ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    PSYCOCITY...นครพลังจิต

    ลำดับตอนที่ #3 : พลังจิต

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 57


    บทที่ 3

    พลังจิต

     

                    จ๊อกกกก! เสียงท้องร้องของแก้วกาญดังขึ้น บดินทร์ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงไปกุมท้องหัวเราะอย่างไม่สนฝุ่นตามพื้น

     

                    ฮ่า ฮ่า ฮ่า แก้วกาญที่ได้ยินบดินทร์หัวเราะจะเป็นจะตาย ด้วยความหมั่นไส้แก้วกาญจึงเดินไปหาบดินทร์ก่อนจะใช้ฝ่ามือสวยๆของตัวเองฟาดกลางแผ่นหลังของบดินทร์แบบไม่ออมแรง

     

                    ป๊าบบบบ!

     

                    โอ๊ยยย! แก้วเธอตีฉันทำไมเนี่ย จากที่กุมท้องกลายมาเป็นลูบหลังแทน หางตาของบดินทร์มีหยดน้ำใสๆออกมาเล็กน้อยเพราะความเจ็บ

     

                    ใครใช้ให้ดินมาหัวเราะแก้วละ เหอะ!” แก้วกาญสะบัดหน้าที่แดงระเรื่อใส่บดินทร์ แล้วนั่งลงกอดอก

     

                    เออๆ ขอโทษก็ได้งั้นเราออกไปหาอะไรกินกัน เมื่อบดินทร์เห็นว่าแก้วกาญเหมือนจะงอนจริงๆ จึงเลิกแกล้ง ก่อนจะจับมือแก้วกาญเพื่อเป็นหลักให้แก้วกาญลุกจากพื้นง่ายๆ ตอนแรกดูเหมือนแก้วกาญจะปฏิเสธอยู่แต่เสียงท้องร้องที่ดังขึ้นอีกทีก็ต้องยอมลุกขึ้น แม้จะอายๆบดินทร์อยู่บ้างเพราะเห็นบดินทร์ยิ้มมุมปากเหมือนจะล้อเลียนเธอ

     

                    ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินลงบันไดที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด อยู่ๆบดินทร์ก็เรียกแก้วกาญขึ้น นี่แก้ว

     

                    ว่า? แก้วกาญหันไปตามเสียงเรียกเพราะตอนนี้เธอนำหน้าบดินทร์อยู่

     

                    เธอ... บดินทร์พูดแค่นั้นแล้วก็หยุดไป เรียกสีหน้าสงสัยของแก้วกาญได้เป็นอย่างดี เธออะไร? บดินทรไม่ตอบแต่แทรกตัวแก้วกาญมาเดินนำหน้าแทน เธอ...ไม่ปวดฉี่แล้วเหรอ แก้วกาญหน้าแดง ตาบ้า! ล้ออยู่ได้ตอนแรกไม่ปวดแล้วพอนายทักขึ้นนี่แหละปวดเลย!” แก้วกาญโวยวายใส่บดินทร์ ที่ตอนนี้ออกตัววิ่งไปยังประตูบ้านก่อนเพื่อหลบให้พ้นระยะโจมตีของเธอ

     

                    แก้วกาญเดินกระฟัดกระเฟียดไปหาบดินทร์ที่กอดอกยืนพิงประตูที่มีฝุ่นเกาะเช่นเดียวกับตัวบ้าน บดินทร์เห็นหน้าแก้วกาญหงิกมาแต่ไกลจึงกล่าวขึ้น หน้าบูดมาเชียว ฉันล้อเล่นน่า บดินทร์ว่าจบก็ลูบหัวแก้วกาญอย่างลืมตัว

     

                    แก้วกาญที่ได้รับสัมผัสแปลกใหม่ถึงกับมองบดินทร์ด้วยความสงสัย บดินทร์ที่รู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งไม่สมควรลงไปก็รีบชักมือกลับทันที เพื่อหลีกหนีจากเหตุการณ์นี้บดินทร์จึงตัดสินใจเปิดประตูบ้านออก

     

                    แอ๊ดดดด!

