คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : พลังจิต
บทที่ 3
พลังจิต
จ๊อกกกก! เสียงท้องร้องของแก้วกาญดังขึ้น บดินทร์ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงไปกุมท้องหัวเราะอย่างไม่สนฝุ่นตามพื้น
ฮ่า ฮ่า ฮ่า แก้วกาญที่ได้ยินบดินทร์หัวเราะจะเป็นจะตาย ด้วยความหมั่นไส้แก้วกาญจึงเดินไปหาบดินทร์ก่อนจะใช้ฝ่ามือสวยๆของตัวเองฟาดกลางแผ่นหลังของบดินทร์แบบไม่ออมแรง
ป๊าบบบบ!
“โอ๊ยยย! แก้วเธอตีฉันทำไมเนี่ย” จากที่กุมท้องกลายมาเป็นลูบหลังแทน หางตาของบดินทร์มีหยดน้ำใสๆออกมาเล็กน้อยเพราะความเจ็บ
“ใครใช้ให้ดินมาหัวเราะแก้วละ เหอะ!” แก้วกาญสะบัดหน้าที่แดงระเรื่อใส่บดินทร์ แล้วนั่งลงกอดอก
“เออๆ ขอโทษก็ได้งั้นเราออกไปหาอะไรกินกัน” เมื่อบดินทร์เห็นว่าแก้วกาญเหมือนจะงอนจริงๆ จึงเลิกแกล้ง ก่อนจะจับมือแก้วกาญเพื่อเป็นหลักให้แก้วกาญลุกจากพื้นง่ายๆ ตอนแรกดูเหมือนแก้วกาญจะปฏิเสธอยู่แต่เสียงท้องร้องที่ดังขึ้นอีกทีก็ต้องยอมลุกขึ้น แม้จะอายๆบดินทร์อยู่บ้างเพราะเห็นบดินทร์ยิ้มมุมปากเหมือนจะล้อเลียนเธอ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินลงบันไดที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด อยู่ๆบดินทร์ก็เรียกแก้วกาญขึ้น “นี่แก้ว”
“ว่า?” แก้วกาญหันไปตามเสียงเรียกเพราะตอนนี้เธอนำหน้าบดินทร์อยู่
“เธอ...” บดินทร์พูดแค่นั้นแล้วก็หยุดไป เรียกสีหน้าสงสัยของแก้วกาญได้เป็นอย่างดี “เธออะไร?” บดินทรไม่ตอบแต่แทรกตัวแก้วกาญมาเดินนำหน้าแทน “เธอ...ไม่ปวดฉี่แล้วเหรอ” แก้วกาญหน้าแดง “ตาบ้า! ล้ออยู่ได้ตอนแรกไม่ปวดแล้วพอนายทักขึ้นนี่แหละปวดเลย!” แก้วกาญโวยวายใส่บดินทร์ ที่ตอนนี้ออกตัววิ่งไปยังประตูบ้านก่อนเพื่อหลบให้พ้นระยะโจมตีของเธอ
แก้วกาญเดินกระฟัดกระเฟียดไปหาบดินทร์ที่กอดอกยืนพิงประตูที่มีฝุ่นเกาะเช่นเดียวกับตัวบ้าน บดินทร์เห็นหน้าแก้วกาญหงิกมาแต่ไกลจึงกล่าวขึ้น “หน้าบูดมาเชียว ฉันล้อเล่นน่า” บดินทร์ว่าจบก็ลูบหัวแก้วกาญอย่างลืมตัว
แก้วกาญที่ได้รับสัมผัสแปลกใหม่ถึงกับมองบดินทร์ด้วยความสงสัย บดินทร์ที่รู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งไม่สมควรลงไปก็รีบชักมือกลับทันที เพื่อหลีกหนีจากเหตุการณ์นี้บดินทร์จึงตัดสินใจเปิดประตูบ้านออก
แอ๊ดดดด!
