ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Number to die : เกมโหด กระชากขวัญ คนอัจฉริยะ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : การเดินทางสู่หายนะ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ส.ค. 56


    บทที่ 1

    การเดินทางสู่หายนะ

     

    เช้าวันเสาร์เสมือนเป็นวันหยุดของนักเรียนและเหล่าข้าราชการหลายๆ คน ที่อยากจะให้มีทุกๆ วันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานที่ค้างคามาจากวันจันทร์และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปเรียนกวดวิชาตามสถาบันที่มีชื่อเสียง และแน่นอนว่าในเช้าของวันนี้ เหล่าเมฆที่เคยเกาะกลุ่มกันค่อยๆ แยกตัวออกจากกันเป็นริ้วๆ ดูแล้วคล้ายกับภาพวาดที่ถูกวาดด้วยหัตถ์ของพระเจ้า ประกอบกับสายลมที่พัดมาอ่อนๆ พอให้รู้สึกคลายร้อนในเวลา 8 โมงเช้าได้บ้าง

    “เอาละเด็กๆ ขึ้นรถได้ ตอนนี้แปดโมงแล้ว เดี๋ยวเราจะไปถึงช้านะจ้ะ” เสียงของพี่ภาประกาศขึ้น ผมยืนมองดูเด็กนักเรียนอีก 24 คนที่กำลังล่ำลากับพ่อแม่ของตัวเองราวกับจะจากกันไปเนิ่นนาน บางคนกอดกับพ่อแม่หลายครั้งมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็กอดกันมาตั้งนานแล้ว

    ผมไม่อาจรู้ในสิ่งที่พวกเขาคิด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจหรือถูกสร้างขึ้นมากันแน่

    แต่สำหรับผม ผมบอกให้พ่อกับแม่กลับไปตั้งแต่ที่มาส่งถึงแล้วละ เพราะผมไม่อยากทำตัวโดดเด่น ผมยืนอยู่คนเดียวตามลำพัง นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องของการตรงเวลา ถือว่าทุกคนที่นี่ทำได้ดีมากจริงๆ ทุกคนมารวมกันที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการก่อนเวลาทุกคน แสดงว่าเด็กโอลิมปิกทุกคนคงถูกพ่อแม่อบรมเลี้ยงดูกันมาเป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับเพื่อนของผมบางคนที่นัดทำงานกันตอน 10 โมงเช้า แต่กลับมาทำงานกันเกือบบ่ายโมง ก็สมควรแล้วละที่เพื่อนผมมันแทบจะไม่ได้ดีและติดเด็กโอลิมปิกกันเลย เพราะการตรงต่อเวลานั้น ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการวางแผนในชีวิตเลยก็ว่าได้

    เมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาออกแนวหาเรื่องถูกพ่อดันให้ไปขึ้นรถเป็นคนแรก หน้าตาของเขาดูไม่เต็มใจนักกับการเข้าค่ายอบรมเด็กโอลิมปิก ครั้งสุดท้ายนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เข้าค่ายกันมาเกือบ 10 รอบแล้ว กว่าจะคัดเด็กออกแต่ละคนออกได้ ถือว่าทำได้ยากมาก

    ต่อจากเด็กหนุ่มหาเรื่องคนนั้นก็ค่อยๆ มีคนทยอยขึ้นรถบัสตามไปเรื่อยๆ บางคนดูมีปัญหามาก อย่างคนที่ชื่ออิง ผมจำผู้หญิงคนนี้ได้ดีเพราะยัยนี่ชอบทำตัวโดดเด่นและมีปัญหาทุกครั้งเสมอ อย่างครั้งนี้ก็ยืนเถียงกับพี่ภาเสียงดังมาก ผมพอจับใจความได้คือ อิงอยากให้เอาบอดี้การ์ดไปด้วยเหมือนกับทุกๆ ครั้ง และครั้งนี้เหมือนเธอจะเถียงพี่ภาชนะ เธอขึ้นรถบัสไปพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคน

    ผมยืนรอจนคนบางตา พ่อแม่บางคนก็กลับไปแล้ว มีบางส่วนที่ยังคงรอดูลูกของตนจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมมองไปอีกฝาก จนเห็นเด็กสาวอีกคนที่ยังคงยืนรอให้คนอื่นๆ ขึ้นรถบัสจนเหลือแค่ผมและเธอ เธอหันมามองผมครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะทำท่าผายมือเป็นสัญญาณให้เธอขึ้นรถบัสไปก่อน เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะขึ้นรถบัสไป

    ผมแอบอมยิ้มเล็กน้อย ยักไหล่ตัวเองเบาๆ...

    จากนั้นผมก็ขึ้นรถบัสเป็นคนสุดท้าย ทุกอย่างดูวุ่นวายมาก โดยเฉพาะยัยคุณหนูอิงที่วีนแตกหลายๆ เรื่อง ทำเอาพี่ภาที่คอยเป็นผู้รับผิดชอบเด็กโอลิมปิก รู้สึกเอือมระอาจนไม่อยากจะทำอะไรแล้ว ปล่อยให้อิงวีนแตกเสียงดังไปซะอย่างนั้น

    ผมมองหาที่นั่งเหมาะๆ แต่ส่วนใหญ่ จะถูกจับจองกันหมดแล้ว บางคนยอมนั่งคนเดียว แล้วเอาหนังสือกองใหญ่ๆ รึพวกกระเป๋าเป้เล็กๆ วางไว้ข้างๆ เพราะอยากนั่งตามลำพัง

    ผมมองไปเรื่อยๆ จนเห็นที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง ผมเลือกเดินเข้าไปถามคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะพบว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ขึ้นรถบัสก่อนหน้าผม

    “เออ ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” ผมยิ้มให้

    “ยินดีค่ะ” เธอกล่าวอย่างสุภาพ เขยิบตัวออกเล็กน้อย

    “ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งลงข้างๆ

    ตามมารยาทแล้วผมคงต้องถามชื่อใช่ไหม? จริงๆ แล้วผมควรจะรู้จักชื่อทุกคนนะ แต่ด้วยที่ผมเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และเป็นคนที่ไม่ชอบจำอะไรที่มันไร้สาระ อย่างชื่อของเด็กโอลิมปิกด้วยกัน ผมยังจำได้ไม่ถึง 10 คนเลย

    “เธอชื่ออะไรหรอ?” ผมหันไปถามถึงได้เห็นหน้าของเธอชัดๆ ใบหน้าของเธอดูใสสะอาด ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้ายาวเรียวได้รูป ตาโตเรียวคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยเลยละ

    “หือ? นายไม่รู้จักชื่อฉันหรอ?”

    “ประมาณนั้น” ผมพยักหน้า

    “เราชื่อเฟย์ ถ้าเราจำไม่ผิด นายชื่อเท็นใช่ไหม?” เฟย์ย้อนถาม ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันเห็นนายบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่เคยคุยด้วยเลย เห็นนายเป็นคนเงียบๆ น่ะ เลยไม่กล้าทัก ยังไงก็ยินดีด้วยนะที่ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายได้ ฝากตัวด้วยละ”

    “เหมือนกัน” ผมฉีกยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนที่พี่ภาจะประกาศให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ เพราะพวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว  

    เห่อ ถึงเวลาออกเดินทางสักที...

     

    การเดินทางเป็นไปอย่างเงียบๆ ทั้งที่ทุกครั้งจะต้องมีเสียงหัวเราะและพูดคุยของพี่ภา ผมแอบชะงักไปเหมือนกันกับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดแบบนี้

    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงตั้งแต่ที่รถบัสเริ่มออกเดินทาง ทุกอย่างยังคงเงียบ ผมแอบชำเลืองมองพี่ภา เห็นพี่แกกำลังยืนคุยกับทีมงานคนอื่นๆ อยู่ สีหน้าดูเคร่งเครียดกันทุกคน คาดว่าคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น แต่เอาเถอะ ยังไงผู้ใหญ่ก็แก้ปัญหากันเองได้อยู่แล้ว

    “เท็น” เฟย์เรียกผม ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าเธอ ทำสีหน้าสงสัย

    “มีอะไรหรอ?”

