ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Kill Ruthless : ตำราอาถรรพ์ กระชากวิญญาณหลอน

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 4 : เหตุการณ์ร้าย!

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 52


    4
    เหตุการณ์ร้าย!


         ย้ากกกก! กลุ้มอะไรอย่างนี้นะวันนี้  ทำไมวันนี้มันช่างยาวนานและสับสนอะไรอย่างนี้วะ!  ตำราบ้าบออะไรกัน  มันจริงหรอเนี่ย!  แล้วปู่ฉันไปได้มาจากไหนละ!!
         “แกจะไปไหนของแกยะ...ยัยซีนัส”   ฉันถามขณะที่พวกเราสองคนเดินออกมาจากตัวโรงเรียน  และสังเกตเห็นว่ายัยซีนัสกำลังจะเดินขึ้นสะพานลอย
         “ก็กลับบ้านไง  รึแกจะให้ฉันนอนอยู่ในโรงเรียนย๊ะ”   เธอพูดพลางเชิดปากเล็กน้อย  พร้อมกับเอามือเท้าสะเอว
         “ซีนัส!! แกจะบ้าหรอ!  ฉันบอกแกไปแล้วไงว่าแกห้ามใช้สะพานลอยกลับบ้าน  อีกอย่างแกก็สัญญากับฉันแล้วด้วย”
         “เออ...จริงด้วยแหะ  แล้วแกจะให้ฉันกลับบ้านยังไงละ ถ้าไม่ให้ฉันใช้สะพานลอยกลับบ้าน”  ซีนัสค่อยๆ เลื่อนมือลงก่อนจะทำหน้าคิดสงสัย
         “แกก็วิ่งข้ามถนนเอาสิ   แค่นี้ก็คิดไม่เป็น”
         “แกจะบ้าหรอ!!  รถวิ่งไปมาอย่างควายป่าแบบนี้เนี่ยนะ! แล้วจะให้ฉันวิ่งข้ามกลับบ้าน!! ฉันก้โดนรถชนตายกันพอดี”
         “เออจริงด้วย”  ฉันพูดก่อนจะคิดหาวิธีให้ยัยซีนัสกลับบ้าน  เอ๋~  เอาไงดี ให้ยัยซีนัสดำดินลงไปก็ไม่ได้  ให้บินกลับปีกมันก็ไม่มี  เอาไงดีเนี่ย!
         “เออ...ถามจริงนะ  ทำไมแกไม่ยอมให้ฉันใช้สะพานลอยนี้กลับบ้านวะ”  ซีนัสที่เห็นฉันเงียบไปนานจึงตั้งคำถามขึ้น
         “เออนา~  ฉันมีเหตุผลละกัน   เอ่อ!  เอางี้มั้ย  แกมากลับบ้านพร้อมกับฉันมั้ย  เดี๋ยวฉันให้พี่เลลันแวะส่งที่หน้าบ้านแก”
         “จะดีหรอ?”  ซีนัสถาม  แต่ไม่ทันที่ฉันได้ตอบก็มีเสียงทักของใครสักคนดังขึ้น
         “เอ้า! ลันลา  ซีนัส...ยังไม่กลับบ้านกันอีกหรอ”  บอยที่เดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับกล้าทักขึ้น  ฉันจึงหันไปมอง
         “อืม”  ฉันตอบรับพร้อมกับส่งยิ้มให้
         “แล้วพวกเธอได้รอใครกันรึเปล่า”  บอยเดินเข้ามาใกล้ฉันกลับซีนัสก่อนจะหยุดอยู่ที่พวกเราสองคน  ส่วนกล้าก็เดินขึ้นสะพานลอยไปก่อนแล้ว
         “เปล่าหรอก”  ซีนัสพูดขึ้นบ้าง
         “เอ้าเห้ย! ไอ้บอย  มึงจะกลับบ้านไหมวะ  มัวแต่ยืนคุยกับสาวอยู่นั่นแหละ”  กล้าที่เดินอยู่บนสะพานหยุดเดินก่อนจะชะโงกหน้าลงมาแซวที่บอย  บอยค่อยๆ หน้าแดงก่อนจะพูดกลบเกลื่อนอารมณ์เขินของตน
         “บ้าแล้วมึง!  กูก็คุยตามประสาเพื่อนนั่นแหละเว้ย!”  บอยพูดพลางเงยหน้าขึ้นไปที่กล้า “พูดแบบนี้เดี๋ยวกูขึ้นไปเตะมึงเลย  รอก่อนเถอะ”
         ครึก!!
