ลำดับตอนที่ #80
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #80 : [TD] โทโยซาโตะมิมิ โนะ มิโกะ
[C]http://sabre.exteen.com/20110816/td-allcharacter
http://sabre.exteen.com/20121221/sop-miko
โทโยซาโตะมิมิ โนะ มิโกะ
Toyosatomimi no Miko
ความสามารถ : ฟังเรื่องราวของสิบคนได้ในเวลาเดียวกัน
ความอันตราย : ต่ำ
ความเป็นมิตรต่อมนุษย์ : สูงมาก
สถานที่หลักในการทำกิจกรรม : ผลุบๆโผล่ๆ
อัจฉริยะผู้ถือกำเนิดในคอกม้า ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก
ตัวเธอซึ่งถือกำเนิดมาอย่างสูงศักดิ์นั้นได้ยินได้ฟังคำร้องทุกข์มากมายมาตั้งแต่เด็ก
เหล่าข้าราชบริพารคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่อง, เธอจึงตกเป็นเรื่องพูดเล่นสนุกปากของเหล่าข้าราชบริพารอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่ามิโกะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง, และสามารถชี้แนะได้อย่างถูกต้องแม่นยำในทันที
ข่าวลือดังกล่าวแพร่สะพัดไปในสังคม ทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในฐานะนักบุญ
แต่เธอก็มีเรื่องข้องใจที่พบได้เฉพาะในพวกอัจฉริยะอยู่เหมือนกัน
「ผืนปฐพีไม่เคยแปรเปลี่ยนไปจากยุคของเหล่าเทพ, ท้องทะเลยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ
แล้วเหตุใด, มนุษย์จักต้องยอมรับความตายด้วยเล่า」
เธอรู้สึกไม่พอใจโชคชะตาที่จะต้องตายของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
เซย์กะได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับมิโกะ จึงคิดว่าต้องเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่ และมาแนะนำลัทธิเต๋าให้แก่มิโกะ
เซย์กะเล่าว่า, ลัทธิเต๋าบูชาธรรมชาติ, และสามารถทำให้ความไม่แก่ไม่ตายเป็นจริงได้ด้วยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
มิโกะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
แต่ในเวลาเดียวกัน, เธอบอกแก่เซย์กะว่า, แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็มิอาจทำให้ประเทศสงบสุขได้ด้วยศาสนาที่ว่านั้น
เซย์กะคิดว่าถ้าเพื่อให้ความปรารถนาของตนเป็นจริงแล้ว เรื่องการเมืองของประเทศจะเป็นยังไงก็ช่าง, แต่มิโกะไม่คิดแบบนั้น
เซย์กะจึงพูดว่า, ถ้าเช่นนั้นก็เอาแบบนี้สิ, จากนั้นเธอก็เสนอเรื่องการใช้ศาสนาพุทธเป็นฉากหน้า
เธอเล่าว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด
มิโกะจึงยอมรับว่า หากเป็นแบบนั้นประเทศก็คงจะสงบสุขได้
มิโกะเผยแผ่ศาสนาพุทธไปทั่ว
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนคนธรรมดาไม่มีพลังใดๆ
และทำการวิจัยลัทธิเต๋าอยู่เบื้องหลัง
ผลที่ได้คือ การแสดงความสามารถเหนือมนุษย์และกลายเป็นตำนานมากมาย จนเป็นที่รู้จักไปทั่ว
จากนั้นก็ทำการวิจัยเรื่องความไม่แก่ไม่ตายอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายต่อโดยไม่รั้งรอ
เธอเคยใช้สารหายากหลายๆอย่าง เช่น ชาด (เกิดจากกำมะถันและปรอท = เป็นพิษร้ายแรง)
มันกัดกร่อนร่างกายของเธอไปทีละน้อย
ร่างกายของเธอจึงถูกทำลายลงด้วยวิชาเต๋าที่น่าจะนำความไม่แก่ชราและอายุยืนมาให้แก่เธอ
มิโกะไม่คิดจะรออีกต่อไปด้วยร่างกายนี้แล้ว, จึงตัดสินใจที่จะเป็นเซียนถอดวิญญาณ
