คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เบาะแส
บทที่ 2
เบาะแส
ว๊าบบบ! แสงสว่างจ้าค่อยๆจางลงบดินทร์และแก้วกาญกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัส เมื่อสายตาของทั้งคู่หายพร่าเรือนแล้วสิ่งที่ทั้งคู่เห็นทำให้ทั้งคู่ตะโกนออกมาพร้อมกันราวกับนัดหมายกันมา “นี่มันที่ไหนกัน!! ”
เฟอร์นิเจอร์ต่างๆในห้องนอนของเกวลินถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สภาพภายในห้องนี้เหมือนกับเป็นห้องที่ร้างคนอาศัย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกผ้าขาวที่มีขนาดเดียวกันคลุมไว้ หยากไย่ตามเพดาน ซอกมุมต่างๆ ยิ่งทำให้ดูราวกับร้างคนมานานนับร้อยปี จะมีเพียงแต่เตียงนอนตรงหน้าของทั้งคู่เท่านั้นที่บ่งบอกว่าเป็นห้องนอนหากไม่มีมันคนทั้งคู่คงคิดว่าตนมาอยู่ภายในห้องเก็บของ
“ดินเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเรามาโผล่อยู่ที่นี่” ด้วยอารามตกใจแก้วกาญจึงเผลอตะโกนถามบดินทร์แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแก้วกาญจึงหันไปดูบดินทร์พบว่าบดินทร์ได้ไปนั่งขัดสมาธิกับพื้นตาทั้งสองข้างปิดสนิทลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
“อะไรของนาย! เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มานั่งสมาธิอีก!” แก้วกาญที่ยังไม่หายตกใจจึงเผลอตะคอกถามบดินทร์ด้วยอารมณ์ ร่างบางก็กระสับส่ายไปมาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว การที่อยู่ๆโผล่มาในสถานที่อื่นทั้งๆที่เมื่อสักครู่ยังอยู่ในอีกที่หนึ่งแท้ๆทำให้แก้วกาญตกใจจนสติแตกจากที่เป็นคนขี้โวยวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่แปลกที่แก้วกาณจะแสดงกิริยาเช่นนี้
“ฟู่...” บดินทร์ลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์ตกใจที่คุกกรุ่นอยู่ในอก เมื่อสติของบดินทร์กลับมาครบถ้วนแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปจับไหล่แก้วกาญที่ตอนนี้สติแตกกระสับกระส่ายมองไปทั่วห้องอย่างไม่เข้าใจในเหตุการณ์
“แก้ว!” ร่างบางยังสั่นหัวไปมาอยู่จนบดินทร์ต้องเขย่าร่างของแก้วกาญเพื่อเรียกสติ “ แก้ว! เธอมีสติหน่อย!” เมื่อสติของแก้วกาญเริ่มกลับมาแล้วบดินทร์จึงลดระดับเสียงลง “หลับตาลงซะแก้วแล้วนับหนึ่งถึงร้อยในใจนับช้าๆละ ตอนนี้เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเรียกสติกลับมาก่อน เดี๋ยวเรื่องที่เกิดขึ้นค่อยคุย” แก้วกาญก็ทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานนักเธอก็ลืมตาขึ้นเมื่อสงบใจได้แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นดินทำไมห้องนอนของแม่ดินเปลี่ยนไปเป็นห้องนอนร้างแบบนี้...” แก้วกาญถามด้วยน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย ในตอนที่เธอหลับตาสงบใจอยู่นั้นเกิดเรื่องแปลกๆกับเธอด้วยเธอเหมือนจะได้ยินเสียงของบดินทร์ในหัวไม่ใช่ทางหู เหตุแปลกๆที่เกิดขึ้นช่วยผลักดันความกลัวของแก้วกาญให้ออกมาทางน้ำเสียงได้อย่างชัดเจน