         “บอยอย่าเพิ่งไป!”  ฉันตะโกนสุดเสียงก่อนที่บอยจะชะหยุดงักที่ทางขึ้นสะพานลอย  ฉันเห็นมันแล้ว!  มันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า!!!
         “แกเป็นอะไรของแกวะลันลา!”  ซีนัสถาม  แต่ฉันไม่นแกหรอก  ตอนนี้ต้องช่วยเหลือชีวิตนักเรียนทุกคนก่อน!
         “ทุกคนลงมาจากสะพานลอยซะถ้ายังไม่อยากตาย!!!”  คราวนี้ฉันถึงกับใช้พลังเสียงทั้งหมดที่มีตะโกนขึ้นไปสะพานลอย  คนที่อยู่บนสะพานลอยและคนบริเวณนั้นถึงกับงงก่อนจะพากันหัวเราะกันยกใหญ่ 
         ครึกๆๆ!!
         เสียงครั้งนี้ถึงกับให้ทุกคนเงียบ  ก่อนจะมีเศษผงปูนร่วงลงมาตามท้องถนนเล็กน้อย
         “ไม่ได้ยินกันรึไง  ฉันบอกให้ลงมาไงเล่า!!!!”  ฉันตะโกนอีกครั้ง  แต่คราวนี้ดูเหมือนมันจะสายเกินไปแล้ว...
         ครืน!!!   พัง!!   โครม!!!   ปัง!!!!   ครืนน!! เอี๊ยดด!!!  โครม!!
         “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!”
         เสียงมากมายดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงกรี๊ดของเหล่านักเรียน  เสียงในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะดังกว่าเสียงกรี๊ดในเมื่อเช้าซะอีก!!
         ก็เพราะสะพานที่นักเรียนยืนอยู่กันเป็นร้อยๆ  ได้พังถล่มลงมาทับรถกำลังที่วิ่งอยู่!!! ทำให้นักเรียนที่อยู่บนสะพานลอยพากันร่วงลงสู่พื้นซีเมนต์  นักเรียนบางคนถึงหัวฟาดพื้นทำให้หัวแตกตายคาที่!!   บางคนก็ล่วงลงมาพร้อมมีเศษปูนของสะพานลอยล่วงลงทับร่าง  ทำให้ร่างกายเละเทะเลือดสีแดงถึงกับสาดไปทั่วบริเวณนั้น!!  บางคนที่ร่วงลงมาพร้อมกับจังหวะรถที่วิ่งมา  ถึงกับโดนรถชนกระแทกอย่างแรงจนกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร!!
         ยังไม่พอ!  นักเรียนที่อยู่ข้างล่างใต้สะพานลอยบางคน  ก็ถูกรถที่หักหลบการถล่มของสะพานลอย  ชนเอาไปติดกับกำแพงบ้านและโรงเรียนทำให้ร่างกายแตกละเอียด!  ตายคนที่!  เลือดถึงกับสาดใส่หน้าคนที่อยู่ใกล้  และกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกลจากฉันนัก  ก็ได้ถูกรถกระบะหักหลบเข้ามาชนที่นักเรียนบางคนถึงกับโดนเหยียบที่หัวจนเละ  บางคนก็ถูกเหยียบเข้าที่ลำตัว  ทำให้อวัยวะภายในทะลักออกมา!!!
         “กรี๊ดดด!”  ซีนัสกรีดร้องทันทีที่กลุ่มนักเรียนยืนอยู่ไม่ห่างตายไปต่อหน้าต่อตา  เพราะอีกไม่กี่เซนติเมตรมันก็จะมาถึงจุดที่ฉันและยัยซีนัสยืนอยู่!