แสงสว่างแทรกเข้ามา ปรากฏให้เห็นเป็นผู้คนเดินกันให้วุ่น บ้างก็ใส่ผ้าคลุมที่ขาดวิ่น บ้างก็ใส่เสื้อที่มีลอยปะเต็มไปหมด เหล่าเด็กๆที่วิ่งเล่นกันตามถนนก็มอมแมมจนเหมือนไปคลุกดินโคลนมา ผู้คนบางคนที่ทำงานอยู่ละแวกนั้นหรือเป็นพวกที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมองมาทางบดินทร์และแก้วกาญด้วยความสงสัยเพราะทั้งคู่ก้าวเดินออกมาจากบ้านที่ร้างคนมานับยี่สิบปี แต่เมื่อไม่ใช่เรื่องที่ควรจะใส่ใจจึงหันกลับไปสนใจสิ่งที่ทำต่อ บดินทร์มองหน้าแก้วกาญอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมผู้คนที่นี้ถึงแต่งตัวมอซอจังอ่ะดิน” แก้วกาญถามบดินทร์ที่ยืนทำหน้างงอยู่
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่าทางพวกผู้นำจะบริหารประเทศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกประชาชนถึงอยู่ในสภาพนี้” บดินทร์ตอบแก้วกาญโดยที่ตายังคงสำรวจสภาพแวดล้อมของโลกนี้ อาคารแต่ละหลังล้วนทำมาจากไม้เก่าๆ บางหลังก็ผุพังไปตามกาลเวลา บางหลังที่อยู่ในสภาพดีหน่อยตัวไม้ที่เอามาสร้างก็ไม่เงาอย่างที่ควรเป็น บางหลังถึงกับหมองเลยก็มี แสดงว่าไม่ใช่ไม้ชั้นดีเท่าไหร่
“แล้วอย่างนี้ฉันจะได้ฉี่หรือเปล่าเนี่ย คนยิ่งหิวๆอยู่ด้วย” แก้วกาญบ่นไม่จริงจังนักราวกับปลงไปเสียแล้วว่าไม่ได้ฉี่ไม่ได้กินข้าวแน่
“ถ้าอั้นไม่ไหวก็ตามข้างทางละกัน” บดินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะกวนประสาทสุดๆ แถมมองแก้วกาญด้วยหางตาอย่างล้อเลียน
“ฉันไม่ใช่หมานะ! เลิกกวนประสาทสักวันจะตายไหมฮ่ะ!” แก้วกาญตอนนี้โกรธบดินทร์เข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตะคอกออกมาแลวกอดอกเดินหนีบดินทร์ไปโดยไม่สนเลยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ๆคุ้นเคย
“สงสัยเราจะแกล้งหนักไปมั้ง” บดินทร์บ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะวิ่งตามแก้วไป “แก้วเดี๋ยวก็หลงหรอก! นี่ไม่ใช่โลกที่เราอยู่นะ!” บดินทร์พูดขึ้นเมื่อเห็นหลังแก้วกาญอยู่ไวๆ ในขณะที่บดินทร์กำลังจะวิ่งไปหาแก้วนั้นก็มีร่างเล็กๆของเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้า
พลั๊ก!