“ฉันก็ยังไม่รู้อะไรมากนักแต่ฉันพอรู้ว่าตัวการมันคืออะไร” ดินพูดจบก็เล่าเรื่องก่อนหน้าที่แก้วกาญจะเข้ามาพบจนถึงตอนที่ดินนั่งลูบหัวอยู่บนพื้นห้องของเกวลิน
“นี่สรุปเพราะไอ้ของประหลาดนั่นใช่ไหมที่ทำให้ห้องของแม่นายเปลี่ยนเป็นแบบนี้” แก้วกาญพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนห้องจากห้องแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งได้
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉันเห็นตอนมันเปล่งแสงพอดี” บดินทร์ว่าจบก็เดินไปยังประตูเตรียมจะเปิดออก แต่ก็หันมาพูดกับแก้วกาญก่อน “แก้วอย่างนั้นเดี๋ยวฉันลงไปบอกปู่เรื่องสภาพห้องของแม่ก่อน เธอหาวัตถุประหลาดนั่นให้หน่อยนะเผื่อมันมีวิธีทำให้ห้องเป็นเหมือนเดิม” แก้วกาณพยักหน้ารับทราบ
มือแกร่งบิดลูกบิดประตูออกภายนอกประตูที่บดินทร์เห็นมันแตกต่างจากเดิมแบบไม่มีเคล้าเหมือนเลยสักนิด บดินทร์ปิดประตูแล้วเปิดประตูใหม่อีกทีเผื่อตัวเองจะตาฝาด แต่ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่ว่าจะเปิดปิดอีกกี่ที แก้วกาญที่เห็นท่าทางแปลกๆของบดินทร์จึงถามออกมาด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอดิน”
บดินทร์ไม่ตอบแต่กลับพูดขึ้นมาว่า “แก้วฉันว่าเธอมาดูเองดีกว่า แต่คราวนี้อย่าสติแตกอีกล่ะ” แก้วกาญพยักหน้าแต่ก็ยอมไปเปิดประตูแต่โดยดี สิ่งที่แก้วกาญเห็นนั้นเป็นทางเดินโล่งๆแทนที่จะเป็นทางเดินตรงไปยังบันไดบ้าน ที่แปลกตากว่านั้นคือมีแจกันเก่าๆวางอยู่ใต้ภาพทิวทัศน์อะไรสักอย่างที่เธอไม่เคยเห็น บนเพดานก็มีหยากไย่เกาะเต็มไปหมด ทางเดินที่เคยเป็นกระเบื้องกลับกลายเป็นไม้ที่ดูผุพังเหมือนผ่านมานานหลายปี สีหน้าตกใจของแก้วกาญยิ่งฉายชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เธอจะสติแตกไปมากกว่านี้ บดินทร์ก็ชิงปิดประตูเสียก่อน
“ดิน...ทำไม...อะไร...ยังไง” แก้วกาญที่ตอนนี้คงจะสติแตกเป็นรอบที่สองกล่าวอย่างคนไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้
“แก้วฉันว่าเธอทำใจให้สงบก่อนดีไหม คุยกับเธอตอนนี้ฉันไม่รู้เรื่องพอดี” แก้วกาญพยักหน้าก่อนจะใช้วิธีสงบใจเช่นเดิมกับที่ผ่านมา
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลยเถอะ สาธุ...” แก้วกาญที่สงบใจได้แล้วหันมามองบดินทร์ด้วยความสงสัย
“หมายความว่าไงดิน?”