         “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!”  เสียงกรีดรองยังคงร้องกันระงมอย่างไม่มีหมดดังก้องกังวานไปทั่วทำให้นักเรียนที่อยู่ข้างในโรงเรียนถึงกับวิ่งออกมาดูก่อนจะพบเข้ากับเหตุการณ์สยอง   แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออ้วกทันที  บางคนก็รีบวิ่งมาช่วยเพื่อนที่ยังเหลือลมหายใจอันน้อยนิดของพวกเธอก
         “ไอ้กล้า!!!”  บอยที่ตั้งสติได้เห็นกล้าที่นอนอยู่ไม่ไกลจากฟุตบาทโดยที่ร่างกายของกล้าตั้งแต่ช่วงหน้าอกจนถึงปลายเท้าได้ถูกปูนของสะพานลอยทับร่างเอาไว้  บอยถึงกับน้ำตาคลอที่เห็นเพื่อนรักของเขากำลังจะตาย...  ก่อนจะล้มเอาหัวเข่าทั้งสองข้างลงพื้น
         “มึงจะร้องไห้ทำไมวะไอ้บอย” กล้าถามทั้งที่เขาแทบจะพูดไม่ไหวอยู่แล้ว  ฉันกับซีนัสที่ตั้งสติได้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาบอยและกล้าทันที
         “ก็มึง! ก็มึงกำลัง...ฮึกๆๆ”  ขณะที่บอยยังพูดไม่จบน้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลพรังพรูออกมามากกว่าเดิมทำให้เขาพูดต่อไม่ได้
         “มึงจะร้องไห้ทำไมวะ  มึงเป็นผู้ชายนะเว้ย!  อีกอย่าง...กูยังไม่ตายสักหน่อย” กล้าพยายามพูดพลางเอามือเลื่อนไปวางที่หัวเข่าของบอย
         ฉันกับซีนัสที่ยืนอยู่จึงค่อยเลื่อนตัวนั่งลงทันที  แต่ฉัน...ฉันเห็นมันแล้ว  กล้าจะต้องตายในอีกไม่ช้า  ไม่นะ!!  ไม่เอาแล้ว!  ภาพแบบเนี่ย!  ทำไมฉันต้องเห็นด้วยว่าใครกำลังจะตาย!  แต่กล้าต้องไม่ตายสิ  กล้าเป็นเพื่อนของพวกฉัน  ฉันไม่ยอมหรอกนะ!  แล้วช่วยเอาภาพบ้าๆ นี่ออกไปจากหัวฉันซักที!!
         “กล้านายทำใจดีๆ ไว้นะ   นายจะต้องไม่เป็นอะไร  เชื่อพวกเราสิ  ฮึกๆ ฮือๆ”
         “ใช่นายจะต้องรอด”  ซีนัสพูดสนับสนุนฉันอีกแรง
         “อืม...ขอบใจพวกเธอสองคนนะ  บอย...กูไม่ตายหรอก  ออกไปเถอะ  นั่นไง  มีคนกำลังจะมาช่วยกูแล้ว  ออกไปกันสิ”
         “ไม่!!  กูจะอยู่ดูมึงจนกว่ามึงจะเอาไอ้ก้อนปูนเวรนี่  ออกไปจากร่างของมึง”
         “แต่บอย   พวกเราอาจจะเป็นตัวเกะกะของเจ้าหน้าที่กู้ภัยนะ”  ไม่ใช่หรอก  มันไม่ใช่เลยที่พวกเราจะเป็นตัวเกะกะของเจ้าหน้าที่กู้ภัย  แต่ฉันไม่อยากให้บอยและซีนัสเห็นเพื่อนร่วมห้องต้องจากไปต่อหน้าต่อตา
         “นั่นสิบอย...ฉันว่าเราไปกันเถอะ  ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยดีกว่านะ”  ซีนัสยังคงสนับสนุนฉันต่อไป
         “ไปสิ...เชื่อกูสิว่ากูจะไม่เป็นไร  ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง  จะไปไหนได้อีกละ  ไปซักทีสิ”  บอยเริ่มคิดได้ก่อนจะยันตัวขึ้นแล้วเดินออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น  ทำให้ฉันกับซีนัสลุกขึ้นเดิมตามบอยไปทันที

