ ผมนั่งมองเขาเงียบ ๆ ไม่ได้คิดอยากจะพูดอะไรนัก ผมอยากมาปลดปล่อยจริง ๆ อยากเป็นอิสระจากอะไรก็ตามที่มันหนัก ๆ อยู่ในอก ผมแค่อยากพักสักเดี๋ยว ดีขึ้นแล้วค่อยก้าวต่อไปข้างหน้า ก็เท่านั้น
“คุณไม่ชวนเขามาด้วย” คำถามถูกส่งมาจากบาร์เทนเดอร์สุดหล่อโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องไหนเป็นพิเศษ แต่ไม่แน่ใจว่าทำไมหัวข้อถึงมาตกอยู่ที่เรื่องนี้ได้
“หืม?”
“คนที่คุณเอาแต่คิดถึงน่ะ ทำไมไม่ชวนเขามากับคุณล่ะ”
“อ้อ...” ความคิดที่ขุ่นมัวกำลังค่อย ๆ ตกตะกอน เรียงร้อยถ้อยคำอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นปกติที่สุด
“ไม่รู้สิ เขาไม่ชอบที่ที่ผมอยู่นักหรอก สถานที่อโคจรกับคนคนนั้น...ดูจะไม่เข้ากันเลยสักนิด”
โปรเฟสเซอร์กับผับ? มันใช่ของคู่กันที่ไหนล่ะ
“เขาไม่ชอบที่คุณเป็น?”
“ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกครับ เขาจะชอบไม่ชอบแบบไหนในตัวผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
ทำไมน่ะเหรอ...? อาจจะเป็นเหตุผลนี้ก็ได้
“เขาไม่จำเป็นต้องชอบผมก็ได้ แค่ผมได้ชอบเขาก็พอ อะไรทำนองนั้นมั้งครับ” ผมยิ้มเมื่อตอบคำถามนั้นจบ รู้สึกว่ามันน่าหัวเราะที่คนอย่างผมคิดอะไรตลก ๆ แบบนี้เป็นด้วย
“คุณคงชอบเขามากเลยนะครับ เป็นผู้ชายที่โชคดีจริง ๆ ด้วยสินะคนคนนั้น”
“ผมชอบร่างกายเขามากจริง ๆ และนิสัยเขาก็น่าค้นหา ผมว่าผมคงจะชอบในส่วนนั้นมากกว่าเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบชู้สาวน่ะครับ”
“คุณแน่ใจเหรอครับเรื่องนั้น?”
“อะ...เอ๋?”
ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมถึงถามว่าแน่ใจไหม ก็ในเมื่อ...ในเมื่อมันก็ต้องเป็นเหตุผลนั้นเหตุผลเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือไง...
“ที่ว่าไม่ใช่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ น่ะ”
“ก็...”
“ไม่ต้องตอบผมหรอกครับ เก็บเอาไว้ตอบตัวเองดีกว่า”
“.....”
“เครื่องดื่มสำหรับคุณครับคุณหนู”
ผมที่เผลอตัวเหม่ออีกครั้งจำเป็นต้องหันกลับมาส่งยิ้มให้กับบาร์เทนเดอร์สุดฮอตที่เป็นฝ่ายผสมเครื่องดื่มให้ เลื่อนระดับสายตาลงมาตามมือขาวของคนที่ยื่นแก้วทรงสูงวางลงตรงหน้า พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วสงสัยในทันที
ผมหันกลับไปมองเขาสลับกับแก้วเครื่องดื่มนั้นแล้วก็ต้องหลุดขำออกมาเบา ๆ เป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนไปแล้วไม่ทราบ แต่นี่เขาซีเรียสหรือเปล่า เอาจริงเหรอ?
“เตกีล่า?”
“โจทย์คุณยากไปครับ”
“ฮะ ๆ แต่เตกีล่าเนี่ยนะ มันดู...คุณหนูไปไหม?”
“ดีแค่ไหนที่ผมไม่เสิร์ฟน้ำอัดลมให้คุณ โจทย์อยากดื่มแต่ไม่อยากเมา ผมคิดออกแค่น้ำอัดลมจริง ๆ นะคุณคนสวย”
“ดีใจจริง ๆ ที่ท้ายที่สุดแล้วคุณเลือกเตกีล่า”
ผมหัวเราะขำกับสีหน้าและการกระทำของเขา เข้าใจเลือกนะ ดื่มทั้งคืนก็ไม่มีทางเมาแน่ เขาหันกลับไปผสมเครื่องดื่มให้ตัวเองเช่นกัน เราคุยกันเรื่อย ๆ โดยแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรมากนัก บ้างเขาก็หยอกล้อให้ผมเขินเล่น ๆ บ้างก็ปล่อยมุกตลกให้รู้สึกอารมณ์ดี จริง ๆ คุณโชก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เขาฮีลคนรอบข้างได้ด้วยความสามารถในการยิ้มของเขา
“ทำไมคุณโชถึงชื่อโชล่ะครับ?”