“ฉันก็ยังไม่รู้อะไรแน่ชัดถ้ายังไม่ได้พิสูจน์” บดินทร์ไม่ตอบแต่เดินไปยังหน้าต่างที่มีผ้าม่านปิดไว้ก่อนจะกระชากอย่างแรงจนผ้าม่านขาดติดมือ ข้างนอกตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้วแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ทั้งคู่สนใจ ทิวทัศน์ที่บดินทร์และแก้วกาญเห็นต่างหาก ที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ทั้งคู่จมอยู่กับความคิดตัวเองนานหลายนาทีก่อนที่แก้วกาญจะเอ่ยทำลายความเงียบ
“ไม่ใช่เราข้ามมิติมาหรอกนะ” แก้วกาญเอ่ยคำที่ตรงใจบดินทร์เป็นอย่างมาก
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่จากสิ่งที่เราเห็นฉันว่าใช่แล้วแหละ....” บดินทร์พูดยืนยันสิ่งที่แก้วกาญคิด แก้วกาญทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าโดยไม่สนว่าพื้นจะมีฝุ่นมากขนาดไหน
“ฉันนึกว่าการข้ามมิติจะมีแต่ในนิยายในหนังเสียอีก” บดินทร์พูดจบก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกับแก้วกาญที่ตอนนี้กอดเข่าร้องไห้ไปแล้ว ใช่ว่าเขาจะไม่เสียใจที่ต้องจากบ้านจากปู่มาแบบนี้แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้ในขณะมีผู้หญิงอีกคนนั่งกอดเข่าร้องไห้ หากเขาแสดงความอ่อนแอออกมาศักศรีดิ์ของเขาคงไม่เหลือ และที่สำคัญกำลังใจของแก้วกาญคงต้องถูกบั่นทอนลงอย่างแน่นอน
“ดินถ้าพ่อกับแม่ฉันกลับมาบ้านแล้วไม่เจอฉันท่านจะเป็นอย่างไร แล้วปู่เจียงล่ะจะรู้หรือยังว่าเราเผลอหลุดมาอีกมิติหนึ่งแบบนี้ ไม่รู้ว่าเราจะหาทางกลับบ้านได้หรือเปล่า” แก้วกาญพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่าเหมือนเดิม
“ฉันว่าป่านนี้ปู่น่าจะรู้แล้วล่ะคงหาเราให้วุ่น ใช่ว่าเราจะกลับมิติเดิมไม่ได้สักหน่อยเพียงแต่ตอนนี้เรายังหาวิธีไม่ได้เท่านั้นเอง...” บดินทร์พูดปลอบโยนแก้วกาญก่อนจะเสหน้ามองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแต่มีดวงดาวส่องแสงระยิบระยับมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้บดินทร์และแก้วกาญมั่นใจว่านี่ไม่ใช่โลกเดิมคือดวงจันทร์ดวงโตที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกหลายเท่าเป็นมีสีชมพูอ่อนๆ บดินทร์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะจับหัวแก้วให้มาพิงไหล่
“แก้วฉันว่าเรานอนก่อนดีกว่าไหมที่นี่ตอนนี้คงจะดึกมากแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาช่วยกันคิดหาทางออก” ตอนนี้แก้วกาญไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดตอบโต้อะไรทั้งนั้นจึงยอมพิงไหล่บดินทร์แต่โดยดี
“พื้นมีฝุ่นเยอะหน่อยเธอทนนอนไปก่อนนะ...ฝันดีครับ” แก้วกาญพยักหน้ารับอย่างง่ายๆก่อนจะหลับตาลงเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็วทำให้ประโยคสุดท้ายที่บดินทร์พูดไม่แม้แต่จะเข้าโสตประสาทเธอ
แสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ ความอบอุ่นของแสงแดดยามเช้าช่วยปลุกแก้วกาญที่ตอนนี้หลับพิงไหล่ของบดินทร์ให้ตื่นขึ้น เมื่อเธอปรับโฟกัสสายตาได้ ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ไม่ให้ตกใจได้ไงล่ะ เธอเล่นนอนซบไหล่บดินทร์ขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นคือเธอกอดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามน่ะสิ!