         ปิ๊บๆๆ ปี้ๆๆ  ปิ๊บ~~
         เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ  เออ...เสียงโทรศัพท์ฉันอาจจะฟังดูแปลกๆ  หน่อยนะ 
         ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปหยิบมือถือด้วยมือขวา  ส่วนมือซ้ายยังคงวุ่นกับการเช็ดผมของฉันให้แห้ง  แต่พอมองหน้าจอโทรศัพท์  ก็โชว์เบอร์ของยัยซีนัส
         “สวัสดีค่ะ  ว่าไงจ้ะ”  ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ   ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทแค่ไหนแต่พอได้รับสายใครก็ตาม   ฉันมักจะขึ้นต้นกล่าคำทักทายด้วยคำว่า “สวัสดี”  เสมอ
         “แก! นายกล้าตายแล้ว!!!”  เสียงที่ตอบกลับมา  กลับเป็นเสียงที่ฟังดูร้อนรนบนสั่นเครือ
         “!!!”  พอฉันได้ยินก็ถึงกับอึ้ง  ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของฉันมันเหมือนกับลอยเคว้งคว้างหมุนเข้าไปในหลุมดำที่มืดสนิท  ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง  ทั้งๆ ที่เวลามันได้เลื่อนไปทุกวินาที  ถึงแม้ฉันจะรู้ว่านายกล้าจะต้องตาย  แต่พอได้รู้เข้าจริงๆ ฉันกลับทำใจในสิ่งที่ได้ยินไม่ได้  ฉันถึงกับเข่าอ่อนลงไปที่พื้น  มือสั่นไปหมด  กว่าจะร่วมรวบสมาธิได้เหมือนเดิมก็ปาไปนานเหมือนกัน
         “ลันลา  ฉันเรียกแกสิบรอบแล้วนะ!  ถ้ายังไม่ตอบฉันจะวางสายละ  เปลื้องเงินว้อย!”
         “อะ...อืม  แล้วบอยรู้เรื่องรึยัง” ฉันตั้งคำถามใหม่
         “ยังหรอก  ถ้ามีใครบอกไป  ก็กลัวว่านายนั่นจะคลุ่มคลั่งอาละสาดขึ้นมา  เอางี้ดิ..แกโทรไปบอกนายบอยหน่อยสิ  อย่างน้อยมันก็ชอบแกนะเว้ย”
         “ฉันเนี่ยนะ!!”  ฉันถามเสียงสูง
         “ก็ใช่นะสิ!  แล้วมันจะมีใครอีกนอกจากแก”
         “อะ...อืม  ก็ได้แล้วฉันจะบอก   แล้วคนอื่นในห้องเราละมีใครเป็นอะไรอีกรึเปล่า”  ฉันเริ่มถามหาคนอื่นดูบ้าง   ถึงจะไม่สนิทกันเท่าไหร่  แต่อย่างน้อยก็อยู่ร่วมห้องกัน
         “พะ...พิมตายคาที่เพราะถูกรถสิบล้อเหยียบ  ส่วนมิ้นบาดเจ็บบางตายตอนนี้ยังไม่ได้สติ  และมิ้น  ส้ม  น้ำตาล  ฝน  บาดเจ็บเล็กน้อย”
         ว่าไงนะ!  นี่มันอะไรกันเนี่ย!  นี่เพื่อนให้ในห้องฉันเสียงชีวิตถึง  2   คนเลยหรอ!  อะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
         “งั้นแค่นี้นะ...ฉันขอไปทำใจสักพักก่อน”
         “อืม    ฝันดีนะเพื่อน”  ยัยซีนัสทิ้งท้ายก่อนที่จะกดวางสายไป

         ตืนเช้าขึ้นมาฉันรีบเปิดวิทยุฟังข่างจากสถานีวิทยุในโรงเรียนของฉันทันที   ก่อนจะทราบว่าวันนี้ทางโรงเรียนจะปิดทำความสะอาดหน้าโรงเรียนและให้นักเรียนทำใจอยู่ที่บ้าน  ให้ลืมเหตุการณ์ร้ายเมื่อวานนี้ให้หมดคิดซะว่ามันคือความฝันที่น่ากลัวฝันนึง 