บดินทร์ล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะไม่ทันตั้งตัว ส่วนเด็กที่ชนบดินทร์นั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณ 6 ขวบท่าทางมอมแมมผมตัดสั้น นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นเพราะเข่าเป็นแผล
แง แง แง เด็กผู้ชายยังคงร้องไห้ต่อไปบดินทร์ที่กำลังจะลุกขึ้นเพื่อไล่ตามแก้วกาญต่อนั้นก็ต้องชะงักแล้วตรงเข้าไปดูเด็กแทน เพราะอะไรน่ะเหรอ! ก็เพราะผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นนะสิมองเขาราวกับว่าเขาเป็นคนเลวที่ชอบแกล้งเด็ก บดินทร์จึงจำใจลุกขึ้นไปดูเด็กบ้างเพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“เป็นอะไรไหมครับ” บดินทร์ก้มหน้าคุยกับเด็กผู้ชายที่ชนตนเองล้ม
“หนูเจ็บ...ฮือออ” เด็กชายบอกแค่นั้นก็ร้องไห้จ้าต่อ แต่มือก็ชี้ไปยังลอยแผลถลอก บดินทร์ส่ายหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไหนพี่ดูสิ เล่นวิ่งมาไม่ดูแบบนี้ก็เกิดอุบัติเหตุสิ” บดินทร์ดูแผลถลอกของเด็กน้อยที่มีเลือดไหลออกหน่อยๆ ‘แผลนิดเดียวก็ร้องจะเป็นจะตาย เด็กหนอเด็ก’
“เฮ้อ...โอเคอย่างนั้นอยู่เฉยๆ เดี๋ยวพี่รักษาให้ แต่ต้องหยุดร้องไห้ก่อน” บดินทร์บอกเด็กให้หยุดร้องไห้เพราะรำคาญเสียงร้องเต็มที เด็กชายพยักหน้ารับพลางสูดน้ำมูกที่ไหลออกมา
เมื่อเด็กหยุดร้องไห้แล้วบดินทร์จึงอังมือของตนเหนือบาดแผล โคจรปราณหยินของลมปราณดาราโคจรไปยังฝ่ามือแล้วใช้ลมปราณนั้นรักษาบาดแผล ปราณหยินขึ้นชื่อเรื่องความไหลลื่นแล้วยังขึ้นชื่อด้านการรักษาด้วยถึงแม้จะด้อยกว่าลมปราณสายฟื้นฟูโดยตรงก็ตาม ดังนั้นลมปราณดาราโคจรจึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในลมปราณสารพัดประโยชน์ที่สุด แม้ประโยชน์แต่ละอย่างนั้นจะไม่ใช่ที่สุดก็ตามแต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียง
“อ่ะหายแล้ว” เด็กชายเมื่อเห็นว่าบาดแผลของตนหายไปอย่างปาฏิหาริย์ ใบหน้ามอมแมมก็ฉายแววตระหนกอย่างที่บดินทร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“พะ...พี่เป็นผู้ใช้พลังจิตหรอ ฮึกๆ อย่าทำอะไรหนูเลย” เด็กชายมอมแมมร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิมด้วย คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเด็กน้อยทำให้คนที่อยู่ในละแวกนั้นจ้องมายังบดินทร์ด้วยความหวาดกลัว บ้างก็วิ่งหนีไปจากบริเวณนี้ ส่วนพวกที่มีบ้านอยู่ในละแวกนี้ก็ปิดบ้านล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา จนถนนสายนี้เหลือแต่บดินทร์กับเด็กน้อยแค่สองคน
“พี่อย่าเอาผมไปเป็นทาสเลยนะ ฮืออ ผมขอร้องผมยังเด็กอยู่เลย” เด็กน้อยยังคงร้องไห้ราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวๆ พลังจิตอะไร พี่งงไปหมดแล้ว” บดินทร์ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ถามเด็กชายที่อยู่ตรงหน้า