     

                    แสงสว่างแทรกเข้ามา ปรากฏให้เห็นเป็นผู้คนเดินกันให้วุ่น บ้างก็ใส่ผ้าคลุมที่ขาดวิ่น บ้างก็ใส่เสื้อที่มีลอยปะเต็มไปหมด เหล่าเด็กๆที่วิ่งเล่นกันตามถนนก็มอมแมมจนเหมือนไปคลุกดินโคลนมา ผู้คนบางคนที่ทำงานอยู่ละแวกนั้นหรือเป็นพวกที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมองมาทางบดินทร์และแก้วกาญด้วยความสงสัยเพราะทั้งคู่ก้าวเดินออกมาจากบ้านที่ร้างคนมานับยี่สิบปี แต่เมื่อไม่ใช่เรื่องที่ควรจะใส่ใจจึงหันกลับไปสนใจสิ่งที่ทำต่อ บดินทร์มองหน้าแก้วกาญอย่างไม่เข้าใจ

     

                    ทำไมผู้คนที่นี้ถึงแต่งตัวมอซอจังอ่ะดิน แก้วกาญถามบดินทร์ที่ยืนทำหน้างงอยู่

     

                    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่าทางพวกผู้นำจะบริหารประเทศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกประชาชนถึงอยู่ในสภาพนี้ บดินทร์ตอบแก้วกาญโดยที่ตายังคงสำรวจสภาพแวดล้อมของโลกนี้ อาคารแต่ละหลังล้วนทำมาจากไม้เก่าๆ บางหลังก็ผุพังไปตามกาลเวลา บางหลังที่อยู่ในสภาพดีหน่อยตัวไม้ที่เอามาสร้างก็ไม่เงาอย่างที่ควรเป็น บางหลังถึงกับหมองเลยก็มี แสดงว่าไม่ใช่ไม้ชั้นดีเท่าไหร่

     

                    แล้วอย่างนี้ฉันจะได้ฉี่หรือเปล่าเนี่ย คนยิ่งหิวๆอยู่ด้วย แก้วกาญบ่นไม่จริงจังนักราวกับปลงไปเสียแล้วว่าไม่ได้ฉี่ไม่ได้กินข้าวแน่

     

                    ถ้าอั้นไม่ไหวก็ตามข้างทางละกัน บดินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะกวนประสาทสุดๆ แถมมองแก้วกาญด้วยหางตาอย่างล้อเลียน

     

                    ฉันไม่ใช่หมานะ! เลิกกวนประสาทสักวันจะตายไหมฮ่ะ!” แก้วกาญตอนนี้โกรธบดินทร์เข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตะคอกออกมาแลวกอดอกเดินหนีบดินทร์ไปโดยไม่สนเลยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ๆคุ้นเคย

     

                    สงสัยเราจะแกล้งหนักไปมั้ง บดินทร์บ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะวิ่งตามแก้วไป แก้วเดี๋ยวก็หลงหรอก! นี่ไม่ใช่โลกที่เราอยู่นะ!” บดินทร์พูดขึ้นเมื่อเห็นหลังแก้วกาญอยู่ไวๆ ในขณะที่บดินทร์กำลังจะวิ่งไปหาแก้วนั้นก็มีร่างเล็กๆของเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้า

     

                    พลั๊ก!

     

                    บดินทร์ล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะไม่ทันตั้งตัว ส่วนเด็กที่ชนบดินทร์นั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณ 6 ขวบท่าทางมอมแมมผมตัดสั้น นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นเพราะเข่าเป็นแผล

     

                    แง แง แง เด็กผู้ชายยังคงร้องไห้ต่อไปบดินทร์ที่กำลังจะลุกขึ้นเพื่อไล่ตามแก้วกาญต่อนั้นก็ต้องชะงักแล้วตรงเข้าไปดูเด็กแทน เพราะอะไรน่ะเหรอ! ก็เพราะผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นนะสิมองเขาราวกับว่าเขาเป็นคนเลวที่ชอบแกล้งเด็ก บดินทร์จึงจำใจลุกขึ้นไปดูเด็กบ้างเพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

     