    “เรากำลังจะไปที่ไหนกันหรอ?” เฟย์ถามด้วยความสงสัย บางทีเธออาจจะอึดอัดเลยชวนคุยไปเรื่อย

    “ตอนที่รอรถบัส เราได้ยินทีมงานพูดกันว่าจะไปเพชรบูรณ์นะ เฟย์เคยไปไหมละ?” ผมเริ่มถามกลับบ้าง เพราะเราสองคนต่างก็เงียบกันมานานมากพอควรแล้ว ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้

    “ก็ไม่เคยไปหรอก แล้วเท็นละ?”

    “เหมือนกัน เราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนตั้งแต่เด็กๆ แล้วละ ส่วนใหญ่พ่อกับแม่ให้อยู่แต่กับหนังสือ จนหนังสือแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตเราไปแล้ว” ผมแอบปล่อยมุขออกมาช่วงท้ายๆ พอหันไปมอง ก็แอบเห็นเฟย์กำลังหัวเราะออกมาเบาๆ

    “เท็นนี่ก็ตลกเหมือนกันนะ เสียดายที่เท็นชอบทำหน้าตาน่ากลัวอยู่เรื่อยเลย”

    “เราเป็นแบบนั้นจริงหรอ? ใครๆ ก็บอกว่าเราน่ากลัวทั้งนั้น” ผมยักไหล่ส่งยิ้มให้เฟย์

    “อื้ม” เธอดูอายนิดๆ แน่ละ คนส่วนใหญ่ที่ผมส่งยิ้มให้ก็มักจะทำท่าเขินอายกันทั้งนั้น ผมไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่ผมว่าหน้าตาของผมจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากเลยละ ตอนอยู่โรงเรียนผมก็ฮอตในหมู่ผู้หญิงมากพอควร แต่เนื่องจากผมเป็นคนเงียบๆ ทำให้ไม่ค่อยมีคนเข้าหาเท่าไหร่

    “คิดว่าวันนี้แปลกไหม?” ผมเปลี่ยนประเด็นทันทีหลังจากผมกับเฟย์ไม่มีเรื่องจะคุยกันต่อแล้ว

    “แปลกยังไงอ่ะ?”

    “ก็ทุกทีต้องมีการพูดคุยของพี่ภาสิ นี่ก็ผ่านมาได้ตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ เรายังไม่เห็นพี่ภาพูดอะไรเลยสักคำ” ผมพูดในสิ่งที่ผมคิดทันที สายตาของผมแอบชำเลืองมองพี่ภาที่กำลังคุยกับทีมงานอยู่อีกหน รอบนี้พี่ภากำลังจ้องทีมงานเขม็งทำสีหน้าไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะสะบัดตัวออกจากวงการสนทนาไป

    “ไม่หรอกมั้ง เท็นก็คิดมากไป คนอื่นเค้าก็คุยกันปกตินะ” เฟย์ยืดตัวให้สูงขึ้น มองดูเด็กโอลิมปิก อีก 23 คนที่นั่งคุยกันเสียงดัง มีเพียงอิงที่โวยวายเรื่องความสะอาดของรถบัส ทั้งที่รถบัสมันก็สะอาดมากๆ แถมยังติดแอร์ให้อีกต่างหาก ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ายัยอิงอะไรนี่จะโวยวายอะไรนักหนา

    “หรอ” ผมพยักหน้าเข้าใจ มองดูนาฬิกาก็พบว่ามันเกือบจะ 9 โมงแล้ว จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลยแหะ เมื่อเช้าพ่อกับแม่ของผมห้ามให้กินข้าวเช้าก่อนออกมา ทั้งที่ก่อนเข้าค่ายเด็กโอลิมปิก แม่ผมมักจะให้ผมทานข้าวเช้าก่อนออกมาจากบ้านเสมอ

    แต่วันนี้แม่พาผมออกมาจากบ้านแบบรีบร้อนจนดูผิดปกติไปจากทุกวัน

    บางทีแม่ผมอาจจะเหนื่อยและมีงานด่วนก็ได้...

    ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่เหมือนกัน...

    แต่ผมชินแล้วละ ผมเข้าใจเสมอว่าพ่อกับแม่มีงานที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา พวกท่านเป็นหมอทั้งคู่ ต้องรับผิดชอบชีวิตคนมากมาย ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ดังนั้นผมจึงถูกผลักดันให้เป็นหมอเหมือนพวกท่าน โดยพร่ำสอนเสมอว่าให้ดูพี่ชายเป็นตัวอย่าง เพราะพี่ชายของผมเรียนจบหมอจากเมืองนอก

    สรุปแล้วครอบครัวของผมต้องเป็นหมอกันทุกคนเลยใช่ไหม?

    “เท็น” เฟย์สะกิดเรียกผมอีกหน

    “ว่าไงๆ” ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิด “มีอะไรหรอ?”

    “นายได้ทานข้าวเช้ามาไหม?”

    “ไม่นะ”

    “เหมือนกันเลย” เฟย์ทำสีหน้าสลดลง เฟย์คงจะเริ่มหิวข้าวเช้าละมั้ง “ปกติแม่ของเฟย์มักจะให้เฟย์กินข้าวเช้าตลอดเลย วันไหนที่เฟย์ไม่ยอมทาน แม่ก็มักจะดุเฟย์ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไร แม่พาเฟย์ออกมาแบบไม่ให้ทานข้าวเช้า” เฟย์เล่าซะยืดยาวก่อนจะต่อท้ายด้วยประโยคสั้นๆ “แถมไม่ทำข้าวกล่องให้อีกต่างหาก”

    “เดี๋ยวพี่ภาก็คงแจกอาหารว่างให้ทานเหมือนทุกครั้งน่ะแหละ เฟย์อดทนรอหน่อยละกัน” ผมบอกไป แต่ในใจกลับมีอะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าการเข้าค่ายเด็กโอลิมปิก ครั้งนี้แปลกไปจากทุกครั้ง

    บางทีผมอาจจะคิดมากไป...

    ผมเลิกสนใจทุกอย่าง ผมนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้คุยอะไรกับเฟย์ต่อสักพัก ก่อนที่เสียงพี่ภาจะดังขึ้น

    “เด็กๆ จ้ะ เดี๋ยวจะมีทีมงานแจกเค้กให้เด็กๆ นะ” พี่ภาพูดขึ้นเป็นครั้งแรก เธอทำลายเสียงคุยของทุกๆ คนได้เป็นอย่างดี ทุกคนหยุดคุยกัน มองหน้าพี่ภา เธอส่งยิ้มให้ ก่อนจะมีทีมงานเดินแจกเค้กชิ้นเล็กๆ ให้ทีละคนจนมาถึงผมกับเฟย์ที่นั่งเป็นคู่อยู่ท้ายสุดของตัวรถบัส

    “ขอบคุณครับ” ผมรับเค้กมาจากทีมงานสองชิ้น ก่อนจะส่งเค้กให้เฟย์อีกชิ้น

    “ขอบใจจ้ะ” เฟย์ส่งยิ้มหวานๆ มาให้ผม เธอรับเค้กจากมือผม แล้วแกะกินทันที

    ผมวางเค้กไว้ข้างตัว มองดูเด็กโอลิมปิกคนอื่นๆ กำลังกินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย

    “ทำไมไม่กินเค้กละจ้ะ ไม่หิวหรอ?” หนึ่งในทีมงานเดินมาถามผมด้วยสีหน้าสงสัย เพราะผมวางเค้กไว้ข้างๆ ไม่ยอมแตะต้องมัน

    “ผมไม่ชอบเค้กช็อคโกแลตน่ะครับ อีกอย่างผมก็ยังไม่หิวเท่าไหร่ด้วย” ใช่ ผมหิวจนหายหิวไปแล้ว ก่อนหน้านี้ผมยอมรับว่าหิวมากๆ เลยนะ แต่พอขึ้นมาบนรถบัสได้สักพัก ผมก็หายหิวไปเลย

    “ต้องกินนะ” ดูเหมือนทีมงานจะเน้นคำว่า กินจนผมสะดุ้ง

    “แต่...”