“กะ ก็พลังที่พี่ใช้ไง อย่าเอาหนูไปเลยนะ ฮึกๆ” เด็กน้อยสะอึกสะอื้นแต่ก็ยังตอบบดินทร์ไป เด็กชายกอดตัวเองด้วยความขลาดกลัวอย่างน่าสงสาร บดินทร์ที่เห็นอาการของเด็กน้อยก็ถึงกับใจอ่อน ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบเด็กเพราะเสียงร้องไห้ก็ตามแต่เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ใช่
บดินทร์รวบตัวเด็กน้อยที่ร้องไห้จนสั่นเป็นเจ้าเข้ามากอด ลูบหัวปลอบปะโลมเบาๆ “พี่ไม่ใช่ผู้ใช้พลังจิตอะไรนั่นหรอก ของพี่เค้าเรียกพลังปราณไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด” บดินทร์พูดปลอบเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะเข้าใจคำว่าหพลังปราณหรือไม่ เด็กชายร้องไห้ไปสักพักก็หยุดร้องเมื่อเห็นว่าบดินทร์ไม่ทำอะไรแต่ยังคงติดสะอื้นอยู่ เด็กชายดิ้นดุ๊กดิ๊กเหมือนอึกอัดในอ้อมแขนแข็งแกร่งจนบดินทร์ต้องคลายอ้อมแขนออก
“พะ...พี่ไม่ใช่พวกนั้นแน่นะ” เด็กชายถามบดินทร์เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง มือก็เร่งเช็ดน้ำตา น้ำตาที่ไหลออกมาได้ชะล้างคราบดินที่ติดตามแก้มออกเผยให้เห็นหน้าตาที่เคยมอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลนกลายเป็นน่ารักสมวัยมากขึ้น ตาโตๆ ขนตายาวๆ ทำให้บดินทร์อึ้งไปทีเดียว ‘อือหือเด็กนี่น่ารักขนาดนี้เชียว ถ้าแก้วมาเห็นคงกรี๊ดกร๊าดวิ่งเข้าไปกอดแน่ๆ’ เมื่อนึกถึงตรงนี้บดินทร์ก็นึกได้ว่าตนลืมเพื่อนสมัยเด็กของตนไปเสียแล้ว
“เวรกรรม ไม่ใช่หลงทางแล้วหรอกนะ ป่านนี้น่าจะไปไกลแล้วด้วย เฮ้อ…” บดินทร์ถอนหายใจออกมาเซ็งๆเพราะเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ
“น้องชายเดี๋ยวพี่ไปตามหาเพื่อนพี่ก่อน ป่านนี้คงหลงทางแล้วละ” บดินทร์หันไปพูดกับเด็กชายที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว
“อย่างนั้นเดี๋ยวผมช่วยหาครับ ผมรู้จักเส้นทางเมืองนี้ดี” เด็กชายพูดด้วยความกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า
“ไม่ต้องหรอก กลับไปหาแม่ได้แล้วไป อย่าวิ่งชนใครเข้าอีกละ” บดินทร์ปฏิเสธอย่างเซ็งๆ เพราะเขาคิดจะใช้วิชาตัวเบาข้ามดาราวิ่งหาจากบนหลังคาแท้ๆ เพราะหาง่ายกว่ากันเยอะ ถ้ามีเด็กเกาะติดไปด้วยเคลื่อนไหวไม่สะดวกพอดี
“นะครับ พี่อุตส่าช่วยรักษาแผลถลอกให้ผมทั้งที ฮึก” เด็กชายทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว บดินทร์จึงต้องรับปากอย่างเสียไม่ได้ เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่ชอบเด็ก!
“จริงนะครับ อย่างนั้นไปกันเลย!” เด็กชายเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว มือเล็กก็จับชายเสื้อของบดินทร์ไปในทิศทางที่บดินทร์จะมุ่งหน้าไป ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเมื่อเห็นบดินทร์ไปแล้วจึงค่อยๆทยอยออกมาจากบ้าน สายตาของคนพวกนั้นมองไปยังทิศทางที่บดินทร์ไปกับเด็กน้อยด้วยเเววตาสงสารปนสมเพส