                    เป็นอะไรไหมครับ บดินทร์ก้มหน้าคุยกับเด็กผู้ชายที่ชนตนเองล้ม

     

                    หนูเจ็บ...ฮือออ เด็กชายบอกแค่นั้นก็ร้องไห้จ้าต่อ แต่มือก็ชี้ไปยังลอยแผลถลอก บดินทร์ส่ายหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า ไหนพี่ดูสิ เล่นวิ่งมาไม่ดูแบบนี้ก็เกิดอุบัติเหตุสิ บดินทร์ดูแผลถลอกของเด็กน้อยที่มีเลือดไหลออกหน่อยๆ แผลนิดเดียวก็ร้องจะเป็นจะตาย เด็กหนอเด็ก

     

                    เฮ้อ...โอเคอย่างนั้นอยู่เฉยๆ เดี๋ยวพี่รักษาให้ แต่ต้องหยุดร้องไห้ก่อน บดินทร์บอกเด็กให้หยุดร้องไห้เพราะรำคาญเสียงร้องเต็มที เด็กชายพยักหน้ารับพลางสูดน้ำมูกที่ไหลออกมา

     

                    เมื่อเด็กหยุดร้องไห้แล้วบดินทร์จึงอังมือของตนเหนือบาดแผล โคจรปราณหยินของลมปราณดาราโคจรไปยังฝ่ามือแล้วใช้ลมปราณนั้นรักษาบาดแผล ปราณหยินขึ้นชื่อเรื่องความไหลลื่นแล้วยังขึ้นชื่อด้านการรักษาด้วยถึงแม้จะด้อยกว่าลมปราณสายฟื้นฟูโดยตรงก็ตาม ดังนั้นลมปราณดาราโคจรจึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในลมปราณสารพัดประโยชน์ที่สุด แม้ประโยชน์แต่ละอย่างนั้นจะไม่ใช่ที่สุดก็ตามแต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียง

     

                    อ่ะหายแล้ว เด็กชายเมื่อเห็นว่าบาดแผลของตนหายไปอย่างปาฏิหาริย์ ใบหน้ามอมแมมก็ฉายแววตระหนกอย่างที่บดินทร์ไม่เคยเห็นมาก่อน

     

                    พะ...พี่เป็นผู้ใช้พลังจิตหรอ ฮึกๆ อย่าทำอะไรหนูเลย เด็กชายมอมแมมร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิมด้วย คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเด็กน้อยทำให้คนที่อยู่ในละแวกนั้นจ้องมายังบดินทร์ด้วยความหวาดกลัว บ้างก็วิ่งหนีไปจากบริเวณนี้ ส่วนพวกที่มีบ้านอยู่ในละแวกนี้ก็ปิดบ้านล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา จนถนนสายนี้เหลือแต่บดินทร์กับเด็กน้อยแค่สองคน

     

                    พี่อย่าเอาผมไปเป็นทาสเลยนะ ฮืออ ผมขอร้องผมยังเด็กอยู่เลย เด็กน้อยยังคงร้องไห้ราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเสียอย่างนั้น

     

                    เดี๋ยวๆ พลังจิตอะไร พี่งงไปหมดแล้ว บดินทร์ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ถามเด็กชายที่อยู่ตรงหน้า

     

                    กะ ก็พลังที่พี่ใช้ไง อย่าเอาหนูไปเลยนะ ฮึกๆ เด็กน้อยสะอึกสะอื้นแต่ก็ยังตอบบดินทร์ไป เด็กชายกอดตัวเองด้วยความขลาดกลัวอย่างน่าสงสาร บดินทร์ที่เห็นอาการของเด็กน้อยก็ถึงกับใจอ่อน ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบเด็กเพราะเสียงร้องไห้ก็ตามแต่เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ใช่

     