เซียนถอดวิญญาณคือวิชาลับที่จะต้องตาย(หรือทำให้เห็นว่าตายไปแล้ว)หนึ่งครั้ง แล้วคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เธอกลัวที่จะต้องทำคนเดียว, จึงเอาไปเล่าให้ฟุโตะฟัง, และพยายามให้ฟุโตะเข้าสู่การหลับใหลก่อน
ฟุโตะเชื่อในพลังของมิโกะ จึงยอมเป็นเข้ารับการทดลอง
หลังจากที่ตายไปแล้ว, ฟุโตะก็หลับใหลเรื่อยมาโดยไม่เน่าเปื่อย, เมื่อมิโกะตรวจสอบยืนยันเสร็จก็เข้าสู่นิทราบ้าง
ตามแผนของมิโกะ, เธอกำหนดให้ตัวเองคืนชีพขึ้นในเวลาที่ประเทศรู้สึกถึงขีดจำกัดของศาสนาพุทธ และแสวงหานักบุญ
แต่สิ่งที่คาดไว้กลับผิดพลาด, เพราะศาสนาพุทธปกครองประเทศนี้อย่างยาวนานเกินกว่าพันปี
แผนการของมิโกะรั่วไหลออกไป
เหล่านักบวชแห่งศาสนาพุทธผู้มากด้วยพลังจึงผนึกฮวงซุ้ยของมิโกะมาอย่างต่อเนื่อง, ทำให้เธอไม่สามารถคืนชีพได้
มิโกะจึงไม่รีบร้อน และคิดว่าจะคืนชีพเมื่อไหร่ก็ได้ จึงหลับใหลเรื่อยมา
และเวลาแห่งการคืนชีพก็มาถึงในที่สุด
สาเหตุก็คือ, ผู้คนเริ่มเล่าขานว่าตำนานทั้งหมดของเธอล้วนเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ปัจจุบันไม่มีมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์แล้ว
ผลงานอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดของเธอจึงถูกเชื่อว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งตัวเธอและฮวงซุ้ยจึงย้ายเข้ามาสู่เกนโซวเคียว
ซึ่งในเวลานั้น, เกนโซวเคียวไม่มีวัดอยู่เลย, เธอจึงพร้อมแก่การคืนชีพขึ้นมาเมื่อไรก็ได้
แต่ ณ ตอนนั้นเอง กลับมีการสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้น
แถมยังอยู่เหนือฮวงซุ้ยอย่างพอดิบพอดีอย่างกับเล็งเอาไว้
มันคือ วัดเมียวเรนจิ นั่นเอง
มิโกะจะถูกกดขี่อีกครั้งโดยนักบวชแห่งศาสนาพุทธงั้นหรือ
หรือจะต้องต่อสู้กับนักบวชงั้นหรือ
เฉกเช่นเดียวกับการสู้ตายระหว่างโมโนโนเบะ(เหล่าเทพโบราณ)กับโซะกะ(ศาสนาพุทธ)เหมือนในอดีต
ปัจจุบันเธอกลายเป็นเซียนที่เหนือล้ำกว่ามนุษย์ไปแล้ว
แต่ยังไม่อาจตัดขาดความผูกพันธ์ที่มีต่อทางโลกได้ จึงมักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสังคมมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง
คงเป็นความอาลัยอาวรณ์ในสมัยที่ตนยังเป็นนักปกครองอยู่กระมัง
ลักษณะนิสัยจัดว่าผิดคาด เพราะเธอเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งขรึม
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากันโดยตรง กลับรู้สึกว่าไม่มีช่องว่างให้เห็นเลย หรือจะเรียกว่าถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งดีก็ไม่รู้ จึงรู้สึกยำเกรงขึ้นมา
{ความสามารถ}
เป็นความสามารถที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
แต่เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และจริงๆแล้วเธอยังมีความสามารถเหนือมนุษย์อย่างอื่นอยู่อีก
จะเรียกว่าเป็นยอดมนุษย์มาตั้งแต่เกิดก็คงได้ล่ะมั้ง
การทำความเข้าใจเรื่องราวหลากหลายในเวลาเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ข้าพเจ้ามีความสามารถในการไม่ลืมเรื่องที่เคยได้ยินก็จริง แต่ก็สามารถจดจำได้ทีละเรื่องตามลำดับเท่านั้น
หากมีคนสองคนมาพูดให้ฟังในเวลาเดียวกัน ส่วนมากจะจำได้เพียงว่าใครเป็นคนพูดเท่านั้น