“ทำไมเรามานอนท่านี้ได้เนี่ย?” แก้วกาญอุทานด้วยความสงสัย ใบหน้าสวยแดงซ่านจนถึงใบหู ก่อนจะค่อยขยับร่างกายออกจากเหตุการณ์หมิ่นเหม่นี่โดยเบาที่สุด เพื่อป้องกันบดินทร์ตื่น
แต่คนฝึกลับประสาทสัมผัสจนคมกริบอย่างบดินทร์มีหรือจะไม่รู้ตัว ความจริงบดินทร์รู้ตัวตั้งแต่ตอนที่แก้วกาญตื่นแล้วแต่ด้วยท่านอนที่ออกจะล่อแหลมเล็กน้อยบดินทร์จึงต้องแกล้งหลับไม่รู้เรื่องไปก่อน
หลังจากที่แก้วกาญห่างจากบดินทร์ได้พอสมควรแล้วบดินทร์จึงลืมตาขึ้นทำทีเหมือนเพิ่งตื่น “ฮ้าว...อรุณสวัสดิ์แก้ว” บดินทร์อ้าปากหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจเพื่อให้ดูเนียนที่สุด
“อะ...อืม” แก้วกาญตอบตะกุกตะกักใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ ‘ดีนะที่ดินเพิ่งตื่นไม่งั้นได้มุดดินหนีแน่’ แก้วกาญคิดในใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าแก้วทำไมถึงหน้าแดงจัง...” ถึงแม้บดินทร์จะรู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่คนที่มีสันดารกวนประสาทเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เล่น
“ปะ...เปล่า อากาศร้อนเนอะทั้งๆที่เพิ่งจะเช้า...” แก้วกาญเสหน้าไปทางอื่นมือก็พัดหน้าทำทีว่าร้อนจริง ทั้งๆที่อากาศตอนนี้ถือว่าดีทีเดียว บดินทร์ได้แต่ลอบยิ้มในใจ ‘ไม่พอหรอก หึหึ แกล้งแก้วสนุกจะตาย’ บดินทร์คิดในใจก่อนจะพูดออกมา
“แก้วเราว่าอากาศเย็นสบายดีออกไม่เห็นจะร้อนเลย...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคแก้วกาญก็พูดขึ้นมาก่อน
“เออนะ! ช่างมันเถอะ!...ถามเซ้าซี่อยู่ได้ตาบ้า” แก้วกาญที่ไม่อยากถูกต้อนมากกว่านี้จึงโวยวายออกมาตัดปัญหาแต่ในท้ายประโยคแก้วกาญพูดกับตัวเองเสียงเบามาก แต่มีหรือบดินทร์จะไม่ได้ยิน
“เมื่อกี๊เธอว่าอะไรนะแก้ว ฉันไม่ได้ยิน” ถึงจะรู้ว่าแก้วกาญพูดอะไรแต่คนมันอยากแกล้งทำอย่างไรได้ ใช่ไหม!
“ช่างมันเถอะน่า! ชิส์” แก้วกาญกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นทำทีเป็นสำรวจห้องนอนฝุ่นเขรอะที่ตนนอนมาตั้งแต่เมื่อคืน ฝ่ายบดินทร์เองก็เลิกแกล้งเธอแล้วเพราะไม่อย่างนั้นถ้าแก้วกาญองค์ลงคนที่ซวยจะเป็นเขาเสียเอง
แสงแดดที่เริ่มส่องเข้ามาจนสว่างไปทั่วห้อง ยิ่งเผยให้เห็นว่าห้องนี้ถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน ฝุ่นที่จับจนหนาเป็นนิ้วๆ หยากไย่ตามเพดานเยอะแยะเต็มไปหมด แก้วกาญที่กำลังเดินสำรวจห้องนอนห้องนี้ หางตาเธอบังเอิญเห็นแสงสะท้อนวัตถุอะไรบางอย่างที่ตกอยู่ตรงใต้เตียง (เป็นเตียงแบบมีขาเตียง) จึงสะกิดบดินทร์ที่ตอนนี้กำลังมองสำรวจห้องนอนเช่นกัน
“ดิน เหมือนมีอะไรอยู่ใต้เตียงนะ ฉันเห็นแสงสะท้อนเมื่อกี๊” แก้วกาญชี้ไปยังใต้เตียงมุมหนึ่งที่เธอพบแสงสะท้อนเข้า
บดินทร์พยักหน้ารับทราบก่อนจะก้มกวาดมองใต้เตียงเมื่อเจอของบางอย่างจึงยื่นมือเข้าไปหยิบ บดินทร์เอาของสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณา มันเป็นแหวนเงินที่มีเพชรเม็กเล็กๆฝังไว้รอบๆ มีเพชรเม็ดใหญ่สุดอยู่ตรงกลางแหวน
“แหวนเพชรงั้นเหรอ สวยจริงๆ” แก้วกาญเปรยๆขึ้น ดวงตาทอประกายลุ่มหลง ผู้หญิงย่อมต้องชอบอัญมณีเป็นธรรมดายิ่งอัญมณีที่ได้รับการเจียระไนและออกแบบจนสวยงามยิ่งดึงดูดเข้าไปใหญ่ ขนาดแหวนเพชรวงนี้มีฝุ่นเกาะก็ยังไม่อาจบดบังประกายแวววาวของเพชรน้ำดีได้