                    บดินทร์รวบตัวเด็กน้อยที่ร้องไห้จนสั่นเป็นเจ้าเข้ามากอด ลูบหัวปลอบปะโลมเบาๆ พี่ไม่ใช่ผู้ใช้พลังจิตอะไรนั่นหรอก ของพี่เค้าเรียกพลังปราณไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด บดินทร์พูดปลอบเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะเข้าใจคำว่าหพลังปราณหรือไม่ เด็กชายร้องไห้ไปสักพักก็หยุดร้องเมื่อเห็นว่าบดินทร์ไม่ทำอะไรแต่ยังคงติดสะอื้นอยู่ เด็กชายดิ้นดุ๊กดิ๊กเหมือนอึกอัดในอ้อมแขนแข็งแกร่งจนบดินทร์ต้องคลายอ้อมแขนออก

     

                    พะ...พี่ไม่ใช่พวกนั้นแน่นะ เด็กชายถามบดินทร์เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง มือก็เร่งเช็ดน้ำตา น้ำตาที่ไหลออกมาได้ชะล้างคราบดินที่ติดตามแก้มออกเผยให้เห็นหน้าตาที่เคยมอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลนกลายเป็นน่ารักสมวัยมากขึ้น ตาโตๆ ขนตายาวๆ ทำให้บดินทร์อึ้งไปทีเดียว อือหือเด็กนี่น่ารักขนาดนี้เชียว ถ้าแก้วมาเห็นคงกรี๊ดกร๊าดวิ่งเข้าไปกอดแน่ๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้บดินทร์ก็นึกได้ว่าตนลืมเพื่อนสมัยเด็กของตนไปเสียแล้ว

     

                    เวรกรรม ไม่ใช่หลงทางแล้วหรอกนะ ป่านนี้น่าจะไปไกลแล้วด้วย เฮ้อ…” บดินทร์ถอนหายใจออกมาเซ็งๆเพราะเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ

     

                    น้องชายเดี๋ยวพี่ไปตามหาเพื่อนพี่ก่อน ป่านนี้คงหลงทางแล้วละ บดินทร์หันไปพูดกับเด็กชายที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว

     

                    อย่างนั้นเดี๋ยวผมช่วยหาครับ ผมรู้จักเส้นทางเมืองนี้ดี เด็กชายพูดด้วยความกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า

     

                    ไม่ต้องหรอก กลับไปหาแม่ได้แล้วไป อย่าวิ่งชนใครเข้าอีกละ บดินทร์ปฏิเสธอย่างเซ็งๆ เพราะเขาคิดจะใช้วิชาตัวเบาข้ามดาราวิ่งหาจากบนหลังคาแท้ๆ เพราะหาง่ายกว่ากันเยอะ ถ้ามีเด็กเกาะติดไปด้วยเคลื่อนไหวไม่สะดวกพอดี

     

                    นะครับ พี่อุตส่าช่วยรักษาแผลถลอกให้ผมทั้งที ฮึก เด็กชายทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว บดินทร์จึงต้องรับปากอย่างเสียไม่ได้ เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่ชอบเด็ก!

     

                    จริงนะครับ อย่างนั้นไปกันเลย!” เด็กชายเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว มือเล็กก็จับชายเสื้อของบดินทร์ไปในทิศทางที่บดินทร์จะมุ่งหน้าไป ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเมื่อเห็นบดินทร์ไปแล้วจึงค่อยๆทยอยออกมาจากบ้าน สายตาของคนพวกนั้นมองไปยังทิศทางที่บดินทร์ไปกับเด็กน้อยด้วยเเววตาสงสารปนสมเพส

     

                    โดนหลอกไปเป็นทาสแล้วเจ้าหนูเอ๊ย หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา

     

     

    ทางด้านแก้วกาญ

                    แก้วกาญที่โกรธบดินทร์จนเดินพรวดพราดออกมาโดยลืมนึกไปว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของตัวเอง กำลังมองซ้ายมองขวาหาเส้นทางที่ตนเดินมา จริงอยู่ว่าถนนที่แก้วกาญกับบดินทร์เคยอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นเส้นทางสัญจรหลักทำให้เป็นทางยาว แต่ตัวแก้วกาญที่เดินปึงปังออกมานั้นไม่รู้ว่าตนได้เดินเข้าซอยไหนออกซอยไหนบ้างจนมาโผล่กลางตรอกอย่างที่เป็นอยู่

     