         แต่ฉันสิยังไม่ได้บอกเรื่องกล้ากับบอยเลย  เอาไงดีเนี่ย  คงต้องบอกตอนเย็นๆ ละ  ถ้าบอกตอนนี้เดี๋ยวเก็บไปคิดคนเดียวอีก
         ฉันเลยนั่งหาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเวลาหกโมงเย็น  ฉันจึงรีบโทรไปหาบอยทันที
         “ว่าไงลันลา  คิดไงโทรมาหาบอยเนี่ย”  บอยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
         อ้าว~  เวรกรรม  ตอนนี้เจือกอารมณ์ดีอีก  แล้วฉันจะบอกดีมั้ยเนี่ย
         “ฟังดีๆ นะบอย”  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  ในหัวของฉันตีกันไปมาถึงเรื่องของกล้า  ว่าจะเอาเรื่องที่กล้าตายบอกกับบอยดีรึเปล่า  ถ้าบอยรู้ช้ากว่านี้  บอยอาจจะเจ็บมากกว่ารู้เร็ว  แต่ถ้ารู้บอย ต้องเสียใจแน่ๆ  เลย  แล้วฉันจะเอาไงดีละเนี่ย
         “เดี๋ยวนะ  ทำไมเธอพูดไปหัวเราะไปละ”
         “พูดไปหัวเราะไป?  นายหมายความว่าไง”  ใช่...ฉันหัวเราะตอนไหน  เวลานี้มันเครียดจะตายไป  ใครจะมานั่งหัวเราะเชิงชมกันตอนนี้ละ
         “ก็เธอนะสิ  แล้วนี่จะโทรมาบอกความสามารถใหม่หรอ ...พูดไปหัวเราะไป”  บอยยังคงถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
         “บอยตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเล่นตลกนะ   สิ่งที่ฉันต้องการจะบอกนาย  มัน....  นายต้องทำใจดีๆ  นะ  ไม่ต้องเสียใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะนายยังมีเพื่อนอีกมากที่...”
         “จะโทรมาบอกว่าไอ้กล้าตายแล้วละสิ”  บอยพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงหวนๆ ปนแข็งกร้าว
         “นายรู้”
         “ก็ต้องรู้นะสิ   เพราะบอยไปนั่งเฝ้ากล้ามันหน้าห้องฉุกเฉินทั้งคืนเลยนิ”  บอยพูดกลับมาอีกครั้ง  แต่น้ำเสียงที่ดูร่าเริงกลับลดถอยลงเป็นน้ำเสียงที่ดูหม่นหมองเศร้าอมทุกข์
         “นายไม่เสียใจมากนะ  อย่าลืมละว่ายังมีเพื่อนอีกมากที่ยังดีกับนาย”  ฉันเริ่มปลอบโยน
         “บอยรู้  แต่ลันลาน่าจะหยุดหัวเราะได้แล้วนะ  เวลาเนี่ย  มันไม่ใช่เวลาที่จะมามีความสุขเลยซักนิด”  บอยสวนกลับ
         ฉันถึงกับงงที่ได้ยิน  อะไร?  ฉันหัวเราะตอนไหนหรอ  ฉันเดินมาที่เตียงก่อนจะนั่งลงที่ปลายเตียงนอนสีชมพูของฉัน   เนื่องจากยืนคุยแล้วมันปวดขาอะ
         “เราหัวเราะตอนไหนบอย  จะบ้ารึไง!  เพื่อนเราเสียไปตั้งสองคนนะ”
         “นี่ไงยังไม่หยุดอีก  แล้วนี่อะไร  เสียงอะไรบ่นอุบอิบ  เราฟังไม่รู้เรื่องเลย  ลันลาเดินออกจากตรงนั้นได้มั้ย  คนเยอะจนบอยฟังลันลาไม่รู้เรื่องเลยอะ”
         “บ้ารึไงบอย!  ลันอยู่ในห้องนอนของลันนะ แล้วลันก็อยู่คนเดียวด้วย!”
