คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สู่โลกคู่ขนาน
สู่โลกคู่ขนาน
กรุงเทพมหานครฯ ประเทศไทย
ในละแวกหนึ่งแถบชานเมืองมีสิ่งก่อสร้างซึ่งแทบจะรกร้างเนื่องจากถูกใช้งานน้อยผู้ที่เป็นเจ้าของก็ไม่ค่อยจะดูแล มีลักษณะเป็นโรงไม้ มีป้ายเก่าๆที่หักห้อยลงมาดูไม่ค่อยสมประกอบติดอยู่เหนือประตูทางเข้าเป็นอักษรจีน 明星失利(Míngxīng shīlì) ที่แปลว่า “สยบดารา”
ข้างในตัวอาคารเป็นห้องโล่งกว้างพื้นทำมาจากไม้ ตรงใจกลางมีร่างๆหนึ่งนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่และมีอีกร่างหนึ่งที่ดูแก่ชรามากนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างๆ
“ดิน หลานลืมตาได้แล้ว” เสียงแหบแห้งกล่าวออกมาหลังจากลืมตา
ร่างของชายหนุ่มที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างๆชายชราค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนทอประกายตาแสดงถึงความสุขุม รอบคอบ และที่สำคัญดูมีพลังอย่างน่าประหลาด ผมสีน้ำตาลซอยระต้นคอ เข้ากับใบหน้าคมเข้มได้เป็นอย่างดี
“เป็นอย่างไร เข้าใจอะไรบ้างหรือยังหลานปู่” ชายชราลูบเคราสีขาวของตนเองขึ้นลงอย่างช้าๆก่อนจะเปล่งคำถามออกมาเรียกให้บดินทร์ต้องขมวดคิ้วขบคิดถึงคำตอบ
“เหมือนจะจับทางได้เล็กน้อยแล้วครับคุณปู่”
ชายชรายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน ตั้งท่าในท่าเตรียมพร้อม “งั้นเรามาทดลองความเข้าใจของหลานกันหน่อย”
“ได้ครับ อาจารย์หึหึ” บดินทร์รับคำด้วยรอยยิ้มถูกใจก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงให้อยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมเช่นกันกับปู่ผู้มีอีกฐานะหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาเอง
“ก่อนประลองปู่ขอถามหลานก่อนว่า ลมปราณดาราโคจรคืออะไร” ชายชราเอ่ยปากถามอย่างทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มการประลอง
บดินทร์ฉีกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบปู่ตนเองด้วยความมั่นใจ “ลมปราณหยินหยางครับ”
“ถูกต้องหลานปู่ ลมปราณดาราโคจรสามารถเป็นได้ทั้งสายอ่อนและสายแข็งหากโคจรปราณอย่างถูกวิธี...” แววตาชายชราเปลี่ยนเป็นคมกริบทันทีก่อนจะเคลื่อนที่เข้าหาบดินทร์ด้วยท่าเท้าพิสดาร เท้าทั้งสองข้างก้าวสลับไปมาเป็นวงกลม ท่าร่างที่เชื่องช้าแต่กลับเคลื่อนที่ได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานก็ประชิดตัวบดินทร์