และต่อให้จำได้ว่าใครพูดก็ไม่สามารถเข้าใจและตอบกลับไปได้
จึงไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนใดที่สามารถทำได้
แต่การที่หูดีเกินไปก็เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตตามปกติ
เธอจึงสวมที่ครอบหูเอาไว้ มันเป็นไอเทมสำหรับตัดเสียงของผู้คนเพื่อทำให้จิตใจสงบ
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกแบบ คือได้ยินเฉพาะเสียงที่เบาบางราวกับจะเลือนหายไปเพราะมีระดับเสียงตรงข้ามกับเสียงผู้คนเหล่านั้น
เรียกว่ามี หู เป็นเครื่องมือทำมาหากินก็ยังได้เลยล่ะมั้ง
ปกติแล้วต่อให้ไม่พูดออกมาโดยตรง มนุษย์เราก็สามารถรู้สิ่งที่ผู้อื่นต้องการได้จากวิธีการพูด สีหน้า และท่าทาง
แต่เชื่อกันว่าเธอมีความสามารถในด้านนี้สูงล้ำกว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก
เธอสามารถรู้ว่าต้องการอะไร และรู้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ความต้องการดังกล่าวก่อตัวเป็นคนผู้นั้นขึ้น
ความสามารถของเธอเป็นความสามารถที่ใกล้เคียงกับการอ่านใจ
แต่ต่างกันตรงที่ การอ่านใจคือการอ่านอดีตและความคิดในปัจจุบัน ส่วนตัวเธอจะอ่านจากนิสัยใจคอและอนาคตของบุคคลนั้น
{ศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋า}
ผู้คนเคยเชื่อกันว่าเธอมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในศาสนาพุทธ แต่จริงๆแล้วศาสนาพุทธเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น
เป้าหมายของศาสนาพุทธคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อโลกแห่งการเมืองที่จำเป็นต้องมุ่งหวังความสงบสุข
เธอคิดว่าเมื่อประชาชนเลื่อมใสในศาสนาพุทธ ก็จะไม่ต่อต้านผู้มีอิทธิพลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ความเชื่อที่ถูกเผยแผ่ในเวลาเดียวกับศาสนาพุทธก็คือ ลัทธิเต๋า
แนวคิดพื้นฐานของลัทธิเต๋าคือการทำความเข้าใจในธรรมชาติและจักรวาล แล้วทำให้มันกลายเป็นสมบัติส่วนตน
จึงเป็นความเชื่อที่น่าหลงใหลสำหรับมนุษย์ที่หมายปองความเป็นใหญ่
ความต่างจากศาสนาพุทธเช่นนี้เอง ทำให้จินตนาการได้ง่ายว่าหากแพร่หลายออกไปแล้วจะทำให้สังคมยุ่งเหยิงปั่นป่วน
เพราะว่าการโค่นล้มผู้มีอิทธิพลซึ่งมีพลังติดตัว จำเป็นต้องมีพลังที่เหนือกว่า
ตัวเธอหมายปองพลังเหนือธรรมชาติ ในขณะที่ใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมือง
พลังที่เธอต้องการมากที่สุดในบรรดาพลังทั้งหมด ก็ไม่ได้แตกต่างจากความต้องการของผู้มีอิทธิพลคนอื่น นั่นคือความไม่แก่ไม่ตาย
ดูเหมือนเธอจะเลื่อมใสในลัทธิเต๋าเพราะเหตุผลดังกล่าว เพราะจริงๆแล้วเป้าหมายสูงสุดของลัทธิเต๋าก็คือ ความไม่แก่ไม่ตาย นั่นเอง
{มาตรการรับมือ}
ได้ยินมาว่ามีมนุษย์ในหมู่บ้านจำนวนมากต้องการเป็นลูกศิษย์ของเธอ
มันก็จริงที่ว่าถ้าได้วิชาเซียนมาติดตัวคงทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่เธอคงคิดว่าลูกศิษย์พวกนั้นเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น
คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ลูกศิษย์ของเซียนจึงเป็นเพียงเด็กวิ่งส่งของเท่านั้น(*2)
*2 [เซียนจะใช้พลังเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสอนให้ผู้อื่นเลย]
ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่า ถ้าแค่อยากได้พลังเหนือมนุษย์มาประดับกายล่ะก็
เลิกคิดจะเป็นลูกศิษย์ของเซียนด้วยความคิดตื้นๆแบบนั้นจะดีกว่า
อีกอย่าง หากได้พลังแบบเซียนมาติดตัว อาจทำให้ถูกยมทูตจ้องเอาชีวิตก็เป็นได้
และนั่นต้องไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ
จะว่าไปแล้วตัวเธอเองก็ให้ความร่วมมือกับมนุษย์เป็นอย่างดี จึงไม่น่าจะต้องหวาดกลัวอะไร
ถ้าเกิดเรื่องไม่ดี เช่น โดนโยวไคไล่ตาม ลองหนีไปหาเธอก็น่าจะได้รับความช่วยเหลือ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทางเข้าบ้านของเธอถูกซ่อนไว้ที่ไหนก็เถอะ......(*3)
*3 [ถ้าตะโกนว่า "ช่วยด้วย--- มิโกะเอม่อน---" เธออาจจะได้ยินเพราะหูดีก็เป็นได้]
(ล้อโนบิตะตอนวิ่งมาขอให้โดราเอม่อนช่วยเหลือ......ว่าแต่เธอเคยอ่านด้วยเหรอ อาคิว = _=)"......)
Tips :
- ต้นแบบของเธอคือ มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ บุตรแห่งจักรพรรดิโยวเมย์ (โชวโทะคุ = ทรงธรรม, ราชธรรม) และเป็นที่มาของฉายาของเธอ
- มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ ถือกำเนิดที่หน้าประตูคอกม้า จึงเป็นที่มาของเนื้อหาบทแนะนำมิโกะข้างต้น
- มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า โทโยซาโตะมิมิ จึงเป็นที่มาของนามสกุลของมิโกะ
- เล่ากันว่า มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ เคยรับฟังคำร้องทุกข์ของสิบคนในเวลาเดียวกัน และสามารถให้คำตอบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
จึงเป็นที่มาของความสามารถของมิโกะ และเป็นที่มาของชื่อภาค Ten Desires (ความปรารถนาทั้งสิบ)
http://sabre.exteen.com/20121221/sop-miko
โทโยซาโตะมิมิ โนะ มิโกะ
Toyosatomimi no Miko
ความสามารถ : ฟังเรื่องราวของสิบคนได้ในเวลาเดียวกัน
ความอันตราย : ต่ำ
ความเป็นมิตรต่อมนุษย์ : สูงมาก
สถานที่หลักในการทำกิจกรรม : ผลุบๆโผล่ๆ
อัจฉริยะผู้ถือกำเนิดในคอกม้า ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก
ตัวเธอซึ่งถือกำเนิดมาอย่างสูงศักดิ์นั้นได้ยินได้ฟังคำร้องทุกข์มากมายมาตั้งแต่เด็ก
เหล่าข้าราชบริพารคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่อง, เธอจึงตกเป็นเรื่องพูดเล่นสนุกปากของเหล่าข้าราชบริพารอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่ามิโกะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง, และสามารถชี้แนะได้อย่างถูกต้องแม่นยำในทันที
ข่าวลือดังกล่าวแพร่สะพัดไปในสังคม ทำให้เธอได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในฐานะนักบุญ
แต่เธอก็มีเรื่องข้องใจที่พบได้เฉพาะในพวกอัจฉริยะอยู่เหมือนกัน
「ผืนปฐพีไม่เคยแปรเปลี่ยนไปจากยุคของเหล่าเทพ, ท้องทะเลยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ
แล้วเหตุใด, มนุษย์จักต้องยอมรับความตายด้วยเล่า」
เธอรู้สึกไม่พอใจโชคชะตาที่จะต้องตายของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
เซย์กะได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับมิโกะ จึงคิดว่าต้องเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่ และมาแนะนำลัทธิเต๋าให้แก่มิโกะ