บดินทร์ขมวดคิ้วแน่น ‘ทำไมถึงคุ้นกับแหวนวงนี้แบบนี้นะ’ บดินทร์พยายามนึกทบทวนว่าเคยเจอแหวนวงนี้หรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ออกแต่บดินทร์มั่นใจอยู่อย่างว่าเคยเจอแหวนวงนี้แน่นอน
บดินทร์ใช้สายตาพิจารณาแหวนจนทั่ว แต่ด้วยความที่บดินทร์มีสายตาที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่มากจึงมองเห็นสิ่งผิดปกติอยู่อย่าง ใต้แผ่นฝุ่นที่เกาะแหวนเหมือนจะมีข้อความบางอย่างสลักไว้ บดินทร์จึงตัดสินใจใช้เสื้อเช็ดแหวนวงนั้นจนสะอาด ไม่ผิดไปจากที่คิดมีข้อความเขียนอยู่จริงๆ แต่เป็นข้อความที่ทำให้บดินทร์ถึงกับเผยสีหน้าตกใจแกมประหลาดใจออกมา
เกวลิน ♡ เดชา
‘ชื่อพ่อกับแม่เรานี่นา แล้วทำไมแหวนวงนี้ถึงมีชื่อพ่อกับแม่เราได้ละ’ ยิ่งมองพิจารณาแหวนไปเรื่อยๆก็เหมือนบดินทร์จะจำได้มากขึ้นทุกที ภาพความทรงจำหนึ่งที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมา ทำเอาบดินทร์คิดออกทันทีว่าแหวนวงนี้เขาเคยเจอที่ไหน
“แก้วฉันว่าแม่ฉันอาจจะอยู่โลกนี้ก็เป็นได้” บดินทร์ก็พูดออกมาหลังจากเงียบไปนาน
“หืม? อะไรนะ แล้วดินรู้ได้ไง” แก้วกาญออกจะแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆบดินทร์ก็พูดเรื่องแม่ของตัวเองที่หายไปขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เธอลองดูเองสิ ฉันว่าเธอน่าจะเคยเจอแหวนวงนี้อยู่ ลองนึกดีดี” บดินทร์ยื่นแหวนไปให้แก้วกาญดู แก้วกาญรับไปดูด้วยสีหน้าสงสัย แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของแหวนดีๆแล้วเธอยิ่งทำสีหน้าตกใจ เพราะมันเหมือนมาก ยิ่งข้อความที่สลักไว้อีก
“ดิน! นี่มันแหวนของคุณป้านี่ ทำไมมาอยู่นี่ละ!” บดินทร์พยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะหยิบแหวนคืนมาแล้วร้อยแหวนเข้าสร้อยพระที่เขาใส่ประจำ สร้อยพระเส้นนี้คุณพ่อของเขาให้ไว้เพื่อป้องกันอันตรายเห็นคุณพ่อบ่นนักบ่นหนาว่าพระองค์นี้ศักสิทธิ์มาก
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...” แต่พอบดินทร์ลองนึกย้อนทวนถึงสิ่งที่เจอมาก็มีความเป็นไปได้ที่แม่ของเขาจะถูกแสงสีรุ้งประหลาดนั่นส่งมา
“แก้วฉันว่าอาจจะเป็นแสงสีรุ้งนั่นก็ได้ เธอคิดว่าไง?” บดินทร์ถามความเห็นแก้ว แก้วเป็นคนที่มีมันสมองเป็นเลิศอยู่แล้วตอนที่เธอมีสตินะนะ แก้วกาญใช้เวลาปะติดปะต่อเรื่องราวเล็กน้อยจึงตอบบดินทร์ออกมาตามความคิดของตน
“มีความเป็นไปได้สูงอยู่พอสมควร แต่แก้วสงสัยเงื่อนไขมันนิดหน่อย...” แก้วกาญพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ต่อ ‘ในเมื่อวัตถุประหลาดชิ้นที่บดินทร์เล่าให้เราฟังจะเปล่งแสงออกมาก็ต่อเมื่อโดนแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วทำไมช่วงเวลาที่แม่บ้านมาทำความสะอาดในตอนเช้าถึงไม่ถูกส่งมาที่นี่ละ ทั้งๆที่จุดที่ดินไปเจอวัตถุประหลาดนั่นก็โดนแสงอาทิตย์ง่ายอยู่แล้ว...ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ’
“สงสัยเงื่อนไขอะไรหรือแก้ว” บดินทร์ที่ทำหน้าเหรอหราเพราะเปลี่ยนอารมณ์ตามแก้วกาญไม่ทันถามขึ้น
“ช่างมันเถอะดิน ตอนนี้ยังคิดไม่ออก เดี๋ยวถ้าจะคิดออกมันก็ออกเองแหละ” แก้วกาญว่าปัดๆพลางทิ้งสิ่งที่ขบคิดอยู่เมื่อสักครู่ออกจากหัว ในเมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไร แลวจะคิดทำไมให้เปลืองสมอง ใช่ไหมละ!