“หากใช้ปราณหยินคู่กับ ‘ท่าเท้าเคลื่อนดารา’ จะทำให้การเคลื่อนที่ไหลลื่นได้อย่างไม่ติดขัด” บดินทร์พูดต่อคำพูดที่ปู่พูดค้างไว้หลังจากที่โดนประชิดตัว โดยมุมปากยังปรากฏรอยยิ้มไม่เปลี่ยน
“ในทางกลับกันหากใช้ปราณหยางคู่กับกระบวนท่าโจมตี พลังการโจมตีจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล” ชายชรากล่าวต่อหลานตัวเองก่อนจะยกขาขึ้นเหยียดตรงฟาดขาตอกส้นลงมายังหลานตัวเองอย่างไม่มีออมแรง
โครมมม! แม้บดินทร์จะตกใจบ้างเล็กน้อยที่ปู่ตนเองไม่คิดออมแรงแต่ก็ยังเคลื่อนที่ด้วยท่าเท้าพิสดารฉบับเดียวกับปู่หลบการโจมตีได้อย่างเฉียดฉิว
“ฟู่...นี่ปู่กะเอาตายเลยใช่ไหมเนี่ย ถ้าผมโดนจังๆคงเลือดตกยางออกแน่” บดินทร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่รอดจากฝ่าเท้ามัจจุราชมาได้ ตาคมเหลือบไปมองที่พื้นไม้ซึ่งตอนนี้เป็นรูโหว่โดยมีเท้าของปู่ชายชราที่ยังไม่ขยับออกจากซากความเสียหายนั้น ‘พื้นไม้โรงฝึกนี่ก็แข็งเอาเรื่องอยู่แต่กลับทำให้เป็นรูได้ขนาดนี้น่ากลัวจริงๆ’ บดินทร์คิดในใจ
“เอาน่าหลานปู่ ปู่แค่ทักทายเฉยๆแต่จากนี้ของจริง! รับมือ!” ว่าจบชายชราก็ใช้ท่าเท้าเดิมเคลื่อนที่เข้าหาบดินทร์แต่ในครั้งนี้กับเพิ่มความเร็วในการขยับเท้า โดยกระบวนท่าเท้านี้จะมีรูปแบบตายตัวแต่สามารถพลิกแพลงได้หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ หากเคลื่อนที่เร็วมากพอจะเกิดภาพติดตาเห็นเป็นร่างแยกเหมือนในตอนนี้ที่มีชายชราในลักษณะท่าทางต่างๆตามรูปแบบกระบวนท่าอยู่ถึงห้าคนเลยทีเดียว ทำเอาบดินทร์ถึงกับเหงื่อตก
จริงอยู่ว่าภาพติดตาไม่สามารถโจมตีได้แต่จะทำให้คู่ต่อสู้คาดเดาทิศทางการโจมตีคลาดเคลื่อน บดินทร์ใช้ท่าเท้าเดียวกันนี้เคลื่อนที่หนีเพื่อสร้างระยะห่าง แต่อย่างไรกับอาจารย์ผู้ที่ฝึกฝนมานานกว่า มีประสบการณ์มากกว่า บดินร์ย่อมแพ้อยู่แล้ว ระยะห่างที่เพียรสร้างมาเริ่มถูกทำลายลงไปทีละนิดๆจนชายชราเข้าประชิดตัวบดินทร์ได้ในที่สุด หมัดตรงง่ายๆไม่มีการพลิกแพลงแถมยังเชื่อช้ามากพุ่งเข้าตรงมายังลิ้นปี่ของดินทร์ โดยบดินทร์ไม่มีโอกาสได้โต้ตอบหรือป้องกันตัวจากหมัดนี้ได้เลย บดินทร์ใช้ท่าเท้าเคลื่อนดาราฉีกหลบโดยการก้าวเท้าออกไปด้านข้างเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก็รอดพ้นจากหมัดที่แฝงปราณหยางได้อย่างไม่ยากเย็น บดินทร์ฉีกยิ้มอย่างพอใจ แต่นั่นเป็นการโจมตีหลอก!