เซย์กะเล่าว่า, ลัทธิเต๋าบูชาธรรมชาติ, และสามารถทำให้ความไม่แก่ไม่ตายเป็นจริงได้ด้วยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
มิโกะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
แต่ในเวลาเดียวกัน, เธอบอกแก่เซย์กะว่า, แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็มิอาจทำให้ประเทศสงบสุขได้ด้วยศาสนาที่ว่านั้น
เซย์กะคิดว่าถ้าเพื่อให้ความปรารถนาของตนเป็นจริงแล้ว เรื่องการเมืองของประเทศจะเป็นยังไงก็ช่าง, แต่มิโกะไม่คิดแบบนั้น
เซย์กะจึงพูดว่า, ถ้าเช่นนั้นก็เอาแบบนี้สิ, จากนั้นเธอก็เสนอเรื่องการใช้ศาสนาพุทธเป็นฉากหน้า
เธอเล่าว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด
มิโกะจึงยอมรับว่า หากเป็นแบบนั้นประเทศก็คงจะสงบสุขได้
มิโกะเผยแผ่ศาสนาพุทธไปทั่ว
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนคนธรรมดาไม่มีพลังใดๆ
และทำการวิจัยลัทธิเต๋าอยู่เบื้องหลัง
ผลที่ได้คือ การแสดงความสามารถเหนือมนุษย์และกลายเป็นตำนานมากมาย จนเป็นที่รู้จักไปทั่ว
จากนั้นก็ทำการวิจัยเรื่องความไม่แก่ไม่ตายอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายต่อโดยไม่รั้งรอ
เธอเคยใช้สารหายากหลายๆอย่าง เช่น ชาด (เกิดจากกำมะถันและปรอท = เป็นพิษร้ายแรง)
มันกัดกร่อนร่างกายของเธอไปทีละน้อย
ร่างกายของเธอจึงถูกทำลายลงด้วยวิชาเต๋าที่น่าจะนำความไม่แก่ชราและอายุยืนมาให้แก่เธอ
มิโกะไม่คิดจะรออีกต่อไปด้วยร่างกายนี้แล้ว, จึงตัดสินใจที่จะเป็นเซียนถอดวิญญาณ
เซียนถอดวิญญาณคือวิชาลับที่จะต้องตาย(หรือทำให้เห็นว่าตายไปแล้ว)หนึ่งครั้ง แล้วคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เธอกลัวที่จะต้องทำคนเดียว, จึงเอาไปเล่าให้ฟุโตะฟัง, และพยายามให้ฟุโตะเข้าสู่การหลับใหลก่อน
ฟุโตะเชื่อในพลังของมิโกะ จึงยอมเป็นเข้ารับการทดลอง
หลังจากที่ตายไปแล้ว, ฟุโตะก็หลับใหลเรื่อยมาโดยไม่เน่าเปื่อย, เมื่อมิโกะตรวจสอบยืนยันเสร็จก็เข้าสู่นิทราบ้าง
ตามแผนของมิโกะ, เธอกำหนดให้ตัวเองคืนชีพขึ้นในเวลาที่ประเทศรู้สึกถึงขีดจำกัดของศาสนาพุทธ และแสวงหานักบุญ
แต่สิ่งที่คาดไว้กลับผิดพลาด, เพราะศาสนาพุทธปกครองประเทศนี้อย่างยาวนานเกินกว่าพันปี
แผนการของมิโกะรั่วไหลออกไป
เหล่านักบวชแห่งศาสนาพุทธผู้มากด้วยพลังจึงผนึกฮวงซุ้ยของมิโกะมาอย่างต่อเนื่อง, ทำให้เธอไม่สามารถคืนชีพได้
มิโกะจึงไม่รีบร้อน และคิดว่าจะคืนชีพเมื่อไหร่ก็ได้ จึงหลับใหลเรื่อยมา
และเวลาแห่งการคืนชีพก็มาถึงในที่สุด
สาเหตุก็คือ, ผู้คนเริ่มเล่าขานว่าตำนานทั้งหมดของเธอล้วนเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ปัจจุบันไม่มีมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์แล้ว
ผลงานอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดของเธอจึงถูกเชื่อว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งตัวเธอและฮวงซุ้ยจึงย้ายเข้ามาสู่เกนโซวเคียว
ซึ่งในเวลานั้น, เกนโซวเคียวไม่มีวัดอยู่เลย, เธอจึงพร้อมแก่การคืนชีพขึ้นมาเมื่อไรก็ได้
แต่ ณ ตอนนั้นเอง กลับมีการสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้น
แถมยังอยู่เหนือฮวงซุ้ยอย่างพอดิบพอดีอย่างกับเล็งเอาไว้
มันคือ วัดเมียวเรนจิ นั่นเอง
