คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า สังคมไทยคือสังคมแห่งการแข่งขัน เป็นสังคมที่คอยยิ้มรับกับทุกสิ่ง แต่เบื้องลึกของคนในสังคมกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เคียดแค้น อยากได้อยากมี อยากเป็นที่ 1 เพื่อให้คนยกย่องสรรเสริญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ใหญ่หลายคนเป็นคนเห็นแก่ตัว ยอมมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเพื่อให้มีเงินใช้เฉกเช่นเดียวกับพระเจ้า
หนทางดิ้นรนเพื่อให้มีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น ผู้ใหญ่มักบังคับให้เด็กทำทุกอย่างเพื่อเชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลของตัวเอง ทั้งลงทุนส่งลูกเรียนนอก ผลักดันให้ลูกเรียนหมอ รวมไปถึงส่งลูกของตนให้เรียนพิเศษตามสถานบันกวดวิชาชื่อดัง ทั้งที่หัวสมองของเด็กเหล่านั้นไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว...
ไม่ต่างจากเด็กปัญญาอ่อน...
แน่นอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จำนวนมาก ต้องการให้ลูกติดเด็กโอลิมปิก เพื่อเป็นเครื่องมือให้คนรอบข้างยกย่องว่าวงศ์ตระกูลของตนนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ที่สามารถสอนให้เด็กเก่งได้ และเพื่อให้วงศ์ตระกูลของตนมีหน้ามีตาในแวดวงสังคมไฮโซ ต่างจากเด็กที่มีความคิดที่แตกต่างออกไปจากผู้ใหญ่ บางครั้งพ่อแม่เหล่านั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่พวกเขายัดเหยียดให้นั้นคือสิ่งที่เด็กต้องการ?
ก็เหมือนกับทุกปีที่จะมีงานแถลงข่าว เพื่อเปิดตัวเด็กโอลิมปิก ที่จะไปแข่งขันที่ต่างประเทศ ในปีนี้มีเด็กจำนวน 25 คนที่ถูกคัดสรรค์ผ่านการทดสอบมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะได้เด็กอัจฉริยะทั้ง 25 คน ที่มีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป
ในงานแถลงข่าวเปิดตัวเด็กโอลิมปิก ต่างเต็มไปด้วยสื่อมวลชนหลายแขนงและเหล่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงอาทิเช่น ดารา นักร้อง นักการเมืองและอื่นๆ อีกมากมาย ต่างยืนยิ้มให้นักข่าวได้กดชัตเตอร์ถ่ายรูปเพื่อนำไปทำข่าวในวันรุ่งขึ้น ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้น แทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกเด็กโอลิมปิกเลย
เมื่อถึงเวลาแก่สมควรแล้ว พิธีกรหญิง อายุ 20 ต้นๆ ก้าวเดินไปบนเวทีด้วยท่าทีที่ดูสง่า เพียงแค่สังเกตการเดินก็พอรู้ว่าเธอเป็นคนที่อยู่ในแวดวงไฮโซและถูกอบรมมาดีแค่ไหน
เธอทดสอบไมโครโฟนด้วยการกระแอมเล็กน้อย เพื่อดึงความสนใจของสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติในงาน และแน่นอนว่า เธอทำได้ดีทีเดียว ทุกคนในงานต่างหันมาจับจ้องที่เธอ เธอสำรวจคนในห้องแถลงข่าวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างเตรียมพร้อมที่จะรับฟังเธอ เธอจึงได้เอื้อนเอ่ยน้ำเสียงที่แสนไพเราะออกมา
“สวัสดีคะ ดิฉันนางสาวภาพิมล จะมาขอทำหน้าที่พิธีกรในวันนี้คะ” เธอหยุดพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้ม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือมากมาย “เป็นอีกปีที่ดิฉันได้มีโอกาสได้ทำหน้าที่พิธีกรในการเปิดตัวเด็กโอลิมปิก อีกครั้ง ดิฉันรู้สึกมีเกียรติอย่างมากคะ” เธอเปิดสคริปหน้าถัดไปก่อนจะพูดต่อ
“ในทุกๆ ปี ทางกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการจัดการแข่งขันทดสอบนักเรียน เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันด้านวิชาการ...” ภาพิมลเปิดอ่านสคริปเล่ารายละเอียดต่างๆ เหมือนกับทุกๆ ปี ทำให้สื่อมวลชนต่างเอาเครื่องบันทึกเสียงของตนมากดใช้งาน ก่อนจะใช้ช่วงจังหวะนี้เป็นโอกาสแอบงีบหลับไปในตัว ภาพิมลรู้ดีว่าเนื้อหาจะเป็นแบบนี้ทุกๆ ปี เธอเล่ารายเอียดแบบย่อๆ ตัดบทความออกไปเยอะมาก เหลือเพียงข้อความสั้นๆ อีกทั้งเธอยังข้ามขั้นตอน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้จัดงานได้มีโอกาสขึ้นมาพูด
“เอาละคะ!” เธอพูดกระแทกด้วยน้ำเสียงที่ดังใช่เล่น เธอยิ้มรับเมื่อเห็นนักข่าวหลายคนต่างสะดุ้งตื่นขึ้นมาฟังเธออีกครั้ง “ถึงเวลาที่เราจะให้เปิดตัวเด็กโอลิมปิก ประจำปีนี้กันแล้วค่ะ ขอเชิญเด็กโอลิมปิก ทั้ง 25 คนด้านหน้าเลยค่า” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง นักข่าวบางคนถึงกับงงงวยเมื่อมีการเปิดตัวเหล่าเด็กโอลิมปิก เร็วผิดปกติ พวกเขารีบจับกล้องถ่ายรูปของตนขึ้นมาเตรียมเก็บภาพ
เด็กนักเรียนทั้ง 25 คนวัยไล่เลี่ยกัน ต่างเดินออกมายืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน เพื่อให้ช่างภาพสื่อมวลชนได้เก็บภาพกันทั่วถึง เด็กโอลิมปิก ต่างคนต่างนิสัย ต่างมีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป สังเกตได้จากลักษณะการถ่ายภาพที่มีความแตกต่างกัน
เมื่อเหล่าเด็กโอลิมปิก คนสุดท้ายหยุดเดิน ยืนเรียงกันอยู่หน้ากล้องของนักข่าวครบกันทุกคนแล้ว สื่อมวลชนทุกแขนงต่างกดชัตเตอร์แข่งกัน ทำให้แสงแฟลตอาบร่างของเด็กโอลิมปิก อย่างไม่ขาดสาย พวกเขาบางคนยืนยิ้มให้กับกล้อง ขณะอีกกลุ่มทำหน้าเบื่อหน่าย นึกคิดว่าเมื่อไหร่งานแถลงข่าวบ้าๆ นี่จะเสร็จสักที
ภาพิมลแอบแสยะยิ้ม เมื่อเธอเดินถอยหลังออกมา ปล่อยให้นักข่าวได้เก็บภาพเด็กโอลิมปิก นึกคิดเสียดายนักเรียนโอลิมปิก ในปีนี้เสียจริงๆ เธอได้ข่าวมาว่าปีนี้ค่าเฉลี่ยคะแนนในแต่ละรายวิชาสูงกว่าทุกปีเสียด้วย แต่เอาเถอะ หากใครก็ตามที่อยู่รอดในการคัดเลือกแบบใหม่ในครั้งนี้ คงถือได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะคนเลยทีเดียว นึกดูแล้วมันก็คุ้มกับการลงทุนไม่ใช่หรอ?
ลาก่อน เจ้าเด็กน้อยเอ่ย...
ความคิดเห็น