ชายชราตวัดขาเตะเข้ากลางลำตัวของบดินทร์อย่างจัง พลังทำลายมีไม่มากแต่ความเร็วนี่สิเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
อั๊กก! บดินทร์กระอักเลือดออกมาร่างกายก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วเสียหลักล้มลงในที่สุด ในขณะที่บดินทร์ยินดีกับการที่ตัวเองหลบหมัดตรงพ้นกลับโดนการโจมตีที่ตามมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะความประมาทแท้ๆ ‘ไม่สิความเร็วระดับนั้นถึงจะเป็นเวลาปกติที่เราตั้งตัวได้ทันก็ไม่แน่ว่าจะหลบได้’ ลูกเตะเมื่อสักครู่เสริมลมปราณสายหยินมาอย่างเต็มที่ไม่แปลกที่จะเร็วจนบดินทร์หลบไม่พ้น
“ปู่อ่ะ กะยำผมอย่างเดียวเลยรึไงผมแทบไม่ได้ตอบโต้เลยนะ” บดินทร์ว่าอย่างฉุนๆที่ตนเองแพ้ปู่ของตัวเองอย่างหมดรูปไม่แม้แต่จะมีโอกาสตอบโต้
“ฮ่าๆ เอาน่าเดี๋ยวหลานฝึกไปเรื่อยๆก็เก่งเองแหละ ในตอนนี้หลานเอาชนะปู่ไม่ได้หรอกแค่ลมปราณหยินที่เป็นลมปราณที่หลานถนัดก็ยังด้อยกว่าปู่อยู่หลายขั้น เพราฉะนั้นตั้งใจฝึกละ ฮ่าๆ” ชายชรากล่าวออกมาอย่างภูมิใจในความสามารถตน ก่อนจะเดินออกจากโรงฝึกนี้ไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ชายชราหยุดเดินแล้วหันกลับไปดูหลานของตนรอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก แสดงให้เห็นถึงความภูมิใจที่มีต่อหลานชายคนนี้มากขนาดไหน
บดินทร์ สามารถเข้าใจเคล็ดลมปราณดาราโคจรขั้นแรกได้ตั้งแต่ 9 ขวบ สำเร็จขั้นสองตอนอายุ 12 ขวบ และขั้นสามที่ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดตอน 15 ขวบ ด้วยวัยเพียง 15 ปีกลับเข้าใจลมปราณดาราโคจรได้ถึงขั้นสูงสุดทำให้บดินทร์จัดอยู่ในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ลมปราณดาราโคจรจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นคือขั้นแรกลมปราณหยินขั้นนี้จะใช้กระบวนท่าสายอ่อนในการโคจรปราณกว่าจะฝึกขั้นนี้ได้ต้องสามารถเข้าใจถึงกระบวนท่าสายอ่อนได้อย่างดี และยังต้องจำจุดชีพจรในการเคลื่อนลมปราณกว่าพันจุด ไม่แปลกที่มีคนสำเร็จลมปราณนี้น้อยเพราะหนึ่งต้องความจำดีมากสองต้องอดทนขยันฝึกซ้อมเเบบสุดๆ
ขั้นสองลมปราณสายหยาง หากเข้าใจขั้นหยินดีแล้วขั้นหยางนี้ต้องเข้าใจในกระบวนท่าสายแข็งให้ได้ขั้นต่ำแปดส่วนเพราะกระบวนท่าสายแข็งจะเป็นตัวชักน้ำการโคจรปราณโดยต้องโคจรปราณตรงข้ามกับทิศทางเดิม แค่จำทิศทางการเดินปราณของขั้นแรกก็กระอักแล้วแต่ขั้นที่สองต้องเดินลมปราณย้อนศรทิศทางเดิมที่เป็นอะไรที่หนักกว่ามาก ไม่เชื่อคุณลองหยิบปากกามาวาดเส้นอะไรก็ได้มั่วๆเยอะๆดู แล้ววาดย้อนกลับทางเดิมคุณจะพบว่าความยากมันต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่แปลกที่มีคนสำเร็จลมปราณขั้นหยางน้อย
ส่วนขั้นสุดท้าย ขั้นหยินหยาง ขั้นนี้จะรวมการเดินปราณทั้งสองขั้นแรกไว้ด้วยกันกล่าวคือในขณะที่เดินลมปราณทางทิศทางหยินสามารถปรับเปลี่ยนการเดินปราณไปยังทิศทางหยางได้อย่างแม่นยำไม้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ขั้นนี้ต้องอาศัยความเคยชินอย่างมากจากทั้งสองเส้นทางการเดินปราณ กว่าจะเคยชินการเดินปราณหยินและหยางคงใช้เวลาหลายสิบปีให้ร่างกายจดจำ
อย่างนี้ไม่ให้คนเป็นปู่อย่างเขารู้สึกภูมิใจได้ไงละ ก็หลานตัวเองสำเร็จลมปราณดาราโคจรขั้นสามตั้งแต่อายุ 15 ถึงแม้จะยังพลิกแพลงได้ไม่ดีก็เถอะ
ชายชราละจากการดูหลานตัวเองนั่งสงบนิ่งฝึกการโคจรปราณ ก่อนจะเดินหน้าต่อมุ่งสู่สถานที่พักของตัวเองเพื่อกลับไปพักผ่อน ก็เล่นเคลื่อนไหวร่างกายขนาดนั้นเพื่อนจะแกล้งหลานตัวเองทั้งๆที่ตัวเองก็อายุปาไปเลข 9 แล้ว ไม่เหนื่อยสิแปลก!