มิโกะจะถูกกดขี่อีกครั้งโดยนักบวชแห่งศาสนาพุทธงั้นหรือ
หรือจะต้องต่อสู้กับนักบวชงั้นหรือ
เฉกเช่นเดียวกับการสู้ตายระหว่างโมโนโนเบะ(เหล่าเทพโบราณ)กับโซะกะ(ศาสนาพุทธ)เหมือนในอดีต
ปัจจุบันเธอกลายเป็นเซียนที่เหนือล้ำกว่ามนุษย์ไปแล้ว
แต่ยังไม่อาจตัดขาดความผูกพันธ์ที่มีต่อทางโลกได้ จึงมักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสังคมมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง
คงเป็นความอาลัยอาวรณ์ในสมัยที่ตนยังเป็นนักปกครองอยู่กระมัง
ลักษณะนิสัยจัดว่าผิดคาด เพราะเธอเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งขรึม
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากันโดยตรง กลับรู้สึกว่าไม่มีช่องว่างให้เห็นเลย หรือจะเรียกว่าถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งดีก็ไม่รู้ จึงรู้สึกยำเกรงขึ้นมา
{ความสามารถ}
เป็นความสามารถที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
แต่เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และจริงๆแล้วเธอยังมีความสามารถเหนือมนุษย์อย่างอื่นอยู่อีก
จะเรียกว่าเป็นยอดมนุษย์มาตั้งแต่เกิดก็คงได้ล่ะมั้ง
การทำความเข้าใจเรื่องราวหลากหลายในเวลาเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ข้าพเจ้ามีความสามารถในการไม่ลืมเรื่องที่เคยได้ยินก็จริง แต่ก็สามารถจดจำได้ทีละเรื่องตามลำดับเท่านั้น
หากมีคนสองคนมาพูดให้ฟังในเวลาเดียวกัน ส่วนมากจะจำได้เพียงว่าใครเป็นคนพูดเท่านั้น
และต่อให้จำได้ว่าใครพูดก็ไม่สามารถเข้าใจและตอบกลับไปได้
จึงไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนใดที่สามารถทำได้
แต่การที่หูดีเกินไปก็เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตตามปกติ
เธอจึงสวมที่ครอบหูเอาไว้ มันเป็นไอเทมสำหรับตัดเสียงของผู้คนเพื่อทำให้จิตใจสงบ
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกแบบ คือได้ยินเฉพาะเสียงที่เบาบางราวกับจะเลือนหายไปเพราะมีระดับเสียงตรงข้ามกับเสียงผู้คนเหล่านั้น
เรียกว่ามี หู เป็นเครื่องมือทำมาหากินก็ยังได้เลยล่ะมั้ง
ปกติแล้วต่อให้ไม่พูดออกมาโดยตรง มนุษย์เราก็สามารถรู้สิ่งที่ผู้อื่นต้องการได้จากวิธีการพูด สีหน้า และท่าทาง
แต่เชื่อกันว่าเธอมีความสามารถในด้านนี้สูงล้ำกว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก
เธอสามารถรู้ว่าต้องการอะไร และรู้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ความต้องการดังกล่าวก่อตัวเป็นคนผู้นั้นขึ้น
ความสามารถของเธอเป็นความสามารถที่ใกล้เคียงกับการอ่านใจ
แต่ต่างกันตรงที่ การอ่านใจคือการอ่านอดีตและความคิดในปัจจุบัน ส่วนตัวเธอจะอ่านจากนิสัยใจคอและอนาคตของบุคคลนั้น
{ศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋า}
ผู้คนเคยเชื่อกันว่าเธอมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในศาสนาพุทธ แต่จริงๆแล้วศาสนาพุทธเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น
เป้าหมายของศาสนาพุทธคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อโลกแห่งการเมืองที่จำเป็นต้องมุ่งหวังความสงบสุข