ผมเลือกคำถามที่ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเรามันกลับมาเงียบอีกครั้ง และผมไม่ชินกับมันนัก
“จริง ๆ ผมชื่อเต็มว่าพลอยโชว์ครับ”
“ถามจริง?”
“จริง”
เฮ้! นี่ตกใจจริง ๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าชื่อเขาสะกดด้วยโชว์นี้ ก็นึกว่าชื่อโชเฉย ๆ ที่ไหนได้คือ Show ที่เป็นการแสดง เป็นชื่อที่แปลกมาก ไม่คิดว่าจะมีคนชื่อนี้เลย มันเก๋ดีนะ ผมชอบจริง ๆ
“ชื่อคุณแปลกดีนะครับ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“ใคร ๆ ก็บอกแบบนั้นครับ ผมมีน้องสาวอีกคนชื่อเพชรเจีย แปลกกว่าว่าไหม”
“คุณพ่อคุณแม่เข้าใจตั้งชื่อนะครับ ผมว่ามันเป็นชื่อที่ดีทีเดียว”
“เป็นคุณยายครับที่ตั้งให้ คุณพ่อกับคุณแม่ผมท่านไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่” รอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อพูดถึงญาติผู้ใหญ่ทำให้ชายหนุ่มดูน่าคบหามากขึ้น เฮ้อ มองหน้าคุณพลอยโชว์ทีไรแล้วอดจะเสียดายไม่ได้ทุกที บุญมีแต่กรรมบังจริง ๆ รณเอ๊ย
“อ้อ คุณยายคุณพลอยโชว์นี่น่ารักดีนะครับ ตั้งชื่อให้หลานเสียคล้องจองกันเลย”
“ท่านน่ารักจริง ๆ ครับ ไว้วันหลังคุณรณไปพบท่านกับผมไหมล่ะครับ ผมเชื่อว่าคุณต้องตกหลุมรักหญิงชราแบบคุณยายของผมแน่ ๆ”
“ขอผ่านแล้วกันครับ ผมเข้าหาผู้ใหญ่ได้ไม่ค่อยดีนัก กลัวจะไปทำตัวเสียมารยาทเข้า”
“ไม่หรอกครับ คุณรณน่ารัก คุณยายผมจะชอบคุณเหมือนที่ผมชอบอย่างแน่นอน”
ผมยิ้มให้กับคำพูดหวาน ๆ ของบาร์เทนเดอร์จำเป็นพลางส่ายหน้าอย่างนับถือความลื่นไหลของเขา เป็นเจ้าของผับที่พูดจาอ้อนลูกค้าได้น่าหมั่นไส้ชะมัด ผมเปลี่ยนเรื่องคุยให้ไกลตัวผู้ใหญ่อีกครั้งเพราะไม่สะดวกจะไปพบคุณยายเขาจริง ๆ ผมเข้ากับผู้ใหญ่ไม่เก่ง และไม่ได้เป็นคนมีสัมมาคารวะขนาดที่จะไปคุยกับคนรุ่นยายโดยที่จะไม่ถูกอีกฝ่ายตำหนิเอาได้ ผมเป็นคนประเภทนั้น
“ดึกแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน” ผมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนาฬิกาบอกเวลาว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว
“หืม? นี่พึ่งจะเที่ยงคืนเองนะครับ”
“นั่นสิครับ แปลกมากเลยใช่ไหม?”
ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วเตรียมตัวลุกขึ้นยืน กำลังจะขอตัวกลับอีกครั้งแต่เขาก็ยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ตรงมาทางนี้ ผมมองการกระทำของเขางง ๆ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรสักคำก็ถูกดึงแขนให้เดินตามไปเสียก่อน
คิดจะทำอะไรของเขา?
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพลอยโชว์?”
“เรียกโชเหมือนเดิมก็ได้ครับ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนั้นหรอก”
“ผมชอบชื่อพลอยโชว์มากกว่านี่ครับ แล้วตกลงเรากำลังจะไปไหนกันครับเนี่ย?”