    “ไม่มีแต่จ้ะ รีบๆ กินซะนะ เดี๋ยวพี่ต้องเก็บกล่องไปทิ้งอีก ถ้าไม่กินเดี๋ยวพี่ก็โดนพี่ภาดุแย่” ทีมงานบอกผมด้วยสีหน้าเศร้าสลด ผมจึงเห็นใจเห็นเธอขึ้นมาทันที

    บางที ผมอาจจะคิดมากไปจริงๆ นั่นแหละ มันก็แค่เค้กธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง บางทีทีมงานอาจจะอารมณ์เสีย เพราะกลัวว่าจะโดนพี่ภาดุก็ได้

    เอาเถอะ กินก็กิน ผมไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผม...

    ผมค่อยๆ แกะกล่องออก แล้วจัดการเค้กช็อคโกแลตหมดอย่างรวดเร็ว แล้วคืนกล่องให้ทีมงานไปพร้อมๆ กับเฟย์ ทีมงานรับกล่องไป ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ผม

    “ดีมากจ้ะ ที่เข้าใจพี่” ทีมงานเดินจากไป ผมเลยดึงน้ำดื่มที่แจกไว้กับที่ขึ้นมาดื่มแก้ฝืดคอ เพราะรู้สึกว่าเค้กช็อคโกแลตที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้ จะทำให้ผมรู้สึกคอแห้งเป็นพิเศษ

    “เฟย์ดื่มนะ...” ผมหันไปถามเฟย์เพื่อจะแบ่งน้ำให้เธอดื่ม ผมหยุดชะงัก ไม่ได้ส่งน้ำให้เธอ เมื่อพบว่าเฟย์นอนหลับไปแล้ว เสียงคุยที่เคยดังกลับเงียบหาย ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงของตัวรถบัส ผมยืดตัวให้สูงขึ้นจากที่นั่ง พยายามมองดูคนอื่นๆ ก็พบว่าทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว ผมลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปตามทางเดินรถ เริ่มรู้สึกปวดหัว เหมือนมีแรงอะไรมากดทับ

    ผมพยายามเดินไปตามทางเดินรถ ใช้ขาที่มีแรงอันน้อยนิดเคลื่อนตัวไปด้านหน้า รู้สึกถึงสติของตัวเองใกล้ดับวูบทุกที ผมรู้สึกได้ว่ารถหยุดเคลื่อนที่ ผมพยายามเดินต่อก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างบอดี้การ์ดของอิงที่นอนล้มอยู่ใกล้ๆ ที่นั่งของอิง

    “เกิด...อะไรขึ้นครับ” ผมพยายามเค้นเสียงออกมา เมื่อเห็นหนึ่งในทีมงานอยู่ด้านหน้าตัวผม ผมพยายามไม่ข่มตาหลับ แต่ด้วยความง่วงนั้นทำให้ผมมองเห็นเพียงแค่ภาพเลือนลาง มือผมไขว้คว้าพยายามดึงร่างของทีมงานไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้น

    “ทางนี้มีเด็กดื้อยา” ทีมงานคนนั้นกล่าว พยายามแกะมือผมออกจากเสื้อด้วยความรังเกียจ เธอผลักผมให้ล้มลงกับพื้น โดยไม่แยแสว่าผมจะเจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า

    “เกิด... อะไร... ขึ้น....” ผมเค้นเสียงเป็นครั้งสุดท้าย สติของผมเริ่มเลือนหายเต็มที ดวงตาผมปิดลงด้วยความหนักอึ้งที่ไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว

    “โอเค เรียบร้อย เคลียร์! เด็กสลบไปแล้ว!!

    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนผมจะหมดสติไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×