เธอคิดว่าเมื่อประชาชนเลื่อมใสในศาสนาพุทธ ก็จะไม่ต่อต้านผู้มีอิทธิพลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ความเชื่อที่ถูกเผยแผ่ในเวลาเดียวกับศาสนาพุทธก็คือ ลัทธิเต๋า
แนวคิดพื้นฐานของลัทธิเต๋าคือการทำความเข้าใจในธรรมชาติและจักรวาล แล้วทำให้มันกลายเป็นสมบัติส่วนตน
จึงเป็นความเชื่อที่น่าหลงใหลสำหรับมนุษย์ที่หมายปองความเป็นใหญ่
ความต่างจากศาสนาพุทธเช่นนี้เอง ทำให้จินตนาการได้ง่ายว่าหากแพร่หลายออกไปแล้วจะทำให้สังคมยุ่งเหยิงปั่นป่วน
เพราะว่าการโค่นล้มผู้มีอิทธิพลซึ่งมีพลังติดตัว จำเป็นต้องมีพลังที่เหนือกว่า
ตัวเธอหมายปองพลังเหนือธรรมชาติ ในขณะที่ใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมือง
พลังที่เธอต้องการมากที่สุดในบรรดาพลังทั้งหมด ก็ไม่ได้แตกต่างจากความต้องการของผู้มีอิทธิพลคนอื่น นั่นคือความไม่แก่ไม่ตาย
ดูเหมือนเธอจะเลื่อมใสในลัทธิเต๋าเพราะเหตุผลดังกล่าว เพราะจริงๆแล้วเป้าหมายสูงสุดของลัทธิเต๋าก็คือ ความไม่แก่ไม่ตาย นั่นเอง
{มาตรการรับมือ}
ได้ยินมาว่ามีมนุษย์ในหมู่บ้านจำนวนมากต้องการเป็นลูกศิษย์ของเธอ
มันก็จริงที่ว่าถ้าได้วิชาเซียนมาติดตัวคงทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่เธอคงคิดว่าลูกศิษย์พวกนั้นเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น
คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ลูกศิษย์ของเซียนจึงเป็นเพียงเด็กวิ่งส่งของเท่านั้น(*2)
*2 [เซียนจะใช้พลังเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสอนให้ผู้อื่นเลย]
ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่า ถ้าแค่อยากได้พลังเหนือมนุษย์มาประดับกายล่ะก็
เลิกคิดจะเป็นลูกศิษย์ของเซียนด้วยความคิดตื้นๆแบบนั้นจะดีกว่า
อีกอย่าง หากได้พลังแบบเซียนมาติดตัว อาจทำให้ถูกยมทูตจ้องเอาชีวิตก็เป็นได้
และนั่นต้องไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ
จะว่าไปแล้วตัวเธอเองก็ให้ความร่วมมือกับมนุษย์เป็นอย่างดี จึงไม่น่าจะต้องหวาดกลัวอะไร
ถ้าเกิดเรื่องไม่ดี เช่น โดนโยวไคไล่ตาม ลองหนีไปหาเธอก็น่าจะได้รับความช่วยเหลือ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทางเข้าบ้านของเธอถูกซ่อนไว้ที่ไหนก็เถอะ......(*3)
*3 [ถ้าตะโกนว่า "ช่วยด้วย--- มิโกะเอม่อน---" เธออาจจะได้ยินเพราะหูดีก็เป็นได้]
(ล้อโนบิตะตอนวิ่งมาขอให้โดราเอม่อนช่วยเหลือ......ว่าแต่เธอเคยอ่านด้วยเหรอ อาคิว = _=)"......)
Tips :
- ต้นแบบของเธอคือ มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ บุตรแห่งจักรพรรดิโยวเมย์ (โชวโทะคุ = ทรงธรรม, ราชธรรม) และเป็นที่มาของฉายาของเธอ
- มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ ถือกำเนิดที่หน้าประตูคอกม้า จึงเป็นที่มาของเนื้อหาบทแนะนำมิโกะข้างต้น
- มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า โทโยซาโตะมิมิ จึงเป็นที่มาของนามสกุลของมิโกะ
- เล่ากันว่า มกุฎราชกุมาร โชวโทะคุ เคยรับฟังคำร้องทุกข์ของสิบคนในเวลาเดียวกัน และสามารถให้คำตอบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
จึงเป็นที่มาของความสามารถของมิโกะ และเป็นที่มาของชื่อภาค Ten Desires (ความปรารถนาทั้งสิบ)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น