ถามเพราะเราเดินมาจนถึงลานจอดรถกันแล้ว โชคดีที่วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา พวกการ์ดเป็นคนมารับเลยไม่จำเป็นต้องห่วงรถของตัวเอง แต่ทว่าคำถามที่ผมถามไปกลับได้คำตอบเป็นการเปิดประตูรถด้านข้างคนขับให้แทน เหมือนบอกเป็นนัย ๆ ว่าให้ขึ้นไปนั่งแต่โดยดี
“คุณพลอยโชว์ คืนนี้ผมอยากกลับไปนอนที่บ้านครับ”
“แน่นอนครับ แต่ผมจะเป็นคนไปส่งคุณเอง ขึ้นรถสิครับ”
“ไม่อยากรบกวนเลยครับ”
“ผมเต็มใจมาก ๆ ต่างหาก ไปเถอะครับ ผมแค่อยากแน่ใจว่าคุณกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยจริง ๆ”
ผมมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ แต่ก็ต้องยอมแพ้ต่อสายตาเว้าวอนของเขา และยอมก้าวขึ้นไปนั่งบนรถโดยมีเขาเป็นคนเปิดและปิดประตูให้ จะว่าไปแล้วก็ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนปฏิบัติแบบนี้กับผม ถ้าไม่ใช่พวกการ์ดแล้วก็แทบจะไม่มีเลย ผมจำเป็นต้องมีคนเปิดประตูรถให้ที่ไหนกันล่ะ ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งเลยนะ ทำเรื่องพวกนี้เองได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
“คุณรณพักที่คอนโด Q ใช่ไหมครับ?”
“ผมย้ายออกมาแล้วน่ะครับ ตอนนี้อยู่ที่หมู่บ้าน H”
“อ้อ ย้ายมาอยู่กับผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า?”
“ก็...ครับ ประมาณนั้น”
“แอบอิจฉาแฮะ ผมก็อยากให้คุณย้ายมาอยู่กับผมบ้างเหมือนกัน”
ผมหันไปมองคนขับยิ้ม ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองแสงไฟข้างทางเหมือนเดิม กรุงเทพฯ ในเวลานี้เป็นภาพที่สวยงามและน่าหลงใหลที่สุด ผมชอบบรรยากาศยามค่ำคืนของมันจริง ๆ
“อย่าล้อเล่นสิครับคุณพลอยโชว์”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ”
“ผีเสื้อ”
“ครับ?”
“ผีเสื้อน่ะครับ คุณชอบมันหรือเปล่า?”
ถามโดยที่ไม่ได้หันไปมองคนที่กำลังคุยด้วยเลยด้วยซ้ำ ผมวาดนิ้วไปตามกระจกรถเป็นรูปผีเสื้อในจินตนาการช้า ๆ เอนศีรษะพิงกระจกรถเอาไว้แบบนั้นแล้วยกยิ้มบางแต้มริมฝีปากตลอดเวลา ผมชอบผีเสื้อนะ
“ก็ไม่ได้เกลียดเป็นพิเศษนะครับ ถามทำไมเหรอ?”
“แล้วคุณรู้จักผีเสื้อราตรีลูน่าไหม?”
“คิดว่าไม่นะครับ ไม่รู้จักผีเสื้ออะไรเลย” สำหรับคนที่อยู่แต่กับเหล้าและผู้คนก็ไม่แปลกใจนักที่จะไม่รู้จัก ที่น่าแปลกใจนั่นคือผมต่างหาก คนที่ไม่ควรรู้จักสัตว์สักชนิดบนโลกนี้ควรเป็นผมสิ แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในประเทศนี้ผมยังไม่เคยไปเลย โลกแคบก็แบบนี้
“ผีเสื้อราตรีลูน่า เป็นสัตว์ที่งดงามมากเลยนะ ปีกของมันเป็นสีเขียวเหลือง สวยงามมากทีเดียว”
“คุณดูจะชอบมันนะ”
“ครับ ผมชอบ แล้วคุณพลอยโชว์ทราบหรือเปล่าว่ามันไม่มีปากด้วยนะ”
“หืม? ถ้าอย่างนั้นมันจะกินอาหารยังไงล่ะครับ คงลำบากน่าดูเลย” ผมหัวเราะน้อยๆ กับคำตอบของเขาก่อนจะพูดต่อ
“ครับ มันก็อาจจะลำบาก แต่เพราะมันไม่มีปาก มันเลยไม่จำเป็นต้องกินอาหารไง”
“อ๋อ แปลกนะครับ ถ้าไม่กินอะไรแล้วจะไม่ตายเหรอ หรือมันอยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงอะไรแบบนั้นหรือเปล่า?”