“โดนหลอกไปเป็นทาสแล้วเจ้าหนูเอ๊ย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา
ทางด้านแก้วกาญ
แก้วกาญที่โกรธบดินทร์จนเดินพรวดพราดออกมาโดยลืมนึกไปว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของตัวเอง กำลังมองซ้ายมองขวาหาเส้นทางที่ตนเดินมา จริงอยู่ว่าถนนที่แก้วกาญกับบดินทร์เคยอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นเส้นทางสัญจรหลักทำให้เป็นทางยาว แต่ตัวแก้วกาญที่เดินปึงปังออกมานั้นไม่รู้ว่าตนได้เดินเข้าซอยไหนออกซอยไหนบ้างจนมาโผล่กลางตรอกอย่างที่เป็นอยู่
ตรอกที่แก้วกาญพลัดหลงมานั้นมีบรรยากาศอึมครึมพอสมควรเพราะบ้านแต่ละหลังจะพังแหล่มิพังแหล่แลดูเก่าแก่ยิ่งนัก ผู้คนก็บางตามากจนตอนนี้ผู้คนที่ผ่านตาแก้วกาญไปนับได้เพียงแค่สามคน คนทั้งสามคนที่ผ่านตาแก้วกาญไปนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด แต่ละคนมีหนวดเครารุงรัง ดวงตาแข็งกร้าว แถมยังดูท่าทางเถื่อนๆเหมือนโจรผู้ร้าย ที่สำคัญทั้งสามคนจ้องแก้วกาญแบบแปลกๆ
“ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย? บรรยากาศไม่ค่อยดีเลย” แก้วกาญกอดตัวเองไว้แน่น พลางเดินไปเรื่อยๆ ตาก็สอดส่องหาช่องทางที่จะกลับ แต่เธอยังไม่พบ ตัวเธอก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเดินอย่างไรให้เข้ามายังตรอกนี้
แก้วกาญที่เดินไปอย่างไร้จุดหมายนั้น ดวงตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเงาคนด้อมๆมองๆอยู่ซอกอาคารหลังหนึ่งที่เธอเดินผ่านมาแล้ว แก้วกาญรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ แก้วกาญที่เตรียมจะวิ่งก็หยุดชะงัก เมื่อสมองอันชาญฉลาดของเธอสั่งว่าให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก่อนเดี๋ยวค่อยหนีเมื่อสบโอกาส
ด้วยความที่แก้วกาญอยากรู้ว่าคนที่ตามเธอมานั้นมีจุดมุ่งหมายอะไร ทำให้เธอเผลอเพ่งสมาธิไปยังเงาข้างหลังโดยที่เธอไม่ได้หันไปมอง
‘หึหึ ยังไม่รูตัวสิน่ะแม่หนูน้อย’ เสียงบางอย่างดังในหัวเธอไม่ได้มีโทนเสียงเหมือนปกติ แต่เป็นเสียงโทนเดียวกลางๆไม่สูงไม่ต่ำ
‘เอ๊ะ! เสียงอะไรเนี่ย!’ แก้วกาญรอบตระหนกในใจ
‘หน้าตาสะสวยเชียว แบบนี้พ่อค้าทาสคงซื้อราคาดี หึหึ’ แก้วกาญที่กำลังสับสนกับเสียงที่ดังอยู่ในหัวว่ามันมาได้อย่างไร ‘หรือว่า...’ เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของตนแก้วกาญจึงเพ่งสมาธิไปยังเงาปริศนาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองหยุดเดินอยู่กับที่เสียแล้ว ถึงแม้ข้อสันนิษฐานของเธอจะเป็นไปได้ยากก็ตาม
อะไรก็เกิดขึ้นได้ขนาดการมาโลกคู่ขนานของเธอยังเกิดกับเธอแล้วเลย ใช่ไหมละ!