         “...”  บอยถึงกับเงียบ
         “...”  ฉันก็งเลยเงียบตอบ  อะไรกับนี่บอยกับเล่นตลกอะไรกับฉันนะ
         “ลันลา!  เธอกรี๊ดทำไม  บอยแสบแก้วหูนะ  แค่เสียงหัวเราะกับคนคุยกันก็ดังพอจนบอยฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว”
         “บอย!  ลันยังไม่ทันได้กรี๊ดอะไรเลยนะ!!  นี่บอยกำลังเล่นตลกอยู่ใช่มั้ย!!!”
         “ลัน  บอยฟังไม่ถนัดเลยอ่า  ลันลาหยุดกรี๊ดเถอะ”
         ฉันว่ามันแปลกๆ แล้วนะ!  อะไรกันฉันยังไม่ได้กรงได้กรี๊ดเลยอะไรเลย  มาหาว่าฉันกรี๊ดอีก  มันต้องมีอะไรแน่ๆ เลย  แต่พระเจ้าเถอะ!  พอฉันเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น!
         สายตาฉันที่จ้องเข้าไปในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ปลายเตียงก็พบกับร่างผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของฉัน  เธอลอยสูงอยู่บนหัวฉัน  ผมเธอยาวสลวยถึงปลายเท้าแต่กลับดูสยอง  ผมจำนวนมากมันลอยไปมาตามอากาศ  ดวงตาสีขาวโพลน  ใบหน้ารูปวงรีสีขาดเผือด  มีรอยกรีดรอยใหญ่ตั้งแต่หน้าผากจนถึงคาง  มีเส้นเลือดสีอ่อนๆ ขึ้นให้เห็นบ้างเล็กน้อย  บางจุดของใบหน้าก็มีเนื้อเน่าๆ เละๆ ยุ่ยๆ อยู่บนหน้า  ส่วนร่ากายก็มีเลือดกระโชกเต็มร่างกาย  มือเธอมีเล็บสีดำยาวเฟื้อย
         แล้วมันมาตั้งแต่ตอนไหน!  ทำไมฉันไม่รู้สึกเลยเลยซักนิด!!
         พอฉันยิ่งมองมันนานมากเท่าไหร่  ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตพยาบาลแรงขึ้นเท่านั้น จนทำให้ขนตามร่างกายเริ่มลุกซู่ไปตามๆ กัน  ก่อนฉันจะมาสนใจคนในสายต่อ
         “วะ...ว่าไง”  ฉันเหลือบตามองดูผีสาวตนนั้นในกระจกก่อนที่สายตาเธอมารประสานเข้ากับฉันอย่างจัง!  ฉันจึงรีบหันหน้าทีทันที
         “ทำไมเงียบไปนานนักละ  บอยตกใจหมดเลยนะรู้มั้ย”  บอยพูดพร้อมกับพ่นลมเข้าไปในโทรศัพท์ 
         “อืมๆ  ไม่มีอะไรแล้วละ  แค่นี้ก่อนนะ ฝันดีนะคืนนี้”  ฉันรีบลามองดูกระจกอีกครั้งดวงวิญญาณนั้นยังคงลอยอยู่บนหัวในแนวนอนเหมือนเดิม
         “ครับผม  เช่นกัน”  บอยพูดจบการสนทนาก็จบลง  แต่เรื่องผีบนหัวฉันมันยังคงไม่จบ!!

         ฉันทำตัวไม่ถูกเลย  ทั้งๆ  ที่ก่อนหน้านี้ฉันทำนู่นทำนี่ก็ยังไม่เป็นไร  ไม่รู้สึกอะไรเลย  แต่พอได้รู้ว่ามีวิญญาณตามอยู่แบบนี้  ฉันละวางตัวไม่ถูกจริงๆ  เอาไงดีละ  ถ้าบอกดีๆ  ก็คงไม่ไปหรอก  ใช่แล้ว!...
         จู่ๆ  หนังสือเทลกิซเล่มสีดำก็ลอยวาบเข้ามาในหัวของฉัน  ฉันค่อยๆ เดินไปที่กระเป๋านักเรียน  ส่วนหางตายังคงเหล่ดูว่ามันยังตามมาอยู่รึเปล่า  และอย่างที่ว่า  มันยังคงตามมาอยู่เช่นเคย
         ฉันรูดซิปกระเป๋าออกแล้วหยิบตำราเทลกิซออกมาทันที  แต่...