***************Loading...40%***************
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
เปลือกตาค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นดวงลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนก่อนจะร่ายรำกระบวนท่าที่เชื่องช้า แต่ทุกกระบวนท่านั้นล้วนมีประสิทธิภาพทั้งหลักการถ่ายแรงที่ทำได้อย่างพอดีเพื่อไม่ให้ข้อต่อเป็นภาระ การทิ้งน้ำหนัก องศาการวางเท้า องศาการร่ายรำ เอียงซ้าย หลบขวา การเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ ทุกท่าทางเชื่อมต่อลื่นไหลได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนดูคมกริบส่องประกายอำนาจออกมามากกว่าเดิม ทุกท่าร่างล้วนทำอย่างมีสมาธิราวกับว่าการร่ายรำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
จากท่าร่างที่เชื่องช้าลื่นไหลกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นดุดัน ทุกกระบวนท่าที่ออกมาแลดูมีพลังการทำลายอย่างมาก เสียงอากาศหวีดหวิวเมื่อหมัดและเท้าถูกเคลื่อนไหวออกและชักกลับอย่างรวดเร็ว ทุกกระบวนท่าถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีที่ติเช่นเดียวกันกับท่าร่างช้า เมื่อบดินทร์ร่ายรำกระบวนท่าดุดันจบแล้วก็กลับไปที่ท่าร่างเชื่องช้าอีกเช่นเคยทำอย่างนี้อยู่สามรอบ เมื่อจบรอบที่สามบดินทร์นำมือทั้งสองข้างค่อยๆรวบไว้ข้างตัวย่อลงเล็กน้อยซึ่งเป็นท่าจบเพื่อทำสมาธิอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะลืมตาขึ้น หลังจากทำสมาธิเสร็จบดินทร์เดินตรวจดูความเรียบร้อยของโรงฝึกแล้วจึงเดินกลับไปยังบ้านพักเพื่อกินอาหารเย็น
“ฮึ๊บ ฮึ๊บ” เสียงบดินทร์ครางขึ้นพร้อมกับบิดตัวซ้ายขวาไปมาเพื่อไล่ความขบเมื่อยเมื่อเดินถึงหน้าประตูบ้าน
ที่บดินทร์ได้เดินกลับมาบ้านเพราะโรงฝึกอยู่ห่างจากบ้านไม่ถึง 100 เมตรเสียด้วยซ้ำไม่แปลกที่จะเดินกลับ
บดินทร์เปิดประตูบ้านแล้วได้ยินเสียงก๊องแก๊งของเครื่องครัวกระทบกันจึงวิ่งไปยังห้องครัวเพื่อไปดูว่าเสียงอะไร เพราะบ้านพักหลังนี้มีแค่เขากับปู่เท่านั้นที่อาศัยอยู่ คุณปู่ของเขาป่านนี้คงนอนหลับอยู่บนห้องเป็นแน่แล้วใครละในห้องครัวถ้าไม่ใช่....