‘แม่หนูนั่นหยุดทำไม! หรือว่ารู้ตัวแล้วว่าเราสะกดลอยตาม’ ชัดเจนเหนือสิ่งอื่นใด เป็นไปตามข้อสันนิษฐานของเธอทุกอย่าง การทดลองครั้งนี้ทำให้เธอทราบอีกอย่างว่าหากเพ่งสมาธิอย่างเต็มที่เสียงที่ได้ยินจะเป็นเสียงจริงๆไม่ใช่เสียงโทนเดียวอย่างแรกๆเพียงเเต่ดังในหัวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เธอจึงทราบว่าคนที่ตามเธออยู่ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน
แก้วกาญดีใจที่ข้อสันนิษฐานตนเป็นจริงได้อยู่ไม่นานก็ต้องรีบวิ่งหนีจากจุดนั้นเพราะอะไรนะเหรอ ‘งั้นเราต้องรีบลงมือก่อนแม่หนูนั่นจะรู้ตัว!’ เสียงที่ดังขึ้นในหัวเป็นเสียงโทนเดียวเช่นเดิมเพราะแก้วกาญไม่ได้เพ่งสมาธิเต็มที่ แต่ก็เพียงพอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรเธอ แก้วกาญจึงชิงหลบออกจากจุดเดิมก่อนเงาปริศนาจะพุ่งมาถึงตัวเธอ ทำให้เงาปริศนานั้นคว้าแต่อากาศเปล่า
“ชิส์ รู้ตัวอยู่แล้วเรอะ!” เสียงต่ำอย่างน่ารังเกียจดังออกมาจากร่างที่พุ่งมา เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่แก้วกาญได้ยินตอนเพ่งสมาธิเต็มที่แบบไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณเป็นใคร!” แก้วกาญตะโกนออกไปด้วยความหวาดกลัวแม้เสียงจะติดสั่นเล็กน้อยก็ตาม จะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไรละไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนไม่ดีชัวร์! ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวดำแดงอย่างคนทำงานหนัก หนวดเคราเฟิ้มรุงรัง ดวงตาแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว แถมมีลอยแผลเป็นพาดผ่านกลางหน้าด้วย
“หึหึ ไม่ต้องรู้หรอกแม่หนู เพราะตอนนี้เจ้าต้องเป็นตัวทำเงินให้ข้า!” แก้วกาญตัดสินใจหนีในทันทีอย่างไม่สนจะออมแรง แม้เธอไม่รู้ว่าตรอกนี้มีทางออกอยู่ตรงไหนก็ตาม
“ฮ่าๆ หนีเข้าไป! ข้าชอบที่จะเห็นเหยื่อดิ้นรนก่อนจะหมดน้ำยา! ฮ่าๆ” แก้วกาญไม่สนเสียงที่หัวเราะอย่างน่าขยะแขยง ตอนนี้เธอคิดเพียงอย่างเดียวคือ วิ่ง! วิ่ง! และ วิ่ง!
แต่มีหรือที่ฝีเท้าผู้หญิงจะสู้ฝีเท้าผู้ชายได้ ร่างใหญ่วิ่งตามเธอจนทันตอนนี้อ้อมไปดักหน้าเธอเสียแล้ว
“หนีไม่พ้นหรอกแม่หนู เจ้าต้องเป็นสินค้าที่ทำเงินได้อย่างดี” ว่าจบชายร่างใหญ่ก็ตรงมาต่อยท้องแก้วกาญจนลงไปนอนกุมท้องอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
‘น่ากลัว...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ถ้าเราไม่เดินหนีดินออกมาแบบนั้นคงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้’ แก้วกาญที่ตอนนี้ลืมตาไม่ขึ้นเพราะความจุก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ดะ ดินช่วยฉันด้วย ฉันกลัว...” ความจุกทำให้แก้วกาญไม่มีแรงแม้แต่ตะโกน ตอนนี้แก้วกาญไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากบดินทร์แล้ว แต่เสียงที่เปล่งออกไปมันช่างเบายิ่งนัก
“สิ้นฤทธิ์แล้วสินะ วันนี้กูรวยแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ” ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตรงเข้ามาอุ้มร่างของแก้วกาญพาดบ่า
ชายร่างใหญ่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตรก็ต้องหยุดชะงักเพราะเห็นเงาคนสองคนมาดักหน้า คนหนึ่งดูจากความสูงเป็นเพียงเเค่เด็กไม่เกินหกขวบเท่านั้น ส่วนคนที่โตกว่าดูอย่างไรก็เด็กยังไม่เเตกเนื้อหนุ่มดี
“คืนผู้หญิงของฉันมาซ่ะ!!”
Loading...100%
**************************************************************************************************
ไรท์มาต่อให้เเล้วครับคำผิดก็แก้เเล้ว
ตอนนี้น่าสงสารแก้วกาญเบาๆเนาะครับ
อิอิ เเต่ตอนหน้าพระเอกเราจะโชว์
วรยุทธเเล้วรอติดตามกันได้นะครับ
1 เม้น=1 กำลังใจ
HaMs_TeR
ความคิดเห็น