         “ฮี่ๆๆ นี่แกจะไล่ฉันไปแล้วหรอ”  เสียงอันแหลมเล็กดูเย็นยะเยือกที่พอได้ฟังแล้วขนก็ลุกตั้งขึ้นอีกรอบ  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันหายจากอาการขนลุกแล้วแท้ๆ
         “!!!”  ฉันถึงกับตกใจหันหลังไปมองก่อนจะพบว่าใบหน้าอันหน้าสยดสอยงนั้นมันได้ลอยเข้ามาติดไม่ห่างจากหน้าฉันไม่ถึง  5  นิ้ว!
         “ฮี่ๆๆๆ”  สักพักมืออันเหี่ยวย่น  เล็บสีดำยาวก็ฟาดมาเข้าที่ใบหน้าของฉัน  ทำให้ตำราเทลกิซหลุดมือออกไปจากอุ้งมือ  ฉันล้มลงไปนอนกับพื้น  ก่อนจะเหลือบตามองไปที่ตำราเทลกิซที่อยู่ไม่ห่างมากเท่าไหร่นัก
         สักพัก จู่ๆ กลอนประตูก็ลงเองอัตโนมัติ  หน้าต่างที่เคยเปิดอยู่ก็เลื่อนปิดลงไปทีละบานจนครับทุกบาน  ผ้าม่านที่เปิดไว้แล้ว  ก็ไหลมาปิดบังแสงแดดอันน้อยนิดไว้  ทำให้ห้องนอนของฉันมืดไปชั่วขณะ  แต่ก็ยังคงพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร
         วิญญาณร้ายนั้นหันมามองหน้าฉันก่อนจะยิ้มแบบสยองให้  ฉันถึงกับขนลุกมากกว่าเดิม    ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยเลย  แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่!!  ยัยวิญญาณนี้มันมาจากไหนกัน!!!
         วิญญาณสาวค่อยๆ  เคลื่อนตัวเข้ามาหาฉันเรื่อยๆ  ทำให้ฉันต้องเคลื่อนตัวด้วยการคลานเข้าไปหาตำราเทลกิซ  เนื่องจากเมื่อกี้ฉันล้มลงแล้วตัวล้มทับเข้าที่ข้อเท้าทำให้ฉันเจ็บจนเดินไม่ได้ไปชั่วขณะ
         แต่ขณะที่มือฉันกำลังจะเอื้อมมือถึงตำราเทลกิซอยู่แล้ว  มือเหี่ยวย่นนั้นกลับเข้ามาบีบที่ต้นคอฉัน!
         ฉันเริ่มดิ้นพล่านลุกลน  เนื่องจากขาดอากาสหายใจเรื่อยๆ  ฉันพยายามจะเอื้อมมือไปที่ตำราเทลลกิซแต่ก็ไม่เป็นผล  เพราะมันไม่ถึง  อีกนิดเดียวเองแท้ๆ !!
         กร๊อบ!!
         ผีร้ายเริ่มบีบคอฉันแน่นขึ้นจนฉันหายใจไม่ออก  มือข้างซ้ายก็พยายามไขว่ขว้าตำราเทลกิซ  ส่วนมือขวาก็พยายามแกะมือนังผีร้ายนี้ออกไป
         ....แต่ก็ยังไม่เป็นผลอยู่ดี...
         ฉันเริ่มหมดอากาศหายใจเรื่อยๆ  จึงเอามือตีกับพื้น  ไม่ไหวแล้ว  ฉันกำลังจะขาดใจตาย  ทำไมกันฉันไปทำอะไรให้ยัยผีนี้นะ  ทำไมเธอถึงต้องมาฆ่ากันด้วย!!!
         ในที่สุดลมหายใจฉันก็ค่อยๆ หมดไป  เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงช้า ภาพเริ่มพร่ามัวจนแทบแยกไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร  รู้เพียงว่า...ฉัน...กำลังจะตาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×