“แม่ครับ!” บดินทร์ตะโกนเรียกเต็มเสียงแล้วดีดตัวด้วยวิชาตัวเบาระดับสูงที่เป็นขั้นกว่าของท่าเท้าเคลื่อนดาราการดีดตัวเพียงครั้งเดียวกลับส่งตัวบดินทร์ไปยังห้องครัวที่ห่างจากหน้าประตูบ้านถึง 15 เมตรในพริบตา ถ้าหากบดินทร์โคจรลมปราณหยินให้เร็วกว่านี้การดีดตัวก็จะไปได้ไกลขึ้นอีกมาก แต่ระยะเพียง 15 เมตรโคจรลมปราณเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ววิชาตัวเบาที่บดินทร์ใช้มีชื่อว่า ‘ก้าวข้ามดารา’
แต่เมื่อบดินทร์มาถึงห้องครัวก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่ประกอบอาหารอยู่ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดแต่กลับเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขาที่ชื่อว่า ‘แก้วกาญ’ แทนเสียนี่ ‘จะเป็นแม่เราไปได้ไงในเมื่อแม่ของเราหายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน...เฮ้อ สงสัยต้องฝึกสมาธิเพิ่มซะแล้วสิแค่นี้ก็สติหลุด ไม่ไหวๆ แบบนี้จะเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างไร’ บดินทร์ตำหนิตัวเองในใจ ทำอย่างไรได้เขาเพิ่งอายุ 16 เองนิถึงจะสำเร็จวิทยายุทธ์มากขนาดไหนอย่างไรเด็กก็คือเด็ก การสูญเสียแม่ไปไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ภายในสามปีหรอก
“แก้ว! เธอกลับมาจากเชียงใหม่แล้วเหรอ แล้วรอบนี้จะอยู่กี่วันล่ะ” บดินทร์ถามแก้วกาญที่ตอนนี้ง่วนอยู่กับการทำอาหารไม่ได้เอะใจเรื่องที่บดินทร์เข้ามาในห้องครัวเลย
“อ๊ะ! ดินนายเข้ามาตอนไหนทำไมไม่เรียกฉันฮ่ะ!” แก้วกาญหันมาแว๊ดเพื่อนสมัยเด็กของตนที่ยิ้มแหยๆอยู่ตรงตู้เย็น เป็นใครก็โกรธจริงไหม ในเมื่อตัวเองกำลังมีสมาธิกับอะไรบางอย่างแล้วอยู่ๆก็มีคนมาเรียกซะเสียงดัง ดีที่เธอไม่ได้หั่นผักอยู่ไม่อย่างนั้นคงมีเลือดตกยางออกบ้างล่ะ
“ขอโทษทีแก้ว แล้วสรุปว่าไงเธอยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ” บดินทร์เรียกเอาคำตอบจากคำถามที่ตนเพิ่งถามไป
“ถาวรเลย พ่อฉันถูกย้ายงานมาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดอยู่สาขาที่กรุงเทพฯน่ะ” บดินทร์พยักหน้ารับ แก้วจึงหันไปง่วนกับการทำอาหารของตัวเองต่อ
“อ้อ...แล้วเธอทำกับข้าวอะไรบ้าง ฉันโคตรหิวเลยตอนนี้” เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว บดินทร์จึงชะโงกหน้าไปดูตรงเคาเตอร์ครัวด้วยความสนใจว่าแก้วกาญทำกับข้าวอะไรบ้าง เธอคนนี้ทำอาหารได้อร่อยสุดๆ
“ก็มี ผัดพริกแกงไก่ ต้มยำกุ้ง ยำวุ้นเส้น นายจะเอาอะไรอีกไหมละ” แก้วกาญตอบบดินทร์โดยไม่ได้หันมามองขณะที่มือก็เป็นระวิงกับการสะบัดกระทะและตะหลิว
“ไม่เอาแล้วแหละ รีบๆทำน่ะฉันหิวมากกก...” บดินทร์ลากเสียงยาวด้วยท่าทีทะเล้น ทำเอาแก้วกาญถึงกับคิ้วกระตุกที่เพื่อนสมัยเด็กทำราวกับเธอเป็นคนใช้ แค่เจียดเวลามาทำอาหารให้เหมือนเมื่อก่อนก็เป็นบุญแล้วถ้าไม่เห็นว่าอาศัยอยู่กับปู่แค่สองคนก็ไม่มีทางมาทำให้หรอก คนอะไรกวนประสาทเป็นที่สุด!