                    ตรอกที่แก้วกาญพลัดหลงมานั้นมีบรรยากาศอึมครึมพอสมควรเพราะบ้านแต่ละหลังจะพังแหล่มิพังแหล่แลดูเก่าแก่ยิ่งนัก ผู้คนก็บางตามากจนตอนนี้ผู้คนที่ผ่านตาแก้วกาญไปนับได้เพียงแค่สามคน คนทั้งสามคนที่ผ่านตาแก้วกาญไปนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด แต่ละคนมีหนวดเครารุงรัง ดวงตาแข็งกร้าว แถมยังดูท่าทางเถื่อนๆเหมือนโจรผู้ร้าย ที่สำคัญทั้งสามคนจ้องแก้วกาญแบบแปลกๆ

     

                    ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย? บรรยากาศไม่ค่อยดีเลย แก้วกาญกอดตัวเองไว้แน่น พลางเดินไปเรื่อยๆ ตาก็สอดส่องหาช่องทางที่จะกลับ แต่เธอยังไม่พบ ตัวเธอก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเดินอย่างไรให้เข้ามายังตรอกนี้

     

                    แก้วกาญที่เดินไปอย่างไร้จุดหมายนั้น ดวงตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเงาคนด้อมๆมองๆอยู่ซอกอาคารหลังหนึ่งที่เธอเดินผ่านมาแล้ว แก้วกาญรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ แก้วกาญที่เตรียมจะวิ่งก็หยุดชะงัก เมื่อสมองอันชาญฉลาดของเธอสั่งว่าให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก่อนเดี๋ยวค่อยหนีเมื่อสบโอกาส

     

                    ด้วยความที่แก้วกาญอยากรู้ว่าคนที่ตามเธอมานั้นมีจุดมุ่งหมายอะไร ทำให้เธอเผลอเพ่งสมาธิไปยังเงาข้างหลังโดยที่เธอไม่ได้หันไปมอง

     

                    หึหึ ยังไม่รูตัวสิน่ะแม่หนูน้อย เสียงบางอย่างดังในหัวเธอไม่ได้มีโทนเสียงเหมือนปกติ แต่เป็นเสียงโทนเดียวกลางๆไม่สูงไม่ต่ำ

     

                    เอ๊ะ! เสียงอะไรเนี่ย!’ แก้วกาญรอบตระหนกในใจ

     

                    หน้าตาสะสวยเชียว แบบนี้พ่อค้าทาสคงซื้อราคาดี หึหึ แก้วกาญที่กำลังสับสนกับเสียงที่ดังอยู่ในหัวว่ามันมาได้อย่างไร หรือว่า...เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของตนแก้วกาญจึงเพ่งสมาธิไปยังเงาปริศนาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองหยุดเดินอยู่กับที่เสียแล้ว ถึงแม้ข้อสันนิษฐานของเธอจะเป็นไปได้ยากก็ตาม


                     อะไรก็เกิดขึ้นได้ขนาดการมาโลกคู่ขนานของเธอยังเกิดกับเธอแล้วเลย ใช่ไหมละ
    !

     

                    แม่หนูนั่นหยุดทำไม! หรือว่ารู้ตัวแล้วว่าเราสะกดลอยตาม ชัดเจนเหนือสิ่งอื่นใด เป็นไปตามข้อสันนิษฐานของเธอทุกอย่าง การทดลองครั้งนี้ทำให้เธอทราบอีกอย่างว่าหากเพ่งสมาธิอย่างเต็มที่เสียงที่ได้ยินจะเป็นเสียงจริงๆไม่ใช่เสียงโทนเดียวอย่างแรกๆเพียงเเต่ดังในหัวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เธอจึงทราบว่าคนที่ตามเธออยู่ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

     

                    แก้วกาญดีใจที่ข้อสันนิษฐานตนเป็นจริงได้อยู่ไม่นานก็ต้องรีบวิ่งหนีจากจุดนั้นเพราะอะไรนะเหรอ งั้นเราต้องรีบลงมือก่อนแม่หนูนั่นจะรู้ตัว!’ เสียงที่ดังขึ้นในหัวเป็นเสียงโทนเดียวเช่นเดิมเพราะแก้วกาญไม่ได้เพ่งสมาธิเต็มที่ แต่ก็เพียงพอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรเธอ แก้วกาญจึงชิงหลบออกจากจุดเดิมก่อนเงาปริศนาจะพุ่งมาถึงตัวเธอ ทำให้เงาปริศนานั้นคว้าแต่อากาศเปล่า