“แต่คือว่าตอนนี้แก้ว...แก้ว...” แก้วกาญบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย
“ตอนนี้อะไรแก้ว มาแก้วแก้วอยู่นั่นละแล้วฉันจะรู้ไหมเนี่ย” บดินทร์อดตำหนิไม่ได้ มากงมาแก้วอยู่นั่นละมีอะไรก็บอกมา “แต่ไอ้ท่าทางเขินอายนั่นไม่เหมาะกับเธอเลยจริงๆ อย่าทำใส่ใครละเดี๋ยวเขาฝันร้าย ฮ่าๆ” บดินทร์กุมท้องปล่อยก๊ากออกมาโดยไม่ไว้หน้าแก้วกาญแม้แต่น้อย
เพี๊ยะ!
“ตาบ้า! เดี๋ยวเจอดีปากเหรอนั่น” แก้วกาญมองบดินทร์ตาเขียว คนอะไรกวนประสาทที่สุด!
“ขอโทษๆ แล้วสรุปว่ามีอะไร...ฟู่ เจ็บฉิบเลยว่ะ” บดินทร์ว่าหน่ายๆมือก็ลูบต้นแขนที่โดนตีไปด้วย ผู้หญิงบ้าอะไรมือหนักชะมัด!
“ฉันปวดฉี่! จบไหม!” ด้วยความที่แก้วกาญอารมณ์เสียไปแล้วจึงตะคอกใส่ดินระบายอารมณ์
“อ๋อ เรื่องแค่นี้เอง อั้นไว้ก่อนเดี๋ยวไปขอคนแถวนี้เข้าห้องน้ำเอา บ้านร้างน้ำไฟน่าจะใช้ไม่ได้ แก้วฉี่ไปก็เหม็นเปล่าๆ” บดินทร์พูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ประโยคที่บอกมาถึงกับทำให้แก้วกาญฟิวส์ขาดวิ่งไล่เตะบดินทร์ที่พลิ้วตัวหลบได้ทุกครั้ง
“แน่จริงอย่าหลบเซ่! ไอ้นิสัยกวนบาทานั่นมันน่าโมโหจริงๆ มาให้แม่ตบสั่งสอนซะดีๆ” ด้วยประการฉะนี้หากมองจากภายนอกบ้านแล้ว บดินทร์กับแก้วกาญจะดูเหมือนเป็นคู่สามีภรรยาที่กำลังวิ่งหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
ตอนแรกบดินทร์ไม่มีจุดมุ่งหมายใดในโลกแห่งนี้ แต่ตอนนี้เขามีแล้วคือ...ต้องตามหาแม่ให้พบ!
Loading...100%
*************************************************************************************
สวัสดีครับขอโทษที ที่ไรท์หายไปนาน
ไรท์มาต่อให้เเล้วครับหวังว่าจะโอเคนะ
คำผิดก็แก้ให้เเล้วครับถ้าตกหล่นตรงไหน
เเจ้งด้วยครับ เจอกันตอนหน้าครับ
1 เม้น=1 กำลังใจ
HaMs_TeR
ความคิดเห็น