“นี่! ฉันไม่ใช่คนใช้น่ะ! ไปนั่งรอเลยไป! อย่ามาเกะกะแถวนี้เดี๋ยวก็เทให้หมากินซะหรอก!” แก้วกาญหันมาแว๊ดใส่คนกวนประสาทอย่างหมั่นไส้ชุดใหญ่ก่อนจะหันไปทำอาหารต่อเพราะเดี๋ยวจะไหม้คากระทะ
บดินทร์มองดูเพื่อนสมัยเด็กที่ดูเปลี่ยนไปจากที่พบครั้งล่าสุด แก้วกาญ เป็นผู้หญิงที่สวยเฉียบก็ไม่ใช่น่ารักก็ไม่เชิง เพราะไม่ว่าเธอจะแต่งตัวแนวไหนเธอก็จะเข้ากับลุคนั้นได้อย่างดีเหมือนกับเป็นคนละคน ด้วยสัดส่วน ทรวดทรงองเอวของแก้วกาญนั้นเข้าข่ายอยู่ในฝันของหญิงสาวหลายคนเลยทีเดียว หน้าอกขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินรับกับสะโพกผายที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะ เอวคอดสวยอย่างพอดี แขนขาเรียวยาวราวกับนางแบบ ยิ่งใบหน้าของแก้วกาญด้วยแล้วยิ่งสวยน่ารักเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันเสียอีก
ยิ่งเห็นแก้วกาญตอนนี้บดินทร์ก็ยิ่งนึกถึงอดีต บดินทร์กับแก้วกาญรู้จักกันตั้งแต่จำความได้เลยก็ว่าได้เพราะตั้งแต่ทั้งคู่เกิดมาบ้านก็อยู่ใกล้กันเสียแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อพ่อของทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายทำให้เจอกันบ่อยกว่าปกติบดินทร์จึงรู้สึกกับแก้วกาญราวกับพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่เมื่อสองปีก่อนพ่อของแก้วกาญตกงานและได้งานใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ทำให้ครอบครัวของแก้วกาญต้องย้ายไปเชียงใหม่ด้วย เด็กสาวและครอบครัวจะกลับมากรุงเทพเพียงเดือนละครั้งเท่านั้นเพื่อมาเยี่ยมญาติที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในละแวกนี้
จากเด็กผมติ่งมัธยมต้นกลายเป็นสาวสวยวัยสิบหกอย่างไม่น่าเชื่อ สงสัยจะมีเพียงสิ่งเดียวที่แก้วกาญไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือการเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขากับฝีมือการทำอาหารขั้นที่คุณแม่เขายังยอม เมื่อนึกถึงตรงนี้บดินทร์ก็ยิ่งคิดถึงคุณแม่ของเขายิ่งไปอีก อยู่ๆคุณแม่ของบดินทร์ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสามปีก่อน พ่อของเขาและคุณปู่ต่างก็ตามหาตัวแม่เขาด้วยวิธีต่างๆมากมายแต่ไม่เจอเบาะแสเลยแม้แต่น้อย ทางครอบครัวของแก้วกาญก็เช่นกันขนาดลุงพลศักดิ์ช่วยประสานงานกับเพื่อนตำรวจของเขาให้ตามหาแม่ของบดินทร์ก็คว้าน้ำเหลว
เหตุการณ์ในครั้งนั้นบดินทร์ที่ยังเด็กอยู่ย่อมทำใจไม่ได้เช่นกัน ก็แม่ที่เขารักที่สุดกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยความคิดถึงบวกกับความเครียดต่างๆทำให้บดินทร์เก็บตัวอยู่ในโรงฝึกจะออกมาเพียงแค่กินข้าว วันๆเอาแต่นั่งโคจรปราณตามที่คุณปู่สอนเป็นเวลากว่าสองปีบดินทร์จึงพบแนวทางบางอย่างทำให้สำเร็จลมปราณ ‘ดาราโคจร’ ขั้นสามได้ด้วยวัยเพียงสิบห้าปี การโคจรปราณคือการฝึกสมาธิแบบหนึ่งบดินทร์ที่นั่งสมาธิมาตลอดสองปียอมมีความคิดความอ่านไกลกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่มาก บดินทร์จึงหลุดออกจากวงจรความเศร้าโศกที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมาได้ปีกว่าแล้ว มีบ้างที่บางครั้งบดินทร์ก็สติหลุดเช่นวันนี้