     

                    ชิส์ รู้ตัวอยู่แล้วเรอะ!” เสียงต่ำอย่างน่ารังเกียจดังออกมาจากร่างที่พุ่งมา เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่แก้วกาญได้ยินตอนเพ่งสมาธิเต็มที่แบบไม่มีผิดเพี้ยน

     

                    คุณเป็นใคร!” แก้วกาญตะโกนออกไปด้วยความหวาดกลัวแม้เสียงจะติดสั่นเล็กน้อยก็ตาม จะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไรละไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนไม่ดีชัวร์! ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวดำแดงอย่างคนทำงานหนัก หนวดเคราเฟิ้มรุงรัง ดวงตาแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว แถมมีลอยแผลเป็นพาดผ่านกลางหน้าด้วย

     

                    หึหึ ไม่ต้องรู้หรอกแม่หนู เพราะตอนนี้เจ้าต้องเป็นตัวทำเงินให้ข้า!” แก้วกาญตัดสินใจหนีในทันทีอย่างไม่สนจะออมแรง แม้เธอไม่รู้ว่าตรอกนี้มีทางออกอยู่ตรงไหนก็ตาม

     

                    ฮ่าๆ หนีเข้าไป! ข้าชอบที่จะเห็นเหยื่อดิ้นรนก่อนจะหมดน้ำยา! ฮ่าๆ แก้วกาญไม่สนเสียงที่หัวเราะอย่างน่าขยะแขยง ตอนนี้เธอคิดเพียงอย่างเดียวคือ วิ่ง! วิ่ง! และ วิ่ง!

     

                    แต่มีหรือที่ฝีเท้าผู้หญิงจะสู้ฝีเท้าผู้ชายได้ ร่างใหญ่วิ่งตามเธอจนทันตอนนี้อ้อมไปดักหน้าเธอเสียแล้ว

     

                    หนีไม่พ้นหรอกแม่หนู เจ้าต้องเป็นสินค้าที่ทำเงินได้อย่างดีว่าจบชายร่างใหญ่ก็ตรงมาต่อยท้องแก้วกาญจนลงไปนอนกุมท้องอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

     

                    น่ากลัว...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ถ้าเราไม่เดินหนีดินออกมาแบบนั้นคงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ แก้วกาญที่ตอนนี้ลืมตาไม่ขึ้นเพราะความจุก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

     

                    ดะ ดินช่วยฉันด้วย ฉันกลัว... ความจุกทำให้แก้วกาญไม่มีแรงแม้แต่ตะโกน ตอนนี้แก้วกาญไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากบดินทร์แล้ว แต่เสียงที่เปล่งออกไปมันช่างเบายิ่งนัก

     

                    สิ้นฤทธิ์แล้วสินะ วันนี้กูรวยแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตรงเข้ามาอุ้มร่างของแก้วกาญพาดบ่า

     

                    ชายร่างใหญ่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตรก็ต้องหยุดชะงักเพราะเห็นเงาคนสองคนมาดักหน้า คนหนึ่งดูจากความสูงเป็นเพียงเเค่เด็กไม่เกินหกขวบเท่านั้น ส่วนคนที่โตกว่าดูอย่างไรก็เด็กยังไม่เเตกเนื้อหนุ่มดี

     

                    คืนผู้หญิงของฉันมาซ่ะ!!”



     

    Loading...100%




     

    **************************************************************************************************


    ไรท์มาต่อให้เเล้วครับคำผิดก็แก้เเล้ว
    ตอนนี้น่าสงสารแก้วกาญเบาๆเนาะครับ
    อิอิ เเต่ตอนหน้าพระเอกเราจะโชว์
    วรยุทธเเล้วรอติดตามกันได้นะครับ

    1 เม้น=1 กำลังใจ


    HaMs_TeR

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×