คำถามที่ไม่ได้มีเจตนากวนประสาทแน่ ๆ ของเขาทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ผมดูออกว่าอีกฝ่ายสงสัยและคิดแบบนั้นจริง ๆ ไม่แปลกหรอกครับที่ทุกคนจะงง เพราะครั้งแรกผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม แต่เมื่อรู้คำตอบก็ถึงกับร้องอ๋อทันที เหตุผลที่มันไม่มีปาก...เหตุผลที่มันเกิดมา
“มันมีอายุขัยที่สั้นน่ะครับ ผีเสื้อราตรีพันธุ์นี้มีชีวิตอยู่ได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น”
“แบบนั้นก็แย่เลยนะครับ ทั้ง ๆ ที่สวยงามขนาดนั้นแท้ ๆ แต่กลับมีชีวิตที่สั้นจนยากต่อการครอบครอง”
“ครับ แต่มันก็มีเหตุผลของมันนะครับที่ผีเสื้อราตรีลูน่าไม่มีปาก”
“ยังไงครับ?”
สายตาของผมตกอยู่ในสถานที่ที่ไกลแสนไกล เรื่องราวนับร้อยนับพันที่เคยผ่านมาค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นในความทรงจำ เรื่องราวที่อยากจะลืม เรื่องราวที่แสนชิงชัง
“ผีเสื้อราตรีลูน่ามีชีวิตหนึ่งอาทิตย์เพื่อสืบพันธุ์อย่างเดียวน่ะครับ”
“.....”
“มันไม่จำเป็นต้องกินอาหาร เพราะหน้าที่ของมันก็มีแค่ผสมพันธุ์และวางไข่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผีเสื้อราตรีลูน่าถึงไม่มีปาก”
ไม่ต้องดื่มกิน เพียงแค่เกิดมาทำหน้าที่ของตัวเอง สืบพันธุ์และวางไข่ ไม่ช้าไม่เร็วก็รอวันตายจากโลกนี้ไป วงจรชีวิตที่แสนสั้น วงจรที่น่ารังเกียจ
“เพราะหลังจากมันทำหน้าที่ผสมพันธุ์ของมันเสร็จ...อายุขัยของมันก็จะหมดลงไปด้วยเช่นกัน”
“คุณรณ...”
“ผมว่าผีเสื้อราตรีลูน่าน่ะ...คล้ายกับผมมากเลยล่ะครับ”
“.....”
เพราะแบบนั้นผมจึงชอบมัน อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวในโลกที่มีชะตากรรมแบบนี้ อย่างน้อยที่สุด ผีเสื้อราตรีลูน่าก็จะตายไปพร้อมกับผมเช่นกัน ผมคงไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว
ตลอดทางเราไม่ได้คุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น ผมบอกลาและขอบคุณเขาสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในบ้านทันที ไฟในห้องนั่งเล่นถูกปิดไปแล้ว แต่แสงจากทางเดินที่มุ่งตรงไปยังห้องนอนสองห้องยังเปิดอยู่ ผมเดินตามแสงไฟไปอย่างไม่เร่งรีบ เปิดประตูเข้าไปในห้องที่มีประตูสีขาว จัดการชำระล้างร่างกายและใช้เวลาไม่นานมากกับกิจกรรมนี้ ผมออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสบายตัว เดินไปที่ประตูบานเดิมและเปิดมันออกอีกครั้ง
สองเท้าก้าวเข้าไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน ประตูสีดำสนิทดูน่าค้นหา ลองหมุนลูกบิดประตูเบา ๆ ก็พบว่ามันไม่ได้ล็อก ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก หลังบานประตูมีร่างสูงที่ผมคิดถึงนอนหลับสนิทบนเตียงกว้างภายในห้อง ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจวางเข่าลงบนเตียงข้างหนึ่งแล้วค่อย ๆ คลานขึ้นไปบนเตียงเดียวกัน
กางแขนคร่อมร่างอันสมส่วนของคนใต้ร่างเอาไว้ ลอบมองพินิจใบหน้าคมเข้มติดจะเย็นชาที่ผมหลงใหลมันจนแทบบ้า ยิ้มนิด ๆ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา และเพราะแบบนั้นผมจึงค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าของคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะค่อย ๆ ประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากเรียวที่ผมชื่นชอบมันมาโดยตลอด