“เสร็จแล้วจ๊ะ อ่ะนี่ข้าวสวยฉันตักให้” เสียงของแก้วกาญทำให้บดินทร์ได้สติจากภวังค์ในอดีต บดินทร์สะดุ้งเล็กน้อยปากก็ยิ้มพร้อมกับรับจานข้าวสวยมาจากมือของแก้วกาญ
“กินเยอะๆนะ เดี๋ยวฉันไปเรียกปู่เจียงลงมากินข้าวก่อน” บดินทร์พยักหน้ารับแล้วลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยในใจก็นึกตำหนิตัวเองที่วันนี้เผลอสติหลุดไปถึงสองครั้งซึ่งผิดวิสัยของเขามาก ครั้งแรกก็ที่คิดว่าแก้วกาญเป็นแม่เขา ครั้งที่สองก็ที่มัวแต่นึกถึงอดีตที่ผ่านมาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ‘สงสัยต้องฝึกสมาธิเพิ่มจริงๆ’
เมื่อแก้วกาญตามปู่เจียงลงมากินข้าว บนโต๊ะอาหารก็เริ่มมีสีสันขึ้นเพราะสองปู่หลานต่างหาวิธีแกล้งกันอยู่ตลอดเวลา การกินอาหารเย็นมื้อนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแก้วกาญและเสียงทะเลาะของสองคนต่างวัย โดยไม่รู้ว่าการสูญเสียครั้งใหญ่ของครอบครัวบดินทร์และครอบครัวของแก้วกาญจะซ้ำรอยเดิม
แก๊ก แก๊ก เสียงวางช้อส้อมของคนทั้งโต๊ะเมื่อต่างคนต่างกินบวกเล่นเสร็จ “ปู่เจียงคะ คุณลุงเดชายังไม่กลับเหรอคะ? ” แก้วกาญถามหาพ่อของบดินทร์เพราะตั้งแต่กลับมากรุงเทพฯเธอยังไม่เห็นเพื่อนสนิทพ่อเธอเลย
“อ้อ ไอ้เดชมันไปทำวิจัยที่บราซิลนะ กว่าจะกลับก็อีกสองสามวันนู่นละ” ปู่เจียงว่าพลางหยิบทิชชู่มาเช็ดปากอย่างมีมารยาท ผิดกับบดินทร์ที่จับแขนเสื้อมาเช็ดปากเพราะสะดวกกว่า
“ไอ้ดิน! หลานควรทำอะไรที่มีมารยาทบ้างนา ปู่ละสงสารเมียหลานในอนาคตจริงๆ” ชายชราว่ากัดๆบดินทร์
“เอาน่าปู่เรื่องแค่นี้ ช่างมันๆ” บดินทร์โบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารแล้วนำจานไปไว้ที่ซิงก์ล้างจาน “ปู่ไม่สิท่านอาจารย์ เดี๋ยวหลานคนนี้ไปนอนก่อนนะครับเหนื่อยจากการฝึกของท่านมากมาย บ๊ายบาย” บดินทร์บอกลาปู่ของตัวเองอย่างกวนประสาทเป็นที่สุดก่อนจะหนีขึ้นห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ...ไอ้หลานคนนี้ ตอนโคจรปราณกับตอนปกตินี่มันต่างกันสุดขั้วจริงๆ ว่าไหมหลานแก้ว” ชายชราหันไปถามความเห็นของแก้วกาญที่ตอนนี้กำลังจัดเก็บจานของตัวเองกับของชายชราเพื่อไปไว้ที่ซิงก์
“ใช่เลยค่ะปู่เจียง พอตานั่นโคจรปราณปุ๊บอย่างกับมีน้ำเข็งมาเกาะผิวหนู เยือกเย็นและเต็มไปด้วยความอันตรายสุดๆ แต่พอไม่โคจรปราณก็คนกวนประสาทดีดีนี่เองแหละค่ะ” แก้วกาญว่าอย่างเหนื่อยๆเพราะเธอชินกับนิสัยของเพื่อนสมัยเด็กคนนี้เสียแล้ว เธอเคยถามบดินทร์อยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นรู้ไหมบดินทร์ตอบกลับมาว่ายังไง ‘ฟิลลิ่งมันพาไป’ แถมยักไหล่แบบไม่ใส่ใจอีก กวนประสาทสุดๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในขณะที่บดินทร์จะเดินไปยังห้องของตนเองอะไรดลใจไม่รู้ให้บดินทร์หยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของมารดา มือแกร่งที่ฝึกวิชายุทธ์มานานหลายปีบิดลูกบิดประตูเพื่อเข้าไปยังห้องของมารดาผู้บังเกิดเกล้า ร่างเพรียวนั่งลงบนเตียงที่แต่ก่อนมารดากับบิดาเขาเคยนอนด้วยกัน ตอนนี้เป็นเวลาจะหกโมงเย็นแล้วบดินทร์จึงอยากดูพระอาทิตย์ตกเหมือนเมื่อก่อนที่มารดาเขายังอยู่
บดินทร์และ ‘เกวลิน’ ซึ่งเป็นแม่ของตัวเขามักมานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันหลังกินข้าว บางวันที่พ่อเขากลับบ้านเร็วก็จะมานั่งดูด้วย เพราะถึงแม้บ้านของเขาเองจะอยู่ในกรุงเทพฯแต่ก็อยู่แถบชานเมือง ด้วยทำเลที่ห้องนี้อยู่ชั้นสองและหันหน้าออกไปทางทิศตะวันตก บ้านพักในละแวกใกล้เคียงต่างมีเพียงแค่หนึ่งชั้นทำให้เห็นพระอาทิตย์ตกได้ชัดเจน อาจจะไม่หายหลังภูเขาแต่หายหลังตัวอาคารแทน แต่อย่างไรก็ตามความงามของอาทิตย์อัสดงก่อนจะลับขอบฟ้าก็ยังสวยงามอยู่ดี
บดินทร์เดินไปรูดมู่ลี่ขึ้นเพื่อที่จะได้เห็นอาทิตย์อัสดงได้ชัดเจน ในขณะที่แสงอาทิตย์เริ่มรอดผ่านกระจกที่เคยถูกมู่ลี่บังไว้ตลอดเวลาตั้งแต่แม่เขาหานสาบสูญไป สายตาที่ถูกฝึกลับสัญชาตญาณมาอย่างดีกลับไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า วัตถุที่สะท้อนแสงอาทิตย์ออกมาเป็นสีรุ้งอย่างชัดเจนวัตถุนั้นอยู่ใต้โต๊ะทำงานของเกวลิน ด้วยความสงสัยบดินทร์จึงเคลื่อนตัวเพื่อไปหยิบวัตถุต้องสงสัยนั้นมาดู เมื่อบดินทร์ก้มตัวหยิบวัตถุต้องสงสัยได้แล้วขณะกำลังลุกขึ้นดูเหมือนบดินทร์จะลุกเร็วไป ศีรษะจึงชนกับขอบโต๊ะอย่างจัง
โครมมม! “โอ๊ยยย!” บดินทร์กุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บปวด ถึงเขาจะฝึกวิทยายุทธ์ก็จริงแต่โรคซุ่มซ่ามของเขาก็ยังไม่หายสักที บดินทร์ที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดกับความซุ่มซ่ามของตนไม่ได้สนใจวัตถุประหลาดที่เก็บได้แม้แต่น้อย วัตุถุประหลาดมีสีทองอร่ามรูปทรงเป็นขนมเปียกปูนทรงตันด้วยแรงจากการเหวียงมือของบดินทร์ที่นำมือข้างที่ถือวัตถุชนิดนี้ขึ้นไปกุมหัวทำให้วัตถุชนิดนี้เคลื่อนที่ไปยังใต้แสงอาทิตย์อัสดงอย่างพอดิบพอดี พร้อมกับที่แก้วกาญวิ่งมาดูต้นเสียงโครมครามที่เกิดขึ้น แสงสีรุ้งจากวัตถุประหลาดค่อยๆเข้มข้นและขยายขนาดเส้นแสงขึ้นเรื่อยๆจนสว่างถึงขีดสุดเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไปแสงสว่างก็ดับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่น่าแปลกคือที่ๆบดินทร์และแก้วกาญเคยอยู่ตอนนี้กลับว่างเปล่า!!
Loading...120%
ไรท์ต้องขอโทษด้วยพอดีติดกิจกรรม
มหาลัยทำให้พอกลับถึงหอละไรท์เหนื่อย
มากเลยเลื่อนวันลงมาซะไกล เเต่ก็ลงครบ
แล้วครับ คำผิดก็แก้ให้แล้ว ไรท์แต่งเป็น
ไงเม้นตำหนิติเตียนด้วยนะครับ รับฟัง
ทุกข้อผิดพลาด สนุกไม่สนุกยังไง
วิจารณ์ด้วยนะครับ
1 เม้น = 1 กำลังใจ
HaMs_TeR
ความคิดเห็น