ผมไม่ได้รุกล้ำไปมากกว่าการเอาปากแตะปาก ผมแค่อยากจูบเขาก่อนนอนเท่านั้น เมื่อพอใจแล้วจึงล้มตัวลงนอนข้างกายอีกฝ่าย ยกแขนขึ้นมาโอบกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างรักใคร่
“ฝันเห็นผมด้วยนะครับ โปรเฟสเซอร์”
ผมชอบเขา...ชอบโดยที่แทบไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย
ในช่วงเวลาที่ต่างกันไม่นานหลังจากที่เด็กหนุ่มเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ ชายหนุ่มที่นอนนิ่งให้คนตัวเล็กกว่าตนกอดค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาในความมืด เขาไม่ได้หลับ หรือจะพูดให้ถูกคือรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ประตูห้องถูกเปิดออกแล้ว
นนนไม่ใช่คนประมาทเลินเล่อ ทุกครั้งเขามักจะล็อกห้องขณะนอนหลับพักผ่อนเสมอ แต่มันกลับไม่ใช่ในครั้งนี้ โปรเฟสเซอร์หนุ่มตั้งใจลืมมันเพราะเหตุผลบางอย่างต่างหาก
เป็นเหตุผลที่กำลังนอนหลับตาพริ้มข้าง ๆ กายแกร่งนั่นเอง
เขาพลิกตัวช้า ๆ เพราะกลัวจะทำให้ร่างบางตื่น แต่เด็กน้อยที่หลับสนิทก็เพียงแค่ขยับกายเบียดชิดเพื่อเรียกหาความอบอุ่นจากร่างหนาเท่านั้น ใบหน้าคมยกยิ้มเอ็นดูคนที่กอดเอวตัวเองเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนที่ตัวเขาเองก็เลือกที่จะคว้าร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมแขนเช่นกัน
นนนไม่อยากจะรู้เหตุผลของการกระทำที่มันเกิดขึ้น เขาไม่อยากจะสนใจความถูกต้องอะไรก็ตามที่มันค้ำคออยู่ เขารู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนี้มีกลิ่นตัวที่หอม มันเป็นกลิ่นของสบู่ เส้นผมนุ่มมีกลิ่นของแชมพูติดอยู่จาง ๆ ร่างบางนุ่มนิ่มไม่ต่างจากหมอนข้าง นี่คือทั้งหมดที่เขารู้
และเขาจะจมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง โดยที่ข้างกายมีเด็กน้อยที่เขาจะโอบกอดเอาไว้ไปจนกว่าจะถึงเช้า
พรุ่งนี้...พรุ่งนี้เขาจะกลับไปเป็นคนเดิม คนที่ใช้สมองไตร่ตรองในทุก ๆ การกระทำ แต่คืนนี้...คืนนี้เขาจะทำตามที่ใจตัวเองต้องการบ้าง แค่คืนนี้
แค่คืนเดียว...
หายไปนานมากกกกกกกกกกกกก การแก้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆค่ะ มีคนมาให้กำลังใจเราเยอะเลย ขอบคุณมากๆ นะคะ เราจะพยายามให้มากขึ้นค่ะ ในส่วนของเนื้อหาจะเริ่มเห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วใช่ไหมคะ แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ อย่างที่บอกว่าเราแจ้งไว้แล้วว่าเรื่องนี้มันผิดจรรยาบรรณครู 100% เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีเลย และเราไม่ต้องการให้ Romanticize กับความสัมพันธ์นี้ เราเลยเขียนให้โปรเฟสเซอร์ต้องลงมือทำอะไรที่ถูกต้องได้แล้ว ในตอนถัดๆ ไปจะได้เห็นความตั้งใจและการกระทำของเขาได้เองค่ะ อย่าเพิ่งด่าเรานะคะ เราไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้ค่ะ อยากให้ใจเย็น ๆ เพราะก็มีบางคนจิกเปียเราในทวิตอยู่บ้าง555555555 ถ้าชอบไม่ชอบยังไงสามารถคอมเมนต์และสกรีมแท็กให้เราได้นะคะ เราชอบอ่านค่ะ ฝากแท็กด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุณลุงก็แอบมีใจอ่ะ
แต่คุณบาร์เทนเดอร์ก็ดูรู้อะไรดีๆนะเนี่ย
ปล.อยากเห็นเมจคุณบาร์เทนเดอร์จังค่ะ หล่อมากมั้ยอ่ะ555555